สำหรับ คนที่สนใจเรื่องการเปิดจักระและโทษของมัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 17 ตุลาคม 2007.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เห็น พูดกันจังเรื่องเปิดจักระ เอาสุดยอดปรมาจารย์เปิดจักระด้วย ก็ตายเหมือนกัน
    ผมเป็น หนึ่งคนที่เปิดมาหมดแล้ว จักระ ทุกจักระ ก็จะเอาเนื้อแท้ของมันมาพูดให้ฟัง เพื่อให้ ระวังกัน อย่าคิดว่ามันดี อย่างนั้น อย่างนี้ ตามโฆษณาชวนเชื่อ

    เนื่องจากผ่านมาแล้ว จึงอยากจะบอกให้เป็นธรรมทาน

    จักระ ตามหลักของโยคะ นี้ ที่ว่า มีจุดเปิดปิด พลังจกรวาล นี้ แท้จริงแล้ว มันเป็น ทางออกของลมปราณ
    คำว่าลมปราณนี้ มันก็คือ อนุภาคของ ลมที่ละเอียดมีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    คนจีนเรียกว่า ชี่ ชี่ที่ดีนั้น จะเหนียวแน่น มีสภาพหยุ่นๆ ก็จะทำให้ร่างกายมีกำลังวังชา เท่านั้น

    ทางพุทธศาสนาเรียกว่า กายลม ธาตุลม เมื่อใครเจริญอานาปานสติมากๆ เข้าจะสัมผัสได้ว่า มันวิ่งเข้าตามผิวหนังได้ ควบคุมมันได้

    ประโยชน์คือ
    1 ทำให้ร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง
    2 ทำให้ ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ
    3 สามารถเอา ปราณนี้ ถ่ายให้ผู้ป่วยได้ หรือเรียกว่าช่วยคนได้

    จากที่ฝึกมา พบว่า มันมีโทษมากกว่า คุณเสียอีก เพราะว่าอะไร เพราะว่า การดึงธาตุลมออกมาภายนอก มาสัมผัสนั้น เมื่อจักรเปิด ทั้งดีและ ไม่ดีจะเข้าตัวทันที เปรียบเทียบกับ ระบบ internet คือ พอมีการต่ออินเตอรเนต มันก็ต้องเจอ ไวรัส และ ภัยร้อยแปด
    มันไม่ใช่ว่าจะดีอย่างเดียวนะ ให้ระวังกันไว้


    พระพุทธองค์ จึง สอนแต่ให้พิจารณา กายในกาย ไม่ใช่เอากายนอกกายเข้ามาสู่ตัว เมื่อพิจารณา กายลมในกายนี้ ระงับมัน มันจะสงบลง เป็นทางแห่ง พระนิพพาน เราสมควรต้องฝึกกันอย่างนี้ ไม่สมควรไปเปิดจักระรับพลัง กุณฑาลินี บ้าบอ

    จะเล่าประสบการณ์ให้ฟัง

    ก็ สมัยก่อน ฝึก ลมปราณ เปิดจักรได้หมด คุมให้มันวิ่ง โคจรก้ได้ แรกๆ มันก็ดี ตื่นเต้นมาก เพราะมันอัศจรรย์ พลังอะไรก็มหาศาล แต่ทีนี้ มันเกิดปัญหาคือ มันไม่ได้มีแต่เข้าที่ดี ไอ้ที่ดีมันมีอยู่มันมีออกด้วย พอคนฝึกไปเรื่อยๆ คุมไม่ได้ มันจะไหลออก ธาตุไฟมาปนบ้าง ธาตุนั่นธาตุนี่ปน เข้ามา ก็เกือบตาย กว่าจะกลับมาปกติได้ แทบแย่ หนังจีนเรียกว่า ธาตุไฟเข้าแทรก

    การเปิดจักระคือ การเปิดประตูกายลม เท่านั้น อย่าคิดว่ามันวิเศษ ไม่เช่นนั้น พระพุทธองค์ ท่านก็สอนไปแล้ว แต่ท่านไม่สอน เพราะทราบดีว่า นี่ไม่ใช่ทาง

    ทำอานาปานสติ ให้มั่นคง แล้วจะคุมธาตุได้เอง อย่าไปรับ หรือ ไปเปิดจักระจากใคร
     
  2. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    อนุโมทนากับการให้ความรู้นี้


    มีไม่น้อยรายในปัจจุบัน รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ว่าจะมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างไรในภายหน้า
     
  3. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    หากคุณขันธ์จะให้ความรู้เป็นธรรมทาน สำหรับผู้เปิดจักระแล้วได้รับผลไม่สู้ดี เป็นต้นว่า


    รับพลังเข้าสู่ร่างกายมากเกินควร จนเกิดอาการผิดปกติ ทางกาย และอารมณ์


    หรือรับสิ่งแปลกปลอมมาสู่สังขาร อาทิ วิญญาณต่างๆ


    ว่า จะแก้ไขปัดเป่าผลข้างเคียงเหล่านั้นได้อย่างไร


    ย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อคนหมู่มาก
     
  4. เบญจกูล

    เบญจกูล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +377
    ยืดแนวทางแห่งพระบรมศาสดาประเสริฐสุด จิงนอกเป็นสมุทัยจิตส่งในเป็นปัญญา
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เรื่องรักษา นี่ ยากมาก เพราะ เมื่อเข้ามามันจะเจือเป็นสังขาร เหมือนกับเนื้อเดียวของจิต มันจะทำให้ ตัวเราคิดว่าเราเป็น อย่างนั้นอย่างนี้เอง เช่นว่า อารมณ์แปรปรวน เราก็คิดว่ามันเป็นไปเอง แต่จริงๆ มันไม่ได้เป็นไปเอง แต่มันมีเชื้ออยู่ คือพูดง่ายๆ คือ
    คิดว่า ขันธ์ ทั้ง 5 ที่ปรุงเป็นเรา เราเป็นขันธ์ 5 การจะถอนนี่ยากแบบนั้นแหละ

    ทีนี้ เอาง่ายที่สุด คือ สมมติว่า เรารับพลังมามากเกิน หรือ เกิด อาการแปรปรวนของธาตุ อาจจะเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นอะไรก็ได้ร้อยแปดนี่ วิธีแก้คือให้เราวาง แต่พอเราคิดว่าเราวาง มันก็เป็นอีก โดยเป็นไปโดยอัตโนมัติ ควบคุมไม่ได้ ซึ่งจริงๆ เราคุมได้ โดยการตามอาการเหล่านั้นให้ทัน ด้วยสติปัฎฐาน
    ทวนกระแส ที่มันจะเป็น คือ อย่าเอาจิตไปวิตก ในสิ่งนั้น ตรงนี้ต้องรู้จักทำสมาธิ ให้คล่อง พอจิตมีสมาธิ จะถอนจากวิตก ไปสู่สภาวะอื่นได้ ก็จะค่อยๆ ถอนไปเอง

    ผมพูดจาวกวนนะ อธิบายยาก
    เอาง่ายที่สุดถ้าจะแก้ ก็รู้ละ ด้วยสติปัฎฐาน สมมติว่าอะไรเกิด ก็ให้ รู้แล้ว ถอน สลัด อย่าไปตาม ไปขับไปดัน หรือ ไปตามแก้ หรือ ทวนความรู้สึกนั้น กิเลสละเอียดกว่านี้ ก็ทำได้ด้วยวิธีการเดียวกัน คือ ทวน รู้ละ
    แรกๆ มันก็ดื้อหน่อย พอทำไปบ่อยๆ ก็จะหายเอง

    สำคัญคือ อย่าไปเอา สีลพตรปรามาสมาปน คือ ไปแก้ด้วยทางนั้นทางนี้

    หากใครอ่านไม่เข้าใจทำไม่ถูก ก็ค่อยๆ อธิบายสภาวะของตนมาให้ผมรู้ผมจะตามแก้เป็นคนๆ ไป
    หลักสำคัญที่สุด คือ มหาสติปัฎฐาน รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม จะแยกอะไรก็แยกได้ จะกำจัดอะไรก็กำจัดได้ด้วย ธรรมหมวดนี้
     
  6. sanya

    sanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +2,687
    กรณีร้อนอึดอัดวูบวาบทั้งหน้าอก เป็นเป็นหายหาย ทรมานมาก ทำอย่างไรก็ไม่หาย
    พอเลิกสนใจที่จะปฏิบัติตามแนวพลังจักรวาลประมาณเกือบเดือน
    จึงหายไป เลยไม่รู้ว่าเป็นอาการของโรคหัวใจหรือเป็นเพราะรับพลังมามากเกินไป
    เคยสอบถามคนที่เขาฝึกมาทางนี้ บ้างก็บอกว่า
    รับพลังมามากเกินไป ต้องถ่ายออก แต่ก็ไม่บอกวิธี ทำเป็นเฉยไป
    บางก็บอกว่าพลังยังขาด เบื้องบนส่งพลังมาเพิ่มเติม บางก็บอกว่าเขาส่งพลังมารักษา
    ( บาง นี่หมายถึงคนที่เขามีความรู้นะ บางทีอาจเป็นคนที่ท่านรู้จักก็ได้ )
    แต่ไม่มีใครให้คำตอบจริงจริงและวิธีแก้ไขที่ชัดเจน พูดคลุมเครือ
    ไปทางโน้นทีทางนี้ที ทำให้ขาดศรัทธาไปเยอะทีเดียวครับ กับพลังจักรวาล
    แต่ก็ได้รับการเปิดจักระแล้ว บางก็บอกว่าเปิดให้ 100 %นะ
    จึงอยากถามว่า ควรจะฝึกแบบที่เขาแนะนำอีกหรือไม่ ส่วนตัวตอนนี้นะ
    ลมหายใจอย่างเดียวคิดว่าดีที่สุด
    อีกข้อ เปิดแล้ว ไม่สนใจ จะปิดเองหรือ ยังคงเปิดอยู่อย่างนี้ครับ
     
  7. julieinter

    julieinter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +654
    เปิดจักระแล้วค่ะ

    เปิดจักกระมาแล้วเหมือนกัน เมื่อก่อนเวลาป่วย 2-3 วันก็หายแล้ว แต่หลังจากเดินลมปรานรับพลังเข้ามา ป่วยง่ายมาก เพลียมาก ๆ แล้วถ้านอนไม่พอ เหมือนจะเป็นไข้ไม่สบายเลยค่ะ มีคนเคยเตือนแล้ว แต่อยากลองของ เป็นเพราะว่าเราหยุดเดินลมปรานหรือเปล่า หยุดชารจ์ จักระไปร่วม 1 เดือน เพราะเริ่มมีอาการแปลก ๆ ร้อนข้างในมาก ๆ กลัวอ่ะ(b-green)
     
  8. julieinter

    julieinter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +654
    คุณขันธ์ค่ะ ตอนนี้อยากหายป่วยค่ะ เจริญสติก็แล้ว นั่งสมาธิก็แล้ว มันปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย ตอนฝึกมาแรก ๆ รู้สึกว่า ตัวเองแข็งแรงมาก ๆ มีพลังเยอะ แต่พอ ไม่ได้ชารจ์จักระ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ทำไงดีค่ะ แงงงงงงงงง
     
  9. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    มีตัวอย่างน่าสนใจบางประการ จากข้อสนทนาเรื่องการเปิดจักระ ดังนี้



    ถ้าเป็นการเปิดจักรเพื่อให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาลงนั้น "ไม่ควรทำอย่างยิ่ง" เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่เราทำตัวเป็น"ศาลา" สิ่งที่จะลงมานั่งบนศาลานั้นพอนานๆเข้าเราเลือกไม่ได้ จะมีการ "แลกหน้า" เกิดขึ้น

    ยกตัวอย่าง เช่น ผี หรือยักษ์ตนหนึ่งอยากกินเครื่องเซ่นไหว้ ก็ลงมานั่งบน"ศาลา (ตัวเรา)" แล้วก็อ้างตัวว่าเป็น ร.๕ บ้าง องค์นั้น องค์นี้บ้าง คนฟังก็อาจจะเชื่อตาม บางทีพวกนี้เก่งมากบังตาได้ทั้งตาเนื้อ ตาทิพย์

    คนที่ถูก "ลงทรง" ไม่ได้ทำบารมีเป็นของตัวเองเลย เสียชาติเปล่าๆ

    โดยทั่วไปนักปฎิบัติหลายท่านอาจจะไม่สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้โดยตรง แต่อยากจะให้ระมัดระวังว่า สิ่งไม่เห็นตัวเหล่านี้ทั้งแนวดีและแนวไม่ดี ในภาวะ "โลภ โกรธ หลง ภวังค์จิต" ทั้งตื่นและหลับ เขาสามารถแฝงจิตเราได้เสมอ ชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นละเสร็จเลย

    สิ่งไม่เห็นตัวเหล่ามีทั้งพวกดีและไม่ดี ผมคิดว่าเก่งพอๆ กันครับ เขาจะแฝงเป็นเงาอยู่ในจิตคนเรา นักปฏิบัติที่ทำไปถึงระดับหนึ่งแล้วจะมีวิธีกันและแก้โดยใช้ "เคล็ด กล มนต์ คาถา" คุ้มตัวเอง (แล้วแต่สถานการณ์) ถ้าทำได้แล้วจะรู้เองว่าอะไร เป็นอะไร

    บางทีเทวดาประจำตัวนั่นแหละเขาจะสอนเราเอง (ในรูปของธรรมที่เป็นรูปหรือสัญญลักษ์) เราต้องใช้ปัญญาแปลเอาเอง แล้วก็นำมาใช้กับการปฎิบัติ

    ครูบาอาจารย์ที่ผ่านป่า ผ่านดงมาได้แสดงว่าท่านต้องผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้วทั้งสิ้น บางทีเขาก็มาเสพร่างภายใน ของเรา เช่นบางที่เป็นเขตป่าแรงๆ พวกผีผู้หญิง พวกเขตยักขินี พวกนี้ชอบมาเสพร่างภายในของนักปฎิบัติ

    นักปฎิบัตินั้นร่างภายใน ( กายทิพย์ ) มักจะสวยงามเป็นที่ชื่นชอบของพวกผีผู้หญิงและยักขินี พระบางรูปไม่มีสิ่งคุ้มกัน ถูกเสพจนตายคาป่ามามากมาย

    นักปฎิบัติที่คิดว่าปฎิบัติได้ดีแล้ว ลองไปทดสอบตัวเองได้ครับว่าตัวเองจะผ่าน "ความกลัว" ได้หรือไม่ กลางป่ากลางเขาที่เงียบสงัด หรือตามป่าช้าที่แรงๆก็ได้ มีสถานที่ ที่น่าจะเหมาะแก่การฝึกทดสอบแบบนี้อยู่หลายที่

    แต่ผมแนะนำ เขาภูพานทอง ในเขต อ.วังสะพุง จ.เลย ภูมิเจ้าที่แรงมาก งูก็มาก ชอบมาซุกในกรดนักปฎิบัติเสียด้วยสิ โดยเฉพาะพวกที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่อง ภูมิ เจ้าที่ ผี สาง เทวดา

    ที่จริงแล้วความกลัวเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของนักปฎิบัติ บางทีเราไม่กลัวเพราะไม่เจอเหตุการณ์จริง ถ้าผ่านความกลัวไม่ได้จะถึงธรรมได้ยาก ครูบาอาจารย์ส่วนมากจะถึงธรรมได้ส่วนใหญ่ก็โดยการมอบกายถวายชีวิตกันทั้งนั้น

    การเข้าทรงลงเจ้าก็มีเหตุมาจากพื้นฐานความกลัวของจิต จิตไม่สู้ จิตไม่มีตบะพอ เลยยอมให้เขามาแฝง มาสิง สู้กับอำนาจบางอย่างไม่ได้ก็ไม่สามารถเป็นจิตอิสระ

    ถ้าจิตกำหนดอยู่ในร่างกายสิ่งอื่นจะมาแฝงได้ยากเพราะเหมือนกับเมื่อเจ้าของบ้านอยู่ในบ้าน โขมยก็เข้าบ้านไม่ได้ครับ

    จริงๆ แล้ว จักระจะพูดกันมากในกลุ่มที่ฝึกพลังจักรวาล ผมคิดว่าเป็นฐานจิตในร่างกายนั่นแหละ แต่อาจมีรายละเอียดต่างกันบ้าง เขานิยมใช้ในการรักษาโรค เท่าที่ผมสัมผัสดู จะเป็นฐานจิตที่หมุนอยู่ในตำแหน่งนั้นๆ

    ผมมาเข้าใจทีหลังเนื่องจากผมฝึกเดินธาตุสี่ ต้องเดินจิตไปเรื่อยๆ ตามตำแหน่งฐานจิตเหล่านั้นเพื่อมาแก้อาการที่จิตสงบนิ่งเกินไปหรือแก้การเข้าฌาณนั่นเอง บังเอิญปฎิบัติไปแล้วเมื่อเดินจิตไปตำแหน่งนั้นๆ แล้วจะเสียววาบทุกจุด แต่จะทำก็ต่อเมื่อจิตมีพลังจากความสงบมากๆ

    ถ้าพลังจิตไม่พอ อย่าไปทำโดยเด็ดขาดอันตรายมากครับ เพราะการทำดังกล่าวเป็นการแยกธาตุ ปรับธาตุในร่างกาย ถ้าเราไม่ชำนาญพอจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่เป็น ไข้ร้อนหรือไข้เย็นได้ง่าย นั่นคือขาดสมดุลธาตุนั่นเอง

    ผมเลยเดาว่าในยาโบราณ ผู้รู้ท่านรู้เรื่องธาตุดีมาก เพราะมียาธาตุชนิดต่างๆเพื่อนำมาปรับธาตุมากมาย การที่ธาตุทั้งสี่ไม่สมดุลก็เป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆตามมาด้วยครับ

    ถ้าท่านใดทำแบบที่ผมว่าได้ ท่านสามารถใช้จิตรักษาโรคบางโรคของท่านเองและผู้อื่นได้ แต่ผมเองจะไม่รักษาโรคให้ใครเพราะว่าเคยโดนเจ้ากรรมนายเวรของผู้ที่เราไปรักษาให้นั้นเล่นงานครับ คือผมหรือคนในครอบครัวรับกรรมแทนผู้นั้นไปชั่วระยะหนึ่ง

    ยกตัวอย่างเช่น ผมช่วยรักษาเพื่อนที่พักฟื้นจากการถูกรถชน ตอนบ่ายวันเดียวกันรถก็ชนพี่สาวผมเข้าให้ และมีเรื่องทำนองนี้เกิดกับผมและคนในครอบครัวผมทุกครั้งที่ผมไปรักษาผู้อื่นด้วยวิธีนี้ ผมเลยไม่รักษาใครอีกเลย เข็ดหลาบไปเลยครับ

    ผมเลยสงสัยว่าในพุทธกาลนี่มีผู้ที่เป็นหมอ บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้บ้างหรือไม่ เพราะการรักษาโรคนี่อาจจะได้บุญกุศลจากการรักษาโรค แต่ขณะเดียวกันอาจจะเพิ่มกรรมของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน

    เหมือนกับว่าเขามีกรรมที่เขาต้องชดใช้กันเอง แล้วเราเป็นบุคคลที่สามเข้าไปยุ่งกับเขาหรือเปล่า ท่านผู้รู้ช่วยกรุณาให้ความกระจ่างด้วยครับ

    http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/002101.htm
     
  10. you123

    you123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +191
    ค่อนข้างจะเห็นด้วยค่ะ เพราะเคยจำได้ว่าอ่านเรื่องเกี่ยวกับคุณหมอที่รักษาคนป่วยมาเหมือนกันค่ะ .... คุณหมอรักษาคนไข้หาย ทำให้เจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ไม่พอใจ ก็จะเล่นงานคุณหมอ ถ้าทำคุณหมอไม่ได้ ก็ทำคนในครอบครัวหรือสัตว์เลี้ยงของคุณหมอแทน ... (สังเกตุว่าลูกของหมอ มักเป็นโรคเอ๋อ) เป็นเรื่องกรรมเรื่องเวร เราไม่อาจแทรกแซงได้
     
  11. RuamJit

    RuamJit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +628
    อาการที่พูดกันในนี้เป็นอาการของการรับพลังมากเกินไป เป็นอาการหนึ่งที่เกิดกับคนฝึกชี่กงเหมือนกันดูได้จากส่วนหนึ่งของผลข้างเคียงที่คัดลอกมาจากหนังสือ ชีกงและส่วนหนึ่งของวิธีแก้ไขครับ คนอื่นอาจคิดว่ามีโทษ แต่ส่วนตัวผม คิดว่าข้อดี มากว่าเสีย ถ้ามีสติทุกลมหายใจเข้าออก ขอให้ทุกคนโชคดีครับ ..................................................................[SIZE=-1]<dd>
    </dd><dd>การฝึกชี่กงเป็นการฝึกสมาธิเคลื่อนไหวเพื่อเสริมสุขภาพและช่วยในการบำบัดโรคนับว่าเป็นความมหัศจรรย์ของภูมิปัญญาตะวันออกี่น่าศึกษายิ่งนัก ช่วงที่ผมยังทำงานอยู่ในโรงพยาบาล และได้เคยลองให้ผู้ป่วยได้ฝึกชี่กงกันนั้น ผมพบว่าการฝึกชี่กงมีความปลอดภัยสูง และก็ไม่พบว่ามีผลข้างเคียงใดๆเกิดขึ้น แต่ครั้นได้ฝึกฝนต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง บางรายก็อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้ อาการข้างเคียงเหล่านี้บางทีก็เหมือนกับโรคทางกายธรรมดา แต่บางครั้งก็แปลกประหลาดอธิบายยาก

    </dd><dd>หญิงสาวรายหนึ่งฝึกชี่กงเพื่อรักษาอาการปวดประจำเดือน โดยเธอมาฝึกพร้อมกับญาติ ปรากฏว่าญาติที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ก็มีอาการดีขึ้นมากจนหายขาดได้ในที่สุด ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน แต่เธอเองซึ่งขยันฝึกมากกว่า ด้วยความหวังว่าจะได้หายเร็วๆ โดยฝึกถึงวันละกว่า 2 ชั่วโมง จนในที่สุดพลังชี่ก็สะสมทั่วทั้งตัว จนมีอาการผมตั้ง ขนลุก เนื่องจากประจุไฟฟ้ามาก ตามตัวรู้สึกร้อนผ่าวไปหมดจนต้องฝังเข็มเพื่อระบายพลังส่วนเกิน และให้ลดเวลาฝึกลงมาให้เหลือเพียงวันละ 15 นาทีเท่านั้น

    </dd><dd>กรณีเช่นนี้หมายถึงการฝึกที่มากเกินไป และจากประสบการณ์ในเวลาต่อๆมาทำให้ผมทราบว่า ชี่กงที่เร่งพลังมาก เช่น ชี่กงแบบ 4 ท่าที่ผมเคยนำเสนอมาแล้ว หรือแบบยืนถือลูกบอลก็ตาม หากผู้ฝึกฝึกมากเกินไป ก็จะเกิดอาการพลังคั่งค้างขึ้นได้ง่าย

    </dd><dd>แล้วที่ว่ามากนั้นมากแค่ไหน ?

    </dd><dd>ปรากฏว่าในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวนั้น จำเป็นต้องใช้พลังเป็นจำนวนมากในการรักษาโรค การฝึกในระยะเวลานานไม่ค่อยมีปัญหา ก็เพราะร่างกายใช้พลังอยู่ทุกวัน แต่กับคนที่ป่วยด้วยโรคเล็กๆน้อยๆ หรือคนธรรมดาที่ขยันฝึก กลับมีอาการของพลังคั่งค้างจนเกิดปัญหาขึ้นได้ ซึ่งถ้าคิดเป็นเวลาการฝึก ก็ใช้เวลาการฝึกมากกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีก 2 ข้อคือ ท่าทางของร่างกาย และจิตใจ

    </dd><dd>ท่าทางก็มีส่วนสำคัญ ชี่กงที่ใช้ท่าทางมากๆ จะไม่ค่อยมีปัญหาการติดขัดของพลัง เนื่องจากมีการบริหารกระตุ้นการไหลเวียนพลังอยู่ตลอด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ในผู้ฝึกไทเก๊ก ซึ่งต้องฝึกมากกว่า 80 ท่าใน 1 ครั้ง กลับไม่เคยปรากฏว่ามีผลข้างเคียงใดๆเกิดขึ้น ดังนั้นทางแก้ไขสำหรับพวกที่มีพลังคั่งค้างมากเกินไปวิธีหนึ่งก็คือ การให้ฝึกท่ามากๆหน่อย จะได้กระตุ้นการไหลเวียนของพลังให้มากขึ้น

    </dd><dd>จิตใจนับว่ามีส่วนสำคัญมาก จิตใจที่แจ่มใส ผ่อนคลาย จะทำให้พลังงานไหลเวียนดี แต่หากมีความตึงเครียดหรือโกรธ อารมณ์ด้านลบจะทำให้พลังเกิดติดขัด

    </dd><dd>เหมือนกับที่ตำราหวังตี้เน่ยจิง ซึ่งเป็นตำราการแพทย์แผนโบราณของจีน ได้กล่าวถึงอารมณ์ทั้ง 7 ว่า เป็นอุปสรรคของการฝึกชี่กง อย่างอารมณ์”โกรธทำให้พลังขึ้นสู่บน” ก็หมายถึงความโกรธนั้นทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เนื่องจากพลังงานไปคั่งอยู่ที่ศีรษะมาก

    </dd><dd>คนที่หงุดหงิดง่าย หรือมีปัญหาจากสิ่งรอบๆตัวรุมเร้า ไม่ควรฝึกชี่กงเพียงอย่างเดียว แต่ควรฝึกการมีสติตามหลักพุทธศาสนาด้วย การกำหนดสติเมื่อเกิดอารมณ์ต่างๆนี่เอง ทำให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นสลายไป และไม่สะสมจนเกิดปัญหา ประเด็นนี้คงต้องหาโอกาสนำมากล่าวถึงอีกสักครั้งในอนาคต

    </dd><dd>แล้วอาการอื่นๆ?


    </dd><dd>อาการข้างเคียงของการฝึกชี่กงมีหลายแบบ เช่น

    </dd><dd>1. อาการของความร้อนในร่างกายสะสม คือมีพลังมากขึ้นจนเกิดแผลในปาก ร้อนวูบวาบตามตัว บางคนอาจร้อนเฉพาะบางจุดของร่างกาย เช่นที่ศีรษะ ทำให้เกิดความรำคาญ บางรายอาจรู้สึกเหมือนมีไข้ขึ้น ส่วนใหญ่อาการเหล่านี้มักหายไป ไม่ค่อยเรื้อรัง
    รายหนึ่งที่ผมเคยพบมีอาการแบบนี้นั้น เขาเคยไปเปิดจักระเพื่อรับพลัง ต่อมาเกิดความไม่สบาย รำคาญ กับพลังที่วิ่งไปมาอยู่บนศีรษะ จนต้องหยุดการฝึก ลักษณะเช่นนี้ก็สามารถพบในคนที่ฝึกชี่กงได้

    </dd><dd>2. อาการของระบบย่อยอาหาร ได้แก่ ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้อาเจียน ซี่งมักเกิดตั้งแต่เริ่มฝึก บางรายถึงกับต้องหยุดแล้วไปอาเจียนนอกห้องก็เคยเจอ ขณะที่บางรายอาจมีอาการท้องเสีย ถ่ายบ่อย อันนี้มักพบได้ในผู้ที่มีของเสียคั่งค้าง อาจถือได้ว่าเป็นขบวนการขับพิษอย่างหนึ่ง แบบนี้ถือเป็นสิ่งที่ดี

    </dd><dd>3. ความแปรปรวนทางเพศ ซึ่งมักพบว่าแรงขับดันทางเพศจะสูงขึ้น ซึ่งต้องพัฒนาวิธีควบคุมให้อยู่ในความสมดุลด้วยเช่นเดียวกัน

    </dd><dd>4. นอนไม่หลั บฝันร้าย อันนี้แสดงถึงพลังที่คั่งอยู่ และอาจเป็นจากการได้รับพลังปนเปื้อนจากแหล่งที่ไม่ค่อยดีนัก
    พลังปนปื้อนนี้หมายถึงพลังที่ไม่ค่อยดีนัก เช่น เป็นพลังงานของผู้ป่วย พลังด้านลบ ซึ่งเมื่อเข้ามาในร่างกายแล้ว จะทำให้เกิดความผิดปกติหลายอย่าง เหตุที่พลังงานเหล่านี้เข้ามาได้ก็เพราะ ในขบวนการฝึกนั้นเราไม่สามารถแยกแยะพลังได้ว่า อันนี้ดีแล้วรับไว้ อันนี้ไม่ดีปล่อยทิ้งไป ดังนั้นการเลือกสถานที่ฝึกที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น และทำให้เราได้รับพลังงานที่เป็นด้านบวกมากขึ้น

    </dd><dd>5. ปวดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น อาการเช่นนี้ผมเคยเจตอมากับตัวเองแล้ว แถมยังเล่นงานผมอยู่นานเป็นปีเลยทีเดียว ปกติแล้วการที่พลังจะเข้าเส้นเอ็นได้นั้น ต้องเกิดการ”อัดพลัง”ด้วยการหายใจ แล้วเกร็งคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากรีบร้อนในการฝึกฝนแล้ว อาจทำให้เกิดการติดขัด และเส้นเอ็นเกิดอักเสบ และทำให้ผู้ฝึกมีอาการเจ็บปวด บวม ได้
    การแก้ไข ?


    </dd><dd>ผมได้เสนอแนวทางแก้ไขง่ายมาแล้วคือ เรื่องของการใช้เวลาในการฝึกให้พอดี ไม่มากจนเกินไป ระมัดระวังอารมณ์ขณะฝึกให้ผ่อนคลาย และอาจใช้ท่าทางกายบริหารในตำแหน่งที่ไม่ค่อยสบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป กรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น ก็อาจลองแก้ไขปัญหาดูก่อน สังเกตว่าเกิดจากอะไรและอาจลองแก้ไขได้โดย

    </dd><dd>1. ขับพลังออก ซึ่งอาจใช้ในกรณีที่มีพลังมากเกินไป หรือใช้กำจัดพลังที่ปนเปื้อน วิธีง่ายๆก็คือ หาต้นไม้ใหญ่ๆสักต้น เพื่อถ่ายออก และทำให้เกิดการไหลเวียนของพลังงาน (รูป)
    ยืนสบายๆ เท้าทั้งสองข้างสัมผัสกับพื้นดิน ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองแนบสนิทกับต้นไม้อย่างสบายๆ แล้วจินตนาการให้พลังไหลจากมือไปยังต้นไม้ ลงไปยังรากแก้วที่อยู่ลึกลงไปในพื้นดิน ขณะที่เท้าดูดซับพลังงานจากพื้นดินขึ้นมาเป็นวงจร ทำซ้ำๆกันอย่างนั้น ตามลักษณะของลมหายใจ กล่าวคือเมื่อหายใจเข้า พลังก็ไหลเข้ามาในตัวผ่านเท้า หายใจออกพลังไหลออกไปยังต้นไม้ โดยพลังไหลผ่านทางฝ่ามือ ควรทำอย่างน้อย 10 รอบลมหายใจ
    แค่เอามือแตะต้นไม้ แล้วนึกเอาน่ะหรือ ฟังดูง่ายๆ ?
    ทีแรกตอนที่อาจารย์ได้สอนวิธีนี้แก่ผม ผมก็ไม่อยากเชื่อนัก พอดีช่วงนั้นผมมีปัญหาหัวใจเต้นผิดปกติ ( PVC ) เนื่องจากกินกาแฟมากไปหน่อย หลังจากลองปฏิบัติดูตามที่กล่าวนี้ อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะหายไปอย่างปลิดทิ้ง ภายในเวลาเพียงแค่ 2 นาที เรียกว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากทีเดียว

    </dd><dd>2. การแผ่เมตตา เผื่อแผ่แก่สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯที่อยู่รอบๆตัว อาจใช้บทสวด “สัพเพ สัตตา ………………” พร้อมทั้งบทแปล “สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ ………” ก็ได้ วิธีการนี้ สามารถใช้แก้เรื่องพลังงานด้านลบลงไปได้
    เรื่องของผลข้างเคียงที่เกิดจากการฝึกชี่กงนั้น โชคดีที่ไม่ได้เจอกันบ่อยๆนัก ที่เจอก็มีอาการไม่มากและหายได้เอง หรือใช้วิธีการต่างๆแก้ไขกันได้ แต่หากลองแล้วอาการต่างๆก็ยังไม่ดีขึ้นเสียที ก็อาจต้องให้อาจารย์ชี่กงช่วยจี้สกัดจุด หรือขับพิษออกไปเสียบ้าง ก็น่าจะเป็นทางออกไม้ตายสุดท้ายครับ

    <center>* * * * * * * * * * * * * * * *</center> </dd>
    [/SIZE]
    [SIZE=-1]
    [/SIZE]
     
  12. RuamJit

    RuamJit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +628
    credit : ข้อมูลข้างบน เป็นของ นพ. เทอดศักดิ์ เดชคง ครับ

    **มีสติ รับรู้ ข้อมูล ใน internet อยู่ เสมอ **
     
  13. zoba

    zoba เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +268
    จักระที่ว่านี่ ก็เหมือนกับเราเอา สมาธิไปวางไว้ตรงจุดไหนของร่างกาย ไว้ตรงหน้าผากก็อยู่ตรงหน้าผาก ตรงกระหม่อมก็อยู่กระหม่อม ผ่ามือก็วางไว้ที่ผ่ามือ อยู่ปลายจมูกก็วางไว้ปลายจมูก
    ผมว่าลองนั่งสมาธิไปเรื่อยๆก็จะสัมผัสได้เอง ไม่เห็นต้องไปให้ใครเปิดให้เลยครับ
     
  14. FATAL_FRAME

    FATAL_FRAME เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    808
    ค่าพลัง:
    +3,990
    ยืนยันความเห็นตาม คุณ
    ขันธ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_761380", true); </SCRIPT> ครับ รุ่นพี่ผมที่ศึกษามาก่อนหน้านี้ เจอธาตุไฟเข้าแทรก เข้าๆออกๆ รพ ร่วมสองปีไปเลยครับ


    ของพวกนี้ไม่ใช่ของเล่น หมุนผิดทิศผิดทาง จะมีผลต่อร่างกายและจิตใจ ครับ
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ขอโทษนะ กระทู้ของคุณ ruamjit นี้สรุปว่า ไอ้อาการที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ยังไม่เรียกว่าข้อเสียอีกหรือ
    แล้วทางแก้ ที่อีตา เทอดศักดิ์ เดชคง พูดมาก็ไม่ได้เรื่อง สรุปเอาตามที่เรียนมา โดยปราศจากข้อเท็จจริง อย่างเช่นไปถ่ายพลัง ตามต้นไม้ อะไรประมาณนี้ ผมอยากจะถามว่า ทำไมต้องต้นไม้ ทำไมต้องดวงจันทร์

    คนฝึกชี่กง นี้ไม่เข้าใจ จิต ว่า แท้จริง จิตนี้สร้างพลังงานขึ้น ตามสิ่งที่เราคิด ก็เหมาเอาว่าเราจะเอาจากฟ้าจากดิน
    จริงอยู่ว่า มันมีการแลกเปลี่ยนพลังงานกันได้ แต่มันไม่ใช่แบบที่เข้าใจกันหรอก มันแค่ระดับ กายภาพที่แลกเปลี่ยนกัน แต่ระดับ นามธรรม ระดับจิตนี้ มันมีผลเกี่ยวเนื่อง

    สำหรับ คุณ sanya ผมแนะนำให้ เลิกสนใจเรื่อง การเปิดจักระไปเลย เมื่อไร มันร้อน ก็ให้ฝืน หรือ เปลี่ยนอริยาบทไปในทางอื่น เพื่อดับธาตนั้น ไม่ให้ต่อเนื่อง ไม่ต้องไปฝึกอีก

    สำหรับ julieinter ผมแนะนำให้ เลิกฝึกก่อน เลิกสนใจ แล้วพยายามรักษาร่างกายตามรูปแบบ ธรรมชาติ เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหารที่เหมาะสม อย่านอนดึก แล้วก็ อย่าเครียด ปล่อยวาง เท่านั้นพอ เรื่องอื่น ค่อยๆ เป็นค่อยไป

    การไปยุ่งกับ ธาต นี้อย่าเลย แต่ผมจะบอกแนวทางเอาไว้ ว่า
    ลม เริ่มพัด เราก็รีบทำให้มันสงบก่อนมันจะเป็นพายุ
    ไฟเริ่มจะติด เราก็รีบดับมัน ก่อนที่มันจะลุกลาม ( ร้อน ก็รีบดับ คือ การบังคับธาตุให้ ไฟดับ )
    น้ำเริ่มจะท่วม เราก็รีบวิดออก
    ดินเริ่มจะแตก เราก็รีบลดน้ำ ให้อาหารแก่ดิน
    มโนธาต เริ่มจะออกนอก ก็ให้ดึงกลับเข้าใน


    แต่ต้องมีสติ ตามรู้ธาตุ นะ แต่อย่าไปยุ่งกับมันดีที่สุดครับ
     
  16. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    เรื่องจักระนี้ มีที่ละอียดกว่าทางกายอีก คือทางจิตวิญญาณ


    เมื่อจิตจดจ่อแส่ส่ายไปหามัน นานวันเข้า สิ่งอื่นที่อาจมิใช่ทางดี ( ซึ่งส่วนมากมักเป็นเช่นนั้น ) มักเข้ามารบกวน


    คำเตือนนี้ มิใช่การห้าม เพราะหลายเรื่อง ต้องกาลามสูตรด้วยตนเองถึงผลดีผลเสีย จึงจะเข้าใจได้ถ่องแท้
     
  17. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    นั่นแล วิชาต่างๆ ศึกษาอย่างถ่องแท้ให้รู้จริงทั้งสองด้านเถิด

    ทั้งด้านที่เป็นคุณ และด้านที่เป็นโทษ


    บางคราว ผู้สนใจอาจรู้แต่เพียงด้านเดียว และคิดว่าตนรู้แล้วอย่างถึงที่สุด


    แต่แท้จริง อีกด้านซึ่งถูกแอบไว้นั้นยังไม่รู้ หรือยังรู้ไปยังไม่ถึง รู้ยังไม่ลึก


    เราเห็นว่ากระทู้นี้มีคุณประโยชน์ และปรารถนาดี แม้บางถ้อยคำอาจทิ่มแทงหรือมีรสขื่นขมไม่กลมกล่อม

    แต่ให้ท่านตรองดูด้วยใจเถิด


    บางเรื่องทางโลก จำต้องใช้เวลาในการคลี่ออกดู ก็ยังนับว่าจะได้ประจักษ์ในที่สุด


    โดยเฉพาะ ท่านที่นำพาตนเข้าไปเรียนรู้และปฏิบัติแล้ว
     
  18. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    การเปิดจักระ มีทั้งข้อดีและเสีย
    ทุกคนที่รับการเปิดจักระมา จะรู้แต่ข้อดี
    ข้อเสียและการแก้ไข ไม่มีใครพูด

    ใครก็ตามที่ทรมารกับอาการปวดหัว ตะครั่นตะครอ ไปทั่ตัวหาสาเหตุไม่เจอ
    และไม่ปรารถนาจะฝึกต่อ ก็ปิดจักระเสีย

    ใครๆเขาชอบรับเปิดจักระกัน
    แต่ผมชอบรับปิดจักระ
     
  19. Chaiyaboon

    Chaiyaboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,803
    คุณขันธ์นี่เป็นปราชญ์โดยแท้ ...

    ผมยอมรับคุณจริง ๆ

    ติดตามอ่านมาหลายกระทู้

    แหม พระเจ้าจอร์จมันยอดจริง ๆ
     
  20. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    เรื่องจักระนี้ถ้าจะฝึกฝนจริงๆก็ควรมีผู้เชี่ยวชาญคอยชี้แนะ หรือศึกษารายละเอียดให้ดีเสียก่อน สำหรับกรรมฐานที่เป็นกลางๆและฝึกได้ทุกคนก็คือ การมีสติสัมปชัญญะ หรือการมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับกายนี่แหละครับ

    พอฝึกสติบ่อยๆทำสมาธิมากๆ จิตภายในก็จะค่อยๆพัฒนาไปเองครับ (การเพ่งเป็นจุดๆ ดีไม่ดีอาจมีปัญหา เลือกไม่ถูกว่าจะเพ่งจักระไหนก็เป็นได้นะครับ^ ^)
     

แชร์หน้านี้

Loading...