พระเยซูเคยไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย จริงหรือ (สารคดีจาก BBC)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย horasarn, 25 กรกฎาคม 2011.

  1. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    พระเยซูเคยไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย จริงหรือ (สารคดีจาก BBC)

    [​IMG]


    <iframe src="http://www.youtube.com/embed/rmCS7P-vdRM" allowfullscreen="" frameborder="0" height="349" width="425"></iframe>

    สิ่งที่เยซูได้เคยเรียนรู้อะไรจากอินเดีย อะไรเกิดขึ้นกับพระเยซูในระหว่างที่ท่านอายุ 12-30 ปี และหลังจากที่ท่านถูกตรึงด้วยกางเขน ทำไมไบเบิ้ลจึงไม่ได้บันทึกช่วงเวลาที่สำคัญเหล่านี้เอาไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2011
  2. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    [​IMG]
    <small><small>Jesus and the Disciples at Emmaus, by Dagnan-Bouvereret Pascal-Adolphe-Jean [Public Domain Image]</small></small> The Unknown Life of Jesus Christ

    by Nicolas Notovitch

    [1890]


    อยากให้คุณชยุตมาแปลให้เพื่อนๆอ่านหน่อย
     
  3. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    • Yuz Asaf - Wikipedia, the free encyclopedia สถานที่ที่กล่าวอ้าง

      ที่ศรีนาคาร์หรือขอเรียกตามลิ้นไทยๆว่าศรีนคร เมืองหลวงแห่งแคว้นแคชเมียร์หรือกัษมิระในภาคเหนือของอินเดียนั ้นมีที่เก็บศพแห่งหนึ่งชื่อว่า โรซาบัล (ROZA BAL) ตั้งอยู่ที่ตำบลกันยาร์ (KAN YAR) ห่ างจากตัวเมืองศรีนครเพียง 3 กม.เท่านั้น โรซาบัลเป็นอาคารชั้นเดียวหลังคาเหลี่ยมแบบเรียบๆ กว้างยาวราวๆ 10 เมตร ทาสีขาว ภายในเคยมีเรือนไม้กรุโปร่งสูงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงจรดเพดานครอบ หลุมศพที่อยู่ใต้ดินอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเรือนไม้นี้ถูกเปลี่ยนเป็นกระจกทั้ง 4 ด้านแทน แต่ก็ไม่อาจเห็นหรือเข้าถึงหลุมศพใต้ดินอยู่ดี

      ป้ายภายนอกบอกไว้ว่าผู้มี่ทอดร่างอยู่ในหลุมศพนี้คือ ยุซ อาซาฟ (YUZ ASAF) ไม่มีอะไรในที่เก็บศพนี้ที่จะบ่งบอกถึงความสำคัญเป็นพิเศษของชา ยผู้นี้ นอกเสียจากที่พื้นใกล้เรือนคลุมหลุมศพนั้นมีรอยประทับฝ่าเท้าสอ งข้าง ฝ่าเท้าแต่ละข้างมีรอยแผลที่เกิดจากการถูกตอกตะปูตรึงกางเขน ชาวพื้นเมืองบอกว่าหลุมศพนี้คือหลุมศพของจีซัส ไครสต์ พระเยซูเจ้า องค์ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์!


      เป็นไปได้หรือที่พระเยซูจะเสด็จมาไกลถึงที่นี่ พระองค์มาเมื่อไร และมาทำไม


      เรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าพระเยซูเคยเสด็จมาทาง ตะวันออก และอาจมาถึงอินเดียแต่ช่วงเวลาที่เดินทางมานั้น นักประวัติศาสตร์มีความเห็นแตกแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า พระองค์รอดพระชนม์จากการถูกตรึงกางเขน แล้วเสด็จมาอินเดีย อีกฝ่ายบอกว่าพระเยซูทรงใช้ “ช่วงชีวิตที่หายไป” คือระหว่างวัย 13 – ประมาณ 30 ชันษา อันเป็นช่วงวัยที่ขาดหายไปเฉยๆ ไม่มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์นั้น เดินทางมายังอินเดีย ก็คือตามหาชนเผ่ายิวที่หายสาบสูญไปแต่โบราณกาล และเชื่อว่าน่าจะมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ภาคเหนือของอินเดียนี้เ อง


      เรื่องของเรื่องก็คือ ปีที่ 597 ก่อนคริสต์กาล พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ แห่งอัสซีเรียทำลายเมืองเยรูซาเล็มและกวาดต้อนชาวยิวไปเป็นทาสใ นกรุงบาบิโลนของพระองค์ อีก 47 ปีต่อมา พระเจ้าไซรัสมหาราช แห่งเปอร์เซียตีได้บาบิโลนบ้างเป็นกงเกวียนกำเกวียนและได้ปรดปล ่อยชาวยิวเป็นอิสระ ชาวยิวซึ่งทั้งหมดมีอยู่ 13 เผ่าก็อพยพกระจัดกระจายกันไป คงเหลือที่กลับไปยังดินแดนจูเดียเพียง 2 เผ่า อีก 10 เผ่าไม่ทราบว่าแตกฉานซ่านเซ็นไปที่ไหนกันบ้าง แต่นักวิชาการเชื่อว่ายิวพลัดถิ่นเหล่านี้ไปตั้งรกรากทั้งในอียิปต์ เปอร์เซีย อิหร่านอัฟกานิสถาน และภาคเหนือของอินเดีย หรือกัษมิระนี่เอง


      อือม์.....มาไกลจริงๆ


      ร่องรอยที่ยืนยันว่าคนกัษมิระน่าจะสืบเชื้อสายมาจากชาวยิวก็คือ ความเหมือนคล้ายทางภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณี จากการศึกษาวิเคราะห์พบว่ามีชื่อเผ่า ชื่อตระกูลกว่า 90 ชื่อที่เหมือนกันระหว่างกัษมิระกับอิสราเอล ชื่อสถานที่อีกกว่า 70 แห่งก็ดูจะมาจากรากศัพท์เดียวกัน ธรรมเนียมบางอย่างของกัษมิระก็คล้ายคลึงกับของชาวยิว เช่น พิธีถือศีลบริสุทธิ์ 40 วันของสตรีที่เพิ่งคลอดบุตร การประกอบอาหารโดยไม่ใช้น้ำมัน เครื่องแต่งกายบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวกของผู้ชาย และการฝังศพโดยทอดร่างผู้ตายตามแนวตะวันออก- ตะวันตก ซึ่งยังคงถือปฏิบัติกันอยู่จนทุกวันนี้ และแตกต่างจากธรรมเนียมของศาสนาอิสลาม ศาสนาที่ครอบงำดินแดนแห่งนี้มานาน ที่ฝังศพตามแนวเหนือ-ใต้ เป็นที่น่าสังเกตว่า โรซาบัลสร้างในแนวตะวันออก-ตะวันตก แม้จะสร้างขึ้นในระยะที่อิทธิพลศาสนาอิสลามแผ่เข้ามาแล้ว อันแสดงว่าผู้ตายไม่น่าจะเป็นมุสลิม


      นอกจากนั้น การศึกษาวิจัยของศูนย์มานุษยวิทยาด้านพงศ์พันธุ์แห่งมหาวิทยาลั ยลอนดอนซึ่งทำการทดลองกับกลุ่มชนที่เชื่อว่าเป็นลูกหลานชาวยิวใ นอินเดีย ได้ผลว่าชนกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับชาวยิวแห่งเยเ มนและชนเผ่าในอาฟริกาใต้ ที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มหนึ่งของยิวอพยพหลังบาบิโลนแตกเช่นกัน


      ชาวยุโรปผู้หนึ่งที่จุดประกายเรื่องที่พระเยซูเสด็จมาอินเดียก็ คือ โนโตวิช (NICHOLAS NOTOVITCH) ชาวรัสเซีย ผู้เป็นนักหนังสือพิมพ์ และนักเขียนสารคดีการเมือง หนังสือที่เกี่ยวกับการเมืองรัสเซียของเขาทำให้เขามีชื่อเสียงไ ปทั่วยุโรป ปี 1877 เขาเดินทางไปยังอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย เพื่อศึกษาชีวิตและความเชื่อของผู้คนในดินแดนนั้น ที่ลาดัค (LADAKH) ดินแดนที่ขนาบข้างด้วยกัษมิระและทิเบต เขาตกจากหลังม้าบาดเจ็บ และได้การดูแลรักษาจากพระลามะรูปหนึ่งที่อารามเฮมิสกุมพา อันเป็นวัดใหญ่ที่สุดของลาดัค เป็นวัดที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง สิ่งก่อสร้างและสถูปประดับประดาด้วยเพชรและพลอยมีค่า พระประธานเป็นทองคำแท้ และยังมีภาพประวัติพระพุทธองค์ที่วาดบนผืนผ้าอายุนับร้อยปีเป็น ของคู่วัดที่รู้จักกันดี โนโตวิชพักอยู่ที่วัดเฮมิสจนคุ้นเคยกับพระลามะรูปนั้น ถึงขนาดที่ท่านเอาม้วนคัมภีร์โบราณที่เขียนเป็นภาษาทิเบตโดยนัก ประวัติศาสตร์พุทธศาสนามาให้โนโตวิชดู ซึ่งโนโตวิชก็สนใจมากและได้คัดลอกบางส่วนที่สำคัญตามที่ล่ามแปล ให้ฟังไว้ คัมภีร์นั้นเล่าถึงเรื่องราวของบุคคลที่ชื่อ อิสซา (ISSA) ตั้งแต่เกิดจนตาย


      แล้วมาเกี่ยวกับพระเยซูอย่างไรหรือ


      ก็อิสซานั้นเป็นชื่อเรียกพระเยซูในภาษาอิสลาม เชื่อว่ามาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรูหรืออราเมอิคว่า YESHUA (คำว่า JESUS นั้นเป็นคำในภาษากรีกและลาตินที่ใช้ถ่ายทอดพระคัมภีร์ หาใช่คำในภาษาฮีบรูดั้งเดิมไม่) ตามคัมภีร์ดังกล่าว อิสซา หรือที่เชื่อว่าคือพระเยซูได้เดินทางมายังอินเดียตั้งแต่อายุประมาณ 13 ปี โดยผ่านมาทางอิหร่าน อัฟกานิสถาน และปากีสถานปัจจุบัน(เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโบราณของชมพูทวีป นั่นคือเมืองตักกสิลา ราชธานีของแคว้นคันธาระ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน วรรณะพราหมณ์และกษัตริย์จะเดินทางมาไกลเพื่อมาร่ำเรียนศิลปวิทยาที่นี่ และศาสตร์18ประการ ก็มาเรียนที่นี่ครับ) พระเยซูได้ร่ำเรียนพระเวท และปรัชญาต่างๆอยู่ที่นั่นจนอายุ 29 ปี จึงเดินทางกลับจูเดีย


      เรื่อง ราวนี้จึงเท่ากับเป็นคำตอบอย่างดีว่า ใน “ช่วงชีวิตที่หายไป” ของพระเยซูนั้น พระองค์หายไปไหน


      ต่อมาปี 1894 หลังจากโนโตวิชเดินทางกลับยุโรป เขาก็ตีพิมพ์เรื่องราวที่เขารู้เห็นมาจากอารามเฮมิสเป็นหนังสือ ชื่อ THE UNKNOWN LIFE OF CHRIST หนังสือเล่มนี้และตัวโนโตวิชเองได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว ้างขวาง ซึ่งแน่ล่ะ ส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบ บ้างก็ว่าโนโตวิชยกเมฆ ไม่เคยเดินทางไปยังอามรามที่ว่า บ้างก็ว่าอารามเฮมิสและม้วนคัมภีร์ดังกล่าวไม่มีอยู่จริง ซึ่งก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันความมีอยู่ของคัมภีร์นั้น (แต่การค้นคว้าในปัจจุบันดูจะสนับสนุนเรื่องราวของโนโตวิชและคั มภีร์แห่งวัดเฮมิส แม้จะไม่พบคัมภีร์ที่ว่านั้น ซึ่งป่านนี้คงเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้วกระมัง)

      ในอินเดียเองก็มีผู้เปิดประเด็นเรื่องนี้ไว้เช่นกัน ฮาซรัต เมียร์ซา กูแลม อาหมัด (HAZRAT MIRZA GHULAM AHMAD) ชายชื่อยาวชาวอินเดียผู้เป็นปราชญ์คนหนึ่งของศาสนาอิสลามได้เขี ยนหนังสือเรื่อง JESUS IN INDIA ไว้เป็นภาษาอูรดู(ภาษาอูรดู เป็นภาษาอินเดียแขนงหนึ่ง เป็นภาษาราชการของปากีสถาน ภาษาเขียนคืออักษรอาหรับ) เมื่อปี 1899 ในหนังสือนี้กล่าวว่าพระเยซูทรงรอดพระชนม์ชีพจากการถูกตรึงกางเขน แล้วเดินทางมาพำนักในอินเดียจนกระทั่งพระชนมายุ 120 ปีจึงสิ้นพระชนม์ และพระศพก็ถูกฝังอยู่ที่โรซาบัลในศรีนคร

      ประเด็นสำคัญใน “Jesus in India” ของ**แลม อาหมัด นั้นต่างจากเรื่องของโนโตวิชที่พระเยซูของท่านอาหมัดเสด็จมาอินเดียภายหลัง จากการถูกตรึงกางเขน และเขายังบอกด้วยว่าพระสงฆ์แห่งพุทธศาสนาได้นำคำสั่งสอนของพระเยซูไปปรับใช้ โดยอ้างว่าเป็นพระวจนะของพระพุทธองค์ ซึ่งข้ออ้างและความเห็นของเขาดูจะไม่เป็นที่ชอบใจของศาสนิกชนทั้งพุทธและ คริสต์เท่าไหร่


      กูแลม อาหมัด ยังกล่าวถึงโรซาบัลด้วยว่าเขาได้ไปสำรวจสอบถามคนท้องถิ่นใกล้เค ียงที่เก็บศพแห่งนั้น ได้ความว่า โรซาบัลนี้สร้างมาแล้วประมาณ 1900 ปี (ในสมัยของอาหมัด) และผู้ที่ถูกฝังอยู่ก็คือชาวต่างชาติคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมายังดินแดนนี้ เพื่อสั่งสอนผู้คนเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนพระนะบีมะหะหมัด ชาวพื้นเมืองเรียกชายผู้นี้ว่า ยุซ อาซาฟ


      อันที่จริง ความคิดที่ว่าพระเยซูมิได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้นมิใช่ของใหม่ เคยมีผู้สันนิษฐาน วิเคราะห์และโต้แย้งมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เหตุผลสนับสนุนก็คือ ประการแรก พระเยซูถูกตรึงกางเขนอยู่ไม่นานนัก จากเที่ยงถึงบ่ายสามโมงเท่านั้น เนื่องจากวันนั้นเป็นวันซับบาธ วันสำคัญทางศาสนาของชาวยิว จึงจะไม่ปล่อยนักโทษทิ้งคาอยู่บนกางเขนจนตะวันตกดิน


      ประการที่สอง เมื่อเข้าใจกันว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วนั้น ทหารโรมันได้เอาหอกแทงที่สีข้างของพระองค์ ซึ่งก็มีน้ำและเลือดพุ่งออกมา อันแสดงว่าพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ เลือดจึงยังไหลเวียน เพราะถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เลือดจะจับตัวเป็นก้อนแข็ง ไม่พุ่งออกมาจากบาดแผลเช่นนี้


      ประการที่สาม ปิลาตเจ้าเมืองจูเดียได้มอบพระศพพระเยซูแก่โจเซฟแห่งอริมาเธีย ซึ่งเป็นสานุศิษย์คนสำคัญ โจเซฟก็ย่อมมีโอกาสลอบนำ “พระศพ” ไปรักษาพยาบาล และยังปรากฏด้วยว่าเจ้าหัวขโมยอีก 2 คนที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซูนั้นก็ไม่ตายเช่นกัน ความเป็นไปได้ที่พระองค์จะรอดพระชนม์จึงยิ่งน่าเชื่อมากขึ้น


      นอกจากนั้น ในพระคัมภีร์เองก็กล่าวถึงเหตุการณ์ภายหลังการตรึงกางเขนว่า พระเยซูยังเสด็จมาพบปะสนทนา รับประทานอาหาร และเดินทางร่วมกับศิษยานุศิษย์ ถ้าเราไม่ถือว่าเรื่องราวตรงนี้เป็นความเปรียบ ซึ่งก็มิได้มีทีท่าว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เราก็เห็นจะต้องยอมรับว่าพระเยซูอาจมิได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเข นตามที่เคยเข้าใจ


      ส่วนหลักฐานที่ว่าพระเยซูเดินทางมาอินเดียนั้น ด็อกเตอร์ฟิดา ฮัสเนน (FIDA HASSNAIN) อดีตผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์และโบราณสถานแห่งกัษมิระ ได้ค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลผู้มีลักษณะคล้ายพระเยซูที่ป รากฏตัวในอินเดีย และดินแดนใกล้เคียงตามเอกสารประวัติศาสตร์ คัมภีร์ในศาสนา และตำนานต่างๆ ซึ่งก็ได้พบเรื่องราวนี้มากมาย อย่างในพระคัมภีร์ภาวิชยะ มหาปุราณะ คัมภีร์ 1 ใน 18 เล่มของคัมภีร์ปุราณะอันศักดิ์สิทธิ์ของฮินดู ซึ่งรวบรวมขึ้นเมื่อ ค.ศ.115 นั้น กล่าวถึงการพบปะระหว่างพระเจ้าชาลิวาหณะกับบุคคลผู้เป็นที่เคาร พคนหนึ่งที่ชื่อ อิซา-มาซิห์ (ISA-MASIH) อิซาเล่าความเป็นมาของเขาว่า


      “ข้าคือบุตรของพระเจ้า เกิดจากมารดาพรหมจารี ข้ามาจากต่างดินแดน อันเป็นที่ซึ่งปราศจากความจริง...ข้าปรากฏกกายในฐานะเมสซิอาห์. ..”


      ในหนังสือ RAUZAT-US SAF หนังสือประวัติศาสตร์ของเปอร์เซีย ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1417 บอกไว้ว่า “เยซูผู้มีสันติสุข ถูกขนานนามว่าเมสซิอาห์ เพราะพระองค์เป็นนักเดินทางผู้ยิ่งยง... พระองค์เดินทางจากดินแดนของพระองค์ไปยังนาสสิเบน ซึ่งเป็นระยะทางไกลมาก พระองค์มีสาวกมาด้วยคนหนึ่ง ซึ่งพระองค์ทรงส่งเขาไปเผยแพร่คำสั่งสอนในเมือง”


      ในศตวรรษที่ 10 นักวิชาการชาวมุสลิมชื่อ อัล-เชค อัล-ซาอิด-อุส-ซาดิค (AL-SHAIK AL-SAID-US-SADIQ) บันทึกการสืบค้นทางวัฒนธรรมไว้เป็นหนังสือเรื่อง อิคมาอัล-อุด-ดิน (IKMAUL-UD-DIN) กล่าวถึงชาวต่างชาติผู้หนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายพระเยซูเป็นอย่าง ยิ่งและมีชื่อว่า ยุส อาซาฟ “ แล้วยุส อาซาฟก็มาถึงเมืองที่เรียกว่ากัษมิระ เขาเดินทางไปทั่วกระทั่งความตายพรากชีวิตเขาไป เขาสั่งให้บาบัดผู้สาวกเตรียมหลุมศพให้เขาแล้วเขาก็นอนลงโดยเหย ียดขาไปทางตะวันตก วางศรีษะไปทางตะวันออกจากนั้นก็สิ้นใจ” ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ยังบอกด้วยว่า ยุส อาซาฟ สั่งสอนธรรมะโดยใช้นิทานเปรียบเทียบ นิทานเรื่องหนึ่งคือ “ผู้หว่านเมล็ดพืช” ซึ่งคล้ายคลึงเป็นอย่างยิ่งกับนิทานเปรียบเทียบของพระเยซูในพระ คัมภีร์ (มาร์ค 4.3.20)


      นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานที่น่าแปลกอย่างหนึ่งที่เชื่อมโยงพระเยซุกับผู้ที่ ชื่อ ยุส อาซาฟ กับเมืองศรีนคร กล่าวคือที่วิหารตากัต สุไลมาน (TAKHAT SULAIMAN แปลว่าบัลลังก์แห่งสุไลมานหรือก็คือโซโลมอนนั่นเอง) ที่ทะเลสาบดาลในศรีนครนั้นมีจารึกที่เสาวิหารว่าผู้ที่สร้างเสา นี้คือใคร สร้างขึ้นเมื่อใด และลงท้ายว่า “ณ เวลานั้น ยุส อาซาฟ ประกาศตนเป็นผู้พยากรณ์ ปี 50 กับ 4 เขาคือเยซู ผู้พยากรณ์และบุตรแห่งอิสราเอล” ปี 54 ที่กล่าวถึงในจารึกนั้นเทียบได้กับปี ค.ศ.78 เป็นเวลาภายหลังจากพระเยซูถูกตรึงกางเขน ถ้าเชื่อตามจารึกนี้ก็ดูเหมือนว่าพระเยซูจะเสด็จมาศรีนครจริงๆ


      ที่ประหลาดไปกว่านั้นก็คือ มีการกล่าวอ้างว่าที่ชายแดนปากีสถานต่อกับอินเดียก็มีหลุมศพของ โทมัส สาวกของพระเยซูที่ตำนานเล่าว่าติดตามพระเยซูมาด้วยและคือบาบัด สาวกของยุส อาซาฟ นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น บางตำนานก็เล่าเลยไปถึงว่าพระเยซูแต่งงานกับหญิงชาวพื้นเมืองแล ะมีลูกหลานสืบต่อมา จึงมีชาวกัษมิระคนหนึ่งชื่อนายซาฮิบ ซาดา บาซารัต ซาลีม ได้อ้างว่าตนเป็นเชื้อสายของพระเยซูที่สืบต่อกันมาเป็นตระกุ ลให ญ่อีกด้วย


      ใครคือผู้ที่ถูกฝังอยู่ในโรซาบัลนั้นยังคงเป็นปริศนาที่โต้แย้ง กันอยู่ แต่ ซูซาน โอลสัน (SUZANNE OLSSON) หญิงเก่งนักวิจัยอิสระคนหนึ่งก็ได้พยายามขออนุญาตขุดค้นหลุมศพน ี้ พร้อมทั้งมีแผนที่จะเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อจากศพไปพิสูจน์ดีเอ็น เอด้วย แต่ความพยายามของเธอยังไม่สำเร็จ ต้องพบกับอุปสรรคมากมายทั้งทางศาสนาและรัฐบาลท้องถิ่น จนบางครั้งก็เสี่ยงต่อความปลอดภัยของตนเอง เราก็เลยยังไม่ได้ข้อสรุปกันเสียที ไม่เช่นนั้นประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ศาสนาอาจต้องพลิกผันก ็ได้ ใครจะรู้

      บทความจาก หนังสือ ต่วยตูนพิเศษ ฉบับเดือนตุลาคม 2547

      เขียนโดย เอื้อนทิพย์

      ปล.กัษมีระ เป็นชื่อเมืองโบราณ ปัจจุบันคือ แคชเมียร์
     
  4. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    อ้อครับเป็นแบบนี้นี่เอง สงสัยมานานแล้ว ก่อนท่านโดนตรึงกางเขนท่านพูดถึงพระเป็นเจ้าอะไรนี่แล่ะ ก็น่าจ่ะ พระเป็นเจ้าทางฮินดูมั้งครับ
    ขอเดาว่า คงได้ศึกษา ศาสนาฮินดู นิกายไวศณพ และได้มีวิชาความรู้เกี่ยวกับโยคะโยคีด้วย

    เดาล้วนๆนะครับที่ผมพูด
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772


    โอ..พระพุทธเจ้าช่วย!

    ตอนนี้งานผมล้นมือไปหมดเลยครับคุณนีโม่
    แต่ว่ากระทู้เรื่องเดียวกันนี้ คุณขวัญ เธอเคยเอามาโพสต์แล้วครับ
    แล้วผมก็ได้ร่วมเอาข้อความจากต่างมิติ
    เรื่องเดียวกันนี้ไปโพสต์แจมด้วยแล้วครับ

    ลอเข้าไปอ่านดูในกระทู้ที่ว่านี้ได้นะครับ เดี๋ยวจะแปะลิงค์ให้ครับ

    "
    ช่วงชีวิตที่หายไปของพระเยซู...ไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย"

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%8B%E0%B8%B9-%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2.253235/

    เดี๋ยวโพสต์ถัดไปผมจะเอาตัวอย่างบางตอนที่ผมโพสต์ไว้ในกระทู้นั้น
    มาลงให้อ่านนะครับ..

    ปล. แต่ว่าเนื้อหาที่ผมจะโพสต์ต่อไปนี้
    จะมีทั้งสนับสนุนและคัดค้านประเด็นนี้หนะนะครับ

    ก็..เพื่อนำเสนอข้อมูลทิ้งไว้ทั้งสองด้าน
    เพื่อให้ท่านได้เก็บเอาไปคิดใคร่ครวญกันเอาเอง
    ว่าควรจะเชื่อข้อมูลไหน ไม่เชื่อข้อมูลไหนหนะนะครับ


    ....................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2011
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ที่มา:

    "ช่วงชีวิตที่หายไปของพระเยซู...ไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย"

    [​IMG]



    • เรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าพระเยซูเคยเสด็จมาทาง ตะวันออก และอาจมาถึงอินเดียแต่ช่วงเวลาที่เดินทางมานั้น นักประวัติศาสตร์มีความเห็นแตกแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า พระองค์รอดพระชนม์จากการถูกตรึงกางเขน แล้วเสด็จมาอินเดีย อีกฝ่ายบอกว่าพระเยซูทรงใช้ “ช่วงชีวิตที่หายไป” คือระหว่างวัย 13 – ประมาณ 30 ชันษา อันเป็นช่วงวัยที่ขาดหายไปเฉยๆ ไม่มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์นั้น เดินทางมายังอินเดีย ก็คือตามหาชนเผ่ายิวที่หายสาบสูญไปแต่โบราณกาล และเชื่อว่าน่าจะมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ภาคเหนือของอินเดียนี้เ อง



      ก็อิสซานั้นเป็นชื่อเรียกพระเยซูในภาษาอิสลาม เชื่อว่ามาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรูหรืออราเมอิคว่า YESHUA (คำว่า JESUS นั้นเป็นคำในภาษากรีกและลาตินที่ใช้ถ่ายทอดพระคัมภีร์ หาใช่คำในภาษาฮีบรูดั้งเดิมไม่) ตามคัมภีร์ดังกล่าว อิสซา หรือที่เชื่อว่าคือพระเยซูได้เดินทางมายังอินเดียตั้งแต่อายุประมาณ 13 ปี โดยผ่านมาทางอิหร่าน อัฟกานิสถาน และปากีสถานปัจจุบัน(เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโบราณของชมพูทวีป นั่นคือเมืองตักกสิลา ราชธานีของแคว้นคันธาระ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน วรรณะพราหมณ์และกษัตริย์จะเดินทางมาไกลเพื่อมาร่ำเรียนศิลปวิทยาที่นี่ และศาสตร์18ประการ ก็มาเรียนที่นี่ครับ) พระเยซูได้ร่ำเรียนพระเวท และปรัชญาต่างๆอยู่ที่นั่นจนอายุ 29 ปี จึงเดินทางกลับจูเดีย

    </td> </tr> </tbody></table>
    [FONT=&quot]ชีวิตในวัยเยาว์และวัยหนุ่มของพระเยซู [/FONT]
    (The Childhood and Youth of Jesus)
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]จากหนังสือชื่อ [/FONT]“This is My Word: Alpha and Omega”

    [FONT=&quot]หมายเหตุ[/FONT]:

    [FONT=&quot]หนังสือเล่มนี้ เนื้อหาเป็นการสื่อสารมาจากพระเยซู ผ่านทางผู้เขียน
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ตอบคำถามข้อความต่างๆในคัมภีร์ไบเบิล ว่าตรงไหนผิด ตรงไหนถูก
    [/FONT]
    [FONT=&quot]และพระองค์ก็อธิบายและขยายความให้เพิ่มเติมด้วย[/FONT]

    [FONT=&quot]ผู้เขียนซึ่งใช้ชื่อว่า [/FONT]Brother Emanuel ได้รับคำสั่งจากพระเยซู
    ให้ใช้เนื้อความในหนังสือชื่อ"The Gospel of Jesus“[FONT=&quot] เป็นเนื้อหาหลัก
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เพื่อตรวจสอบไปทีละบท ทีละบท[/FONT]

    ซึ่งข้อความในหนังสือเล่มที่ว่านี้
    ก็คือข้อความในพระคัมภีนั่นแหละครับ
    เกือบจะเหมือนกันเด๊ะเลย


    [FONT=&quot].....................[/FONT]

    บทที่ 6: ชีวิตในวัยเยาว์และวัยหนุ่มของพระเยซู
    (The Childhood and Youth of Jesus)


    ................................

    (หมายเหตุ:


    เพราะว่าข้อความมันค่อนข้างยาว ไล่มาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยหนุ่มของพระองค์
    ซึ่งผมอ่านดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับชื่อของกระทู้นี้สักเท่าไหร่
    ก็เลยจะขอข้ามไปยังส่วนที่น่าจะเข้าข่ายมากกว่าเลยนะครับ

    คือว่าตั้งแต่ช่วงเด็กจนถึง 18 ปีนั้น ในหนังสือเล่มนี้ไม่ชี้บ่งว่ามีอะไรในกอไผ่
    ส่วนหลังจากนั้น ก็ลองอ่านดูข้างล่างนี้นะครับ – Chayutt)

    ...............................

    11. And when He had finished His study of the law, Jesus went down to Egypt again,
    so that He might learn the wisdom of the Egyptians, as Moses had done. ... (Chap. 6:11)


    11. และเมื่อพระองค์สำเร็จการศึกษาวิชากฎหมาย พระเยซูได้ไปไกลถึงอียิปต์อีกครั้ง,
    เพราะฉะนั้นพระองค์จึงอาจได้เรียนรู้ภูมิปัญญาของชาวอียิปต์ อย่างที่โมเสสได้ทำมาแล้ว...(บทที่ 6:11)



    I, Christ, explain, correct
    and deepen the word:

    เรา พระคริสต์ ขอตอบว่าถูกต้องแล้ว
    และขอขยายความเพิ่มเติม ดังนี้:

    เพราะว่ามีหลายตอนของหนังสือเล่มนี้ ที่ถูกเข้าใจไม่ตรงกับความหมายที่แท้จริงของมัน
    เพราะว่าจริงๆแล้ว มีบางอย่างที่จำเป็นต้องได้รับการอธิบาย และแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง

    เราได้เปิดเผยแล้วว่าในตอนที่หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นนั้น ศัพท์บางคำ ก็มีความหมายแตกต่างไปจากปัจจุบัน
    (ปี ค.ศ.1989) นอกจากนี้ ผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ในตอนนั้น ก็รับข้อความมา
    แล้วเขียนลงไปในแบบฉบับสำนวนของตนเอง ผู้แปลก็ด้วย ก็มีสำนวนแปลเป็นของตนเอง
    (ต้นฉบับคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาฮิบรู – ผู้แปล)

    ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นข้อความที่ถ่ายทอดมาจากเบื้องบนจึงควรจะต้องได้รับความเข้าใจอย่างถ่องแท้
    ตรงไหนที่จะต้องได้รับคำอธิบาย, แก้ไข หรือขยายความเพิ่มเติมจริงๆ เราจะเป็นผู้ทำมันเอง
    ทำแล้วทำอีก ผ่านทางผู้รับสาส์นของเรา ในช่วงเวลานี้ (ปี ค.ศ.1989)


    ในข้อความนี้ เราจะขอแก้ไขคำว่า “...ไปไกลถึงอียิปต์อีกครั้ง, เพราะฉะนั้น
    พระองค์จึงอาจได้เรียนรู้ภูมิปัญญาของชาวอียิปต์ อย่างที่โมเสสได้ทำมาแล้ว”

    ข้อความส่วนนี้หมายถึงพระองค์ได้พบปะกับชาวอียิปต์ซ้ำแล้วซ้ำอีก
    เพื่อสนทนากับพวกเขาเกี่ยวกับภูมิปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้า

    เพราะว่าอย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เดินทางไปอียิปต์
    เพื่อเรียนรู้ภูมิปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้าจากชาวอียิปต์

    ในตอนเป็นเด็ก เราเคยอยู่ในอียิปต์กับพ่อแม่ของเรา แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม
    เราก็ไม่ได้ไปเพื่อเรียนรู้ภูมิปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้าแต่อย่างใด

    ยิ่งกว่านั้น เรายังได้พบกับผู้ชายและผู้หญิงมากมายในทะเลทราย
    เพื่อสวดมนต์และสนทนากับพวกเขา เกี่ยวกับสัจธรรมอันเป็นนิรันดร

    ผู้คนเหล่านี้มักจะเป็นชาวอียิปต์ แม้ในขณะที่ยังอยู่ในวัยเด็ก ภูมิปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้า
    ก็ได้ปรากฏขึ้นแล้วในเรา มันได้พูดผ่านเราแล้ว ดังนั้นในขณะที่เป็นเด็กชายเยซูอยู่นั้น
    เราก็ได้กล่าวภูมิปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้าออกมาให้แก่เหล่าบัณฑิตในวิหารฟังได้แล้ว

    เพราะฉะนั้น ภูมิปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้า
    จึงมีเปี่ยมล้นอยู่แล้วในเรา
    แล้วทำไมจะต้องไปเรียนมันด้วยหละ?


    (ยังมีต่อ)
    ..............................
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บทที่ 6: ชีวิตในวัยเยาว์และวัยหนุ่มของพระเยซู
    (The Childhood and Youth of Jesus)

    (ต่อ)

    ... And going into the desert, He meditated, fasted and prayed,
    and He received the authority of the holy name, by which He worked many miracles.


    12. And for seven years He spoke face to face with God,
    and He learned the language of the birds and animals,
    and the healing powers of the trees, herbs and flowers,
    and the hidden powers of precious stones, and also learned
    the movements of the sun and the moon and the stars,
    and the power of letters, the mysteries of the square and
    the circle and the transmutation of things and forms,
    of numbers and signs.

    From there, He returned to Nazareth to visit His parents,
    and He taught there and in Jerusalem as an accepted Rabbi,
    even in the temple, none hindering Him.(Chap. 6:11-12)


    …และเดินทางไปในทะเลทราย พระองค์ได้ทำสมาธิ, อดอาหาร, และสวดมนต์
    และพระองค์ก็ได้รับสิทธิอำนาจของชื่ออันศักดิ์สิทธิ์นั้น เพราะว่าพระองค์ได้ทำปาฏิหาริย์หลายอย่างให้เกิดขึ้น

    12. และเป็นเวลา 7 ปี ที่พระองค์ได้พูดกับพระเจ้าตัวต่อตัว และพระองค์ก็ได้เรียนรู้ภาษานก และสัตว์ต่างๆ
    และพลังแห่งการบำบัดรักษาของต้นไม้, สมุนไพร และดอกไม้ และได้เรียนรู้พลังอำนาจที่ซ่อนเร้นอยู่ของหินอัญมณี
    และยังได้เรียนรู้ถึงการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆด้วย
    และพระองค์ยังได้เรียนรู้ถึงพลังอำนาจของตัวอักษร และความลึกลับของสี่เหลี่ยมและวงกลม
    และการเปลี่ยนรูปของสิ่งต่างๆ และรูปต่างๆด้วย, รวมถึงการเปลี่ยนรูปของตัวเลขและสัญลักษณ์

    จากที่นั่นพระองค์ได้กลับมาที่นาซาเรธ เพื่อมาเยี่ยมบิดามารดาของพระองค์
    แล้วพระองค์ก็ทรงสอนอยู่ที่นั่น และสอนในเยรูซาเลมด้วย ในฐานะราไบที่ได้รับการยอมรับแล้วคนหนึ่ง
    ดังนั้นแม้แต่การสอนในวิหารก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพระองค์ (Chap. 6:11-12)


    I, Christ, explain, correct
    and deepen the word:

    เรา พระคริสต์ ขอตอบว่าถูกต้องแล้ว
    และขอขยายความเพิ่มเติม ดังนี้:

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างขึ้นและเก็บรักษาไว้ มันมีอยู่แล้วในจิตวิญญาณของมนุษย์
    ผู้ใดที่ดำรงอยู่ในพระเจ้า ก็จะได้รับพวกมันไปจากพระองค์ และแม้แต่ในขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่นี้
    เขาผู้นั้นก็จะได้รับการสั่งสอนจากพระเจ้าด้วย


    ในฐานะเยซูแห่งนาซาเรธ เราดำรงอยู่ในพระเจ้า และได้รับจากพระเจ้า พระบิดาของเรา
    ซึ่งเป็นผู้ที่เราสื่อสารกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ

    ภูมิปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ไหลบ่าออกมาจากภายในของเรา ซึ่งตอนนั้นเป็นเยซูอยู่
    และเยซูก็ได้พูดกับสัตวฺทั้งหลายที่อยู่ในน้ำ ในอากาศ และบนบก และเยซูก็ได้ประจักษ์ถึงชีวิตของพืช
    และของก้อนหินทั้งหลายที่อยู่ในตัวของเขาเอง


    ในฐานะเยซู เราได้ประจักษ์แจ้งจากภายในของเราเอง ถึงการโคจรของดาวเคราะห์และดวงดาวต่างๆ,
    ประจักษ์แจ้งถึงสิ่งที่เราได้พูดคุยกับเหล่านักปราชญ์ชาวอียิปต์ผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริง เป็นเวลายาวนาน

    เพราะว่าเรา ในฐานะเยซู ได้สอนในวิหาร จนคนทั้งหลายเรียกเราว่าราไบ แต่เราคือศาสดาพยากรณ์
    และเป็นบุตรแห่งพระเจ้า บุตรมนุษย์ ผู้ที่อยู่ในร่างมนุษย์นี้ ผู้ที่สอนและดำรงชีวิตอยู่ใน “กฎแห่งพระเจ้า”
    และผู้ที่ยอมเสียสละตนเอง เพื่อกอบกู้จิตวิญญาณของมนุษย์โลกที่ตกต่ำไปกลับคืนมา



    (มีต่อ)
    .............................
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บทที่ 6: ชีวิตในวัยเยาว์และวัยหนุ่มของพระเยซู
    (The Childhood and Youth of Jesus)

    (ต่อ)


    13. After some time, He went to Assyria and India and to Persia
    and into the land of the Chaldeans. And He visited their temples
    and spoke with their priests and their wise men for many years,
    and He did many wonderful works and healed the sick,
    as He journeyed through the countries.


    14. And the animals of the field felt reverence towards Him,
    and the birds had no fear of Him, for He did not frighten them.
    Even the wild animals of the desert felt the power of God in Him
    and served Him willingly, carrying Him from place to place. (Chap. 6:13-14)


    13. บางครั้ง พระองค์ก็ไปที่ Assyria และอินเดีย และไปที่เปอร์เซีย และเข้าไปในดินแดนของพวก Chaldeans
    และพระองค์ก็ทรงไปเยี่ยมวิหารของพวกเขา และสนทนากับเหล่านักบวช และนักปราชญ์ของพวกเขาอยู่หลายปี
    และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่เลอเลิศมากมาย และรักษาผู้ป่วยไปด้วย ในขณะที่พระองค์เดินทางไปในประเทศต่างๆ


    14. และสัตว์ทั้งหลายในท้องทุ่ง ต่างก็รู้สึกเคารพนับถือพระองค์ และนกก็ไม่แสดงอาการกลัวพระองค์เลย
    เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทำให้พวกมันกลัว แม้แต่สัตว์ในทะเลทรายที่ดุร้ายทั้งหลาย
    ก็ยังรู้สึกถึงพลังอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้าในตัวพระองค์ และรับใช้พระองค์อย่างเต็มอกเต็มใจ
    นำพาพระองค์ไปไหนต่อไหน (Chap. 6:13-14)


    I, Christ, explain, correct
    and deepen the word:

    เรา พระคริสต์ ขอตอบว่าถูกต้องแล้ว
    และขอขยายความเพิ่มเติม ดังนี้:

    ตอนที่เป็นเยซู เราได้พบปะผู้คน ที่มีภูมิหลังและภาษาแตกต่างกันมากมาย

    เราได้สนทนากับชาว Assyrians, ชาวอินเดีย,
    ชาวเปอร์เซีย, ชาว Chaldeans, ชาวอิสราเอล
    และจากชนชาติอื่นๆอีกมากมาย

    แต่ว่าเราไม่ได้เดินทางไปที่ประเทศของพวกเขา
    หรือประเทศไหนๆ เพื่อเรียนรู้ภูมิปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้าเลย



    เราได้เคยเข้าไปในประเทศต่างๆ และได้ข้ามพรมแดนมากมาย ซึ่งภาษาคืออุปสรรคสำคัญเสมอ
    แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพูดถึง “กฎแห่งความรัก” ทุกๆคนจะรู้ว่าคนอื่นต้องการจะพูดอะไร
    เพราะว่าภาษาใจเป็นสิ่งที่ไร้พรมแดน แม้แต่ในทุกวันนี้ ซึ่งผ่านพ้นมาเกือบจะถึง 2000 ปีแล้วก็ตาม


    การออกไป ด้วยความรักที่มีต่อมวลมนุษย์ พลังอำนาจแห่งการบำบัดรักษาจึงต้องถูกนำมาใช้
    เพื่อช่วยเหลือผู้คนและเพื่อเป็นเครื่องแสดงว่า มีพลังอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระผู้เป็นเจ้าดำรงอยู่ในตัวเรา – เยซู


    เทคโนโลยีที่มีอยู่ในขณะนี้ (ปี ค.ศ.1989) ทำให้ถ้อยคำของเราถูกแปลและถูกถ่ายทอดออกไปได้เร็วยิ่งขึ้น
    เพราะฉะนั้น จิตใจของชาวโลกจึงตื่นขึ้น และได้เรียนรู้ภาษาแห่งรัก ซึ่งผู้ที่ใช้ใจคิดทุกคนจะเข้าใจมันได้


    มีผู้คนมากมายที่เข้าใจผิดไปว่า การท่องเที่ยวไปของเรา
    เป็นเวลาหลายปีดังกล่าวนี้
    ก็เพื่อเก็บสะสมภูมิปัญญา
    และเพื่อปฏิบัติงานแห่งความรัก

    ในฐานะเยซูแห่งนาซาเรธ ที่เราได้ท่องเที่ยวไปในหลายๆที่
    ก็เพื่อที่จะออกไปสั่งสอนผู้คน

    และเพื่อปฏิบัติงานแห่งความรักและความเมตตากรุณา...



    ...ความหมายที่แท้จริงของข้อความที่ว่า “...นำพาพระองค์ไปไหนต่อไหน” ก็คือ
    มีสัตว์หลายตัวที่ร่วมเดินทางไกลไปกับเราด้วย และมีบางตัว ที่ร่วมเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง

    ผู้ใดที่รักพระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นก็จะรักธรรมชาติด้วย และธรรมชาติก็จะช่วยเหลือผู้นั้น
    เพราะว่าทุกๆชีวิตล้วนเกิดมาจากพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ผู้ใดที่รักพระผู้เป็นเจ้า
    ผู้นั้นก็จะได้รับความช่วยเหลือจากทุกๆสรรพชีวิต


    ……………………………
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    <table id="post3798975" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">17-09-2010, 01:29 AM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #132 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> Chayutt [​IMG]
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 39
    ข้อความ: 4,216
    พลังการให้คะแนน: 3456 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_3798975" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> ส่วนช่วงชีวิตของพระเยซู หลังจากที่ถูกตรึงกางเขนแล้วนั้น
    ในหนังสือเล่มนี้ พระองค์ตอบว่า พระองค์ตายแล้วจริงๆ

    แต่ก็กลับคืนชีพมาใหม่ ในรูปแบบของกายทิพย์ ซึ่งจะปรากฎให้เฉพาะบางคน
    ที่สามารถสำผัสได้ และที่พระองค์อยากให้เห็นเท่านั้น

    ผมเองก็ยังอ่านไม่ละเอียดดีนัก เพราะว่าเนื้อหายังมีอยู่อีกเยอะนัก
    แต่ก็คาดว่าคงไม่มีเนื้อหาที่ว่านั้นหรอกครับ

    แบ่งปันข้อมูลกันหนะนะครับ..เท่าที่มีอยู่ก็เท่านี้แหละ
    ...........................................

    __________________
    </td></tr></tbody></table>
     
  10. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    หวัดดีครับอ.นีโม่ หายไปนานเลยน่ะครับ :)
     
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    และข้อความสื่อสารจากต่างมิติชุดต่อไปนี้
    จะเป็นเนื้อหาที่ขัดแย้งกับข้อความที่ผมได้โพสต์ไปแล้
    ข้างบนนั่นหนะนะครับ


    แต่ว่าใครจะถูก หรือ ใครจะผิด ผมก็ไม่อาจตอบท่านได้
    เพราะฉะนั้น ก็ใช้วิจารณญาณ พิจารณากันเองเองนะครับ

    ...ตัวใครตัวมันหละงานนี้...

    ............................................................................
    ที่มา:
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-5-a.246190/page-34
    .............................................................................

    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก แมทธิว เวอร์ด (Matthew Ward)

    วันที่: 11 กันยายน 2010
    ผู้รับการสื่อสาร: นาง Suzanne Ward
    สถานที่: ประเทศสหรัฐ อเมริกา
    ที่มา:

    September 11, 2010


    ตอนที่ 4:

    9). ความจริงเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับการกำเนิดของพระเยซู, การตรึงกางเขน, การฟื้นคืนชีพ
    และคำสอนของพระองค์ ล้วนเป็นเรื่องราวที่ถูกบรรจงแต่งขึ้นมาทั้งนั้นเลย

    เพราะว่าความจริงบางอย่างก็ได้ถูกบิดเบือนไปโดยการลดบทบาทและความสำคัญของมันลง
    ส่วนความจริงบางอย่างก็ถูกตัดทิ้งไปเลยก็มี



    [​IMG]


    วิธีการกำเนิดของพระเยซูก็เป็นการตั้งครรภ์และการคลอดแบบปกติธรรมดาเหมือนเด็กชาวโลกทั่วๆไปนั่นแหละ
    และพระเยซูก็ไม่เคยถูกตรึงกางเขนแต่อย่างใดเลย พระองค์ถูกโบยและถูกเนรเทศออกจากเมือง
    โดยกลุ่มพระนักบวชชนชั้นปกครอง ที่มีอำนาจตัดสินคดีความสูงสุดของชาวยิวในสมัยนั้น
    ที่ชื่อว่ากลุ่ม Sanhedrin ต่างหากหละ

    พวกเขาต้องการให้พระองค์ออกไปให้พ้นๆจากประเทศนั้น และไม่ต้องการให้พระองค์กลายเป็น
    ผู้ยอมสละชีพเพื่อปกป้องสัจธรรม เพราะว่าถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วการตายของพระองค์
    ก็จะยิ่งสร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้แก่ผู้คนมากขึ้นไปอีก



    หลังจากที่พระองค์ถูกเนรเทศออกมาแล้ว
    พระองค์ก็เดินทางกลับมาที่ดินแดนทางตะวันออกอีกครั้งหนึ่ง
    พร้อมกับภรรยาซึ่งกำลังตั้งครรภ์ของพระองค์
    ชื่อแมรี่ แม็กดาลีน (Mary Magdalene)


    ที่ดินแดนทางตะวันออกนี้เอง ที่ครั้งหนึ่งเมื่อครั้งยังเยาว์วัย
    พระองค์ได้เคยมาเรียนรู้สรรพวิชากับครูบาอาจารย์แถบนี้อยู่หลายปี
    เช่น พระองค์ได้เรียนรู้ถึงความเกาะเกี่ยวสัมพันธ์ และความเชื่อมโยงกัน
    ของทุกสรรพจิตวิญญาณที่มีต่อกันและกัน และที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า


    และพระองค์ได้เรียนรู้ถึงวิธีการนำกฎของจักรวาลไปใช้ เพื่อการบำบัดรักษา,
    การเสกสิ่งต่างๆให้เปลี่ยนรูปร่างหรือเพิ่มปริมาณมากขึ้น, การเสกให้สิ่งของหายไปและกลับมาใหม่ได้ และอื่นๆ

    ซึ่งโดยรวมแล้วอาจจะเรียกว่าพระองค์มี “อภิญญา” หรือ “ปาฏิหาริย์” ก็ได้
    ซึ่งอภิญญาหรือปาฏิหาริย์นี้ ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคน มีความสามารถโดยกำเนิดอยู่แล้ว ที่จะทำได้เช่นเดียวกันด้วย

    และนั่นแหละคือสิ่งที่พระเยซูทรงนำไปสั่งสอนผู้คน (เรื่องศักยภาพที่มีมาแต่กำเนิดของมนุษย์ทุกๆคน
    ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า, ความเชื่อมโยงของทุกจิตวิญญาณที่มีต่อกันและกันและที่มีต่อพระเจ้า,
    และกฎของจักรวาล - ผู้แปล)

    แต่เพราะว่าการเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวนี้ของพระองค์ จะไปสร้างความหายนะให้เกิดขึ้น
    แก่ความมีอำนาจบาตรใหญ่ของพวก Sanhedrin ซึ่งนึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก

    ดังนั้น พวกนั้นก็เลยตัดสินลงโทษผู้ที่คล้อยตามพระองค์อย่างรุนแรง และแสร้งยกยอปอปั้นพระองค์ให้กลายเป็น
    “พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า” เพื่อให้พระองค์ตกอยู่ในสถานะที่ไม่มีใครจะสามารถทำได้เสมอเหมือนพระองค์อีก



    และแม้ว่าทั้งพระเยซู และแมรี่ แม็กดาลีน จะมีชาติกำเนิดในตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดของสังคมชาวฮิบรูในสมัยนั้นก็ตาม
    แต่ภายหลังพวกเขาก็ได้กุเรื่องราวขึ้นมาว่า พระองค์เกิดในคอกม้าที่ต่ำต้อย
    และกุเรื่องใส่ร้ายนางแมรี่ แม็กดาลีนให้กลายเป็นโสเภณี ทั้งนี้ก็เพื่อสนองตอบต่อความโลภ, ความเย่อหยิ่ง
    และความกระหายอำนาจของพวก Sanhedrin นั่นเอง

    แต่ก็น่าเศร้าที่เรื่องราวลวงโลกเหล่านี้แหละ ที่ถูกเชื่อถือและถูกถ่ายทอดมาสู่ชนรุ่นหลัง รุ่นแล้วรุ่นเล่า


    ...................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2011
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มาต่อกันอีกซักข้อความนะครับ..เกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้

    ที่มา:
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%8B%E0%B8%B9-%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2.253235/page-8
    .........................................................................


    ไหนๆก็ได้พูดถึงทั้งสองแง่มุมของข้อมูลตรงนี้ไปแล้ว
    ผมก็อยากจะขอตบท้ายด้วยคำบอกเล่าของอาจารย์ OSHO อีกสักคน

    ที่มา: Osho on Jesus Lived in India Jesus Christ unknown Life in India


    [​IMG]

    สรุปคร่าวๆนะครับว่า..ท่านอาจารย์ Osho ท่านนี้
    ท่านก็เคยเดินทางไปดูหลุมฝังศพของพระเยซูที่แคว้นแคชเมียร์
    ในประเทศอินเดียด้วยตัวท่านเองมาแล้ว

    ท่านบอกว่าที่แคว้นนั้น มีหลุมศพของโมเสสและพระเยซูอยู่ข้างๆกัน
    หลุมศพอื่นๆของคนอื่นๆในแคว้นนี้ จะหันหัวไปทางกรุงเมกกะหมด
    เพราะว่าแคว้นนี้นับถือศาสนาอิสลาม ยกเว้นสองหลุมศพนี้เท่านั้น

    และเพราะว่ามันมีชื่อเขียนเอาไว้บนหลุมศพชัดเจนเป็นภาษาฮิบรูว่า "เจซัวร์"
    ซึ่งเป็นชื่อภาษาฮิบรูของพระเยซูจริงๆ

    ท่าน Osho บอกว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่พระเยซูจะเสียชีวิตบนกางเขน
    เพียงเพราะว่าถูกตอกมือ ตอกเท้าด้วยตะปูแขวนไว้แค่ไม่กี่ชั่วโมง
    ในตอนบ่ายแก่ๆของวันก่อนที่จะถึงวันสปาโตเท่านั้น

    เพราะว่าพวกเขาต้องรีบเอาพระองค์ลงมา เพราะจะปล่อยให้มีการทำโทษใคร
    ล่วงเลยมาถึงวันสปาโตไม่ได้ ดังนั้น อาจารย์ Osho จึงเห็นว่าท่านจึงยังไม่น่าจะตาย

    ประกอบกับที่แคว้นแคชเมียร์นั้น เป็นชาวยิวทั้งหมด
    จึงไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว
    ที่พระองค์จะอพยพไปอยู่ หลังจากหนีไปได้แล้ว

    ตรงหลุมศพของทั้งสองท่านนั้น มีครอบครัวชาวยิว
    ที่น่าจะสืบเชื้อสายมาจากพระเยซูเองนั่นแหละ
    เป็นคนเฝ้าดูแลอยู่ และดูแลมาหลายชั่วคนแล้ว

    ที่มา: Osho on Jesus Lived in India Jesus Christ unknown Life in India

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลิงค์ที่ให้ไปนั่นแหละนะครับ
    .............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2011
  13. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    หวัดดี! ครับอจ.นีโม่ ผมอยากเจออจ.มากครับ
     
  14. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของท่าน"โอโช่"ครับ หนังสือทุกเล่มของท่านผมไม่พลาด(ถ้ามีโอกาส)
    อ่านแล้วอยากกลับบ้าน(เก่า)
     
  15. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ^_^ ดันให้
     
  16. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    มาลงชื่ออ่านไว้ก่อนค่ะ (เพื่อสะดวกในการค้นหากระทู้ของตัวเอง)
    ส่วนตัว เคยอ่านเจอเรื่องราวลักษณะนี้เหมือนกันค่ะ ในหนังสือของ OSHO ก็เจอ
    แต่ยังไม่เคยดูสารคดีเรื่องนี้นะ

    ขอบคุณ คุณชยุตที่แบ่งปันข้อมูลเพิ่มเติม
     
  17. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    กระทู้ดีๆช่วยดันครับ
     
  18. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    สวัสดีครับ ทุกๆท่าน คิดถึงทุกๆคนเลย ขอบพระคุณคุณชยุต ที่ช่วยแนะนำและบทแปลอื่นๆ ผมติดตามเสมอๆแหละครับแต่ไม่ได้ล็อกอิน
     
  19. หมูน้ำยืน

    หมูน้ำยืน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +38
    แว่ะเข้ามาอ่านครับ .....................
     
  20. horasarn

    horasarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +3,255
    พระเยซูเคยบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา สารคดีจาก BBC

    <iframe width="425" height="349" src="http://www.youtube.com/embed/-YbUEZfJJaQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     

แชร์หน้านี้

Loading...