รู้ได้อย่างไรว่ากินผักไม่บาป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เอาฮา, 10 พฤศจิกายน 2011.

  1. เอาฮา

    เอาฮา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +19
    รู้ได้อย่างไรว่ากินผักไม่บาป

    อะไรคือความต่างระหว่าง
    การถอดปลั๊กของคนที่นอนป่วยเป็นเจ้าชายนิทรา กับ การเด็ดต้นคะน้า1ต้น
     
  2. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    ข้ออ้างของคนยังละเนื้อสัตว์ไม่ได้
     
  3. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291

    เอาฮารึ.....
     
  4. Sgman

    Sgman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +12
    บาปหรือไม่อยู่ที่ใจ
    พระอรมันต์กินเหล้ายังไม่บาปเลยเพราะท่านทำด้วยจิตที่ว่าง
     
  5. phank

    phank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +1,278
    ทำไมถึงคิดว่ากินผักนั้นบาป

    สิ่งใดที่ไม่มีวิญญาณครองนั้นเรียกว่าสิ่งไม่มีชีวิต

    เจ้าชายนิทรา ไม่ได้สติเพราะกายสังขารผิดปกติ แต่ดวงจิตยังคงข้องเกี่ยวอยู่กับกายนั้น ซึ่งจิตกับกายจะแยกกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อกายนั้นได้สิ้นลมหายใจจริงๆ ดังนั้นการทำให้กายสังขารใดไม่ได้ดับด้วยตัวของมันเองจึงเป็นอกุศลกรรม
     
  6. nid2522

    nid2522 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +248
    กินผักคงไม่บาปมั้ง ไม่เคยได้ยินว่ามี ผี ผัก นะ เหมือน คุณ phank ว่า ไม่มีวิญญาณ ถ้าบาปนะ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องกินอะไรแล้วอ่ะ :-s
     
  7. เซียนถง

    เซียนถง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +126
    ผมเป็นคนหนึ่งที่กินเจทุกวันติดต่อกันมาเป็นเวลา 12 ปี แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอานิสงส์ของการกินเจก็ดี หรือหลักการอะไรก็ดี มีหลายๆข้อที่ผมคิดว่ามันยังแตกคำถามออกมาได้อีกผมไม่ขอกล่าวในที่นี้ แต่ผมก็ยังกินเรื่อยๆ มา จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมลองตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่า คุณเชื่อหรือไม่ว่า คำถามของผมทั้งหมดมันจบลงที่การปฏิบัติแค่เพียง 15 วัน และผมยังบอกกับตัวเองว่า ตลอดเวลา 12 ปีที่ผ่านมานั่นเทียบไม่ได้เลยกับการปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพียงแค่วันเดียว หรือเสี้ยวหนึ่งก็เทียบไม่ติด ผมจึงตัดสินใจเลิกกินเจ คำว่าเลิกนี้คือเลิกเข้าใจคำว่า เจ คือสำหรับผมแล้วในโลกใบนี้ไม่มีอาหารเจ คนเราไปกำหนดสิ่งที่เรามองเห็นหรือรู้ว่าอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์นั่นเป็นอาหารเจ สำหรับผมแล้วมันไม่มีคำว่าเจ เจมันเกิดจากคนเอาใจไปเกาะมันเฉยๆ ที่จริงแล้วมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยอยุ่ทุกทีทุกแห่ง ในน้ำก็มี ผมว่าสำคัญอยู่ที่การปล่อยวาง และเจตนาของเรามากกว่าที่จะเป็นการสร้างกรรม ชีวิตผมจึงเปลี่ยนไป คำว่าเจ ไม่มีสำหรับผมอีกต่อไป แต่ผมก็ยังกินอาหารที่หลายๆคนเรียกว่าเจ บางครั้ง และก็กินปรกติ โดยที่ผมละเว้นในกฏที่ว่า ไม่สั่งเขาฆ่า ไม่เจาะจง และไม่สงสัย ทุกวันนี้ผมไม่มีคำถามอีกแล้ว นอกจากว่าจะทำอย่างไรที่จะให้การปฏิบ้ติธรรมก้าวหน้าขึ้นไป ในกรรมฐานที่ผมปฏิบ้ติอยุ่ ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะเรื่องความเมตตาสงสาร ซึ่งมีอยู่ใน พรหมวิหาร 4 แต่เราต้องเข้าใจจริงๆซึ่งเป็นความเห็นตรง และเป็นสัมมาทิฐิ

    "ทางอันประเสริฐนะมีอยู่แล้ว เพียงแต่คนเรานะมองไม่เห็น เอาใจที่มีทิฐิของเราไปเกี่ยวข้อง แล้วเข้าใจว่านี้คือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะมันเหมาะกับทิฐิของเรา โดยที่ไม่มีความเห็นถูกอยู่ในนั้น กรรมฐานทั้ง 40 กองนะทำไปเถิดผลก็จะเกิดขึ้นเอง การอ่านแต่ตำราสิ่งที่ได้คือสัญญา แต่การปฏิบ้ติสมาธิสิ่งที่ได้คือ ปัญญา"

    จิตสุดท้ายก่อนตายเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะไปที่ไหน นอกเสียจากทำอนันตริยกรรมและก็ฆ่าตัวตายทรงกำลังญาณขนาดไหนก็ลงนรก นอกนั้นขึ้นอยู่กับวาระจิตสุดท้าย ทำความผิดบาปมาเยอะสุดท้ายคิดถึงบุญจิตเกาะพระรัตนะตรัยได้ก็ไปรับผลบุญก่อนตามกำลังของจิต ส่วนกรรมนั้นยังมีอยู่ไม่หายไป ทำความดีทำบุญมาเยอะวาระสุดท้ายจิตไปเกาะสิ่งที่เป็นอกุศล ก็ต้องรับกรรมก่อนเป็นแน่ ส่วนบุญนั้นรอไปก่อนยังไม่หายไปไหน นี่คือสิ่งที่ผมได้จากการปฏิบ้ติ

    ผมเขียนจากประสบการณ์การปฏิบ้ติธรรมของผม ถึงแม้ไม่รู้ว่าผมทำไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่ผมสบายใจที่ได้หายใจพร้อมๆกับ "พุธโธ" อยู่เสมอๆ
    สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
  8. AUTO11

    AUTO11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +105
    เพราะยึดสมมติ เพราะติดบัญญัติ จึงก่อเกิดลังเลสงสัย นำไปสู่การหลงลืมกาลามาสูตร
    อันเป็นข้อห้ามจะที่นำไปสู่ธรรมชาติ จึงควรค้นหาธรรมชาติเมื่อเข้าใจธรรมชาติจึงจะเข้าถึงธรรมชาติ ธรรมชาติที่มีอยู่ในทุกหนแห่ง
    แต่กว่าจะเข้าใจเราคงต้องเวียนว่ายอยู่อีกหลายหมื่นพันชาติภพ
    บุญ-บาป คงบอกแทนกันไม่ได้ เพราะสุขที่เป็นบุญของคนหนึ่งอาจเป็นบาปทุกข์ของคนอีกคนหนึ่ง การไม่เบียดเบียนเท่านั้นที่จะไม่ก่อบุญบาป อันมีเจตนาเป็นที่ตั้ง
    ดังนั้น จะบุญหรือบาป จขกท.เท่านั้นที่ตอบได้...
     
  9. ไฟฉาย

    ไฟฉาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +112
    แต่เด็ดคน้าง่ายกว่านะ ไม่เคยไม่รู้หรอกกะการเป็นคนถอดปลั๊กผู้ป่วยที่เป็นญาติสนิทของเรา
     
  10. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่า "รู้" เสียก่อน เพราะบางที คนๆหนึ่ง ก็คิดว่าตัวเองรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่จริงๆแล้ว อาจไม่ใช่ "รู้" แต่อาจเป็นการที่ คนๆนั้นปรุงแต่งและเข้าใจผิดไปเอง

    ถ้าเราอยากจะรู้ว่าอะไรจริงไม่จริง ก็ต้องทำให้ใจเป็นกลางและทำให้จิตว่าง แล้วเมื่อนั้น ปัญญาจะเกิด แล้ว ความรู้ ก็จะมา

    ------


    ในสภาพของโลกเรา อาจคิดว่า พืชไม่เจ็บ เจ้าชายนิทราไม่เจ็บ แต่สัตว์และคนธรรมดา เจ็บได้ ทรมานได้

    บางคนถือศีล ๕ โดยการท่อง ท่องจำ และจดจำว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ท่องและปฏิบัติไปตาม "ตัวอักษร" ที่ถูกบันทึกไว้ โดยไม่ได้เข้าใจเลยว่า ผู้ที่บัญญัติศีล ๕ ขึ้นมา ท่านมีวัตถุประสงค์อะไร



    วัตถุประสงค์ของการถือศีล คือเพื่อให้พวกเรา มีจิตใจที่บริสุทธิ์ มีเมตตา กรุณา และไม่เบียดเบียนสรรพสิ่ง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและเป็นทุกข์

    ถ้าเราดำรงชีวิตอยู่บนความเข้าใจนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องถือศีล ๕ เพราะศีล ๕ กำหนดขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่ ไม่สามารถแยกแยะว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร

    ---


    แล้วถ้า คุณ จขกท. อยากจะ"รู้"ว่า การถอดปลั๊กเจ้าชายนิทรา และการตัดต้นไม้ มันบาปหรือไม่ มันผิดหรือไม่..

    คุณก็ต้อง "รู้" ด้วยปัญญา การรู้ด้วยปัญญา ไม่ใช่การอ่านหนังสือ แล้วเอาตัวหนังสือเอาข้อความในหนังสือไปตีความ แต่การรู้ด้วยปัญญา คือการทำจิตให้ว่าง ทำใจให้เป็นกลาง (พูดง่ายๆคือ ปัญญาเกิดได้จากการทำสมาธิ นั่นเอง) แล้วเดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่า มันบาปหรือไม่บาป


    ถ้าคุณได้เกิดมาเป็นต้นไม้ ที่มีดอกสวยงาม เวลามีคนมาเด็ดดอกไม้จากต้นของคุณ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่คุณจะรู้สึกเศร้าใจที่มีคนทำลายชีวิตของคุณ แต่หากคนที่เด็ดดอกไม้จากต้นของคุณ เขานำดอกไม้ของคุณไปช่วยชีวิตคน คุณจะไม่รู้สึกเศร้า แต่คุณจะรู้สึกเป็นสุขใจ ที่ดอกไม้จากต้นคุณ ได้ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น

    ถ้าคุณเกิดเป็นผัก หากมีสัตว์หรือมนุษย์มาเดินเหยียบใบของคุณ คุณจะรู้สึกแย่ แต่คุณจะไม่เจ็บ แต่หากมีคนมาเด็ดใบของคุณไปปรุงอาหารให้กับพระสงฆ์ หรือไปปรุงอาหารให้กับผู้ป่วย คุณจะรู้สึกภูมิใจและดีใจ

    ต่างจาก สัตว์.. สัตว์ จะมีความรู้สึก "เจ็บ" ร่วมด้วย ไม่ใช่แค่รู้สึกทางใจ แต่.. เจ็บทางกายด้วย

    ดังนั้น พระพุทธเจ้า จึงได้สั่งให้พระสงฆ์ ห้ามตัดต้นไม้ ห้ามเด็ดดอกไม้ใบไม้ เพราะพวกเขาล้วนเป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีความรู้สึกนึกคิด

    แต่.. สัตว์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ "เจ็บ"

    ดังนั้น.. หากคุณเกิดเป็นสัตว์ แล้วมีคนมาตัดขาคุณไปปรุงเป็นอาหาร คุณจะไม่ได้แค่รู้สึกเสียใจ แต่คุณจะเจ็บและทรมานจากบาดแผลด้วย แล้วจะเกิดเป็นความ อาฆาตแค้น

    ----

    สิ่งเหล่านี้ ถ้าเล่าไปแล้ว เอาแต่อ่านแต่ฟังจากคนอื่น ก็จะกลายเป็นแค่ "ความเชื่อ" แต่ความเชื่อ จะเปลี่ยนเป็นความรู้ ทันที เมื่อคุณมี "ปัญญา" ที่จะรู้ได้ด้วยตนเองว่า สิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2011
  11. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    กินอะไรก็กินไปเถอะ ไม่ผิดไม่บาปหรอก
    อย่ายึดมั่นถือมั่น เดี๋ยวมันจะกลายเป็นการเจริญอัตตา...นะ...
    กลัวบาปก็ดีแล้ว อย่าลืมทำบุญเยอะๆ...นะ...
     
  12. เอาฮา

    เอาฮา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +19
    รู้ได้อย่างไรว่าพืชไม่มีความรู้สึกไม่มีจิต เอากระบวนการรับรู้ความรู้สึกของสัตว์เป็นตัวตั้งหรือ
     
  13. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    จริงจัง หรือเอาฮา...
    เรื่องแบบนี้ รู้ไปก็เท่านั้น โน๊ะ
    ยังไงก็ต้องกินอยู่ดีแหล่ะ หุหุ^-^
     
  14. mojito544

    mojito544 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +2,345
     
  15. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
    พืชบางอย่างเด็ดแล้วก็เจริญงอกงามต่อ พืชผักมีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณ สัญชาตญาณการรักชีวิตเหมือนกับสัตว์ และที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินท่านใดพูดว่ามีผีผักชี ผีกะหล่ำปลี (ขำๆ นะครับ) หากเราเห็นเขากำลังถูกฆ่าเราคงกินเค้าไม่ลงเหมือนกันว่ามั้ยครับ ^^
     
  16. เอาฮา

    เอาฮา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +19
    ผมได้ยินเสียงพืชร้องครวญคราง มันบอกว่าเราโง่ที่ไม่รู้ว่ามันก็มีจิตวิญญาน
     
  17. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    834
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ระยะเวลาอันไกล้มนุษย์กินเนื้อสัตว์ไม่ได้แล้ว คนที่ยังมีข้ออ้างกินเนื้อหมดเวลาของเขาแล้วครับ จะเห็นว่าพระผู้มีฌาน ญาณ หลายๆท่านเลือกที่จะฉันมังสวิรัติ และสอนให้ศิษย์งดเนื้อสัตว์ เช่น หลวงตาดำ อายธัมโม /พระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโน/ หลวงพ่อจรัญ /วัดเขาสมโภชน์ /วัดถ้ำฮวงโป/วัดถ้ำศรีสรรเพชร/พระสังฆราช/หลวงพ่อสุทัศน์/ ฯลฯ
     
  18. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    เค้าก็มีการทดลองกันแล้วนะ ว่าพืชมันก็มีการรับรู้ น้ำยังมีการรับรู้เลย...
     
  19. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    แต่เราได้ยินต้นไม้มันดีใจเวลาเราเก็บผลมันไปกิน เมล็ดมันจะได้เจริญเติบโตแพร่พันธุ์ที่อื่นต่อไปๆๆๆ.....
     
  20. เอาฮา

    เอาฮา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +19
    ไม่ใช่ข้ออ้างของการกินเนื้อสัตว์ครับ เพราะยังไงผมก็กินอยู่แล้ว เพราะมันคงไม่บาปสำหรับผมผู้ไม่ยึดถือกับมับมัน แต่ผมแค่สงสัยว่าทำไมเราชอบเอาตัวเองเป็นตัวตัดสินว่า ว่าพืชไม่มีจิต รู้ได้อย่างไรว่าพืชไม่เคยบรรลุนิพาน รู้ได้อย่างไรว่าเสือไม่เคยบรรลุนิพพาน รู้ได้อย่างไรว่า แบคทีเรียไม่เคยบรรลุนิพพาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...