ว่าด้วยสติ สติปัฏฐานสี่ สติสัมโพชฌงค์ สติในองค์มรรค ต่างกันอย่าไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 21 กรกฎาคม 2016.

  1. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ใครทราบบ้างมันต่างกันอย่างไร?
    (บอกก่อน คุยได้ตามสบาย ได้ทุกอย่าง)

    .....
     
  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ในมหาสติปัฏฐานสูตรที่อ่านเจอ

    มีครบทั้งสามอย่าง

    เคยได้ยินสายวัดป่าเรียกว่า

    สติประจำวัน

    มหาสติ

    สติอัตโนมัติ

    ....
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ส่วนตัวได้ยินมากับหูเหมือน ที่คุณ มาร ว่าใน #Rep ที่ ๒ นะครับ..
    สติประจำวัน ก็คือการเจริญสตินั่นหละครับ เพียงแต่ว่ามันจะต่อเนื่อง
    หรือไม่ต่อเนื่อง(ปกติเรามักลืมช่วงที่เราทำอะไรเป็นปกตินิสัย
    เช่น เดินไปทำธุระส่วนตัว ไปไปทานข้าวที่ประจำ ฯลฯ)
    ถ้ามหาสติ..ตรงนี้ต้องสังเกตุดีๆนะครับ เพราะว่าคนมักจะสับสน
    กับสติตื่นตัวแล้วทำให้ไม่รู้สึกง่วงนอน...
    แล้วไปเข้าใจไปเองว่าเป็นมหาสติได้ครับ
    ยกตัวอย่างแล้วกันนะครับเพื่อว่าจะพอเทียบเคียงกิริยา
    ให้เข้าใจได้ง่ายกว่า เอาเรื่องเกี่ยวกับอารมย์โกรธแล้วกันครับ เห็นง่ายดี

    เช่น เราเคยได้ยิน ได้เห็นสภาวะนี้ แล้วเรารู้สึกโกรธ หงุดหงิด ตัวร้อน
    รวมทั้งปรุงแต่งจนออกทางกาย วาจา ใจ นี่คือ สติตามไม่ทันครับ

    แต่พอรู้สึกตัวว่าโกรธ คือ สติเริ่มตามทัน ซักพักหนึ่งอารมย์โกรธก็จะหายไป
    นี่เป็นสภาวะปกติธรรมดาทั่วไปที่จะเจอกัน แต่เกือบทุกคนมักจะ
    ขาดการสังเกตุว่า อารมย์มันหายไปตอนไหนครับ และหายไปได้อย่างไรครับ
    และส่วนมากก็มักจะขาดการสังเกตุด้วยว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไรด้วยครับ
    การขาดการสังเกตุตรงนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเช่นกันครับ...


    แต่พอก่อนจะที่เราจะนอน เรามาระลึกเรื่อง ที่เราได้ยิน เรื่องที่เราเห็นสภาวะนี้
    ที่มันผ่านมาแล้วที่ทำให้เราโกรธ เรานำมันมาพิจารณาว่าเราพลาดตรงไหน
    อะไรยังไง แต่ตรงนี้ยังไม่ถือว่าเกิดปัญญาทางธรรมนะครับ
    เพียงแต่เป็นแนวทางเดินให้จิตไว้สำหรับเดินปัญญาได้
    กิริยาตรงนี้น่าจะเรียกว่า สติสัมโพชฌงค์
    แต่พอในครั้งถัดมา เราได้ยิน ได้เจอสภาวะเดียวกันกับ
    เมื่อก่อนที่เคยทำให้เราปรุงแต่งและเราโกรธ แต่ว่าตัวเรา
    รู้สึกว่า จิตมันตัดและไม่สนใจอะไรเลยอย่างรวดเร็ว ตัดในที่นี้
    ก็คือ ไม่ส่งผลให้เรารู้สึกโกรธ หงุดหงิด ตัวร้อนอะไรเหมือนครั้งก่อน..
    ตรงสภาวะที่มันตัดเลย ณ ตรงนี้นี่หละครับ ที่เรามักจะขาดการสังเกตุ
    อีกเช่นกัน แต่ทั่วๆไปเรามักจะเข้าใจว่า เราเฉยๆกับสิ่งที่ได้ยิน และ
    เฉยๆกับสภาวะที่เคยทำให้เราโกรธ ถ้าเราสามารถสังเกตุตัวที่มันตัด
    ได้ทันก่อนที่มันจะดึงสภาวะที่เราได้ยิน สภาวะที่ทำให้เราโกรธได้ทัน
    สังเกตุตรงนี้ มันถึงจะกลายเป็นมหาสติได้ครับ..พอเข้าใจนะครับ(อ่านดีๆ)...

    ส่วนถ้าสติปัฎฐาน ๔ ก็คือ จะพิจารณาอะไร ก็ปล่อยให้จิตเค้าว่ารับรู้อยู่ภายในครับ
    แต่เราต้องปฏิบัติถึงขั้นที่เรียกว่า แยกรูปธรรม แยกนามธรรมซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์ให้ได้
    ก่อนครับ มันถึงจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ จริงๆครับ ไม่งั้นก็จะกลายเป็นว่า ตัวจิตของเรา
    มันยกเรื่องขึ้นมาด้วยตัวของจิตเอง แล้วมันก็จะพิจารณาเอง ซึ่งจะทำให้นักปฏิบัติ
    ไปเผลอคิดว่า มันเป็นตัวสติและตัวปัญญาครับ สภาวะที่จิตยกเรื่องจากตัวจิตเอง
    ขึ้นพิจารณานี่หละครับ ที่เราเรียกว่าวิปัสสนึกครับ ก็คือ แม้ว่าจะปฎิบัติไปนานแต่ว่า
    เราก็ไม่เห็นกิเลสละเอียดของเรา และจิตใจของเราไม่ได้คลายจากกิเลสละเอียดต่างๆ
    เหล่านั้นได้ดีขึ้นนั่นหละครับ....

    การที่จะแยกรูปธรรมนามธรรมได้นั้น ต้องสร้างสติทางธรรมจนสามารถไปเห็น
    ความคิดตอนที่มันจะขึ้นจากจิตได้ และเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมให้ได้ก่อน ซึ่งจะทำ
    ให้เราแยกแยะได้ว่า อะไรเป็นจิต อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากจิต
    (ความคิดที่ปรุงให้ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ปรุงได้ตามใจนึก) อะไรเป็นความคิด
    ที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรม(คือความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่เลือกที่ เลือก
    เวลา หรือที่เรียกว่า วิบากกรรมครับ) อาการที่จิตกระเพื่อมเป็นอย่างไร
    และถ้าจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ จริงๆนะครับ ตัวจิตมันจะต้องไม่เกิดเลยแม้แต่นิดเดียวครับ
    ก็คือ ณ เวลานั้น แทบไม่มีอะไรไปเกาะตัวจิตได้เลย ณ เวลาปัจจุบันนั้นๆครับ
    ที่เรามักจะคุ้นๆว่า สภาวะที่จิตเป็นกลางนั้นหละครับ
    ถ้าไม่สามารถแยกรูปธรรม นามธรรมซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์ตรงนี้ได้แล้ว
    จิตยังจะไม่สามารถเดินปัญญาได้ครับ แนวความคิดต่างๆฝ่ายกุศลหรือการ
    พิจารณาต่างๆที่นำมาใช้ก่อนที่จิตจะแยกรูปแยกนามได้นั้น

    ขอย้ำอีกรอบว่าแนวความคิดต่างๆฝ่ายกุศลหรือการพิจารณาตางๆ
    ไม่ว่าจากแหล่งใดก็ตามที่นำมาใช้ก่อนที่จิตจะแยกรูปแยกนามได้นั้น
    จะเป็นเพียงแนวทางเดินให้จิตเอาไว้ใช้สำหรับเดินปัญญาได้เท่านั้น
    แต่ไม่ใช่ปัญญาทางธรรมนะครับ ย้ำว่าไม่ใช่ปัญญาทางธรรมครับ
    ตรงนี้หากไปเผลอหลงยึดว่า เป็นตัวสติตัวปัญญาแล้วเผลอไปพิจารณา
    ก็จะกลายเป็นวิปัสสนึก หลงตัวเองเข้าใจว่าตัวเองบรรลุคุณธรรมระดับโน้น
    นี่นั้น คิดว่าตัวเองเป็นระดับโน้นนั้นนี่ แต่ว่าสังเกตุได้ง่ายๆว่า จะมีความ
    เข้าใจทางด้านนามธรรมคาดเคลื่อนมาก รวมทั้งเรื่องปัญญาทางธรรม
    ยังไงๆก็จะปนไปด้วยความคิดไปด้วยอัตตาและกิเลสแห่งตนเองครับ..
    และจะยอมรับฟังความคิดเห็นอื่นๆที่แตกต่างได้ยากรวมทั้ง
    ตัวจิตไม่มีการพัฒนาในเรื่องความสามารถและการรับรู้ต่างๆ
    กระทั้งถ้าไปฝึกกรรมฐานอะไรก็ไม่สำเร็จซักอย่าง
    บางคนยึดติดมากในความคิดที่จิตยกขึ้นมาเอง ก็จะ
    มีอาการพูดจาวกวน เคยพูดอะไรไปก็จำไม่ได้ คิดว่าตนไม่เคยพูดมา
    และสุดท้ายก็จะเพี้ยนๆและวิปลาสไปเลยในที่สุดก็มีครับ
    เพราะเข้าใจไปนึกว่า ตัวความคิดที่จิตยกขึ้นพิจารณาจากตัวจิตเอง
    เป็นสติเป็นปัญญาแล้วเผลอไปพิจารณาเอาเองนั้นหละครับ..
    ตรงนี้ต้องระมัดระวังให้ดีๆด้วยครับ
    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ (^_^)
     
  4. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    จำเลยไม่ใช้สิทธ์ ก็ผ่านนะ
     
  5. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    คุยต่อนะ

    เคยได้ยินมา เอามาแลกเปลี่ยนกัน

    เคยถามว่า สติทำงานอย่างไร

    พระท่านบอกว่า...

    จะเข้าใจการทำงานของสตินั้น

    ต้องเข้าใจการทำงานของกิเลสก่อน
    กิเลสมีสามชั้น

    กิเลสลูกน้องมี ราคะ โทสะ โมหะ
    กิเลสตัวกลางมี กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
    กิเลสลูกพี่ใหญ่มี กามะสวะ ภาวะสวะ อวิชชาสวะ

    กิเลสลูกน้องอาศัยขันธ์ในการออกทำงาน

    กิเลสลูกพี่ใหญ่อาศัยจิต ฝังตัวอยู่ในจิต

    กิเลสตัวกลาง อาศัยเชื่อมระหว่างจิตกับขันธ์

    เมื่อกิเลสมีสามระดับ สติก็มีสามระดับ
    ในการจับกิเลส...

    ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2016
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สังฆสูตร

    [๕๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องเศร้าหมองอย่างหยาบของทอง คือ
    ดินร่วน ทราย ก้อนกรวด และกระเบื้องมีอยู่ คนล้างฝุ่นหรือลูกมือของคนล้างฝุ่น
    เรี่ยรายทองนั้นเทลงไปในรางน้ำแล้วล้าง ล้างแล้วล้างอีก ล้างจนหมด เมื่อล้าง
    เครื่องเศร้าหมองอย่างหยาบหมดแล้ว ทำมันให้สุดสิ้นแล้ว ทองยังคงมีเครื่อง
    เศร้าหมองอย่างกลาง คือ ก้อนกรวดอย่างละเอียด ทรายอย่างหยาบ คนล้างฝุ่น
    หรือลูกมือคนล้างฝุ่นย่อมล้างทองนั้น ล้างแล้วล้างอีก ล้างจนหมด เมื่อล้าง
    เครื่องเศร้าหมองอย่างกลางหมดแล้ว ทำมันให้สุดสิ้นแล้ว ทองยังคงมีเครื่อง
    เศร้าหมองอย่างละเอียด คือ ทรายอย่างละเอียด และสะเก็ดกระลำพัก คน
    ล้างฝุ่นหรือลูกมือของคนล้างฝุ่น ย่อมล้างทองนั้น ล้างแล้วล้างอีก ล้างจนหมด
    เมื่อล้างเครื่องเศร้าหมองอย่างละเอียดจนหมดแล้ว ทำมันให้สิ้นสุดแล้ว คราว
    นี้ยังคงเหลือกองทรายทอง ช่างทองหรือลูกมือของช่างทอง ใส่ทองลงในเบ้าหลอม
    แล้วเป่าทองนั้น เป่าแล้วเป่าเล่า เป่าจนได้ที่ ยังไม่ติดสนิทแนบเป็นเนื้อ
    เดียวกัน ยังไม่ถูกนำเอารสฝาดออก มันย่อมไม่อ่อน ไม่ควรแก่การงาน
    ไม่ผุดผ่อง เป็นของแตกง่าย และเข้าไม่ถึงเพื่อกระทำโดยชอบ ช่างทอง
    หรือลูกมือของช่างทองย่อมเป่าทองนั้น เป่าแล้วเป่าเล่า เป่าจนได้ที่ ในสมัย
    ใด สมัยนั้นมีอยู่ ทองนั้นถูกเป่า ถูกเป่าแล้วเป่าเล่า ถูกเป่าจนได้ที่
    ติดสนิทแนบเป็นเนื้อเดียวกัน ถูกนำเอารสฝาดออกหมด มันย่อมเป็นของอ่อน
    ควรแก่การงาน ผุดผ่อง ไม่แตกหัก เข้าถึงเพื่อทำโดยชอบ เขามุ่งหมายสำหรับ
    เครื่องประดับชนิดใดๆ คือ แผ่นทอง ต่างหู เครื่องประดับคอ หรือดอกไม้
    ทองก็ดี เครื่องประดับชนิดนั้นย่อมสมความประสงค์ของเขา ฉันใด

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล อุปกิเลสอย่างหยาบ คือ กายทุจริต วจีทุจริต
    มโนทุจริต ของภิกษุผู้ประกอบอธิจิต ยังมีอยู่ ภิกษุผู้มีสัญชาติเป็นคนฉลาด
    ย่อมละทิ้ง บรรเทาอุปกิเลสอย่างหยาบของใจตนนั้นเสีย ทำให้สิ้นไป ให้
    หมดไป

    เมื่อละมันได้เด็ดขาด ทำให้มันสิ้นไปแล้ว ภิกษุผู้ประกอบอธิจิตยังคง
    มีอุปกิเลสอย่างกลาง คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ภิกษุผู้มีสัญชาติ
    เป็นคนฉลาด ย่อมละทิ้ง บรรเทาอุปกิเลสอย่างกลางของใจตนนั้นเสีย ทำให้
    สิ้นไป ให้หมดไป

    เมื่อละมันได้เด็ดขาด ทำให้มันสิ้นสุดแล้ว ภิกษุผู้ประกอบอธิจิตยังคงมีอุปกิเลส
    อย่างละเอียด คือ ความวิตกถึงชาติ ความวิตกถึงชนบท และวิตกอันปฏิสังยุต
    ด้วยความไม่ดูหมิ่น ภิกษุผู้มีสัญชาติเป็นคนฉลาด ย่อมละทิ้ง บรรเทาอุปกิเลส
    อย่างละเอียดของใจตนนั้นเสียทำให้สิ้นไปให้หมดไป

    เมื่อละมันได้เด็ดขาด ทำมันให้สิ้นสุดไปแล้ว ยังคงเหลือแต่ธรรมวิตก (วิปัสสนูปกิเลส)
    ต่อไปเท่านั้น สมาธินั้นยังไม่ละเอียด ไม่ประณีตไม่ได้ความสงบระงับ ยังไม่ถึงความ
    เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ยังมีการห้ามการข่มกิเลสด้วยธรรมเครื่องปรุงแต่ง

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตดำรงอยู่ในภายในสงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่
    สมัยนั้น สมาธินั้นเป็นธรรมละเอียด ประณีต ได้ความสงบระงับ ถึงความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น
    ไม่มีการห้ามการข่มกิเลสด้วยธรรมเครื่องปรุงแต่ง และภิกษุนั้นจะโน้มน้อมจิตไป
    เพื่อทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองใดๆ
    เธอย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่เป็นอยู่ ถ้าภิกษุนั้นหวังว่า เรา
    พึงแสดงฤทธิ์หลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็น
    คนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุกำแพงภูเขาไปได้......ฯลฯ
    ด้วยประการฉะนี้ เธอย่อมสมควรเป็นพยานในธรรม
    นั้นๆ ในเมื่อเหตุมีอยู่เป็นอยู่ ถ้าภิกษุนั้นหวังว่า เราพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ
    ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอัน
    ยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เธอย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ในเมื่อ
    เหตุมีอยู่เป็นอยู่ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2016
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สติ ในชีวิตประจำวัน จะต้องหมายเอา สติ ที่เจริญแล้ว ไม่เกิด วิปัสสนูปกิเลส

    ถ้ายังเกิด วิปัสสนูปกิเลส รหัสพ่อรหัสแม่ใคร ไม่ทราบ จะเรียกว่า เจริญปัญญา

    เมื่อเจริญปัญญา คือ เห็นอนัตตาธรรม จิตเป็นอนัตตา ไม่ตีกลับไป ยึดจิตเป็นตน
    เห็นจิตเที่ยง ไม่เกิด ไม่ดับ ค่อยว่ากันเรื่อง มหาสติ มหาปัญญา ตกกระแส

    เมื่อตกกระแสแล้ว ได้มรรคญาณ เป็นจุฬโสดา ค่อยว่ากันเรื่อง สติที่เป็นองค์มรรค
     
  8. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เอามหาสติปัฏฐานสูตร สิ ลูกพี่

    จะเบี่ยงไปสูตรอื่นทำไม ?

    หัวข้อกระทู้มันก็ระบุบแล้ว

    เห็นชอบยกสติปัฏฐานสี่ มาคุยกัน
    ให้มันรู้แจ้งกันไปเลย...

    ....
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปวดหวก เลย

    แล้วไอ้ โพส ที่สอง นั่นกล่าวเรื่องอะไร จั๊บ

    แล้ว พระสูตรที่ยกนั่น อันนั้น ยกย้อนแย้ง เรื่องการ แบ่งกิเลสหยาบ กลาง ละเอียด ไง
     
  10. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ตามความเข้าใจผมนะ
    พระสูตรแต่ละพระสูตร มันสมบูรณ์
    ในตัวของมันเอง

    เหมือนสายแม่น้ำ แต่ละสายทางไหลลงทะเล
    เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำอะเมซอน
    ทุกสาย ย่อมไหลลงทะลหลวง

    พระสูตรธรรมของพระศาสดา ก็มันเหมือน

    พูดถึงพระสูตรไหน มันเป็นเอกลักษ์ในตัวของ

    เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านภูมิประเทศไทย
    แม่น้ำสาละวินก็ไหลผ่านภูมิประเทศพม่า
    แม่น้ำอเมซอนก็ไหลผ่านภูมิประเทศบลาชิล

    เลยมาเทียบเคียงกันไม่ได้ เพราะสายน้ำไหล
    ผ่าน มันไม่เหมือนกัน แต่ถึงทะเลด้วยกันทุกสาย

    คำตรัส ของพระพุทธองค์ก็เช่นกัน
    มันสมบูรณ์แล้วในตัวของมันที่ทรงแสดงสอน
    ในแต่ละที่ แต่ละแห่ง

    เอามาเทียบข้ามพระสูตรแบบนี้มันพาให้ งง...
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    พระสูตร ไหน ก็เหมือนกันหมด

    ที่ไป เข้าใจว่า แตกต่าง นั่นมันอ่านตามหนังสือ

    หากปฏิบัติ มหาสติปัฏฐานสูตร ขึ้นด้วย อานาปานสติ นี่ก็ เห็นแล้ว
    ว่า กิเลสขั้นต้นๆ ที่เป็น กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต คนฉลาดมี
    ปัญญา ก็นำออกด้วย อานาปานสติ

    เจริญให้ครบรอบการเจริญ อานาปาสติ คือ ไปถึง สลัดคืนจิต แล้ว
    ก็ภาวนาต่อ ปัญหาต่อมา กิเลสระดับกลาง ก็คือ กามวิตก พยาบาทวิตก
    วิหิงสาวิตก หากนำออกได้ ด้วยอานานปาสติ ก็เฉียด ฌาณ4

    พอเฉียดฌาณ อุปกิเลสอ่อน คือ ไม่มี วิปัสสนูปกิเลส ก็ค่อย น้อม
    ไปในญาณทัศนะ ฝึกฤทธิ์บ้าง ไม่ฝึกบ้าง(ปฏิสัมภทามรรค) แล้ว
    แต่ จริตของนักปฏิบัติ ไม่ใช่อยาก ก็ว่ากันไป


    ต่อให้เป็น พระสูตร " อุ อา กุ สะ " ก็ยังเป็นไปเพื่อ นิพพาน

    พวก สัทธรรมปฏิรูป ฟังแล้ว คิดว่า สอนให้ จมภพ กลายเป็น เศรษฐี คนละเรื่อง !!


    ไม่มีหลอก พระสูตรต่างๆ จะ ขัดกัน .....

    เอา รสการสิ้นกิเลส ที่ได้จาก การนมสิการ ฟังธรรม มาใช้ มันมี รสเดียว !!!


    ฟังแบบ พุทธภูมิขี้ทูตกุดถัง ฟังแล้วต่าง เอามาใช้ไม่ได้ แล้ว จะเป็น พหุสัจจ
    ได้เหรอ เป็น พหุสัจจ ไม่ได้ โน้นไปโน้นเลย พุทธภูมิหนาสันติ !!!
     
  12. พหุมาลัย

    พหุมาลัย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2015
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    สติสัมโพชฌงค์ , สัมมาสติ , สติปัฏฐาน 4 คือองค์ธรรมเดียวกัน มีคุณลักษณะเดียวกัน

    ต่างแต่วิธีจำแนกธรรม ความเคารพศรัทธามีแล้วตั้งมั่นอยู่ในโอวาทพระองค์ เริ่มอบรมอินทรีย์อันอ่อนตรงนี้ เผล็ดผลองค์ธรรมอื่นตามมา คือมีธรรมลำดับถัดไปที่เป็นผลเกิดขึ้นแน่นอน ตัวอย่าง โพชฌงค์ 7
    เช่น สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ และวิริยสัมโพชฌงค์ 3 องค์ธรรมเป็นเหตุ(ปฏิบัติ)
    ถ้าปฏิบัติถูกต้อง จะเกิด 4 องค์ธรรมส่วนผลตามมาคือ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์

    เหมือนมารดาตั้งใจเลี้ยงทารกอันอ่อนอย่างนั้น ไม่ทอดทิ้งบุตรเลยตลอดวันตลอดคืนย่อมได้ผล
    ทั้งหมดนั้นให้คำตอบอันติดขัดซึ่งเกิดจากรู้ยิ่ง คำตอบเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากการคิด ตามกำลังของอินทรีย์ อินทรีย์อ่อนรู้น้อยตอบได้น้อย อินทรีย์กล้ารู้มากตอบได้มาก

    ในสมัยพุทธกาลมีผู้ติดขัดข้องในธรรมต่างๆ ทูลถามปัญหาเพื่อประโยชน์ที่ควร พระองค์ทรงตรัสตอบให้เลยทันทีโดยไม่ต้องคิด พระองค์ทรงบัญญัติธรรมและศัพท์ไว้แล้วด้วยพระองค์เอง

    ส่วนเราท่านทั้งหลายแม้รู้คำตอบนั้น แต่ก็ต้องคิดเพื่อเรียบเรียงคำตอบนั้นให้ผู้ฟังเข้าใจ ยกเว้นท่านเป็นพหูสูตรแต่อาจผิดพลาดบ้างตอบไม่ตรงเป๊ะทีเดียว เพราะอินทรีย์หยั่งไม่ถึง คิดเท่าไหร่ก้อไม่ได้คำตอบได้แต่อนุมาน เหตุอย่างนี้ผลจึงเป็นอย่างนี้ ปรารถนาเจริญรู้ในธรรมพึงปฏิบัติอย่างนี้ทั่วถึงธรรม.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2016
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตรงที่ล่าวว่า



    อันนี้ ก็ชี้ชัดเลยว่า คุณไม่ได้เอา การปฏิบัตตามความจริง มาบอกกล่าว

    เป็นเพียง ตรรกศาตร์ ด้นเด้า เดา เอา

    เพราะ ถ้าเป็น นักปฏิบัติ จะไม่ ทะลึ่งไปสรุปว่า เป็น ปฏิเวธ

    ถ้า ไปสรุปเป็น ปฏิเวธ ก็คง ทะลึ่ง บรรลุธรรม ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งๆ
    ทั้งที่ ปฏิเวธ ธรรมจะเกิดได้เพียง สี่ ครั้ง

    ทีนี้

    ถ้าไม่ได้ พยายามยัดข้อหา คนอื่น มาเห่าใบตองแห้ง ที่เขียนกำกับ
    การกีดกันตรงลายเซ็น

    ถ้าปฏิบัติ สติโพชฌงค์ถูกต้อง อย่าทะลึ่งไป คิดเดาเอาเองว่า ปฏิเวธ
    เกิด

    ให้ยก ปิติโพชฌงค์ ธรรมวิจัยยะฯ อุเบกขาฯ ขึ้นมากำหนดเห็น สิ่งใดเกิด
    สิ่งนั้นดับ เป็นปฏิบัติ ตรงนี้จะเป็นเพียง การทำจิตให้บันเทิง ธรรมดาๆ
    เพื่อฝึกให้จิต หมดเจตนา กดข่มจิต

    หากยก ปิติฯ ธรรมวิจัยฯ อุเบกขาฯ เป็น ปฏิบัติ ได้ ค่อยว่ากันเรื่อง

    สัมโพฌงค์ทั้ง7 แล้วค่อยมาพูดเรื่องว่า เจริญสติ เป็นหรือไม่เป็น


    เจริญสติเป็น ค่อยว่ากันเรื่อง กำหนดรู้อริยสัจจบรรพะ

    ถ้ายังไม่แทงเข้า อริยสัจจบรรพะ ยังไม่ได้ยก สิกขา อย่าทะลึ่งกลาวว่าเกิด ปฏิเวธ
     
  14. พหุมาลัย

    พหุมาลัย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2015
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    แก้ไขขอบคุณครับที่แนะนำ
     
  15. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    แล้วทำ มรรคญาณ ตอนไหน? ลูกพี่

    ตอนที่มัน พรึบ!!!

    เล่าให้ฟังหน่อย คนอื่นจะได้เข้าใจลูกพี่มากขึ้น..

    ....
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คือ แค่คำถาม

    ทำ มรรคญาน


    มีคำว่าทำ. อธิบายไป. ก้ สันติกันเปล่าๆ


    แนะนำให้ไปอ่าน. พระสูตรที่สอนโจรให้ปล้น

    ว่า พระสูตรนั้น สอนถึง นิพพานไหม


    ถ้า มองไม่ออก. พระสูตรสอนโจรให้ปล้นอย่างไร สอนให้ถึง นิพพาน ไม่ได้


    ยังเหน. มรรคญาน เกิดจากการทำ. มี ทำ. มีตีความ. เข้าใจ


    ก้เอา พุทธิภูมิ ที่ปรารภ ไป. รดหลังหมาซะ
     
  17. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    สตินั้นมีหลายละดับ เช่น1.นายท้ายเรือ 2.ค้างคาวเกาะผนังถ้ำ 3.แมวจ้องตระครุบหนู 4.ราชสีห์ 5.สายฟ้า(จำได้แค่นี้อาจจะไม่หมด)
    ตามกระทู้สติทุกสติ ในธรรมทุกธรรมทุกหมวดก็คือสติตัวเดียวกัน แต่ต่างระดับกัน
    สติในสติปัฏฐานสี่กับสติในองค์มรรค เหมือนกันมีตั้งแต่เริ่มต้นถึงขั้นสูง ขั้นสูงเป็นสติทรีย์ฌาน(สายฟ้า)
    สติในสติสัมโพชฌงค์ เป็นสติที่พร้อมในการบรรลุธรรม เป็นสติขั้นสูงเป็นสติทรีย์ฌาน(สายฟ้า)
    เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2016
  18. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ลูกพี่ไม่เล่า ก็ ผ่านแหละ

    ผมตามหา มรรคญาณ อยู่

    ตอนนี้ได้ ญาณโต้งเตงแล้ว....

    ...
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กลุ้ม

    ให้ไปหา ดัน บอกไม่เล่า

    ตกลง จะเอา หู กะ สมอง มารองรับธรรม หรือจะมา ปฏิบัติธรรม ฮับ !?
     
  20. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ลูกพี่มีเรื่องเล่าให้ฟัง

    วันก่อนฝันว่า...

    ตัวเรายืนอยู่ในป่าใหญ่
    วิ่งออกจากป่าใหญ่ วิ่งผ่านทุ่งนา
    วิ่งไปที่สะพานข้าม สายน้ำ

    แต่ข้ามสะพานไปอีกฝั่งไม่ได้
    มีประตูเหล็ก ล๊อคด้วยคุณแจไว้

    เลยนั้งเฝ้าที่หัวสะพาน....

    .....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...