ศึกษาก่อน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 18 พฤษภาคม 2009.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    การศึกษาพระธรรม ไม่ใช่การนึกถึง "เรื่องราว"

    แต่เป็น " ปัญญา"

    ที่ค่อย ๆ "เข้าใจ" ใน "สิ่งที่ปรากฏ"


    .


    และการที่จะค่อยๆ เข้าใจ ใน "สิ่งที่ปรากฏ"

    ต้องเริ่มจาก "การฟัง" จนกระทั่ง "เข้าใจ"


    .


    เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มจากการฟัง ให้เข้าใจจริงๆ เสียก่อน

    (ปัญญา) ความเข้าใจขั้นการฟัง...สำคัญที่สุดเลย.


    .


    เมื่อเข้าใจขั้นการฟังจริงๆ แล้ว

    ความเข้าใจ "ลักษณะ"จริงๆของสภาพธรรม

    จึงจะเกิดขึ้นได้.

    .


    เพราะฉะนั้น ความรู้ คือ "ปัญญา"

    จึงต้องเป็นไปตามลำดับขั้น

    ข้ามขั้นไม่ได้.


    .


    ปัญญา ขั้นฟัง

    คือ การฟัง "เรื่องราวของสภาพธรรม" ให้เข้าใจก่อน.


    ขั้นสติเกิด คือ ระลึก ตรง "ลักษณะ" ของสภาพธรรม

    แล้ว ปัญญา รู้สภาพธรรมที่ปรากฏ.


    สภาพธรรมที่ปรากฏ เป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

    "ลักษณะ"...เปลี่ยนไม่ได้เลย.!


    .


    เพราะฉะนั้น ความจริง ก็คือ "ตัวตน" ไม่มี.!

    มีแต่ "จิตของแต่ละคน"

    ที่กำลังรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ทางใดทางหนึ่ง คือ

    ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    ไม่ปะปนกัน แล้วแต่ "เหตุปัจจัย" ว่า

    สภาพธรรมใด จะปรากฏ ในขณะนั้น.


    .


    "สิ่งที่ปรากฏ"

    ปรากฏ ทีละขณะสั้นๆ สลับกัน แต่ละทาง ๆ

    ปรากฏเพียงขณะสั้นมาก แล้วก็ดับไปทันที.


    .


    "สิ่งที่ปรากฏ"

    มีทั้งนามธรรม คือ สภาพที่รู้

    และ รูปธรรม คือ สภาพที่ไม่รู้


    รูปธรรม เกิดแล้วดับ

    นามธรรม เกิดแล้วดับ

    แล้วก็เกิดสืบต่อกันไปเช่นนี้ เรื่อย ๆ


    ถ้าไม่มีสภาพรู้ คือ "จิต"

    หรือ นามธรรม ที่เป็นสภาพรู้

    รูปธรรม ก็ไม่มีความสำคัญอะไรเลย.!


    .


    เพราะฉะนั้น

    "ปัญญา" ที่จะต้องเจริญ เป็นอันดับแรก คือ

    ปัญญา ที่ รู้ว่า

    นามธรรม เป็นสภาพรู้ และ รูปธรรม ไม่ใช่สภาพรู้

    เพราะว่า ถ้ารู้จริงๆ ว่ามีแต่ นามธรรม และ รูปธรรม เท่านั้น

    แล้วจะมีเรา มีเขา มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ได้อย่างไร.?


    .


    นี่คือ การรู้ "ความจริง"

    และยังรู้อีก ว่า

    ไม่มีอะไร ที่ยั่งยืน

    เพราะว่า

    ทั้งนามธรรม และ รูปธรรม ล้วนแต่เกิดดับ

    ตามเหตุตามปัจจัย

    ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย.!


    .


    ขณะที่ "สติ" ระลึกได้

    คือ ขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ

    แล้วก็รู้ "เฉพาะ" สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น ทันที

    สภาพธรรมใดก็ได้ ที่กำลังปรากฏ

    นามธรรม หรือ รูปธรรม ใดก็ได้

    ที่กำลังปรากฏ.


    .


    แต่ "สติ" ที่เกิดกับ "จิต" นั้นเอง

    ที่ ทำกิจระลึกได้ ว่า เป็นนามธรรม หรือ รูปธรรม

    ปรากฏทางไหน ทวารไหน และ รู้อารมณ์อะไร.?


    .


    และที่สำคัญ ก็คือ

    โลกทั้ง ๖ ทาง

    (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ)


    เมื่อรู้ได้จริงๆ โดยการแยกขาดออกจากกัน

    ที่ละทาง ๆ ทีละลักษณะๆ จนกระทั่งชำนาญ รู้ทั่วแล้ว

    ก็จะทราบว่า ไม่มีความเป็นตัวตน คน สัตว์ ใด ๆเลย.


    .


    ในพระไตรปิฎก ก็มีเพียงเท่านี้ คือ

    "โลกทั้ง ๖"

    "โลก" ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ.


    .


    แต่ ต้องอาศัยพระธรรมเทศนา ตลอด ๔๕ พรรษา

    เทศนาซ้ำ ๆ แล้ว ๆ เล่า ๆ


    .


    ที่เราใช้คำว่า "อนุสาสนี"

    เป็น "คำสอน" ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เป็น "เรื่องเก่า" ที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอด ๔๕ พรรษา.


    .


    ถ้าหาก เข้าใจ " สติปัฏฐาน"

    เข้าใจ "สภาพธรรมที่ปรากฏ"

    เข้าใจ จริงๆ ว่า

    "โลก" มีเพียง ๖ ทาง เท่านั้น.


    เข้าใจจริงๆ ว่า นี่คือสิ่งที่ "ปัญญา" ต้องรู้ก่อน

    แล้วก็ "เป็นพื้นฐาน"


    ที่จะทำให้ค่อย ๆ มีการ "ระลึก" โดยสติเกิด

    จนกว่า "สติ" จะระลึกได้บ่อย ๆ เนือง ๆ


    แล้วค่อยๆ รู้ขึ้นๆ

    จนกว่า "ปัญญา" จะ "รู้ชัด" ได้จริงๆ นั่นเอง.


    .


    แต่การที่จะรู้มากรู้น้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ

    "กำลังของการสะสม"

    ของแต่ละคน


    .


    เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะต้องมี

    "ความคิดที่แตกต่างกันไปตามการสะสม"

    หมายความว่า

    แต่ละคน ก็อยู่ในโลก คนเดียว

    คือ โลกแต่ละใบ ของและคน.!


    .


    หมายความว่า

    หลังจาก "จิต" ที่รู้ปรมัตถอารมณ์

    ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย คือ ทางปัญจทวารแล้ว

    ก็ เกิด "การนึกคิด" ต่อ ทางใจ คือ ทางมโนทวาร

    (การคิดนึก ที่แตกต่างกันได้)


    ปรมัตถ์อารมณ์ ที่ปรากฏนั้น ต้องเหมือนกัน

    เพราะว่า ปรมัตถ์ ไม่เปลี่ยน "ลักษณะ"

    แต่ "ความนึกคิดทางใจ" นั้น

    แตกต่างกันไป "ตามการสะสม" ของแต่ละคน.


    .


    เพราะฉะนั้น

    เราจึงอยู่ใน "โลก" คนละโลก

    โลกคนละใบ

    แต่เรารู้สึกเหมือนกับว่า เราอยู่ในโลกใบเดียวกัน.!

    เพราะอะไร.?


    .


    เพราะเรา "ไม่รู้" ว่า


    สิ่งที่ปรากฏ ปรากฏแก่คนแต่ละคน นั้น

    หมายความว่า "สิ่งที่ปรากฏ"นั้น


    ต้องปรากฏกับ
    โลกแต่ละโลก ของแต่ละคนๆ

    ไม่ว่าจะเป็น การเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส

    กระทบสัมผัสทางกาย และ การคิดนึกทางใจ


    แล้วยังปรากฏได้ เฉพาะทีละโลก ๆ ทั้ง ๖ โลก

    ใน "โลกแต่ละใบ"
    ของแต่ละคน อีกด้วย.!


    .


    เพราะฉะนั้น..."ความจริง" ก็คือ

    แต่ละคน
    .........


    "โดดเดี่ยว" อยู่ในโลกของตัวเอง ตามลำพัง!


    แม้ในความคิดของเรา
    ...เสมือนมีคนมากมาย


    เพราะว่า เรามีความยึดมั่น ในความเป็นตัวตน


    .


    โลกของความเป็นจริง....แสนจะ "โดดเดี่ยว"

    เพราะเมื่อ "สิ่งที่ปรากฏ"

    ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดแล้ว ดับแล้ว.


    "ความนึกคิด" ที่เกิดต่อทางใจ

    ก็คิดเป็น "เรื่องราว" ที่ไม่มีอยู่จริงๆ

    เหมือนหลอกตัวเอง.!


    "โดดเดี่ยว"

    เพราะว่า ความจริง คือ จิตขณะเดียว ที่รู้อารมณ์ต่างๆ

    เกิดขึ้น แล้วดับไปทันที

    และไม่มี เรื่องราวจริงๆ อย่างที่คิด.


    .


    เราสามารถที่จะอยู่ใน "สังสารวัฏฏ์" นี้ได้

    เพราะ "โลภะ" คือ ความติดข้อง.!


    "โลภะ" หลอกเรา ทำให้เรายึดติดใน "สิ่งต่างๆ"

    "สิ่งต่างๆ" ซึ่ง ตามความเป็นจริงแล้ว
    .......ไม่มี.!


    .


    เมื่อรู้ว่า "สิ่งที่ยึดถือ" ไม่มีจริง

    และเมื่อสภาพธรรม ปรากฏแล้ว ดับไป

    ก็หมดไป ไม่เหลือเลย.


    ดังนั้น


    ไม่เฉพาะ "คนอื่น" ที่ไม่มีอยู่ จริงๆ

    แม้แต่ "ตัวเราเอง" ก็ไม่มีอยู่ จริงๆ


    .


    และถ้าไม่มี "ปัญญา" ที่รู้ "ความจริง" อย่างนี้

    ก็จะไม่มีทางที่จะไปถึง "พระนิพพาน" ได้เลย

    "พระนิพพาน"

    คือ สภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ.


    .


    ในเมื่อเรายังมี "ความติดข้อง"กับ "สิ่งที่เกิดดับ" อยู่อย่างนี้

    โดยเฉพาะ "ความคิดนึกที่เป็นเรื่องราว"


    ซึ่งไม่ใช่ "ความจริง"

    ไม่ใช่ " ธรรมะ"


    เพราะว่า ไม่มีจริง

    แต่เข้าใจผิด...ว่ามีจริง.


    .


    เราจึงอยู่ใน "โลก"
    .......ที่เสมือนอบอุ่น

    "โลก" ที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูง มิตรสหาย มากมาย.


    แต่ ความเป็นจริง ก็คือ

    เป็น "เรื่องราวที่เกิดจากความคิด"

    ทั้งหมดเลย.


    เป็น "จิต" ที่คิด

    ด้วย "โลภะ" คือ ความติดข้อง.!
     
  2. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>บุคคลทั่วไป 3 คน*, รสมน </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG][​IMG][​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ครับ การฟังต้องฟังให้เข้าใจก่อน ก่่อนนำไปปฏิบัติ แต่เราก็ต้องมีโยนิโสด้วยครับ
     
  4. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    นำเสนอได้น่าสนใจดีครับ...
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อนุโมทนาครับ

    คุณรสฯครับ การฝึกฝนอบรม “จิตของตน”
    ใช่อบรม “จิตของแต่ละคนไหมครับ”


    ;aa24

     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p>คุณรสฯครับ นามธรรมคือสภาพรู้
    แล้วนามธรรมแตกต่างจากนามขันธ์อย่างไรครับ???

    </o:p>

    <o:p>;aa24
    </o:p>
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณรสฯครับ ในเมื่อจิตคือนามธรรมคือสภาพรู้ใช่ไหมครับ???
    ที่คุณบอกว่า “จิตของแต่ละคน” หรือ “จิตของตน”
    ถ้าไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน
    จะรู้ได้ยังไงครับ ว่า จิตของแต่ละคน เป็นของใครบ้างครับ???

    ;aa24
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณรสฯครับ จิตคือ นามธรรมคือ สภาพรู้
    ที่คุณว่าล้วนแต่เกิดดับนั้น จิตทีมีสภาพรู้ รู้ไหมครับ???


    ในเมื่อจิตคือสภาพรู้ “จิตของแต่ละคน”
    เราสามารถอบรมให้ไปรู้แต่สิ่งที่เป็นกุสล(กุสลจิต)ได้ใช่ไหมครับ???

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...