:พิศมัย วิไลศักดิ์จะดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 13 มกราคม 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    :พิศมัย วิไลศักดิ์'จะดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ'

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>สรณะ-คนดัง : พิศมัย วิไลศักดิ์"จะดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ"</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG][/IMG] [​IMG] "มี้" เป็นชื่อที่เหล่าบรรดานักแสดงเรียก พิศมัย วิไลศักดิ์ และชื่อนี้เป็น ชื่อจริง นามสกุลจริง ซึ่งดารานักแสดงในอดีต ชื่อและนามสกุลในวงการแสดงกับชื่อและนามสกุลจริงเป็นคนละชื่อกันเลย


    ด้วยเหตุผลที่ว่า ชื่อจริงไม่ดัง ถ้าจะดังต้องใช้ชื่อไม่จริง
    ในยุคที่ดังสุดขีดนั้น เชิด ทรงศรี ถึงกับตั้งฉายาให้พิศมัยว่า "ดาราเงินล้าน" ด้วยเหตุผลที่ว่า "ไม่ว่าจะเล่นเรื่องไหน เมื่อหนังออกฉายแล้ว ต้องได้เงินล้านได้ทุกเรื่อง" ซึ่งในอดีตนั้น การทำหนังให้ได้เงินล้านไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ปัจจุบันนี้แค่คิดสร้างหนังก็ต้องใช้เงินล้านแล้ว ส่วนรายได้หลังหนังออกนั้นฉายได้ ๑๐ ล้านยังขาดทุนเลย
    "การะเกด" ซึ่งเป็นหนัง ๑๖ มม.สร้างในปี ๒๕๐๑ เป็นหนังเรื่องแรกที่พิศมัยได้รับบทนางเอก ด้วยเหตุผลที่ว่า "ผู้สร้างต้องการนางเอกที่รำได้" เพราะเธอรำฉุยฉายพราหมณ์เก่ง หนังเรื่องนี้จึงกลายเป็นการแจ้งเกิด จากนั้นก็รับบทนางเอกเรื่อยมา จนกระทั่งได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง จากภาพยนตร์เรื่อง "ดวงตาสวรรค์" ซึ่งเป็นบทของนางเอกที่ค่อนข้างร้าย หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้รับรางวัลดาราประกอบหญิงยอดเยี่ยม จากเรื่อง "เงิน เงิน เงิน" ของ ยุทธนา มุกดาสนิท
    สำหรับหลักธรรมที่สำคัญของชีวิตนักแสดงนั้น พิศมัย บอกว่า ต้องปฏิบัติตนให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเล่นบทอะไร หรือเรื่องอะไรก็ตาม ในสมัยนั้นจะต้องหาหนังสือที่เป็นบทประพันธ์ของเรื่องนั้นๆ มาอ่านก่อนเสมอ เพื่อเราจะได้ตีโจทย์ของตัวละครที่เราได้แสดงให้ออกมาสมจริงมากที่สุด เรียกได้ว่า สมัยนั้นโดยส่วนตัวคิดว่าการอ่านบทประพันธ์ ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็ว่าได้ แต่มาถึงยุคนี้ ไม่ค่อยได้อ่านบทประพันธ์มากนัก เพราะบทส่วนใหญ่ที่ได้เล่นจะเป็นบทแม่ หรือบทคุณยาย ทำให้เล่นไม่ยาก
    พิศมัย บอกด้วยว่า ชีวิตที่อยู่วงการนักแสดงมีชื่อเสียงมากขนาดไหน ก็ไม่เคยหลงตัวเอง หรือลืมตัวกับชื่อเสียงเหล่านี้ หากเรามัวไปหลงกับชื่อเสียงตรงนั้น ชีวิตนักแสดงคงมีไม่ถึงวันนี้อย่างแน่นอน อยากจะบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันเป็นวัฏจักรด้วยกันทั้งนั้น ทุกอย่างของมนุษย์ ต่างยังคงมีการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น การที่เรามัวไปยึดมั่นถือมั่นในชื่อเสียงเงินทอง ท้ายที่สุดเราก็จะเป็นทุกข์ และชีวิตที่มีชื่อเสียงอยู่มาได้ถึงวันนี้ ก็น่าจะมาจากการกระทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย สิ่งสำคัญไม่เคยจะต้องเป็นภาระให้ใคร ขณะเดียวกันก็ไม่เคยคิดว่า ตัวเองมาอยู่ตรงนี้แล้วต้องเป็นหนึ่ง
    "มาถึงวันนี้ ก็คิดว่า เมื่อวันหนึ่งชื่อเสียงมาหาเรา แต่เมื่อถึงเวลาวันหนึ่ง ชื่อเสียงที่โด่งดังเหล่านี้ก็ต้องไป ชีวิตเราที่ก้าวเข้ามาเป็นศิลปินแบบนี้ยิ่งไม่กล้าหลงตัวเอง ไม่กล้าเย่อหยิ่งอะไร ความคิดที่ผ่านมาก็ขอให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วสิ่งสำคัญเราต้องไม่ประมาทอะไรกับชีวิต เท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว กับความเป็นมนุษย์ ความไม่ประมาทตรงนี้จึงทำให้ชีวิตไม่เคยมีเหตุการณ์เฉียดตายอะไรเลย แต่เป็นคนเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีพระที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมาตลอด" นี่เป็นสัจธรรมชีวิตของพิศมัย
    อย่างไรก็ตาม อดีตเจ้าของฉายา "ดาราเงินล้าน" ยอมรับว่า แม้ชีวิตที่ผ่านมาเป็นคนไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมเหมือนคนอื่นๆ อย่างน้อยก็ยังเป็นคนหนึ่งที่สนใจอ่านหนังสือธรรมะ ก่อนหน้านี้มีนักแสดงหลายคนมาชวนให้ไปปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็น "ตุ๊ก" ดวงตา ตุงคะมณี "บุ๋ม" รัญญา ศิริยานนท์ "ก้อย" ทาริกา ธิดาทิพย์ ล้วนแล้วเป็นคนที่ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิกันเก่งมาก มาถึงวันนี้แล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมเลยสักครั้งเดียว เนื่องจากชีวิตที่ผ่านมาทำงานตลอดเวลา
    สำหรับพระเครื่องที่แขวนติดตัว ประกอบด้วย พระยอดธง เหรียญท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ได้มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ซึ่งคนเราจะแขวนพระ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราทำอะไรไม่ดีสักอย่าง ต่อให้แขวนพระประธาน องค์ท่านก็คงช่วยอะไรเราไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา เพราะถ้าเราทำดี เราก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมา และถ้าคนแขวนพระดี หรือพระวิเศษอย่างไร ถ้าเราทำชั่ว ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ดังนั้น พระเครื่องจึงเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทางใจ "อาจารย์ที่สอนเราก็เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวของการทำมาหากิน โดยเฉพาะองค์พระพิฆเนศ ซึ่งเป็นเทพแห่งความสำเร็จ แล้วยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้และปัญญายิ่งใหญ่ ส่วนพ่อแก่ที่เคารพนับถืออีกองค์หนึ่ง ก็ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความกตัญญูรู้คุณอาจารย์ ที่เหล่าบรรดาศิลปินต่างให้ความเคารพ เนื่องจากเรียนจบมาจากโรงเรียนนาฏศิลป กรมศิลปากร เรียกได้ว่า วิชาที่เราได้เรียนมาทำให้เรามีกินอยู่ทุกวันนี้ ทำอะไรก็ให้นึกถึงครูบาอาจารย์ ทุกเช้าก่อนออกไปทำงานก็จะสวดมนต์ แล้วนำพวงมาลัยบูชาองค์ท่าน เรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรที่จะต้องทำเป็นประจำ" พิศมัย กล่าวทิ้งท้าย0 สุทธิคุณ กองทอง 0

    -->
    [​IMG]

    "มี้" เป็นชื่อที่เหล่าบรรดานักแสดงเรียก พิศมัย วิไลศักดิ์ และชื่อนี้เป็น ชื่อจริง นามสกุลจริง ซึ่งดารานักแสดงในอดีต ชื่อและนามสกุลในวงการแสดงกับชื่อและนามสกุลจริงเป็นคนละชื่อกันเลย
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ชื่อจริงไม่ดัง ถ้าจะดังต้องใช้ชื่อไม่จริง
    ในยุคที่ดังสุดขีดนั้น เชิด ทรงศรี ถึงกับตั้งฉายาให้พิศมัยว่า "ดาราเงินล้าน" ด้วยเหตุผลที่ว่า "ไม่ว่าจะเล่นเรื่องไหน เมื่อหนังออกฉายแล้ว ต้องได้เงินล้านได้ทุกเรื่อง" ซึ่งในอดีตนั้น การทำหนังให้ได้เงินล้านไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ปัจจุบันนี้แค่คิดสร้างหนังก็ต้องใช้เงินล้านแล้ว ส่วนรายได้หลังหนังออกนั้นฉายได้ ๑๐ ล้านยังขาดทุนเลย
    [​IMG]

    "การะเกด" ซึ่งเป็นหนัง ๑๖ มม.สร้างในปี ๒๕๐๑ เป็นหนังเรื่องแรกที่พิศมัยได้รับบทนางเอก ด้วยเหตุผลที่ว่า "ผู้สร้างต้องการนางเอกที่รำได้" เพราะเธอรำฉุยฉายพราหมณ์เก่ง หนังเรื่องนี้จึงกลายเป็นการแจ้งเกิด จากนั้นก็รับบทนางเอกเรื่อยมา จนกระทั่งได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง จากภาพยนตร์เรื่อง "ดวงตาสวรรค์" ซึ่งเป็นบทของนางเอกที่ค่อนข้างร้าย หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้รับรางวัลดาราประกอบหญิงยอดเยี่ยม จากเรื่อง "เงิน เงิน เงิน" ของ ยุทธนา มุกดาสนิท
    สำหรับหลักธรรมที่สำคัญของชีวิตนักแสดงนั้น พิศมัย บอกว่า ต้องปฏิบัติตนให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเล่นบทอะไร หรือเรื่องอะไรก็ตาม ในสมัยนั้นจะต้องหาหนังสือที่เป็นบทประพันธ์ของเรื่องนั้นๆ มาอ่านก่อนเสมอ เพื่อเราจะได้ตีโจทย์ของตัวละครที่เราได้แสดงให้ออกมาสมจริงมากที่สุด เรียกได้ว่า สมัยนั้นโดยส่วนตัวคิดว่าการอ่านบทประพันธ์ ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็ว่าได้ แต่มาถึงยุคนี้ ไม่ค่อยได้อ่านบทประพันธ์มากนัก เพราะบทส่วนใหญ่ที่ได้เล่นจะเป็นบทแม่ หรือบทคุณยาย ทำให้เล่นไม่ยาก
    พิศมัย บอกด้วยว่า ชีวิตที่อยู่วงการนักแสดงมีชื่อเสียงมากขนาดไหน ก็ไม่เคยหลงตัวเอง หรือลืมตัวกับชื่อเสียงเหล่านี้ หากเรามัวไปหลงกับชื่อเสียงตรงนั้น ชีวิตนักแสดงคงมีไม่ถึงวันนี้อย่างแน่นอน อยากจะบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันเป็นวัฏจักรด้วยกันทั้งนั้น ทุกอย่างของมนุษย์ ต่างยังคงมีการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น การที่เรามัวไปยึดมั่นถือมั่นในชื่อเสียงเงินทอง ท้ายที่สุดเราก็จะเป็นทุกข์ และชีวิตที่มีชื่อเสียงอยู่มาได้ถึงวันนี้ ก็น่าจะมาจากการกระทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย สิ่งสำคัญไม่เคยจะต้องเป็นภาระให้ใคร ขณะเดียวกันก็ไม่เคยคิดว่า ตัวเองมาอยู่ตรงนี้แล้วต้องเป็นหนึ่ง
    "มาถึงวันนี้ ก็คิดว่า เมื่อวันหนึ่งชื่อเสียงมาหาเรา แต่เมื่อถึงเวลาวันหนึ่ง ชื่อเสียงที่โด่งดังเหล่านี้ก็ต้องไป ชีวิตเราที่ก้าวเข้ามาเป็นศิลปินแบบนี้ยิ่งไม่กล้าหลงตัวเอง ไม่กล้าเย่อหยิ่งอะไร ความคิดที่ผ่านมาก็ขอให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วสิ่งสำคัญเราต้องไม่ประมาทอะไรกับชีวิต เท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว กับความเป็นมนุษย์ ความไม่ประมาทตรงนี้จึงทำให้ชีวิตไม่เคยมีเหตุการณ์เฉียดตายอะไรเลย แต่เป็นคนเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีพระที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมาตลอด" นี่เป็นสัจธรรมชีวิตของพิศมัย
    อย่างไรก็ตาม อดีตเจ้าของฉายา "ดาราเงินล้าน" ยอมรับว่า แม้ชีวิตที่ผ่านมาเป็นคนไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมเหมือนคนอื่นๆ อย่างน้อยก็ยังเป็นคนหนึ่งที่สนใจอ่านหนังสือธรรมะ ก่อนหน้านี้มีนักแสดงหลายคนมาชวนให้ไปปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็น "ตุ๊ก" ดวงตา ตุงคะมณี "บุ๋ม" รัญญา ศิริยานนท์ "ก้อย" ทาริกา ธิดาทิพย์ ล้วนแล้วเป็นคนที่ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิกันเก่งมาก มาถึงวันนี้แล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมเลยสักครั้งเดียว เนื่องจากชีวิตที่ผ่านมาทำงานตลอดเวลา
    สำหรับพระเครื่องที่แขวนติดตัว ประกอบด้วย พระยอดธง เหรียญท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ได้มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ซึ่งคนเราจะแขวนพระ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราทำอะไรไม่ดีสักอย่าง ต่อให้แขวนพระประธาน องค์ท่านก็คงช่วยอะไรเราไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา เพราะถ้าเราทำดี เราก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมา และถ้าคนแขวนพระดี หรือพระวิเศษอย่างไร ถ้าเราทำชั่ว ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ดังนั้น พระเครื่องจึงเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทางใจ
    "อาจารย์ที่สอนเราก็เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวของการทำมาหากิน โดยเฉพาะองค์พระพิฆเนศ ซึ่งเป็นเทพแห่งความสำเร็จ แล้วยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้และปัญญายิ่งใหญ่ ส่วนพ่อแก่ที่เคารพนับถืออีกองค์หนึ่ง ก็ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความกตัญญูรู้คุณอาจารย์ ที่เหล่าบรรดาศิลปินต่างให้ความเคารพ เนื่องจากเรียนจบมาจากโรงเรียนนาฏศิลป กรมศิลปากร เรียกได้ว่า วิชาที่เราได้เรียนมาทำให้เรามีกินอยู่ทุกวันนี้ ทำอะไรก็ให้นึกถึงครูบาอาจารย์ ทุกเช้าก่อนออกไปทำงานก็จะสวดมนต์ แล้วนำพวงมาลัยบูชาองค์ท่าน เรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรที่จะต้องทำเป็นประจำ" พิศมัย กล่าวทิ้งท้าย
    0 สุทธิคุณ กองทอง 0


    -------------------------------------
    ที่มา: คมชัดลึก
    http://www.komchadluek.net/2007/01/13/j001_81831.php?news_id=81831


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1304_copy.jpg
      1304_copy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.5 KB
      เปิดดู:
      848
    • 1305.jpg
      1305.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.5 KB
      เปิดดู:
      621

แชร์หน้านี้

Loading...