มาออกกำลังจิต ... กันครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย SONICx, 9 พฤศจิกายน 2009.

  1. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    <meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8"><meta name="ProgId" content="Word.Document"><meta name="Generator" content="Microsoft Word 11"><meta name="Originator" content="Microsoft Word 11"><link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Tahoma; panose-1:2 11 6 4 3 5 4 4 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:1627421319 -2147483648 8 0 66047 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 55.3pt 72.0pt 63.0pt; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
    ถ้าตั้งใจจริงก็มีผล<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทาน ศีล สมาธิ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเกื้อกูลกันและกัน
    1)ทาน(สละอารมณ์) <o:p></o:p>

    2)ศีล(ความสงบของกาย วาจา ใจ)
    3)สมาธิ(การทำจิตไม่ให้ซัดส่ายไปกับอารมณ์เพื่อพบใจที่เที่ยงธรรม)
    4)ฌาน(เป็นการเพ่งเข้าไปในอารมณ์เพื่อพบเอกัคคตารมณ์)
    5)ญาน(คือการรู้แจ้งด้วยปัญญาที่รู้ในความจริง)
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จิต ไม่ใช่สสาร ไม่ใช่พลังงาน แต่มันเป็น " ธาตุรู้ "ที่สามารถสะสมพลังงานได้... มันทำงานโดยผ่านทางรูป และขันธ์ เพื่อก่อภพ ก่อชาติ สืบต่อเนื่องกันไป ท่านลองหลับตาดูซิ แล้วคิดสมมติไปว่า มีสิ่งๆหนึ่งที่อยู่ในกายเนื้อนี้ ที่สิงอยู่และอาศัยกายเนื้อทำงาน มีช่องทางที่จะติดต่อสื่อสารกับโลกข้างนอกได้คือ อายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ท่านคงจำได้ว่า ธาตุ4 และขันธ์อีก 4 ขันธ์ มีอะไรบ้าง (ธาตุ4 มี ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่รวมมาเป็นร่างกายนี้ และขันธ์อีก 4 ขันธ์ละ ก็มี<o:p></o:p>
    เวทนา= สุข,ทุกข์,เฉยๆ <o:p></o:p>
    สัญญา = ความจำได้หมายรู้<o:p></o:p>
    สังขาร = ความนึกคิด ปรุงแต่ง<o:p></o:p>
    วิญญาณ= การรับรู้ จากอายตนะ<o:p></o:p>
    เอ้า ลองคิดทวนย้อนดูนะครับ ...<o:p></o:p>
    พอมีอายตะภายนอกเข้ามาสัมผัส วิญญาณก็เกิด<o:p></o:p>
    พอรับรู้แล้วก็นึกคิดปรุงแต่ง สังขารเกิดแล้ว<o:p></o:p>
    พอนึกคิดแล้วก็ให้ค่า ตีค่า ว่าสิ่งนี้คืออะไร พอจำได้ สัญญาเกิด <o:p></o:p>
    จากสิ่งที่เคยจำได้นี้มันเป็นไงละ ถ้าชอบก็สุข ไม่ชอบก็ทุกข์ฯ อารมณ์ก็มีขึ้น เวทนาเกิด<o:p></o:p>
    พอเกิดสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ(เวทนาเกิด) ก็ส่งผลมาที่กาย ผ่านระบบต่างๆในร่างกาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยเฉพาะระบบประสาท ก่อให้เกิดการแสดงออกผ่านทางกายเนื้อ... <o:p></o:p>
    แต่สิ่งที่ว่ามานี้มันเกิดเร็วมาก! จนเราเราไม่รู้เลยว่ามันมีขั้นตอนยังไง ?<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แต่ในช่องทางของอายตะนะทั้ง 6 ทางนั้น มีอยู่ 1 ช่องทางที่มีอำนาจที่สามารถล่อจิต ให้ไปสะสมอารมณ์ นั่นก็คือ ใจ( ในที่นี้ขออธิบายส่วนหยาบ นั่นก็คือ ความคิด นั่นเอง )วันทั้งวันเราคิดอะไรบ้างก็ไม่รู้ เยอะมาก ไม่รู้กี่เรื่องๆ ลองทำแบบนี้ดูซิครับ <o:p></o:p>
    หาสมุดพกมาซักเล่มกับปากกา หรือดินสอ ติดกระเป๋าไว้ตลอด วิธีการคือ<o:p></o:p>
    1. ตอนเช้าให้ตั้งความคิดตนเองไว้ที่ลมหายใจ จะภาวนาก็ได้<o:p></o:p>
    2. พอคิดแว๊ป ออกไปเรื่องอื่น คือไม่อยู่กับลมหายใจ แล้วพอมีสติรู้ว่าคิดไปไหนต่อๆแล้ว ก็จดบันทึกเรื่องที่ตนคิดไปนั้น เป็นครั้งที่ 1 แล้วก็กลับไปที่กำหนดรู้ลมหายใจ อีก พอคิดแว๊ปออกไป ก็จดอีก ไปเรื่อยๆ <o:p></o:p>
    3. พอตอนเย็นก็เอาเรื่องที่ท่านคิดนั้นมาพิจารณาดู ท่านจะแปลกใจว่า ...เวรกำ วันทั้งวันเรา คิดเรื่องอะไรบ้างเนี่ย... ไมมันเยอะขนาดนี้ ถ้าลองวันแรกใครจดได้ทุกเรื่องท่านจะ แปลกใจอย่างมาก..<o:p></o:p>
    4. วันต่อมาให้ท่านทำอย่างนั้นอีก ไปประมาณ 1 สัปดาห์ ในช่วงนี้ขอให้ท่านเข้าสมาธิ ด้วย ซึ่งถ้าให้ดีให้ใช้การฝึกกสิณ โดยใช้อาณาปาณสติเป็นบาทฐาน.. หรือพรมวิหารธรรม.. ไม่งั้นไปไม่ถึงฌาน 4 แต่หากท่านใดจะใช้อาณาปาณสติก็ได้ แต่ถ้าใช้ อาณาปาณสติ(รู้ลมหายใจ) เวลาเริ่มส่วาง คือ ถ้าทำสมาธิถึงระดับหนึ่งเวลาหลับตาจะไม่มืด ถ้าหลับตายังมืด ก็ยังไม่ไปถึงไหน เมื่อสว่างก็ขอให้เพ่งในความสว่างนั้น ความว่างนั้น แล้วบีบเป็นดวงกลมใสๆให้ได้ ไม่งั้นเวลาเข้าครั้งต่อไป มาไล่ใหม่เจ๊งเลย ( บอกเลยว่า ยากมากๆๆๆๆๆๆๆ ฌาน 4 ในอาณาปาณสติ ) คนส่วนใหญ่ติดแค่อุปจารสมาธิขั้นละเอียด.<o:p></o:p>
    5. พอทำไปเรื่อยๆประมาณ 1 เดือน ท่านจะแปลกใจว่าท่านสามารถเข้า ฌานได้<o:p></o:p>
    6. แล้วให้ฝึกเข้าฌาน ออกฌานให้คล่อง ให้เร็ว ตามแบบ.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การฝึกเริ่มต้นแบบนี้ เริ่มจากการฝึกสติ.. โดยตั้งอารมณ์ในอาณาปาณสติ เป็นสมถะอย่างยิ่งยวด เมื่อเราได้ตามรู้ ความคิดเรา อย่างอธิบายตั้งแต่ขั้นต้น แล้วไม่ปล่อยให้ความคิดนั้นพัฒนาจนเป็นอารมณ์ สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ มันจะหดสั้นเข้าๆๆๆ จนรวมเป็นหนึ่งในทุกครั้งที่เราต้องการ<o:p></o:p>
    **มีความคิดและอารมณ์ประเภทหนึ่งที่ก่อให้จิตนี้สะสมทุกข์ คือโลภ โกรธ หลง<o:p></o:p>
    **มีความคิดและอารมณ์ประเภทหนึ่งที่ก่อให้เกิดสุข คือ<o:p></o:p>
    1)ทาน(สละอารมณ์ยึดติดในทรัพย์) <o:p></o:p>
    2)ศีล(ความสงบของกาย วาจา ใจ)
    3)สมาธิ(การทำจิตไม่ให้ซัดส่ายไปกับอารมณ์)
    4)ฌาน(เป็นการเพ่งเข้าไปในอารมณ์)
    ***และมีความคิดและอารมณ์อีกประเภทที่ไม่ติดในสุข ในทุกข์คือ จิตนี้ไม่มี ทำลายผู้รู้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    โมทนาบุญด้วยสำหรับท่านที่เริ่มฝึก ขอให้เจริญในธรรม..<o:p></o:p>
    ครั้งต่อไป ผมจะเล่าแบบฝึกต่อจากการได้กำลังของฌานนี้ เชื่อแน่เลยว่า เป็นเครื่องอยู่ที่ น่าสัมผัส แต่ไม่ให้ยึดติด เช่น การถอดจิต การสัมผัสรู้ด้วยใจ..<o:p></o:p>
     
  2. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    ลองทำดูครับ ไม่ยากหรอก
     
  3. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,480
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    ขอบคุณมากครับ เป็นประโยชน์กับผมมากครับ เจริญในธรรมครับ
     
  4. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    ต้องหาเครื่องอยู่ แล้วค่อยดูความรู้สึก ความคิดตนเอง (จิต)

    <o></o>ถ้าไม่ให้จิตมีเครื่องอยู่ หรือผูกไว้ ( นักปฏิบัติทั่วไปมักใช้ อาณาปานสติ) ระวังมันเป็นแค่การโดดจากความคิดหนึ่ง ไปสู่อีกความคิดหนึ่ง <o></o> ผลจากวิญญาณที่ผ่านเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ที่สำคัญคือใจ แล้วแต่ละวัน สิ่งที่มากรทบมีอะไรบ้าง มันเยอะมาก เยอะเสียจนทำให้จิตรวมตัวเป็นหนึ่งได้ยากมาก <o></o>
    ตัวอย่างเช่น <o></o>
    ในขณะที่เรากำลังนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นี้ สังเกตไหมว่า ตา มองไปที่ จอคอมพิวเตอร์ แสงที่มากระทบตา ถ้าไม่คิด แล้วตีค่าจากความจำได้ของเรา เราไม่รู้เลยว่านี่คืออะไร ไม่มีความหมาย แล้วตาที่เรามองออกไป แสงที่ตกกระทบเข้ามา ในจอประสาทตามีอะไรบ้าง แค่มองที่โต๊ะคอมพิวเตอร์เราซิ มีอะไรบ้างบนโต๊ะ แล้วเรารู้ไปพร้อมๆกันมันเร็วมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆแค่ไหน เร็วกว่าแสงอีก.บางทีเห็นรูป แล้วคิด จำได้ว่าเป็นชาย หญิง ว่าคนนั้น คนนี้ ให้ค่าว่า สวย ขี้เหร่ แล้วก็ชอบ หรือไม่ชอบ ปรุงแต่ง เกิดอารมณ์ต่อไป<o></o>
    ( นี่ขั้นตอนคร่าวๆ. . จริงๆ มันเยอะกว่านี้มากๆๆๆๆๆๆๆ ถี่ยิบ..)<o></o>
    คงพอมองออกว่า จิตเรากระจัดกระจายขนาดไหน<o></o>
    อายตนะ 5 อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันต้องผ่านกระบวนการ ขั้นตอนข้างต้น แต่มันไวมาก เป็นลำดับขั้นของมัน มันไม่ได้ทำงานแบบแยกส่วน มันทำงานพร้อมๆกัน แต่มีอายตะนะ อีกหนึ่งช่องทางที่ไว และสมสมอารมณ์ให้จิตได้มากกว่าทางทั้ง 5 อีก คือ ใจ ( อธิบายส่วนหยาบ คือความคิดดีๆนี่เอง ) มันคิด แล้วก่อเรื่องก่อราว มารบกวนจิต สะสมอารมณ์ให้จิตได้อย่างยอดเยี่ยม.<o></o>
    เพราะฉะนั้นต้อง หาเครื่องอยู่ให้จิต อย่าให้ส่งความคิด ออกไปข้างนอก ถ้าส่งออกนอกก็รู้ว่าส่งออกไป<o></o>
    ตาดู ก็รู้ว่าดู สักแต่ว่าดู<o></o>
    หู ฟังก็รู้ว่าฟัง สักแต่ว่าฟัง<o></o>
    จมูก ได้กลิ่น ก็รู้ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้กลิ่น<o></o>
    ลิ้นรับรส ก็รู้ว่ารับรส สักแต่ว่ารับรส<o></o>
    ผิวสัมผัสก็รู้ว่าสัมผัส สักแต่ว่าสัมผัส<o></o>
    ที่ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส กายได้สัมผัส มันผ่านขั้นตอนจาก<o></o>
    วิญญาณ- สังขาร- สัญญา ( รับสัมผัส – คิดนึก ปรุงแต่ง- จำได้ หมายรู้ )มาแล้วทั้งนั้น แต่เวทนา คือ สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ จะเกิดหรือไม่นั้น มันขึ้นกับว่าสิ่งที่มากระทบนั้นมันคืออะไร และระดับรุนแรงแค่ไหน กับบุคคลนั้นๆ<o></o>
    <o></o>
    **การหาเครื่องอยู่ให้จิต อาจใช้ กำหนดรู้ลมหายใจก็เป็น การฝึก สมาธิ ( อาณาปานสติกรรมฐาน) อย่างยิ่งยวด<o></o>
    ** เมื่อตามดู ตามรู้มันไปเรื่อยมัน เป็นการฝึกมหาสติ อย่างยิ่งยวด<o></o>
    ** เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว ไม่ยากเลยที่จะยก องค์กรรมฐานในวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อทำลายกิเลสให้สิ้นไป..<o></o>
    ขอโมทนาบุญทุกท่านที่ บำเพ็ญเพียร ขอให้เจริญในธรรม <o></o>
     
  5. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    ตื่นในฝัน ไปเที่ยวที่แปลกๆ

    สิ่งที่ผมจะเล่านี้ ขอให้เข้าใจว่านี่เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวผมเอง เป็นสิ่งที่พี่อ้อง ที่ผมเคารพ ถ่ายทอดผมมาอีกทอดหนึ่ง และสามารถใช้ได้จริง เกิดขึ้นจริง
    หลายคืน ที่ออกตะเวนเที่ยว ทั้งที่สามารถกำหนดที่ตนจะไปได้ และไม่สามารถกำหนดที่ๆจะไปได้ แต่ส่วนมาก จะไม่สามารถหลุดออกไปโดยตนเองกำหนดที่ไปได้ มีเพียง 2-3 คร้งเท่านั้น ที่ไปได้ มันเป็นเรื่องที่แปลก หลังจาก ไหวพระ สวดมนต์เสร็จ เข้าสมาธิในกสิณ หลังจากนั้นก็แผ่เมตตา ด้วยเมตตาอัปปมาณฌาน บางทีก็ได้แค่ เมตตาอุปจารสมาธิ (..ฮิๆๆ ส่วนมากได้แค่นี้ ) เพราะหากวันใดหลุดไปในฌาน วันนั้น กำหนดที่ๆจะไปได้ ... ล้มตัวลงนอน หัวถึงหมอนก็จบลมหายใจ เข้า-ออก พร้อมกับคำภาวนา พอเคลิ้มๆสักพัก ก็กำหนดความรู้สึกมาที่กึ่งกลางหว่างคิ้ว ซึ่งพี่อ้องบอกว่าเป็นจุดตื่น ก็พยายามมีสติให้มาก เพราะกำลังโดนดูดเข้าไปในภวังค์ และแล้ว ก็วูบหลับไป และตกไปในภวังค์เรียบร้อย ..ไม่นานก็มาโผล่ในอีกที่ๆหนึ่ง ที่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่า บ้านเมืองเขา หลังใหญ่โต สวยงามมาก และล่าสุดเลย เมื่อวาน ไปเมืองๆหนึ่ง เขากำลังจัดงาน มีหญิงสาว แต่งตัวสวยงาม ฟ้อนรำกันเป็นกลุ่มๆ เป็นวงกลม หลายกลุ่ม สีสรรเครื่องประดับแพรวพราว...สวยงาม ได้พูดคุยกับเขาด้วย แต่ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป แต่เหมือนกำลังพูดคุยกำเขาเหล่านั้น ก็เลยเข้าใจว่า อืม. นี่เองที่เขาบอกว่าสื่อสารด้วยจิต ท่านเหล่านั้นมีไมตรีจิตดีมาก แล้วท่านก็พาไปเที่ยวหลายต่อหลายที่.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...