สงสัยมากครับ การแยก-รูป-นาม-จะแยกไปเพื่ออะไร..ในเมื่อ..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ใครบรรลุธรรม, 26 ตุลาคม 2018.

  1. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +268
    เราก็รู้ๆอยู่แล้วว่า..

    ธาตุ4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ..

    ขันธ์5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ..

    มหาภูตรูปทั้ง4..ดิน น้ำ ลม ไฟ..

    รูป-นาม.. เขาก็แยกของเขาให้เราเห็นๆอยู่แล้ว อันไหนเป็น รูป-ลักษณะ จับต้องได้-(เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หนา บาง หยาบ ละเอียด ตึง ไหว) อันไหนเป็น-นาม-จับต้องไม่ได้..มีท่านไหนปฏิบัติได้ ต่างไปจากนี้ไหมครับ และแยกเพื่อให้ได้อะไรครับ แยกแล้วมีสภาพเป็นยังไง ขอความรู้ด้วย อยากรู้จริงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2018
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ก่อนอื่น " การแยก " หรือ วิภัชวิถี เป็น อุบายใช้ประกอบการตรึก
    ที่ถูกวิธี ที่พระพุทธองค์ ทรงแนะ พี่เกิดจะคุ้นกับ การแยก ชิ้นส่วนราชรถ
    แล้ว จึงค่อย นมสิการให้เห็นแต่ละส่วน มี อัตตา อยู่ตรงไหน

    ทีนี้ วิธีแยก จะมีหลายวิธี "ธรรมหนึ่ง"(ก็ แยกได้) ธรรมคู่ ก็จะมี รูปนาม ธาตุ4
    ธาตุ6 อายตนะ6 อายตนะ8 อินทรีย์18 อินทรีย22 เป็นไปตาม อำนาจของ ฉันทะ
    ที่จะเป็น ตัวพาประชุมลงเป็น กาย(ปรกติ)ของนักภาวนา นั้นๆ

    ธาตุที่เป็น รูปแท้ หมายถึง ดิน น้ำ ลม ไฟ อันนี้ พวกเตวิชโช หรือ พวกคล่องฌาณ4
    ถึงจะเห็นได้ชัด

    ส่วน รูป เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เป็น พุทธอุบายในการ นมสิการธาตุ ไม่ต้อง
    ใช้ฌาณ4 ใช้แค่ ใจปรกติมนุษย์(ใจสูงอยู่แล้ว) เข้า สัมผัส รับรู้ความแปรปรวนเป็นสำคัญ

    อันอื่น ไม่อธิบายและ

    ขอยืมกระไดท่านพาหิยะเกอะเปโคน เลยละกัน



    ปล. สังเกตว่า การภาวนาแต่ละคน จะต้อง อาศัย ฉันทะธรรม เป็นปัจจัย
    ไปพิจารณา "กาย"(การประชุมกันของธรรม) ที่เกิดบ่อยๆ (ถี่ๆ ) เพื่อจะได้
    มีจิตวนอยู่ใน เนขขัมวิตก อะฮับ
     
  3. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    รู้ด้วยสัญญากับรู้ด้วยปัญญามันต่างกันน่อ
     
  4. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    จริงๆมันเป็นความชัดเจนไปตามลำดับเอง ไม่ได้ไปมีกริยาที่จะพยายามไปนั่งแยกแยะว่าอันไหนเป็นรูป อันไหนเป็นนามหรอกครับ ถ้าไปนั่งแยกแบบนั้นมันมีแต่หลงความคิดครับ และมันไม่ได้มีภาษาอะไรผุดออกมาบอกด้วยว่า ข้าชื่อนั้นชื่อนี้ ไม่มี

    คือมันเป็นแค่เพียงกริยาที่ปรากฏที่ทำให้เรารู้จักว่า กริยาของจิตที่เป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำจากความคิดจริงๆ เป็นอย่างไรได้

    ทำให้เห็นลักษณะของจิตที่เป็นอิสระจากความคิด จิตที่เป็นกลางจริงๆ เป็นอย่างไรได้ ขณะที่ความคิดก็รู้ได้ แยกส่วนออกไปต่างหาก เป็นอิสระจากกัน

    และเวลาใดที่จิตมันไปหมายเอาความคิดมาเป็นอารมณ์ เวลานั้นก็คือ มันเกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา มันก็เลยไม่เป็นอิสระ ณ ตอนนั้น พออุปาทานเกิด ทุกข์ก็เกิด เรียกว่าทุกข์อุปาทานได้ไหม อุปาทานในขันธ์ 5 ได้ไหม พอเราเห็นความจริงตรงนี้ได้ เราก็จะเริ่มเข้าใจในกระบวนการหลงเป็นทุกข์ได้ครับ

    ตอนเห็นครั้งแรกอาจจะยังไม่ชัดเจนทีเดียว แต่ยังไงก็จะรู้ชัดในความแตกต่างจากที่ผ่านๆมาได้อย่างชัดเจน และต่อไปจะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นๆ เอง เรื่อยๆ นี่แหละสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นจริงๆ ตรงนี้

    ต่อไปยิ่งศึกษาก็จะยิ่งชัดเจนในหนทาง ยิ่งรู้ชัดในกริยาอาการของทุกข์มากขึ้น ความเข้าใจทางด้านนามธรรมจะค่อยๆดีขึ้น ต่อไปมันจะเกิดปัญญาคลี่คลายทุกข์ได้เอง จิตเขาจะปล่อยวางหรือคลายตัวได้มากขึ้นเอง จะค่อยๆ เป็นอิสระจากรูปนาม คือไม่ยึดติดในรูปนามขันธ์ 5 ได้มากขึ้น

    ไม่ใช่ไปนั่งตัดกระแสนะครับ ตัดฉับๆ ตัดไวๆ อันนั้นเบื้องต้น เป็นการทวนกระแสความเคยชินเดิมๆไปก่อน ถ้าจิตเขาเริ่มเกิดปัญญาจริงๆแล้ว เขามีแต่คลายๆไปเอง ไม่ต้องไปทำอะไร แค่ว่าอย่าไปประมาทก็พอ ก็คือเจริญตามมรรคมีองค์ 8 สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เรื่องเดียวกันหมดนั้นเองครับ
     
  5. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ถามได้น่าสนใจครับ
    แยกไปทำไม?
     
  6. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ขันธ์ห้าเป็นบ้านเช่าให้จิตได้อาศัย
    จิตทำงานได้อาศัยอายตนะหก

    อายตนะหกเป็นทางเดินของจิต
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้ากล่าวว่าในวงจรปฏิจจสมุปบาท

    unnamed.gif

    อวิชชา สังขาร วิญญาณ เป็นนาม

    และตั้งแต่รูป-นาม เป็นรูป ไล่เรียงกันมา แบ่งเป็นรูปหยาบ หรือ รูปละเอียดละค่ะ คิดว่าอย่างไร? คะ

    แยกเพื่อให้ได้ความจริงของทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นไตรลักษณะ ที่ความจริง นามนั้นคือ สัจธรรมแก่นแท้ รูปหยาบ หรือ รูปละเอียดไม่ใช่ตัวตน เป็นเงาของนามอีกทีนะค่ะ
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จิตเป็
    จิตเป็นเครื่องรู้อารมย์
    ทั้งกุศลและกุศล
    ที่ผ่านอายาตนะเข้ามาได้แค่
    ทีละอารมย์เท่านั้นแต่เปลี่ยนไปไวมาก
    สติที่ฝึกดีแล้วจะทำน่าที่
    รู้ทันอารมย์ที่จิตเสวยอยู่
    และมองเห็นความเป็นไตรลักษณ์
    ของอารมย์และความคิดต่างๆ
    เสมอ
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    สติที่ฝึกดีแล้วมี(สมาธิมั่นคง)
    จะทำหน้าตามรู้อาการจิต
    และระวังไม่ให้จิตหลงยึดอารมย์
    หรือไหลไปตามความคิด
    และให้เห็นความเป็นอนิจจังทุกขัง
    อนัตตา ของทุกสรรพสิ่ง
    (คือตามความเป็นจริง)
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เพื่อให้รู้ว่าขันธ์5 ที่ประกอบขึ้นมาดูเหมือน
    เป็นตัวตนนั้นมีแต่รูปธรรมเป็นวัตถุจับต้องได้
    กับ
    อีกส่วนเป็นนามธรรมไม่สามารถจับต้องได้
    ทั้ง 2 ส่วนเมื่อรวมกันเป็น
    สิ่งลวงให้หลงว่าเป็นความมีอยู่จึงหลงยึด
    ในตัวตน
    เราเขา
    แกล่ะนี่คือเป็นการเริ่มต้นการทำงาน
    ของกิเลสเพื่อสืบภพสืบชาติต่อเนื่อง
    ยาวนาน
    ดังนั้น ต้องอาศัยคำสอนของ
    พระสัพพัญญูผู้ตรัสรู้
    รู้แจ้ง 3 โลกและทุกจักรวาล
    เท่านั้น
    ที่จะบอกวิธีการจัดการ
    กับสิ่งเหล่านี้ได้
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    แหล่ะนี่คือเป็นการเริ่มต้นการทำงาน
    ของกิเลสเพื่อให้จิต(ผู้หลง)
    ได้สืบภพสืบชาติต่อเนื่อง
    ยาวนาน
    ดังนั้น ต้องอาศัยคำสอนของ
    พระสัพพัญญูผู้ตรัสรู้
    รู้แจ้ง 3 โลกและอนันตจักรวาล
    เท่านั้น
    ที่จะบอกวิธีการจัดการ
    กับสิ่งเหล่านี้ได้
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เริ่มต้นมันต้องรู้ด้วยสัญญาจากการ
    การฟังพุทธพจน์จากครูบาิาจารย์
    หรืออ่านพระปิฎกเอาเอง
    ให้เข้าใจถูกต้องเสียก่อนฮับ
    วงเล็บอ่านเองทั้งหมดอาจบ้าเสียก่อนบรรลุธรรม
    ฉะนั้น ฟังดีกว่าเพราะจะรู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ที่คุณพูดมามันเป็นแบบหยาบๆ
    มันเป็นความเข้าใจทางสมมุติครับ
    พูดง่ายๆ พูดเท่านี้ ใครก็รู้ครับ
    และยังเข้าคาดเคลื่อนอยู่มากครับ
    เพราะ การแยกรูปแยกนาม
    ในที่นี้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับธาตุ
    ๔ หรือบ้างเรียกมหาภูต ๔ ที่สำนักกิ๊กก๊อก
    เปิดเอาไว้สอนชาวโลกสุดท้าย
    กลายเป็นหมอดูที่ไม่ใช่แนว
    ทางพุทธศาสนาเลยครับ
    เด่วจะขออธิบาย
    ให้อ่านใหม่ดังต่อไปนี้นะครับ

    ทั่วไปนะครับ
    การแยกรูปแยกนาม
    (ไม่ใช่แยกร่างกาย กับ จิต หรือ
    ว่าถอดจิต หรือยกกายทิพย์ เพราะแม้ทำได้ทั้งสองอย่างแต่ไม่ใช้แยกรูปแยกนามนะครับ เพราะอีกกายที่แยกไป มันถูก
    จิตเรานี่หละหละครับ อุปโลกน์ขึ้นมาครับ
    โดยทั่วไป บุคคลที่ทำได้ มักไม่ได้เตรียม
    การอุปโลกน์ตรงนี้ไว้ ไอ้ที่ออกไปมันจึงเป็นไปตามสภาวะจิต ณ เวลานั้น
    หลายคนที่ทำได้ เวลานั้นจิตดี ออกไปอีกกายเป็นเทพ เลยเข้าใจว่าคอนนี้ตนเอง
    เป็นเทพจริงๆซะงั้น ทำให้หลงตัวเองมากมากมายครับ)
    เป็นพื้นฐานเบื้องต้น
    ของผู้ที่จะเริ่มเดินปัญญาได้
    โดยที่จะไม่เป็นวิปัสสนึก ครับ
    หรือการนึกคิดเข้าใจไปเอง
    ตามการปรุงแต่งของ ๑.ขันธ์ ๕
    ส่วนนามธรรม(สัญญา เวทนา สังขาร
    วิญญาณ สังเกตุนะว่าไม่มีรูปนะครับ)
    และตามการปรุงแต่งของ ๒.ความคิดที่เกิดจากจิตเราเอง โดยที่จะไม่เผลอไปคิดว่า
    ทั้ง ความคิดทั้ง ๑.และ ๒. เป็นสติหรือปัญญา
    ทางธรรมแล้วเผลอนำไปพิจารณาได้
    สาเหตุนี้เอง ที่เป็นวิปัสสนึกครับ
    และมันจะส่งผลต่อความเข้าใจทางด้าน
    นามธรรมของเรา. เมื่อเราขาดตรงนี้
    จึงส่งผลกระทบต่อการฝึกกรรมฐาน
    ทำให้เราไม่สามารถฝึกกรรมฐานอะไรสำเร็จ
    และเมื่อไม่มีตรงนี้ แม้เราจะมาทางด้านตำรา
    ทางปริยัติแล้ว มันยังทำให้เรา
    ไม่เข้าใจสภาวะธรรม ที่ถ่ายทอด
    ออกมาเป็นตัวอักษร. เราจะเข้าใจแต่ความ
    หมายของอักษร เช่น มะนาว เราสามารถ
    เรียนรู้ได้ว่าเป็นอย่างไร เช่นมีรสเปรี้ยว
    เรารู้ว่ามันเปรี้ยวจากตัวอักษร แต่เรา
    จะไม่รู้รสชาติเปรี้ยวของมะนาวว่าเป็น
    อย่างไรเพราะเราไม่ได้ชิมเอง
    แม้เราจะเล่าได้ ถ่ายทอดได้
    มันก็ไม่เหมือนที่เราชิมเองครับ
    การแยกรูปแยกนาม มันทำให้เรา
    เข้าใจรสชาติเปรี้ยวของมะนาว
    ซึ่งเป็นนามธรรมว่ามันเป็น
    อย่างไรนั่นเองครับ.
    เรื่องอารมย์ต่างๆก็เช่นกันครับ


    ในที่นี้การแยกรูปแยกนาม
    ทางกิริยา ก็คือ
    การเราสามารถที่จะเห็นได้ แยกได้
    รับรู้ได้ว่า
    ๑.ตัวจิต
    ๒.ความคิดที่เกิดจากจิต
    หรือความคิดที่เปลี่ยนแปลงได้
    ตามใจเรา
    ๓.ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม หรือ กะแสวิบาก
    หรือวิบาก หรือกะแสแหย่ หรือ ความคิด
    ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งจะเป็นเรื่องเป็นราวในอดีต. ทั้งหมดนี้ ซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์
    เป็นนามธรรม เป็นคนละส่วนกันได้
    หลักสังเกตุ เรื่องที่ขึ้นมา เราจะเปลี่ยนแปลง
    มันไม่ได้ และถ้าเราไปดู ไปรู้ทัน
    มันจะดับทันที และจะเปลี่ยนไปเป็น
    เรื่องอื่นๆแทนครับ


    ปล ธาตุ ๔ มันเป็นอนุภาคที่เป็นสื่อนำแรง
    ชนิดหนึ่งอยู่ในกลุ่มที่เราเรียกว่า โฟร์ตรอน
    หรืออนุภาคแสง มีประจุครับ
    พวกที่ดึงดูดกันจะเป็นธาตุดิน ต่างพวกเป็นน้ำ เสียดสีกันเป็นไฟ เหวี่ยงไปมาเป็นลม
    เหวี่ยงไปมาและถูกผลักไปบางส่วนเป็นอากาศ

    *** รูปประกอบด้วยอนุภาคที่เป็น
    ๑.องค์ประกอบของสะสาร ที่แทนที่กันไม่ได้
    และ ๒. สื่อนำแรง(โลกพบว่ามี ๔ อย่าง)
    ไม่เกี่ยวกับพื้นที่ ไม่มีระยะทาง
    กี่ล้านแรงก็รวมกันได้ และสามารถเพิ่มได้
    ทั้ง ๒ ส่วนนี้ มันจึงรวมเป็นรูปได้ครับ
    ที่พูดคือแบบหยาบๆนะครับ กันงง***


    ลำดับขั้นตอนการปฏิบัติแบบหยาบๆ
    ก่อนจะไปถึงจุดที่จะรู้เหตุแห่งการเกิดดับได้

    ๐.เจริญสติ มีสติทางธรรมก่อน
    ๑. แยกรูปแยกนามได้
    ๒.เดินปัญญาได้ ด้วยใจที่เป็นกลาง
    ๓.มีปัญญาทางธรรม
    ๔.ไม่หนักทางสมถะ เพราะจะเห็นแต่
    ผู้ดูกับจิตและเข้าใจว่าจิตคือผู้รู้เป็นปัญญาครับ
    หรือหนักทางวิปัสสนา เพราะจะเห็นแต่ผู้รู้
    และไม่เห็นจิต และเข้าใจว่า ผู้ดูกับจิต
    เป็นตัวเดียวกัน และคิดว่าผู้รู้คือปัญญาครับ
    ๕.หาสมดุลย์สมถะและวิปัสสนาให้พบ
    ๖.จะเห็นได้ว่า. ผู้ดู จิต ผู้รู้ เป็นแค่กระบวนการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ซึ่งมาจากกำลังสติที่มากพอที่ สังเกตุเห็น
    เกิดเพราะอะไร ดับเพราะอะไร เกิดตอนไหน
    ดับเวลาไหนครับ


    ผ่าน ๖ ขั้นตอนแบบหยาบๆที่เล่ามาข้างต้น
    ค่อยมาพูดเรื่อง วงจรปฏิจฯ ค่อมาว่าเรื่อง
    ปัญญาญาน ค่อมาพูดเรื่องรอบรู้ในการปรุงแต่งครับ. ค่อยมาพูดเรื่อง การคลายตัวได้
    ตามธรรมชาติของจิต ค่อยมาพูดเรื่อง
    จิตเบากายเบา สบายใจครับ

    ตำราใครก็อ่านได้ครับ.
    ตำราเป็นพระธรรม สามารถต่อเติม
    ดัดแปลง เพิ่มเติมได้
    แต่ธรรมะเป็นสภาวะธรรม
    ตามอริยสัจ ๔ ไม่มีใครในจักรวาล
    จะมาทำให้มันเปลี่ยนแปลงได้


    ปล มันไม่ใช่มาจาก การที่เราจะไป
    คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ
    ให้ความเห็น ความหมาย
    เพราะมันเป็นแค่อักษร
    มันเป็นเพียงสมมุติที่
    เราไปสร้างมาปกปิดจิตเราเอง
    อย่างคาดไม่ถึง

    ทางปฎิบัติท่านถึงให้เราทิ้ง ทิฐิ มานะก่อน
    แล้วลงมือปฎิบัติให้เข้าถึงก่อน
    เข้าถึงแล้วก็ต้องวางให้เป็น
    เพื่อส่งให้จิตเรา มันค่อยๆคืนกลับ
    สู่ธรรมชาติเดิมแท้ของมัน
    ตามธรรมชาติแบบที่ไม่มีกายหรือรูป
    ทั้งๆที่มันก็ยังอาศัยรูปนี้อยู่

    ถึงจะพอมีโอกาสที่จะพ้นได้ครับ
    ยกเว้นไม่ปรารถนาหลุดพ้น
    ไม่ว่ากันครับ ตามอัธยาศัยครับ

    ปล แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  14. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    มันก็น่าคิดนะ
    จิตอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดจิตตสังขาร
    จิตตสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดจิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดขันธ์ห้า
    (ขันธ์ห้ามีรูป(กาย)กับนาม(เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ))
    มีกายเป็นที่ตั้งของอายตนะหก(ตาหูจมูกลิ้นกายผัสสะใจนึกคิด)

    ส่วนแรกเป็นขบวนการทำงานของจิต
    ไม่น่าจะเรียกว่านาม(มันไปซ้อนกับนามในขันธ์ห้า)
    ทำให้สับสน

    ส่วนสองเป็นขบวนการทำงานตอนผัสสะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2018
  15. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +470
    อ่านทู้นี้ของลุงแมว
    ใช้ได้ทีเดียว
    เซ็นโอนลอยบ่อยๆ
    สลัดให้หมด อย่าให้เหลือ ฮิ้ว
     
  16. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +268
    "..และเวลาใดที่จิตมันไปหมายเอาความคิดมาเป็นอารมณ์ เวลานั้นก็คือ มันเกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา มันก็เลยไม่เป็นอิสระ ณ ตอนนั้น พออุปาทานเกิด ทุกข์ก็เกิด เรียกว่าทุกข์อุปาทานได้ไหม อุปาทานในขันธ์ 5 ได้ไหม พอเราเห็นความจริงตรงนี้ได้ เราก็จะเริ่มเข้าใจในกระบวนการหลงเป็นทุกข์ได้ครับ.."

    คุนไทบ้านๆ

    :):):) จิต..เมื่อเข้าไปยึดอะไรเป็นอารมณ์ "ตัวเรา ของเรา"..จะเกิดตรงนั้นทันที

    :)จิต..เราจะปักลงตรงความคิดนั้นๆ-เราเรียกผัสสะ..เวทนาจะเกิด ตัณหา อุปทาน ฯล ก็จะเกิดตามมาครบห่วงโซ่ (ของคุณข้ามไปอุปทานเลย..) มันไม่เกี่ยวกับการ แยกรูป-แยกนาม ตรงไหนเลยครับ มันเกี่ยวกับ "จิต..คิด..ภาคปฏิบัติ ก็ตัดตรงผัสสะเลยครับ..แล้วกลับมาที่ลมหายใจ เสาเขื่อน-เสาหลัก ของเรา นานไป จิตใจจะเบา-สบาย-ขึ้นมากๆๆๆ ง่ายกว่าไปนั่งแยกํธาตุ อะไรอีกครับ ตามความเห็นส่วนตัวมครับ
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เพราะโยคีแมวมีความเข้าใจธรรมะมากขึ้น
    ก็จะมีลายเซนที่ถูกต้องมากขึ้น
    ไม่ต้องอัดเทปมาเปิด
    (เมื่อก่อนก็ไม่เคยอัดเทปมาเปิดนี่หน่า)
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เมื่อสติไม่รู้ ความเคลื่อนไหวของ
    จิต ปัญญาจะไม่เกิด
     
  19. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +268
    คุณ..nopphakan..

    :):):) ที่คุณยกมานี่ ปริยัติ บวก มโนคิดเอง-ทั้งสิ้น-แถมยกตนรู้สภาวะถ่องแท้กว่าคนอื่นๆ-ส่วนคนอื่นนั้นเห็นต่างเป็น.. ทิฏฐิวิปลาสหมด..-คุณเอาความเห็นที่คุณตอบ มาจากไหนครับถ้าไม่ใช่ปริยัติ-มโนเอาเอง..ไหนตอบมาซิ..?

    :):) .. ถูกปนผิด-มโนเอง-ผสมปนเป-ย้อนแย้ง-ยกตนเองว่ารู้ยิ่งกว่า คนอื่นวิปลาสหมด-แต่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าป่วย ทางจิต รึไม่ - ตอบมาแบบมั่วทุก สภาวะผสม-ปนเป ปริยัติ- ปนมโน-ยกตนเอง-เต็มไปหมด-
    :):):) ใครคุยกับคุณ คนนั้นโง่หมด.. คุณฉลาดรู้อยู่คนเดียว ไปหาหมอ ..จิตเวช เถอะครับ คุณป่วยเชื่อผมเถอะ..ไปละครับผมเหนือ่ย..!
     
  20. แสน1

    แสน1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +161
    เพื่อดูความไม่เทียงและความเป็นอนัตตาของสัญญาและสังขาร เป็นขั้นตอนเจริญปัญญา
     

แชร์หน้านี้

Loading...