หนังสือ พึ่งธรรม เชิญเข้ามาอ่านครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย กฤษญาณศรณ์, 31 พฤษภาคม 2010.

  1. กฤษญาณศรณ์

    กฤษญาณศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +115
    การตอบแทนพระคุณมารดา-บิดา

    สมัยเมื่อพระพุทะเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมื่องสาวัตถี ได้ตรัสถึงการตอบแทนพระคุณของมารดาบิดาที่ได้ผลอย่างแท้จริง และถูกต้องตามหลักศาสนาไว้ดังนี้
    "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ! บุตรยกมารดาบิดาขึ้นไว้บนบ่าทั้งสองข้างปฏิบัติท่านทั้งสองด้วยการอบกลิ่น นวด อาบน้ำ ท่านทั้งสองได้ถ่ายอุจจาระและปัสวะอยู่บนบ่าบุตรนั้นตลอดร้อยปี แม้อย่างนั้น ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าได้ตอบแทนคุณของมารดาบิดาได้เลย
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ! อีกประการหนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาไว้ในราชสมบัติในแผ่นดินใหญ่ มีแก้ว 7 ประการ แม่อย่างนั้น ก็ยังไม่ได้ชื่อว่า บุตรได้ตอบแทนคุณของมารดาได้เลย เพราะว่ามารดาบิดามีอุปการะมากบำรุงเลี้ยงดู แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
    ส่วนบุตรคนใด ทำมารดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธามั่นคง ทำมารดาบิดาผู้ทุศีล ให่ตั้งมันอยู่ในศีล ทำมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้มีการบริจาคเป็นนิจ ทำมารดาบิดาผู้ไม่มีปัญญา ให้มีปัญญาเป็นเครื่องนำทางที่ถูกต้องได้
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยเหตุการตอบแทน 4 ประการนี้ ชื่อว่าบุตรตอบแทนพระคุณมารดาบิดาแล้ว"

    ปฐมปัณณาสก์ 20/90
    catt11
    ธรรมของคนดีและของคนชั่ว
    สมัยเมื่อพระพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถีได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายถึงเรื่องธรรมของคนดี (สัปปุริสธรรม) และธรรมของคนชั่ว (อสัปปุริสธรรม) พอสรุปได้ว่า
    ธรรมะของคนชั่ว คือ 1. ผู้ออกบวชจากสกุลสูง 2. ผู้ออกบวชจากสกุลใหญ่ 3. ผู้มีคนรู้จัก มียศ 4. ผู้มีลาภ 5. ผู้มีการศึกษามาก 6. ผู้ทรงจำวินัย 7. ผู้เป็นนักพูดธรรมะ 8. ผู้อยู่ป่า 9. ผู้นุ่งห่มผ้าบังสกุล 10. ผู้ถือบิณฑบาต 11. ผู้อยู่โคนไม้ 12. ผู้ป่าช้า 13. ผู้ได้รูปฌาณที่ 1 ถึง 4 และผู้ได้อรูปฌาณที่ 1 ถึง 4 รวม 20 พวก
    ใน 20 พวกนี้ ที่เป็นคนชั่วคือ มักจะยกตนข่มผู้อื่น เพราะเหตุที่ตนอยู่ใน 20 พวกนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าก็ได้ จัดว่าเป็นอสัปบุรุษ คือคนชั่วทั้งสิ้น
    ส่วนคนดีย่อมพิจารณาเห็นว่า ความโลภ ความโกรธ และความหลงย่อมไม่อาจหมดไปได้เพราะการอยู่หรือได้ฐานะ 20 ประการนั้น ถึงแม้ไม่อยู่ในฐานะทั้ง 20 นั้น แต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบประพฤติตนสมควร คนทั้งหลายก็ต้องบูชาสรรเสริญในที่นั้น คนดีนั้นเขาปฏิบัติแต่ภายใน (คือไม่โอ้อวดยกตัว) ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้มีฐานะ 20 นั้น นี้คือธรรมของคนดี
    สัปปริสสูตร 14/113
    catt11

    ติดตามอ่านต่อนะครับ ยังมีอีก ...

    ใส่ร้ายคนดี ได้รับโทษทันตา

    สมัยเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี พระโกกาลิกะริษยาพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ร้ายพระเถระทั้งสอง พระพุทธองค์ทรงห้ามถึง 3 ครั้งก็ไม่ฟัง ได้รับอกุศลกรรมสนองทันตา ได้เกิดฝีหัวใหญ่ขึ้นทั้งตัว ฝีแตกน้ำเหลืองไหล ได้รับทุกขเวทนากล้าจนขาดใจตายไปเกิดในปทุมนรก ซึ่งเป็นส่วนของมหานรกอเวจี ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส
    พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษแห่งการใส่ร้ายผู้ทำความดี เพื่อเป็นเครื่องสังวรของชาวพุทธไว้ดังนี้
    * คนพาลเมื่อพูดชั่วร้ายออกไป ย่อมได้ชื่อว่าฆ่าตัวเองด้วยอาวุธ
    * ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับการสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสะสมความชั่วด้วยปาก เขาย่อมไม่ได้รับความสุข
    * ความพินาศแห่งทรัพย์สินเพราะการพนันก็ดี พร้อมด้วยสิ่งของทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนเองก็ดี ยังนับว่ามีโทษเพียงเล็กน้อย ส่วนบุคคลใดทำใจคิดทำร้ายในท่านผู้ทำำความดีท้้งหลาย มีโทษยิ่งใหญ่กว่า
    * ผู้พูดจาด้วยจิตอันลามก ชอบติเตียนพระอริยะเจ้า ย่อมเข้าถึงนรก
    โกกาลิกสูตร 15/209
    catt11
    ติดตามต่อนะครับบ บ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2010
  2. กฤษญาณศรณ์

    กฤษญาณศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +115
    ต่อครับ ...

    การให้ทานที่ได้รับผลต่างกัน
    เจ้าปายาสิผู้ครองนครที่ขึ้นกับพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นมิจฉาทิฐิคือเห็นว่าโลกหน้าไม่มี ผลชองการทำความดีและความชั่วไม่มี แต่พระกุมารกัสสปะได้เทศนาถูกต้องให้ฟัง จนเจ้าปายาสิกลับเป็นสัมมาทิฐิและได้บริจาคทางเป็นประจำ
    แต่การบริจาคทานนั้น เจ้าปายาสิให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความไม่นอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ เจ้าปายาสิได้มอบหมายให้อุตตรมาณพผู้เป็นบ่าว ให้เป็นผู้ให้ทานแทน
    ส่วนอุตตรมาณพนั้น ได้ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความนอบน้อม มิได้ให้ทายอย่างทิ้งให้
    ผลปรากฎว่า หลังจากบุคคลทั้งสองได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว เจ้าปายาสิได้ไปเกิดในวิมานชื่อ "เสรีสกะ" ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุดในบรรดาสวรรค์ทั้งหมด และวิมานนั้นยังว่าเปล่า ไม่มีเครื่องประดับประดาอะไรเลย และไม่มีนางฟ้าเป็นบริวารแวดล้อมด้วย
    ส่วนอุตตรมาณพได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งสูงกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชหนึ่งชั้นพรั่งพร้อมด้วยยศและบริวารเป็นอันมาก
    ปายาสิราชัญญสุตร 10/309
    catt11


    การให้ทานที่มีจิตต่างกัน

    สมัยเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ฝั่งสระโบกขรณีคัดครา เมืองจัมปา พระสารีบุตรได้พาพวกอุบาสกชาวนครจัมปาเข้าเฝ้าและทูลถามปัญหาถึงผลของทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบ และทรงแสดงผลของทานตามลำดับ ดังนี้
    1. คนบางคนในโลกนี้ มีความหวังแล้วให้ทาน มีจิตผูกพันในทานมุ่งการสั่งสมทาน ด้วยคิดว่าเราตายไปจะได้รับผลของทานนี้ เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
    2. คนบางคนในโลกนี้ ไม่มีความหวังแล้วให้ทานไม่มีจิตผูกพันในผลของทาน ไม่มุ่งการสั่งสมทาน ไม่คิดว่าตายแล้วจะได้รับผลของทานนี้ แล้วจึงให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นของดี เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
    3. คนบางคนในดลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิว่า ทานเป็นของดี แต่ให้ทาวด้วยคิดว่า บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
    4. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เคยให้เคยทำมา แต่ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากิน พวกนักบวชเหล่านี้ไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ท่านแก่ท่านผู้ไม่หุงหา ดูเป็นการไม่สมควรแล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นดุสิต เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
    5. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ แต่นักบวชเหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จึงให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจะเป็นผู้บิรจาคเหมือนฤๅษีต่างๆ ในอดีต แล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวาดาชั้นนิมมานรดี เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
    6. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยการคิดว่า เราจะเป็นผู้บริจาคเหมือนฤๅษีต่างๆ ในอดีต แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสในัส แล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมตวสวัสดิ์ เมื่อสิ้นกรรมก็มาเกิดอย่างนี้อีก
    7. คนบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส แต่ให้ทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต คือเพื่อเลื่อนชั้นทางจิตแล้วจึงให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเกิดเป็นเทวดาชั้นพรหม เมื่อสิ้นกรรมแล้วก็ไม่ต้องกลับมา คือไม่ต้องกลับมาสู่โลกนี้อีกแล้ว
    นี้แลเป็นเหตุและปัจจัย ที่คนบางคนในโลกนี้ให้ทานแล้ว จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
    ทานสูตร 23/59

    ผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
    พิมพ์ตามหนังสือครับ
    catt11​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...