หลักชีวิต หลักชาวพุทธ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aprin, 23 กันยายน 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    คอลัมน์ มองอย่างพุทธ

    โดย พระไพศาล วิสาโล เครือข่ายพุทธิกา http://budnet.org


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อาจารย์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เล่าว่า คราวหนึ่งได้ไปบรรยายให้แก่นักศึกษาปริญญาโท ซึ่งมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเข้าเรียนเป็นจำนวนมาก ตอนหนึ่งท่านได้พูดถึงพุทธศาสนาและคำสอนเรื่องไตรลักษณ์ พอถึงตรงนี้ท่านก็ถามนักศึกษาว่า ไตรลักษณ์นั้นได้แก่อะไรบ้าง นักศึกษาทั้งชั้นนิ่งเงียบ ท่านจึงเฉลยข้อแรกว่าได้แก่ "อนิจจัง" ท่านถามต่อว่า ไตรลักษณ์ข้อถัดมาคืออะไร ก็ยังไม่มีคำตอบจากนักศึกษาทั้งหนุ่มทั้งแก่ ท่านจึงเฉลยให้อีกว่า "ก็ ทุกขัง ไงล่ะ"

    ท่านยังไม่ละความพยายาม ถามนักศึกษาต่อว่า ไตรลักษณ์ข้อสุดท้ายคืออะไร ทีนี้นักศึกษาทั้งชั้นตอบอย่างเต็มปากว่า "พลัง" !

    คำตอบดังกล่าวสร้างความประหลาดใจแก่อาจารย์ท่านนี้มาก เพราะแสดงว่าแม้แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับอธิบดี ก็ยังไม่รู้ว่า ไตรลักษณ์คืออะไร ทั้งๆ ที่เฉลยไปถึง 2 ใน 3 ข้อ ก็ยังตอบผิด ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินคำว่า "อนัตตา" เลย

    คำตอบของนักศึกษาเหล่านั้นยังทำให้เห็นว่า พวกเขาคุ้นเคยกับคำให้พรของพระมากกว่า โดยเฉพาะท่อนท้ายที่ว่า "อายุ วัณโณ สุขัง พลัง" ดังนั้นจึงพร้อมใจตอบว่า "พลัง" ทันทีที่ได้ยินคำว่า "ทุกขัง"

    ที่จริงการไม่รู้จักหลักไตรลักษณ์ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากมีการประพฤติหรือปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จหัวเมือง พระองค์ทรงเคยสอบถามชาวบ้านตามหมู่บ้านต่างๆ ไม่มีใครตอบศีล 5 ได้ครบถ้วน พระองค์จึงทรงปรารภว่าคนไทยไม่รู้จักพระพุทธศาสนา แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงยอมรับว่าผู้คนในหัวเมืองอยู่กันอย่างเรียบร้อย ไม่มีการประพฤติผิดศีลผิดธรรม

    ทุกวันนี้ถ้าถามว่าศีล 5 คืออะไร เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ตอบได้ครบถ้วนหรือเกือบครบ แต่นั่นหมายความว่าคนไทยรู้จักพุทธศาสนาหรือเป็นชาวพุทธแล้วใช่ไหม เราคงตอบได้ไม่เต็มปากเพราะปรากฏการณ์ที่เห็นอยู่รอบตัวบ่งชี้ว่า คนไทยไม่ได้ปฏิบัติตามศีล 5 กันเท่าใดนัก หาไม่อาชญากรรม คอร์รัปชั่น ความสำส่อนทางเพศ และสุรายาเมาคงไม่แพร่ระบาดไปทุกหัวระแหงดังทุกวันนี้ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและผู้รู้หลายท่านถึงกับบอกว่า เมืองไทยจะเจริญก้าวหน้าอีกมากหากคนไทยเพียงแต่รักษาศีล 5 ให้ครบถ้วนเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม ลำพังการรักษาศีล 5 ให้ครบยังไม่เพียงพอที่จะบอกว่าผู้นั้นเป็นชาวพุทธที่แท้ หากว่าผู้นั้นยังลุ่มหลงในอบายมุข พึ่งพาไสยศาสตร์ หวังลาภลอยคอยโชค คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน (แม้จะชอบทำบุญแต่ไร้น้ำใจ) หรือเชื่อกรรมในทางที่ผิด จนคิดแต่จะแก้ปัญหาชีวิตด้วยการประกอบพิธี "แก้กรรม" และ "ตัดกรรม" หรือกลัวเจ้ากรรมนายเวรจนไม่กล้าช่วยเหลือใครเพราะกลัวเจ้ากรรมนายเวรของผู้นั้นจะมาทำร้ายตน ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะวิธีการหรือความเชื่อเหล่านั้นสวนทางกับหลักการทางพุทธศาสนาที่เน้นการพึ่งความเพียรของตน หมั่นฝึกฝนพัฒนาตน และตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    ทุกวันนี้มีความเข้าใจว่าการรักษาศีล 5 ก็เพียงพอแล้วสำหรับชาวพุทธที่เป็นฆราวาส ความเข้าใจนี้ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะศีล 5 เป็นเพียงหลักปฏิบัติขั้นต่ำเท่านั้น จำต้องมีข้อปฏิบัติอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย หากพิจารณาจากสิงคาลกสูตร ซึ่งถือกันว่าเป็นคำสอนสำคัญว่าด้วยหลักความประพฤติของฆราวาส จะเห็นชัดว่านอกจากการละกรรมกิเลส 4 (การผิดศีล 4 ข้อแรก) แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงวางข้อปฏิบัติให้แก่ฆราวาสอีกหลายประการ ได้แก่ การละเว้นอคติ 4 และอบายมุข 6 การประพฤติตามหลักทิศ 6 (ข้อปฏิบัติระหว่างบุคคลในความสัมพันธ์ 6 แบบ เช่น ระหว่างพ่อแม่กับลูก ระหว่างครูกับศิษย์ ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ฯลฯ) ใช่แต่เท่านั้นยังมีหลักการคบมิตร การจัดสรรทรัพย์เพื่อใช้สอย และสังคหวัตถุ 4 (ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา-บำเพ็ญประโยชน์ และสมานัตตตา-วางตนเสมอต้นเสมอปลาย)

    การละเลยข้อปฏิบัติดังกล่าวทำให้ชาวพุทธในเมืองไทยทุกวันนี้มีความประพฤติที่ผิดเพี้ยนจากคำสอนทางพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางดังได้กล่าวมา ไม่เว้นแม้กระทั่งในหมู่คนที่ใกล้วัดหรือใฝ่ทำบุญ จนทำให้เกิดคำถามขึ้นในหมู่ผู้รู้ทางพุทธศาสนา (และศาสนาอื่น) ว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธจริงหรือ ทั้งๆ ที่มีวัดและพระภิกษุเป็นจำนวนมากมาย

    มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เป็นเช่นนั้น อาทิ การไม่ได้รับการศึกษาทางพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง (ทั้งๆ ที่มีการสอนวิชาศีลธรรมในโรงเรียนมานานหลายทศวรรษ) ความอ่อนแอและย่อหย่อนของสถาบันสงฆ์ อีกสาเหตุหนึ่งที่น่ากล่าวถึงคือ การขาดหลักความเชื่อและหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง ครอบคลุมและสอดคล้องกับสังคมสมัยใหม่

    เมื่อเร็วๆ นี้ พระสงฆ์และฆราวาสกลุ่มหนึ่งซึ่งตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ได้ร่วมกันเชิญชวนชาวพุทธทั้งประเทศประกาศเจตนาสมาทาน "หลักชาวพุทธ" ซึ่งประกอบด้วยหลักการ 5 ประการ และข้อปฏิบัติ 12 ประการ โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นผู้ประมวลสรุปจากแก่นคำสอนของพุทธศาสนาและนำมาจัดวางให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่

    หลัก 5 ประการ เน้นในเรื่องการฝึกตน (เพราะเชื่อว่า "มนุษย์จะประเสริฐได้เพราะฝึกตนด้วยสิกขา คือ การศึกษา") และพึ่งความเพียรของตน (คือมุ่งมั่นที่จะ "สร้างความสำเร็จด้วยการกระทำที่ดีงามของตน โดยพากเพียรอย่างไม่ประมาท")

    ส่วนในเรื่องไตรสรณคมน์ หรือการถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ได้จำแนกเป็นหลัก 3 ประการ และอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือ การถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ หมายถึง ความตั้งใจที่จะ "ฝึกฝนตนให้มีปัญญา มีความบริสุทธิ์และมีเมตตากรุณา ตามอย่างองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    การถือพระธรรมเป็นสรณะ หมายถึง การถือว่า "ความจริง ความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เป็นเกณฑ์ตัดสิน"

    การถือพระสงฆ์เป็นสรณะ หมายถึง ความตั้งใจที่จะ "สร้างสังคมตั้งแต่ในบ้าน ให้มีสามัคคี เป็นที่มาเกื้อกูลร่วมกันสร้างสรรค์"

    ขอให้สังเกตว่า พระรัตนตรัยในที่นี้มิได้หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วางไว้บนหิ้งเพื่อกราบไหว้บูชา หรือหวังผลดลบันดาลให้ร่ำรวยอวยโชค อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ แต่หมายถึงแบบอย่างอันควรแก่การดำเนินรอยตามหรือเป็นอุดมคติในการดำเนินชีวิต

    ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ การตอกย้ำให้คิดถึงส่วนรวม ซึ่งตรงกับหลักการของสงฆ์ที่ถือเอาประโยชน์ของสังฆะ หรือส่วนรวมเป็นใหญ่ นี้เป็นประเด็นที่สำคัญอย่างมากเพราะชาวพุทธไทยนับวันจะคิดถึงแต่ตัวเองมากขึ้นทุกที จนปล่อยปละละเลยสังคม ซึ่งมีส่วนในการทำให้สังคมเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ

    ข้อปฏิบัติหรือ "ปฏิบัติการ" 12 ข้อนั้น แบ่งเป็น 3 หมวด พระพรหมคุณาภรณ์ได้เรียบเรียงอย่างคล้องจองกัน ทำให้จำง่าย กล่าวคือ "มีศีลวัตรประจำตน เจริญกุศลเนืองนิตย์ ทำชีวิตให้งามประณีต" โดยมีข้อปฏิบัติที่ชัดเจนในแต่ละข้อ

    หมวด ก. "มีศีลวัตรประจำตน" เน้นการพัฒนาฝึกฝนตน แต่ไม่ได้หมายถึงศีล 5 เท่านั้น หากครอบคลุมถึงไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้นนอกจาก "สมาทานเบญจศีลเป็นนิจ" และ "ไม่มืดมัวด้วยอบายมุขแล้ว" ยังมีอีก 2 ข้อ คือ "ทำจิตให้สงบ ผ่องใส" ด้วยการเจริญสมาธิและอธิษฐานจิต วันละ 5-10 นาที ในด้านปัญญานั้น ข้อปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมคือ "สวดสาธยายพุทธวจนะ หรือบทสวดมนต์ โดยเข้าใจความหมาย อย่างน้อยก่อนนอนทุกวัน"

    นอกจากนั้นยังมีข้อปฏิบัติเพื่อการปลูกฝังศรัทธาในสิ่งที่ดีงามและเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต นั่นคือ "แสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูอาจารย์ และบุคคลที่ควรเคารพ" กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการมีกัลยาณมิตรเพื่อเกื้อกูลต่อการฝึกฝนตน

    หมวด ข. "เจริญกุศลเนืองนิตย์" มีจุดเด่นคือการทำความดีเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น ช่วยเหลือส่วนรวม หรือส่งเสริมสิ่งดีงามในสังคม ได้แก่ "บำเพ็ญทานเพื่อบรรเทาทุกข์ เพื่อบูชาคุณ เพื่อสนับสนุนกรรมดี" และ "บำเพ็ญประโยชน์ อุทิศแด่พระรัตนตรัย มารดาบิดา ครูอาจารย์ และท่านผู้เป็นบุพการีของสังคมแต่อดีตสืบมา" โดยทำสัปดาห์ละ 1 ครั้งทั้งการให้ทานและบำเพ็ญประโยชน์

    นอกจากการทำความดีเพื่อผู้อื่นแล้ว หมวดนี้ยังพูดถึงการบำเพ็ญกุศลเพื่อพัฒนาตนด้วย ได้แก่ ตักบาตรวันพระ หรือ "แผ่เมตตา ฟังธรรม หรืออ่านธรรม โดยบุคคลที่บ้าน ที่วัด ที่โรงเรียน หรือที่ทำงานร่วมกัน ประมาณ 15 นาที" รวมทั้งร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนาและวันสำคัญของครอบครัว

    เห็นได้ว่าหมวดนี้เป็นข้อปฏิบัติเพื่อนำพาตนออกมาเชื่อมโยงกับสังคมและพระศาสนาด้วยการบำเพ็ญประโยชน์หรือร่วมกิจกรรมทางศาสนา โดยชักชวนครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนร่วมงานให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย นับเป็นการสร้าง "ชุมชนทางศีลธรรม" อย่างใหม่ ทดแทนหมู่บ้าน ซึ่งเคยเป็นสถานที่บ่มเพาะศีลธรรมให้แก่ผู้คนอย่างได้ผลมาแล้วในอดีต

    ข้อปฏิบัติหมวดนี้จะช่วยให้ชาวพุทธไม่เก็บตัวอยู่ตามลำพัง หรือมัวแต่ฝึกฝนตนจนละเลยผู้อื่น ทั้งๆ ที่ยังมีการฝึกฝนตนอีกมากที่สามารถทำร่วมกับผู้อื่นหรือทำเพื่อผู้อื่นได้

    หมวด ค. "ทำชีวิตให้งามประณีต" มีจุดเน้นอยู่ที่การเกี่ยวข้องกับสิ่งเสพหรือเครื่องใช้ ได้แก่ "ฝึกความรู้จักประมาณในการบริโภค" นอกจากรู้จักพอดีในการกินแล้ว ความพอดีในการเสพความบันเทิงก็สำคัญ ข้อปฏิบัติในส่วนนี้คือ "ชมรายการบันเทิงวันละไม่เกินกำหนดที่ตกลงกันในบ้าน" ที่น่าสนใจในข้อนี้คือ "มีวันปลอดการบันเทิงอย่างน้อยเดือนละ 1 วัน"

    นอกจากนั้นยังมีข้อปฏิบัติเพื่อการอยู่อย่างประหยัดเรียบง่าย คือ "ดูแลของใช้ของตนเองและทำงานของชีวิตด้วยตนเอง"

    หมวดนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคบริโภคนิยม ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งกระตุ้นเร้าให้เสพจนงมงายมืดมัว หากไม่มีข้อปฏิบัติหรือข้อกำหนดที่เป็นรูปธรรม ก็ง่ายที่จะพลัดหลงจนเป็นทาสของสิ่งเสพ โดยเฉพาะความบันเทิงเริงรมย์ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นอบายมุขอย่างใหม่

    ข้อสุดท้ายของหมวดนี้คือ "การมีสิ่งบูชาสักการะประจำตัวเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย และตั้งมั่นอยู่ในหลักชาวพุทธ" ข้อนี้เป็นหลักปฏิบัติเพื่อการมีท่าทีอย่างถูกต้องต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระพุทธรูป หรือพระธาตุ นั่นคือไม่ใช่บูชาเพื่อหวังผลดลบันดาลให้สำเร็จทางโลก แต่ถือเป็นอนุสติเพื่อการทำความดีตามหลักการของชาวพุทธ คือ ฝึกตน พึ่งความเพียร และไม่ประมาท

    หลักชาวพุทธ ทั้ง 5 หลักการ และ 12 ปฏิบัติการ นับได้ว่าเป็นหลักแห่งการดำเนินชีวิตอันประเสริฐที่เหมาะกับยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง ครอบคลุมทั้งการบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน โดยอาศัยหลักไตรสิกขา ไตรสรณคมน์ และบุญกิริยาวัตถุ 10 สามารถเป็นเครื่องกำกับชีวิตไม่ให้พลัดลงไปในกระแสบริโภคนิยมอันเชี่ยวกราก หรือหลงงมงายกับลัทธิหวังผลดลบันดาลที่กำลังแพร่ระบาด ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ชาวพุทธมีบทบาทในการสร้างสรรค์สังคมส่วนรวม

    หากจะมีสิ่งใดที่น่าเพิ่มเติมในหลักนี้ก็เห็นจะเป็น ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในอริยมรรคมีองค์ 8 ที่ชาวพุทธไทยในปัจจุบันไม่สู้จะให้ความสำคัญเท่าไร ยิ่งปัจจุบันสังคมมีความซับซ้อนมากจนเราสามารถมีส่วนร่วมในการเบียดเบียนผู้อื่นผ่านอาชีพการงานได้ นอกเหนือจากการค้าขายอาวุธ มนุษย์เนื้อสัตว์ ของเมา และยาพิษ ซึ่งพุทธศาสนาถือว่าเป็น มิจฉาวณิชชา อยู่แล้ว

    ในข้อนี้สิกขาบทของคณะสงฆ์หมู่บ้านพลัมของท่านติช นัท ฮันห์ น่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับชาวพุทธไทยได้ กล่าวคือ "ขอเธออย่าได้ประกอบอาชีวะอันก่อให้เกิดภัยต่อมนุษย์และธรรมชาติ อย่าเข้าร่วมลงทุนในบริษัทกิจการใด ที่กำจัดโอกาสในการหาเลี้ยงชีวิตของผู้อื่น จงเลือกอาชีวะซึ่งช่วยให้เธอประจักษ์ในอุดมคติแห่งการุณยธรรม"

    จุดเด่นประการหนึ่งของหลักชาวพุทธที่ควรย้ำในที่นี้ก็คือ การมีข้อปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ลำพังความตั้งใจว่าจะ "ทำให้ดีที่สุด" นั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเลื่อนลอย และมักจะไร้ความหมาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการตั้งจิตแน่วแน่ที่จะทำความดีอย่างเป็นรูปธรรม (เช่น ทำสมาธิวันละ 10 นาที บำเพ็ญทานอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง มีวันปลอดการบันเทิงอย่างน้อยเดือนละ 1 วัน) ความตั้งใจมั่นที่จะทำความดีนี้แหละที่เรียกว่า "อธิษฐาน" ซึ่งมิได้แปลว่า การตั้งจิตร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบัน

    ผู้ที่ต้องการประกาศเจตนาสมาทานหลักชาวพุทธ หรือต้องการร่วมเผยแพร่หลักดังกล่าว โปรดดูรายละเอียดได้ใน www.chaobuddha.com

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01200952§ionid=0121&day=2009-09-20
     

แชร์หน้านี้

Loading...