พุทธวจน-ภพภูมิ 31 นี่แต่งใหม่หมดเลย..เจตสิก มีแค่9 ดวง นอกนั้นแต่งใหม่หมด

อจ.คึกฤทธิ์ เทศน์ สาวกแต่ง เจตสิก ในอภิธรรมให้เรียนกัน 10 ปี ไม่จบ มี 100-1000 ดวง แต่ เจตสิกในพุทธวจน มีแค่ 9 ดวงเอง (ท่องวันเดียวจบ)...หายูทุปฟังกันเองนะ นี่ไงอภิธรรมนี่ ท่านพุทธทาส จึงไม่เชือ่ถือ
ภพภูมิ-แต่งขึ้นใหม่หมด-แต่งใหม่หมด ไม่มีใน พุทธวจน ทั้ง 31 ภพภูมิ..พุทธวจน ไม่มีปรากฏเลยยย ..เฮ้อออชาวพุทธบริษัทรต้องรับกรรม รึนี่

 

ภพภูมิจริงๆมีครับ..เช่น คนธรรม์ นี่อยู่ตามต้นไม้ที่มีกลิ่นหม ฯล แต่คนละเรื่องกับที่แต่งมาใหม่..อยากรู้ใครแต่ง หาตัวไม่เจอครับ..

 

การสืบค้นพระพุทธวจนะ ก็เป็นเรื่องหนึ่ง
ที่มีประโยชน์
แต่การนำพุทธวจนะมาร้อยเรียงใหม่
ด้วยวิธีการและเทคนิคต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตาม
ความคิดความเห็นของตนนั่นก็เป็นการ" แต่งใหม่"
หมดเช่นกันนะ
ผู้เรียบเรียงจะพึงทราบเจตนาที่ลึกซึ้งของพระศาสดา
ได้ว่าลำดับคำสอนที่ตรัสไว้นั้นทรงตรัสแก่ผู้ใด
สิ่งใดอยู่อันดับแรกอันดับหลัง
การมาเรียบเรียงเอาตามความพอใจเป็นเล่มเป็นชุด
ทำเป็นแพ็จเก็จทำมาร์เก็ตติ้งวางกลยุทธ

และเป้าหมายการตลาด
แบบสินค้าปัจจัย๔ ทั่วๆไป
ให้บริวารออกมาโปรยสรรพคุณตามเว็บธรรมะ
ต่างๆ
ซึ่งไม่ใช่หนทาง"สากล"ที่จะพาไปบรรลุมรรคผล

อันหนทางเดิมที่มีอยู่แล้วก็ออกจะยำกันจนเละ
แล้วยังจะมี
คึกวจนะออกมาทำให้เป๋โดยบอกว่าเป็นทางลัดง่าย
ใช่ตรง
แต่แท้จริงกลับมายืดระยะทางให้ยาว
ไกลออกไปอีก
กว่าจะรู้ตัวว่า
จะต้องกลับมาเริ่มต้นที่สัมมาทิฏฐิมรรค ก็อาจหมดเวลาไปอีก 1 ชาติ
มันควรไหม กับการบัญญัติคำสอนใหม่ๆ แต่
นอกรีตนอกรอย

 

โอ๊ยย..คุณนี่ ใส่ร้ายท่าน เกินไป ชนิดที่ไม่มีข้อมูลมาก่อนน่าละอายว่ะ..มีแต่อคติ น่าสงสาร แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่หน้าที่ผมจะมาตามแก้ตัวให้ อจ.คึกฤทธิ์..เป็นเรืองส่วนตัวท่าน ผมสนแต่ พุทธวจนและ
ผมชอบการสอน แฟร์ดี แบบขึ้นโปรเจคเตอร์เรียนไปพร้อมกับญาติโยมที่มาวัดของท่าน อจ.คึกฤทธิ์ ครับ-
ไม่ใช่ หลวงปู่-หลวงตา-หลวงพ่อ-หลวงพี่-ของคุณไง เอะอะก็..ถามอะไรก็ไม่บอก ไล่ให้ไปปฏิบัติอย่างเดียว -ปฏิจจะสมุปบาท ไม่เคยสอน ถามอะไรก็ไล่ไปนั่งสมาธิปฏิบัติอย่างเดียว- นั่นแหละ เบ้าหลอมของพวกคุรไง..ถูกสอนให้โง่ห้ามถามไง ให้มองแต่แง่ดี แล้วเป้นไงครับ บ้ากันทั้งประเทศ เพี้ยนไปถึงขนาดตำแหน่งเจ้าคุณ-ศิล5 ยังไม่มี อิอิ

 

เจตสิก 9 ดวงนี่ อะไรบ้างนะ ยกตัวอย่างมาหน่อยสิ เอามาสนทนากัน ไม่ใช่ไล่ให้ไปฟังเอง อิอิ เอามาหน่อย

สาวกแต่ง เจตสิก ในอภิธรรมให้เรียนกัน 10 ปี ไม่จบ มี 100-1000 ดวง

นี่ก็เชื่อ อ.คึกคักตะกั่วป่า อย่างไม่ลืมหูลืมตา เจตสิกมี 52 ซึ่งเขาก็แจงสภาวะแต่ละอย่างๆไว้ (จริงไม่จริง นั่งดูความคิดตัวเองแล้วนับดู อิอิ) ไม่ใช่มี เป็น 100 เป็น 1000 อย่างที่ไส่ร้ายเอาสีไปป้ายเขานั่น คิกๆๆ ใช้ไม่ได้

 

ศรัทธา คือความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้


แต่อาจเป็นทางเชื่อมไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่งและอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน

ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้น ก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญา และการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้นหรือแหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา

แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงายคือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลยและผู้อื่น หรือแหล่งแห่งความรู้นั้น ไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะหรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น

 

ก็ไม่รู้สินะ...ไม่เคยอ่านของ คึกริด ของพุดทาด....ผมไม่ศรัทธา ไม่เชื่อ การจัดใหม่ แต่งใหม่ ในตำรา สักเท่ไหร่....ไร้สาระ คนเชื่อก็เลย..ยึดมั่นถือมั่นอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง.. ถ้าเชื่อในสิ่งผิดๆ ก็เอามาเถียงกัน หาพระแสงของ้าวกันไป เหมือน คุณไม่รู้จักโตนี่ไง คือ ตัวอย่างที่ ไร้สาระ

อย่างเรื่องที่ เดามั่วนิ่ม เอาว่า วงจรปฏิจสมุปบาท ตัดวงจรตรงห่วงโซ่ตรงไหนก็ทำให้วงจรขาดได้....เนี่ย..มิจฉาทิฐิ..ชัดๆ พอผมถามหา พระสูตร การแสดงธรรมที่เป็นคำตรัสแสดงของพระพุทธเจ้า มา ประกอบอ้างอิง..ฝก็ไม่เห็นมีเลย...หนีหน้าทำไมล่ะ
...
อีกอย่าง...พระธรรมคำสอน..พระพุทธเจ้าท่าน ค้นพบได้จาก ธรรมชาติ ...ทั้งนั้น.... ใครจะ ติงต๊อง ยึดมั่นถือมั่น จากตำรา ก็ เชิญ ทำไปคนเดียวเถอะ

เลิก ยกชื่อ พระ ชื่อสำนัก...มาหาเรื่องเถียงกัน จะได้มั้ย...งี่เง่าจริงๆ เลย แบบนี้

 

เราจะโต เราจะพูดอะไร ตัวเองเชื่อไม่เชื่ออะไรยังไง มีคนถามเราเองต้องพูดได้อธิบายได้ นี่อะไรตั้งกระทู้โพสต์ๆแล้วก็หายจิ๊บหายจ๋อย ถามอะไร ก็เงียบไม่หือไม่อือ เด๋วก็ฟาดด้วยคันไถ คิกๆๆ

พูดจริงๆนะ ว่าเสียเวลาเปล่า ไปปลูกผักปลูกหญ้าขายยังได้เงิน เถียงสิเอ้าเถียง

 

อีกอย่าง...พระธรรมคำสอน..พระพุทธเจ้าท่านค้นพบได้จากธรรมชาติ ...ทั้งนั้น.... ใครจะ ติงต๊อง ยึดมั่นถือมั่น จากตำรา ก็ เชิญ ทำไปคนเดียวเถอะ

ขออภัย ขอแย้งประเด็นนี้ก่อน พระพุทธศาสนาที่ยืนยาวมาถึง พ.ศ.นี้ ก็ ๒๕๖๐ ปีแล้ว ถ้านับจากอายุคนก็ตาย-เกิดๆๆๆๆ (ถ้าเชื่อว่าตายแล้วเกิด) ไม่ถ้วน ถ้าเราไม่เชื่อไม่ยึดตำรา เราจะยึดจากอะไรกัน ? จะเอาแบบคนนั้นพูดทีคนนี้พูดคำเหมือน...น่าหรือ คิกๆๆ เละครับ เละเป็นเต้าหู้ตกตึก ซึ่งสมัยก่อนเขาก็โต้เถียงกันยังงี้แหละ แต่เขามีหลัก ยึดหลัก

เบื้องต้นนะชาวพุทธต้องยึดตำราก่อนจะแต่งใหม่แต่งเก่า (คนเขียนต้องรู้บาลี ไม่ใช่อัตโนมติ) มีหลักฐานจากคัมภีร์ศาสนาอ้างอิง (บาลี) ที่ชาวพุทธยอมรับทั่วโลก

บาลี 1. "ภาษาอันรักษาไว้ซึ่งพุทธพจน์" ภาษาที่ใช้ทรงจำ และจารึกรักษาพุทธพจน์ แต่เดิมมา อันเป็นหลักในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ถือกันว่า ได้แก่ ภาษามคธ 2. พระพุทธวจนะ ซึ่งพระสังคีติกาจารย์รวบรวมไว้ คือ พระธรรมวินัยที่พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ประชุมกันรวบรวมจัดสรรให้เป็นหมวดหมู่ในคราวปฐมสังคายนา และรักษาไว้ด้วยภาษาบาลี สืบต่อกันมาในรูปที่เรียกว่า พระไตรปิฎก อันเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาต้นเดิม ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท, พุทธพจน์, ข้อความที่มาในพระไตรปิฎก,

ในการศึกษาพระพุทธศาสนา มีประเพณีที่ปฏิบัติกันมาในเมืองไทย ให้แยกคำว่า "บาลี"

ในความหมาย 2 อย่างนี้ ด้วยการเรียกให้ต่างกัน คือ ถ้าหมายถึงบาลี ในความหมายที่ 1. ให้ใช้คำว่า ภาษาบาลี (หรือ ศัพท์บาลี คำบาลี หรือบาลี) แต่ถ้าหมายถึงบาลีในความหมายที่ 2. ให้ใช้คำว่า พระบาลี

 

อีกอย่าง...พระธรรมคำสอน..พระพุทธเจ้าท่านค้นพบได้จากธรรมชาติ

ขออภัยนะครับ ประเด็นต่อไป พระธรรมคำสอน เบื้องต้นแห่งการศึกษา ผู้ศึกษาควรแยกเป็นสองส่วน คือโลกียธรรมส่วนหนึ่ง (มีอะไรบ้างว่าไป) กับ โลกุตรธรรม (ได้แก่อะไรว่าไป) เราจะคิดว่าคำสอนเป็นธรรมชาติ ค้นพบจากธรรมชาติ เราเองก็ต้องรู้ว่าธรรมชาติที่คิดนั่นได้แก่อะไร (ใจจึงจะมีที่ลงที่จบ) ถ้าว่ายังงั้นแล้ว ตนเองก็ไม่รู้ว่าอะไร ความคิดก็เลื่อนลอย หาที่จบที่ลงไม่ได้ ใจเคว้งคว้าง


พระ- คำนำหน้า ที่ใช้ประกอบหน้าคำอื่น เพื่อแสดงความยกย่อง เคารพ นับถือหรือให้ความสำคัญ

พระพุทธเจ้า พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม, ท่านผู้รู้ดีรู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ

พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลักความจริง และหลักความประพฤติ

พระสงฆ์ หมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย, หมู่สาวกของพระพุทธเจ้า

สงฆ์ หมู่, ชุมนุม 1. หมู่สาวกของพระพุทธเจ้า เรียกว่า สาวกสงฆ์ ดังคำสวดในสังฆคุณ ประกอบด้วยคู่บุรุษ ๔ บุรุษบุทคล (รายตัวบุคคล) ๘ เริ่มแต่ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จนถึงพระอรหันต์ ต่างจากภิกษุสงฆ์ คือหมู่แห่งภิกษุหรือชุมนุมภิกษุ ต่อมา บางทีเรียกอย่างแรกว่า อริยสงฆ์ อย่างหลังว่า สมมติสงฆ์ 2. ชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ซึ่งสามารถประกอบสังฆกรรมได้ ตามกำหนดทางพระวินัย ต่างโดยเป็นสงฆ์จตุรวรรคบ้าง ปัญจวรรคบ้าง ทศวรรคบ้าง วีสติวรรคบ้าง, ถ้าเป็นชุมนุมภิกษุ ๒ หรือ ๓ รูป เรียกว่า คณะ ถ้ามีภิกษุรูปเดียว เป็นบุคคล

 

รู้ตัวหรือยังว่าตัวเองกำลังทำร้ายคนที่ตนเองเคารพ
นับถือ
เคารพก็เคารพไปเงียบๆ ตามสิทธิ์ของบิ๊กโต
แต่การลากคนที่น่ารังเกียจเพราะมิจฉาทิฏฐิ
เข้ามาสรรเสริญในหมู่คนที่มีสติรู้เท่าทัน
มันก็ย่อมเกิดหายนะขึ้นมาทันที
ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี คนดีๆ ใครจะใส่ร้าย
กลัวบาปกรรมกันทั้งนั้น

ดังนั่น บิ๊กโตเองนั่นแหละต้องพิจารณาว่า
ย่ำยีอาจารย์หรือไม่
อยู่ดีๆ ยกของเน่ามาชูแล้วเป่าประกาศว่านี่
ของดี ใหม่สด ต้มตุ๋นชาวบ้านใครจะ
ยินดีให้ต้มตุ๋น
รักเคารพครูอาจารย์ตัวเอง จงอยู่เงียบๆ
อย่าเผยแพร่สิ่งชั่วร้ายพิลึกพิเรนท์
อยูเงียบๆ นะอยู่เงียบๆ กราบไหว้กันเงียบ
ไม่ต้องมาโชว์นะ

 

สมมติว่า ต่อจากเมื่อวาน ลูกเพ่ กำหนดเหน
แล้วว่า ผัสสะ ทำให้จิตแฉลบลงไปใน กอง
สังขารที่เคยชิน เคยทำ

ถ้ามีการกำหนดรู้อยู่ กองสังขารอาจจะลาก
ลวกเพ่ ไปสู่สังขารสาม ลวกเพ่ต้องฉลาด
ในการทำให้จิตบันเทิง รู้ว่า มีการกำหนดรู้อยู่
และ รู้นั่นไม่เที่ยง มันจึงแปรปรวนไป

จิตบันเทิงไม่ได้ยากอะไร ลวกเพ่แค่กำหนดรู้
อุบายใดที่ใช้อบรมจิต ก้กำหนดตัวอินทรีย์ และ
พละของตัวนั้น

ถ้าวิแคะตามเนื้อผ้า ลวกเพ่ร่าเริงธรรม ด้วนมุขนัย
แทงตลอดด้วย กำหนดรู้ให้กระจายเปนขันธ ซึ่ง
อธิบายด้วยสมมติสัจจชื่อว่า ปฏิจสมุบปบาท

แต่วิปัสสนา ก้เหมือนสมถะ นะ ลวกเพ่

คือ ใช้มุขนัยเดียวไม่ได้ จะต้อง ไขว้กรรมฐาน
สับห้องปิติ เหมือนกัน

จากกระทู้นี้

ลวกเพ่กำหนดรู้ กิจญานของ ปัญญาอินทรีย์
เข้ามาเลย

กิจญาณของ ปัญญาทุกชนิด จะทำหน้าที่ ตัด

มี 8 มี 32 มี สี่สิบก่า มีร้อย สองร้อย หมื่น
หรือแม้นกระทั่ง นับไม่ถ้วน

นี่เปนการทำงานของ ปัญญาอินทรีย ทั้งหมด

ดังนั้น

ลวกเพ่ ในกรณีนี้ อินทรียอย่างไร พละอย่างนั้น


โสดาปฏิมรรค ไม่ใช่แค่กระจายขันธ์ได้มั่นคง
แต่จะมี มุขนัยอื่น เช่น รู้ความเปนอินทรีย์ห้า
รู้อายตนะหก(อันนี้จิตต้องทรงฌาณนำหน้า)


ถ้าวันไหนลวกเพ่ เหน การตัดนั่นตัดนี้ ให้
กำหนดรู้ ปัญญาอินทรียล้ำหน้าสมาธิอินทรีย์

แล้วจะภาวนาสนุก

ทำจิตให้ร่าเริงในธรรม พุทธวจน ได้หลากหลาย
แต่เปนหนึ่ง

 

ทีนี้ ลวกเพ่ พึง ตรึกถึง อานาปานสติ บางประการ

อันกังสดาล การหายใจเข้าออก ของ ทารกใน
ครรภ์มารดา

อยู่ที่ปลายจมูก แบบ คนโง่ จริงหรือ?


ปล ลิง: ถ้าลวกเพ่วางใจร่มๆ หายใจปรกติ
แต่เหน เดกในครรภ์หายใจยังไง ลวกเพ
ก้กำหนดรู้ สมาธิอินทรียมีในสมัย สลับ
กับ ปัญญาอินทรียทำหน้าที่ตัด

ปัญญาจะกระจายตัว สองสัจจญาณ กิจญาน
กตญานคือ ตัดโน่นนั่นนี้ กับ ตัดกิเลส

ที่นี้ โสดาปฏิมรรค น้อมไปทางไหน ช่วย
เข้าไปนิดหน่อย พอตัวเหลืองเปนขมิ้น ไม่เสียหาย

 

เวลาพิมพ์เพลินๆ อ่านเพลินๆ มีตั้งหลายภพภูมิเลยนะ มากกว่า 9 อีก

 

สายคึกคักนี่ ประมาณว่า มึงผิดหมดกูถูกคนเดียว 555555 น่าเอ็นดู ผลิตขายหมด สติกก้งสติกเกอร์ ถุงผ้า กาแฟ อะไรอีก ผ้ากันเปื้อนแก้วกาแฟ เค้กบ้าบออะไรอีก ถ้าไม่มีคนเบรค เดี๋ยวคงทำกางเกงในคึกคักมาขาย บ้านวิสาขา สุชาดา วิเวกมาก คืนละเกือบ2000 ละมั้งตอนนี้ ออกบูต ว่าคนนั้นผิดคนนี้ผิด กูถูกคนเดียวน่าสงสาร สายแกนี่ apple นำมาเลยสงสัยเป็นเพื่อนกะ สตีปจอป อะไรๆ ถ้าแกสั่ง search ปุ๊บไม่มีแกแถเลยไม่ใช่พระพุทธบัญญัติ แต่แกคงลืมไปว่าหนังสือของแกหนะพระพุทธไม่ได้เป็นคนแต่ง อีกอย่างกว่าจะมาถึงแกแก้กันไปไม่รู้กี่รอบ

แต่อย่างว่าผมยังเกือบตามแกไปเลย ไม่ผิดหรอกที่จะมีคนคล้อยตามแกไป เงินทั้งนั้นเจ้านี้

 

อาจจะผู้สงสัยว่าคึกคักทำผิดแต่ทำไมรัฐบาลไม่จัดการ
เอาผิดยังคงปล่อยให้ทำกิจกรรม
นอกพระธรรมวินัย....หรือนอกกฎหมาย
ในบางเรื่องโดยไม่มีการตรวจสอบ

คำตอบก็ง่ายๆ คือลองหันไปดูที่วัดจานบินปทุมธานี
ที่รัฐบาลทุกยุคปล่อยให้ทำผิดพระธรรมวินัย
และผิดกฎหมายมายาวนานกว่า 40 ปี
ทำไมอยู่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
คงต้องรอให้ฝีสุกเต็มที่ก่อนละมัง
แล้วค่อยเคลียร์
แต่โดยปกติคนดังๆ พังเพราะบริวาร

 

ถ้าหากว่า อจ.คึกฤทธิ์ท่านฟังมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเองก็น่าเชื่อ

 

อภิธรรม พระศาสดา เทศน์ให้เทวดาฟัง
เพราะเข้าใจ เห็นภพภูม การจุติของดวงจิตเป็นอย่างดี
ท่านจึงชี้ให้เห็นจิตกุศลเป็นอย่างไร จิตอกุศลเป็นอย่างไร ไปเกิดเป็นอะไร

ส่วนมนุษย์ ยากจะเข้าใจอภิธรรม เพราะตาในบอดสนิท

 

ละสุข ทุกข์ก็ถูกวางลงไป นิพพานก็มารองรับ