ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๕๖๗ (๓)

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 สิงหาคม 2024 at 13:52.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,038
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +26,213
    ก่อนทำวัตรเย็น วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗​

    อาตมาตอนเด็ก ๆ ตีกบแทงปลาเป็นเรื่องปกติ แต่กว่าที่ผู้ใหญ่เขาจะสอน ก็มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง ก็คือการใช้มีดฟันลงไปในน้ำ ถ้าเป็นน้ำลึกมีดจะแฉลบ เพราะว่าน้ำมีแรงต้าน ถ้าแฉลบพลาดก็โดนตัวเอง จะว่าไปแล้วอาตมาก็แก่มาก ก็เลยแปลกใจว่าถ้านับตอนเด็ก ๆ ที่ยิงนกตกปลาอยู่เป็นอายุสัก ๕ - ๖ ขวบ ก็แปลว่าผ่านมาแค่ ๖๐ ปี สัตว์น้ำที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด..!

    สมัยเด็กไปบ้านป้าที่สวนแตง ปลาว่ายไปมาเต็มท่าน้ำไปหมด อย่างกับวังมัจฉาหน้าวัดสมัยนี้ พอถึงเวลาหน้าปลาสร้อยขึ้น ปลาสร้อยเป็นปลาเกล็ด หน้าตาคล้าย ๆ ปลาตะเพียน แต่ตัวเล็กกว่า ขึ้นมาทีเต็มแม่น้ำเลย ไม่รู้ว่าเป็นแสนเป็นล้านตัวหรือเปล่า ? แล้วไม่ต้องใช้อะไรเลย เอาเข่งไปตักเอา ไม่ต้องใช้เครื่องมือดักปลา แล้วก็เลือกแต่ปลาสร้อยด้วยนะ ปลาอื่นไม่เอา เอามาหมักน้ำปลา ถึงเวลาก็ผ่าอ้อย ๖ ซีก ๘ ซีก รองก้นโอ่งก้นไห เอาปลาสร้อยอัดลงไป สลับกับเกลือ แล้วก็สานไม้ไผ่ปิดปากไว้ ผ่านไป ๑ ปีก็จะได้น้ำปลาน้ำหนึ่ง

    ฟังดูแล้วน่ากินมาก แต่ขอโทษ..น้องชายพูดทีเดียวเท่านั้นแหละ อาตมาเลิกกินน้ำปลาไปเลย รู้ไหมว่าเขาพูดว่าอะไร ? เขาบอกว่า "น้ำเหลืองปลา" เราก็คนจินตนาการล้ำเลิศ นึกภาพออกเลย ก็คือปลาที่เน่า เลือด น้ำเหลือง อะไรทุกอย่างผสมกัน เสร็จแล้วเราก็เอามาคลุกข้าวกิน..!

    ไปนึกถึงลุงมีสัปเหร่อ สมัยก่อนคนไม่ค่อยมีฐานะ พอถึงเวลาตายก็จะเอาศพไปฝากไว้ใน "โรงทึม" สมัยนี้ยังมีคำนี้หรือเปล่า ? เป็นอาคารใหญ่ ๆ ที่เขามุงสังกะสีปิดทึบรอบด้าน มีประตูเข้าด้านเดียว ถึงเวลาก็จะให้โยมเอาโลงศพไปฝากไว้ รอให้มีเงินก่อนแล้วค่อยทำพิธีเผา

    คราวนี้บางทีคนเขาก็ทนไม่ได้ กับเรื่องกลิ่นเรื่องอะไร ก็ต้องจ้างสัปเหร่อให้รูดเอาเนื้อศพออก ให้เหลือแต่กระดูก ลุงมีแกก็ทำอาชีพนี้ เจ้าประคุณรุนช่องเถอะ..เสื้อผ้าแกกี่ชุดนี่ซักขนาดไหนก็ตาม กลิ่นน้ำเหลืองผีออกไม่หมด พอเปียก ๆ ชื้น ๆ หรือโดนเหงื่อหน่อย ก็จะเหม็นตลบขึ้นมาทันทีเลย..!

    พอ ๆ กับจีวรพระสมัยนั้น เพราะว่าพระก็ต้องไปชักผ้าบังสุกุลจากศพ เขาจะทำเป็นเก้าอี้เอน ๆ ลักษณะเหมือนเหมือนกับ "เก้าอี้ฮ่องเต้" สมัยนี้ แล้วก็เอาศพนอนอยู่บนเก้าอี้ มีผ้าไตรพาดอยู่บนมือ แล้วส่วนใหญ่เขาก็ให้พระใหม่ไปชักผ้าบังสุกุลจากศพ เพื่อที่จะได้มีผ้าจีวรใช้ ต้องไปเหยียบตรงด้านหน้าเก้าอี้ เพื่อให้เก้าอี้กระดกขึ้นมา แล้วศพก็ลุกพรวด ยื่นผ้าไตรมาให้..!

     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,038
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +26,213
    เพราะฉะนั้น..พระใหม่ที่เข้าไปจะต้องไปตัดไม้ค้ำมาหนึ่งอัน ก็คือเป็นไม้ง่ามที่ถือได้ถนัดมือ พอศพพรวดขึ้นมา ก็เอาไม้ง่ามค้ำคอศพไว้ เสร็จแล้วก็ "อนิจจา วต สังขาราฯ" ชักผ้ามา คราวนี้ผ้าพาดอยู่กับศพ บางทีก็ตายหลายวัน ศพก็เน่าก็เปื่อย น้ำเหลืองซึมเข้าไปในผ้า ถึงเวลาซักขนาดไหน ตากขนาดไหนก็ตาม กลิ่นหมดแค่ตอนนั้น พอเปียกเหงื่อหรือว่าชื้น ๆ หน่อย กลิ่นผีตายจะออกมาชัดมากเลย..!

    สมัยโบราณเขาถึงได้บอกว่า ของที่เหม็นที่สุดในโลกมีสองอย่าง อย่างแรกคือขี้อีแร้ง อย่างที่สองคือจีวรพระ อีแร้งกินแต่ซากสัตว์ คุณค่าทางอาหารก็คงจะมีน้อยอยู่แล้ว ถึงเวลาถ่ายออกมาก็เหม็นมาก เหม็นอย่างชนิดไม่มีใครอยากเข้าใกล้ไปแถวรังอีแร้ง ส่วนจีวรพระเหม็นเพราะน้ำเหลืองผี อาตมาทุกวันนี้ได้กลิ่นเมื่อไร จะจำได้ทันทีว่านี่กลิ่นศพแน่นอน..!

    ย้อนกลับไปที่สัปเหร่อลุงมี แกจะมีมีดหมอติดตัวอยู่ เป็นมีดซุย ลักษณะเหมือนอย่างกับมีดใช้งานธรรมดานี่แหละ แต่ว่าด้ามโค้ง ๆ ลงมาเหมือนด้ามปืน แกก็ใช้ของแกทุกวัน ลับเสียขาววับเลย เวลาจะสะกดผีจะอะไรแกก็ใช้มีดเล่มนั้น ถึงเวลาไปรูดเนื้อออกจากกระดูกแกก็เอามีดเล่มนั้นนั่นแหละ เลาะเนื้อเลาะกระดูก ทำความสะอาดเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เอามาใช้หั่นหมู หั่นปลา ทำกับข้าว

    เด็ก ๆ อย่างพวกเรา กลัวก็กลัว แต่ก็เมียงมองเข้าไป แกก็เป็นคนใจดี ปอกมะม่วงเสร็จ "เอ้า..ไอ้หนู ลุงแบ่งให้" กูวิ่งหนีเลย..! แกก็ใช้ไอ้มีดเล่มนั้นแหละ..! ล้างสะอาดขนาดไหนเราก็รู้สึก บรื๋ออว์..เพิ่งจะใช้ลอกเนื้อผีมาไม่นาน..ใช่ไหม..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,038
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +26,213
    ชีวิตสมัยก่อนนี่เงินติดบ้านแทบจะไม่มี เพราะส่วนใหญ่หาอยู่หากินกับหัวไร่ชายนาตัวเอง ไม่ว่าจะพืช จะผัก จะสัตว์ จะอะไร นาน ๆ ทีก็จะมีบ้านโน้นฆ่าหมู บ้านนี้ล้มวัว มีงานใหญ่ ก็จะมีคนเข้าไปขอซื้อ

    ขอซื้อสมัยก่อนไม่ได้มีการชั่งน้ำหนัก เขาเรียกเป็น "พูด" เคยได้ยินไหม ? คำว่าพูดก็คือไปพูดว่า "กูจะเอา" เนื้อพูดหนึ่งดูจากด้วยสายตาของเรา กะ ๆ ก็ประมาณกิโลกว่าถึงสองกิโล บางทีก็ประเภทติดหนี้กันยันลูกบวช ก็ยังไม่ได้ใช้ค่าเนื้อให้เขาเลย เพราะว่าไม่ค่อยมีสะตุ้งสตางค์กัน

    สมัยนั้นบ้านใครมีเงินถึงหนึ่งชั่งนี่โคตรรวยเลย..! หนึ่งชั่งเท่ากับแค่ ๘๐ บาทสมัยนั้น เป็นเหรียญบาทใหญ่ ๆ เพราะฉะนั้น..คนไหนเป็น "สาวน้อยร้อยชั่ง" ก็ขึ้นคานไปเถอะ..หาคนแต่งไม่ได้หรอก..แพงฉิบหายเลย..! รู้หรือยังว่าเป็นสาวน้อยร้อยชั่งนี่ไม่ใช่ว่าสวยเลือกได้นะ..เลือกไม่ได้ ต้องคนฐานะดีพอถึงจะมาขอแต่งงานได้

    ส่วนสมัยนี้สาวน้อยร้อยชั่งมีเยอะมาก ลองไปชั่งดูเถอะ เกินร้อยด้วย..! ข้าวปลาอาหารดีเกินหรืออย่างไร ? ไปทางด้านโน้นก็สาวน้อยร้อยชั่ง มาทางด้านนี้ก็สาวน้อยร้อยชั่ง ดูแล้วสบายตาดีมาก..!

    พกบทสวดเอาไว้ด้วยนะ ทะสะมะปะระเมนทะมะหาราชาภิถุติคาถา เดี๋ยวจะได้สวดต่อจากทำวัตรเย็น ซึ่งปกติแล้วเขาให้สวดทุกวันจันทร์ แต่วัดท่าขนุนสวดถวายเป็นพระราชกุศลทุกวัน สวดจนอาตมาอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ยังสวดจะได้หมดอยู่แล้ว

    คราวนี้ที่พูดถึงคือว่า หกสิบปีผ่านไปบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปไกลมาก ถามว่าไกลขนาดไหน ? ตอนอาตมาอายุประมาณ ๖ - ๗ ขวบ มีรถยนต์คันแรกเข้ามาในหมู่บ้าน ก็ถอยหลังไปราว ๆ ๖๐ ปี เชื่อไหมว่าเด็กทั้งหมู่บ้านวิ่งตามรถยนต์ไปดมควันท่อไอเสีย ? กลิ่นหอมดี..ตลกมากเลย..! แล้วตอนนั้นรู้สึกว่าหอมมากด้วย เพราะว่าเขาใช้น้ำมันเบนซิน..!

    รถเมล์ก็มีวิ่งวันละหนึ่งเที่ยว จากบ้านที่กำแพงแสน ระยะทาง ๓๖ กิโลเมตรจะถึงตัวเมืองนครปฐม รถใช้เวลาวิ่งหนึ่งวัน..! เดินอาจจะเร็วกว่ากระมัง ? ระยะทาง ๓๖ กิโลเมตรนี่..อาตมาเดินอย่างสบาย ๆ ใช้เวลาห้าชั่วโมงก็ถึงแล้ว

    ด้วยความที่เป็นคนสองโลก ก็คือโลกโบราณกับโลกปัจจุบัน ได้เห็นอะไรมามาก คนประเภทนี้ถ้าหากว่าทำใจไม่ได้ จะเกิดอาการที่ฝรั่งเรียกว่า future shock ก็คือเจอความเจริญแล้วก็ตกใจสลบเหมือด..รับไม่ได้..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,038
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +26,213
    ไม่ต้องเอาอะไรหรอก ประมาณปี ๒๕๒๑ อาตมาเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ตอนนั้นโทรศัพท์บ้านหายากมาก ใครต้องการต้องไปวางมัดจำ ๓,๐๐๐ บาท แล้วก็รอไป ๗ ชั่วโคตร ว่าเมื่อไรจะถึงคิวของเราที่จะได้เบอร์ ? พอกระทรวงคมนาคมมาขยายโทรศัพท์บ้าน ๑ ล้านหมายเลข ขยายได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์มือถือออกมา น่าสงสารโทรศัพท์บ้านมากเลย

    ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเริ่มจะมีโทรศัพท์พื้นฐานใช้ ปรากฏว่ามือถือมา เป็นอะไรที่รู้สึกว่าย้อนแย้งประชดชีวิตมาก องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยก่อนหน้านี้เป็น "เสือนอนกิน" เก็บคนละ ๓,๐๐๐ บาท เอาไปออกดอกได้เท่าไรก็ไม่รู้ ? แล้วก็หาเบอร์โทรศัพท์ให้ชาวบ้านแต่ละปีได้ไม่เท่าไร พอโครงการเบอร์โทรศัพท์ ๑ ล้านหมายเลขมาถึง องค์การโทรศัพท์แทบจะเจ๊ง เพราะว่าชาวบ้านหันไปซื้อโทรศัพท์มือถือกันหมดแล้ว..!

    มือถือเครื่องแรกที่เข้ามามีขนาดใหญ่ราว ๆ กระเป๋าเอกสาร แล้วก็มีตัวโทรศัพท์ห้อยอยู่ด้านข้าง ยี่ห้อ Ericsson ราคา ๘๐,๐๐๐ บาท ต้องไปตั้งเสาอากาศก่อนถึงจะใช้งานได้ ลูกศิษย์เขาสั่งซื้อมาถวายหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง

    ตอนเจ้าหน้าที่มาติดตั้งหลวงพ่อท่านไม่อยู่ ท่านไปรับสังฆทานที่บ้านสายลม เจ้าหน้าที่เขาบอกว่า "ต้องมีคนมาศึกษาระบบครับ ถึงเวลาจะได้เรียนถวายหลวงพ่อท่านได้" พระทั้งวัดท่าซุงก็ผลักอาตมาออกหน้าไป อาตมาต้องศึกษาการใช้จนเสร็จสรรพเรียบร้อย พอหลวงพ่อกลับมาจากบ้านสายลม

    วันรุ่งขึ้นก่อนเพลก็เข้าไปถวายรายงานว่า "ช่างเขามาติดตั้งโทรศัพท์ให้แล้ว มีวิธีใช้แบบนี้ ขออนุญาตเรียนถวายหลวงพ่อครับ" แล้วก็บอกท่านว่าต้องกดอย่างไร ? โทรออกอย่างไร ? ตอนรับเข้ารับอย่างไร ? บันทึกเสียงอย่างไร ? พอบอกเสร็จเรียบร้อยหลวงพ่อก็ "เออ..ขอบใจมาก เมื่อวานช่างไปบอกข้าที่กรุงเทพฯ แล้ว" ถ้าตูจำผิดนี่ตายแน่เลย..! เอ้า..แค่นี้นะ..ทำวัตรกันก่อน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...