มรดกธรรมหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย lionking2512, 5 กรกฎาคม 2010.

  1. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ทาน ศีล ภาวนา

    ทาน คือเครื่องแสดงน้ำใจของมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ด้วยการให้ การเสียสละแบ่งปัน มากน้อยตามกำลังวัตถุ เครื่องสงเคราะห์ที่มีอยู่จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทาน หรือวิทยาทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ นอกจากกุศล คือ ความดีที่ได้จากทานนั้น เป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าของทานได้รับอยู่โดยดีเท่านั้น อภัยทานควรให้แก่กัน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งผิดพลาดหรือล่วงเกิน คนมีทานย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผย และเด่นในปวงชนเป็นที่เคารพรักในหมู่ชน จะตกอยู่ทิศใดย่อมไม่อดหยากขาดแคลน จะมีสิ่งหรือมีผู้อุปถัมน์จนได้ ไม่อับจนทนทุกข์ ผู้มีทานประดับตนย่อมไม่เป็นคนล้าสมัย บุคคลทุกชั้นไม่รังเกียจ ผู้มีทานย่อมเป็นผู้อบอุ่น หนุนโลกให้ชุ่มเย็น การเสียสละจึงเป็นเครื่องค้ำจุนหนุนโลก การสงเคราะห์กันทำให้โลกมีความหมายตลอดไป ไม่เป็นโลกที่ไร้ชาติขาดกระเจิง เหลือแต่ซากแผ่นดินไม่แห้งแล้งแข่งกับทุกข์ตลอดไป

    ศีล คือ รั้วกั้นความเบียดเบียน และทำลายสมบัติร่างกายและจิตใจของกันและกัน ศีล คือ พืชแห่งความดีอันยอดเยี่ยมที่ควรมีประจำชาติมนุษย์ ไม่ปล่อยให้สูญหายไป เพราะมนุษย์ไม่มีศีลเป็นรั้วกั้นเป็นเครื่องประดับตน จะไม่มีที่ซุกหัวนอนให้หลับสนิทได้โดยปลอดภัย แม้โลกเจริญด้วยวัตถุจนกองสูงกว่าดวงอาทิตย์ แต่ความรุ่มร้อนแผดเผา จะทวีคูณยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ถ้ามัวคิดว่าวัตถุมีค่ามากกว่าศีลธรรม ศีลธรรมเป็นเพียงสมบัติของมนุษย์ พระพุทธเจ้าผู้ค้นพบ และนำมาประดับโลกที่กำลังมืดมิดให้สว่างไสว ร่มเย็นด้วยอำนาจศีลธรรมเป็นเครื่องปัดเป่า ความคิดของมนุษย์ผู้มีกิเลสผลิตอะไรออกมาทำให้โลกร้อนจะบรรลัยอยู่แล้ว ยิ่งปล่อยให้ความคิดตามอำนาจโดยไม่มีศีลธรรมเป็นยาช่วยชโลมไว้บ้างจะผลิตยักษ์ใหญ่ทรงพิษขึ้นมากว้านกินมนุษย์ จนไม่มีอะไรเหลืออยู่บ้างเลย ความคิดของคนที่สิ้นกิเลสที่ทรงคุณอย่างสูง คือพระพุทธเจ้า มีผลให้โลกได้รับความร่มเย็นซาบซึ้ง กับความคิดที่เป็นกิเลส มีผลให้ตนเองและผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนจนคาดไม่ถึง ผิดกันอยู่มาก ควรหาทางแก้ไข ผ่อนหนักให้เบาลงบ้าง ก่อนจะหมดทางแก้ไข ศีลจึงเป็นเหมือนยาปราบโรค ทั้งโรคระบาดและเรื้อรัง

    ภาวนา คือการอบรมให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อผลอรรรถธรรมรู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเองและสิ่งทั้งหลาย ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้นความคิดฟุ้งของจิตใจให้อยู่ในเหตุผลอันจะเป็นทางแห่งความสงบสุขใจที่ยังมิได้รับ การอบรมจากภาวนาจึงเปรียบเสมือนสัตว์ที่ยังไม่ได้รับการฝึกหัด ยังมิได้รับประโยชน์จากมันเท่าที่ควร จำเป็นต้องหัดให้ทำประโยชน์ถึงจะได้รับประโยชน์ตามควร ใจจึงควรอบรมให้รู้เรื่องของตัว จึงเป็นผู้ควรแก่การงานทั้งหลาย ทั้งส่วนเล็กส่วนใหญ่ทั้งภายนอกภายใน ผู้มีภาวนาเป็นหลักใจ จะทำอะไรชอบใช้ความคิดอ่านเสมอ ไม่เสี่ยงและไม่เกิดความเสียหายแก่ตนและผู้เกี่ยวข้อง การภาวนาจึงเป็นงานเพื่อผลในปัจจุบันและอนาคต การงานทุกชนิดที่ทำด้วยใจของผู้มีภาวนา จะสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยทำด้วยความใคร่ครวญ เล็งถึงประโยชน์ที่จะได้รับ เป็นผู้มีหลักมีเหตุมีผล ถือความถูกต้องเป็นเข็มทิศทางเดินของกาย วาจา ใจ ไม่เปิดช่องให้ความอยากอันไม่มีขอบเขตเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะความอยากดั้งเดิมเป็นไปตาม อำนาจของ กิเลส ตัณหา ซึ่งไม่เคยสนใจต่อผิด ถูก ชั่ว ดี พาเราเสียไปจนนับไม่ถ้วนประมาณไม่ถูก จะเอาโทษมันก็ไม่ได้ ยอมให้เสียอย่างน่าเสียดาย ถ้าไม่มีสติระลึกบ้างเลยแล้ว ของเก่าก็เสียไป ของใหม่ก็พลอยจมไปด้วย ไม่มีวันฟื้นคืนตัวได้ ฉะนั้นการภาวนาจึงเป็นเครื่องหักล้างความไม่มีเหตุผล ของตนได้ดี วิธีภาวนานั้นลำบากอยู่บ้าง เพราะเป็นวิธีบังคับใจ วิธีการภาวนา ก็คือ วิธีสังเกตุตัวเอง สังเกตุจิตที่มีนิสัยหลุกหลิกไม่อยู่เป็นสุข ด้วยมีสติระลึกรู้ความเคลื่อนไหวของจิต โดยมีธรรมบทใดบทหนึ่ง เป็นคำบริกรรมเพื่อเป็นยารักษาจิตให้ทรงตัวอยู่ได้ด้วยความสงบสุข ในขณะภาวนาที่ให้ผลดีก็มี อานาปานสติ คือ กำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยคำภาวนา พุทโธ พยายามบังคับใจให้อยู่กับอารมณ์แห่งธรรมบทที่นำมาบริกรรมแห่งภาวนา พยายามทำอย่างนี้ด้วยความสม่ำเสมอด้วยความไม่ลดละความเพียร จิตที่เคยทำบาปหาบทุกข์เสมอจะค่อยรู้สึกตัว และปล่อยวางไปเป็นลำดับ มีความสนใจหนักแน่นในหน้าที่ของตนเป็นประจำจิตที่สงบตัวลงเป็นจิตที่มีความสุขเย็นมากและจำไม่ลืม ปลุกใจให้ตื่นตัวได้อย่างน่าประหลาด เมื่อพูดถึงการภาวนา บางท่านรู้สึกเหงาหงอยน้อยใจว่าตนมีวาสนาน้อยทำไม่ไหว เพราะกิจการธุระทั้งภายในบ้านและนอกบ้านตลอดจนงานสังคมต่างๆ ที่ต้องเป็นธุระ จะมานั่งภาวนาหลับตาอยู่เห็นจะไม่ทันอยู่ทันกินกับโลกเขา ทำให้ไม่อยากทำประโยชน์ที่ควรได้จึงเลยผ่านไป ควรพยายามแก้ไขเสียบัดนี้ แท้จริงการภาวนาคือ วิธีแก้ความยุ่งยากลำบากใจทุกประเภทที่เป็นภาระหนัก ให้เบาและหมดสิ้นไปได้ อุบายมาแก้ไขไล่ทุกข์ออกจากตัว การอบรมใจด้วยภาวนาก็เป็นวิธีหนึ่งในการรักษาตัว เป็นวิธีที่เกี่ยวกับจิตใจผู้เป็นหัวหน้างานทุกด้าน จิตจำต้องเป็นตัวรับภาระแบกหาม จิตต้องรับภาระทันที ดี ชั่ว ผิด ถูก หนัก เบา เศร้าโศรกเพียงใด บางเรื่องแทบเอาชีวิตไปด้วย ขณะนั้นจิตใจยังกล้าเอาตัวเข้าเสี่ยงแบกหามจนได้ มิหนำซ้ำยังหอบเอามาคิดเป็นการบ้านอีกจนนอนไม่หลับรับประทานไม่ได้ก็มี คำว่าหนักเกินไปยกไม่ไหวเกินกำลังใจจะคิดและต้านทานนั้นไม่มี งานทางกายยังมีเวลาพักผ่อนนอนหลับ และยังรู้ประมาณว่าควรหรือไม่ควรแก่กำลังของตนเพียงใด ส่วนงานทางใจไม่มีเวลาพักผ่อนเอาเลย พักได้เล็กน้อยขณะนอนหลับเท่านั้น แม้เช่นนั้นจิตยังอุตส่าห์ทำงานด้วยการละเมอเพ้อฝันต่อไปอีก ไม่รู้จักประมาณเรื่องต่างๆ นั้นควรแก่กำลังใจของตนเพียงใด เมื่อเกิดอะไรขึ้นทราบแต่ว่าทุกข์เหลือเกิน ไม่ทราบว่าทุกข์เพราะงานหนัก และเรื่องเผ็ดร้อนเหลือกำลังจะสู้ไหว ใจคือนักต่อสู้ ดีก็สู้ ชั่วก็สู้ สู้จนไม่รู้จักหยุดยั้งไตร่ตรอง สู้จนไม่รู้จักตาย หากปล่อยไปโดยไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง คงไม่ได้รับความสุข แม้จะมีสมบัติก่ายกอง

    ธรรม เป็นเครื่องปกครองสมบัติและปกครองใจ ถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว ความอยากของใจจะพยายามหาทรัพย์ได้กองเท่าภูเขาก็ยังหาความสุขไม่เจอ ไม่มีธรรมในใจเพียงอย่างเดียวจะอยู่ในโลกใดกองสมบัติก็เป็นเพียงโลก เศษเดนและกองเดนสมบัติเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรแก่จิตแม้แต่นิด ความทุกข์ทรมาน ความอดทนทนทาน ต่อสิ่งกระทบกระทั่งต่างๆ ไม่มีอะไรจะแข็งแกร่งเท่าใจ ถ้าได้รับความช่วยเหลือที่ถูกทาง ใจจะกลายเป็นของประเสริฐ ให้เจ้าของได้ชมอย่างภูมิใจต่อเรื่องทั้งหลายทันที

    จิต เป็นสมบัติที่สำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแลด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิตอันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน ิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะ ก็คือการภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควรตรวจดูจิตว่า มีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมแซม จิต คือ นั่งพินิจพิจจารณาดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่าคิดอะไรบ้าง ในวันและเวลาที่นั่งๆ มีสารประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่องหาทุกข์ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด ถูก ของตัวบ้างไหม พิจาารณาสังขารภายนอกว่ามีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารร่างกายมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดลงไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการ ให้ท่องอยู่ในใจเสมอว่า เรามีความแก่ เจ็บ ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน ป่าช้าอันเป็นที่เผาศพภายนอกและป่าช้าที่ฝังศพภายใน คือตัวของเราเองเป็นป่าช้าร้อยแปดพันเก้าศพ ที่นำมาฝังหรือบรรจุจะอยู่ในตัวเราตลอดเวลาทั้งศพเก่าศพใหม่ทุกวัน พิจารณาสังเวช พิจารณาเป็นอารมณ์ ย่อมมีทางถอดถอนความเผลอเย่อหยิ่งในวัย ในชีวิต และวิทยฐาณะต่างๆออกได้ จะเห็นโทษแห่งความบกพร่องของตัว และพยายามแก้ไขได้เป็นลำดับมากกว่าที่จะไปโทษของคนอื่น แล้งมานินทาเขาซึ่งเป็นความไม่ดีใส่ตน นี่คือการภาวนา คือวิธีเตือนตน สั่งสอนตน ตรวจตราดูความบกพร่องของตน ว่าควรแก้ไขจุดใด ตรงไหนบ้าง ใช้ความพิจารณาอยู่ทำนองนี้เรื่อยๆ ด้วยวิธีสมาธิภาวนาบ้างด้วยการรำพึงในอิริยาบทต่างๆ บ้าง ใจจะสงบเย็นไม่ลำพองผยองตัว และไม่นำความทุกข์มาเผาลนตนเอง เป็นผู้รู้จักประมาณในหน้าที่การงานที่พอเหมาะพอดี แก่ตัว ทั้งทางกาย และทางใจ ไม่ลืมตัวมั่วสุมในสิ่งที่เป็นหายนะต่างๆคุณสมบัติของผู้ภาวนานี้มีมากมาย ไม่อาจพรรณาให้จบสิ้นได้

    ทาน ศีล ภาวนา ธรรมทั้งสามนี้ เป็นรากแก้วของความเป็นมนุษย์ และเป็นรากเหง้าของพระศาสนา ผู้เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องเป็นผู้เคย สั่งสมธรรมเหล่านี้มา อยู่ในนิสัยของผู้มาสวมร่างเป็นมนุษย์ที่สมบูณณ์ด้วยมนุษย์สมบัติอย่างแท้จริง


    ที่มา ตามรอยพระอริยเจ้า หลางปู่มั่น ภูริทัตโต มงกุฏพระป่าแห่งสยามประเทศ โดย ดำรงธรรม
    สำนักพิม ไทยควอลลิตี้บุ้ค จำกัด
     
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ทาน ศีล ภาวนา หมั่นรักษาไว้อย่าให้ขาดกันนะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...