หลักในการสวดมนต์...(คัมภีร์เทวดา) ตอนที่ 2

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย หมอพล, 12 มีนาคม 2009.

  1. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175
    (ต่อจาก...ตอนที่แล้ว)



    และเหตุใดจึงตั้งชื่อว่า คัมภีร์เทวดา เพราะหากท่านได้สวดมนต์คาถาตามคัมภีร์นี้แล้ว เมื่อสมาธิถึงระดับจะสามารถสัมผัสหรือรู้เห็นเรื่องของเทวดาได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่ประการใด หากเป็นผลแห่งการภาวนาซึ่งพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ควรลุ่มหลงในเรื่องเหล่านี้ และหากท่านบำเพ็ญแต่กุศลสร้างแต่ความดี การไปเกิดเป็นเทวดาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร หรือหากเจริญภาวนาจนได้ฌานก็สามารถไปเกิดเป็นพระพรหมได้ หากท่านสวดภาวนาจนได้พบกับครูบาอาจารย์ (คุรุแห่งโลกวิญญาณ) ที่มีทั้งพระอริยสงฆ์ อริยเทพ อริยพรหม เทพโพธิสัตว์ พรหมโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์ ผู้เขียนก็ขออนุโมทนาด้วย มิติแห่งโลกวิญญาณนั้นสลับซับซ้อนและพิสดารมาก จึงขอให้ตั้งใจศึกษาเรื่องของ จิต ก็เป็นการเพียงพอต่อการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาแล้ว ส่วนทางแห่งพระนิพพานนั้นต้องเจริญ สติปัฏฐาน ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม อันเป็นทางสายเอกโดยแท้ พระพุทธองค์ทรงตรัสรับรองไว้แล้ว
    <O:p</O:p
    ผู้เขียนจะขออนุญาตนำพระคาถาชั้นสูงบทสั้นๆที่มีความสำคัญมาแนะนำก่อนแล้วจึงปิดท้ายด้วยพระคาถาชั้นสูงบทยาวๆ เพื่อเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก เพราะการสวดพระคาถายาวๆต้องใช้เวลามากและต้องปรับสภาพของจิตก่อน ต้องมีกายใจที่พร้อมและสะอาด เหมาะควรแก่การซึมซับรับเอาพลังที่บริสุทธิ์ จึงจะถูกต้อง การสวดพระคาถาบทสั้นๆ จึงเป็นการอุ่นเครื่องหรือชำระกายใจให้สะอาดก่อนนั่นเอง ซึ่งถ้ารู้จักเก็บรักษาพลังที่ได้รับจากการสวดแต่ละครั้งได้ก็จะดีมากและจะมีผลต่อการสวดครั้งต่อไปด้วย คือเมื่อสะสมพลังจากการสวดได้ในแต่ละครั้งแล้วเก็บไว้ไม่ได้นำออกมาใช้อธิษฐาน เวลาเราจะอธิษฐานในสิ่งใดก็จะประสบผลสำเร็จตามที่เราอธิษฐานไว้ได้โดยง่าย แต่ก็ต้องขอในสิ่งที่ดี เป็นเหตุเป็นผลด้วย หรือจะใช้วิธีสวดทุกครั้งขอทุกครั้งอย่างนี้ก็ได้ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด ขอให้อยู่ในขอบเขตแห่งธรรมก็พอ และอย่ามุ่งเรื่องทางโลกมากเกินไป จะทำให้หลงได้ แต่ก็ขอได้เหมือนกัน ถ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องและไม่เบียดเบียนใคร ก่อนสวดพระคาถาบทยาวๆ อย่ามีอารมณ์ขุ่นมัวหรือเศร้าหมองเด็ดขาด ความโลภ ความโกรธ ความหลงใดๆ อย่าให้มาครอบงำจิตเด็ดขาดเพราะจะเป็นตัวบั่นทอนพลัง มิหนำซ้ำหากไม่ระวังฝืนสวดในขณะที่จิตขุ่นมัวเศร้าหมองก็อาจจะเกิดโทษได้ บางท่านก็อาจจะสติวิปลาสหลงตัวเองหรือไม่ก็เพี้ยนไปเลยก็มี หากไม่ได้ผู้ทรงคุณวุฒิมาช่วยแก้หรือได้ยาดีมาปรับธาตุก็แย่ไปเลย บางคนสวดไปก็ด่าคนไป ด่าคนไม่เท่าไหร่เผลอๆยังด่าพระรัตนตรัยหรือครูบาอาจารย์ด้วย อย่างนี้ต้องรีบแก้ ด้วยการขอขมาพระรัตนตรัยและเวลาสวดพระคาถาบทยาวๆครั้งต่อไป ก่อนสวดก็ตั้งสติให้ดี ตรวจดูสภาพจิตก่อน เมื่อจิตพร้อมจึงสวดบทยาวๆได้ ถ้าไม่พร้อมอย่าฝืนสวดเด็ดขาด นี้เป็นข้อห้ามสำหรับการสวดพระคาถาบทยาวๆ เพราะฉะนั้นในสายหลวงปู่มั่นฯจริงๆ ท่านจะไม่สวดมนต์ร่วมกัน จะสวดร่วมกันพอเป็นพิธีต่อเมื่อถึงวันประชุมฟังธรรมรับการอบรมจากหลวงปู่มั่นเท่านั้นหรือไม่ก็ในวันประชุมอุโบสถฟังพระปาติโมกข์ ซึ่งก็มีการสวดบทยาวๆพร้อมกันน้อยมาก ส่วนใหญ่จะปล่อยให้สวดกันเองตามอัธยาศัย เพื่อให้แต่ละท่านดูจิตของตัวเองเป็นหลักและเน้นที่การอบรมจิตตภาวนาด้วยการบริกรรม พุทโธ ควบคู่กับการดูลมหายใจเข้าออกกับทั้งการเดินจงกรมทั้งกลางวันและกลางคืนมากกว่า แต่ถ้าจะสวดมนต์ร่วมกันเป็นหมู่คณะตามที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ไม่มีปัญหาอะไรจะสวดแปลหรือไม่แปลก็ได้ตามสะดวกของแต่ละท่านแต่ละสำนัก ขอให้สวดอย่างมีสติ ไม่จับผิดใคร ไม่คิดฟุ้งซ่านขณะที่สวด และตั้งจิตที่ประกอบไปด้วยกุศล คือ ศรัทธา เมตตา สมาธิและปัญญา ก็จะไม่เกิดโทษใดๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวดมนต์บทยาวๆ จะสวดเดี่ยวหรือสวดเป็นหมู่คณะก็ตาม หากเป็นบทสวดมนต์ชั้นสูง อาทิเช่น บทสวดมนต์สิบสองตำนาน ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก พระอาการวัตตาสูตร เป็นต้นแล้ว อานุภาพแห่งการสวดนอกจากจะคุ้มครองและให้ผลกับผู้สวดแล้ว ยังสามารถแผ่อานุภาพไปตามที่ผู้สวดอธิษฐานด้วย เช่น อธิษฐานให้ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ประสบความเจริญรุ่งเรือง เกิดสันติสุข บังเกิดแต่สิ่งที่ดีงามได้ด้วย หรือจะอธิษฐานให้โลกนี้สงบสุข ปราศจากภัยธรรมชาติและภัยสงคราม ก็ได้ แต่ต้องร่วมกันสวดมากๆ จะสวดเองที่บ้านหรือร่วมกันสวดเป็นหมู่คณะก็ได้ อย่างน้อยอานิสงส์ที่เราจะได้รับก็มีแน่นอน และถึงแม้เราจะไปเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น เช่น ภาวะโลกร้อน ไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนอนาคตของเราได้ด้วยการสวดมนต์เพราะการสวดมนต์ก็ถือเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง และ ธรรมะ นี้เองที่จะเป็นตัวกำหนดหรือชี้ชะตาเราในอนาคต ผู้ใดก็ตามที่ถือธรรมะบูชาธรรมะและปฏิบัติตามธรรมะ ซึ่งก็คือความถูกต้องดีงามที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นคำสอนทั้งทางโลกและทางธรรมหรือพระปริตรบทสวดมนต์อันศักดิ์สิทธิ์แล้วไซร้ นั่นคือสิ่งที่เราชาวพุทธหรือชาวโลกไม่ควรมองข้ามหรือละเลย เพราะมนุษย์เราทุกคนไม่ได้เกิดมาเพียงแค่การสืบพันธุ์ การแสวงหาวัตถุเพื่อตอบสนองตัณหาหรือความทะยานอยากหรือเรียนรู้จักโลกที่เราอาศัยเกิดขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ที่อยู่เหนือโลกขึ้นไปอีก ซึ่งเรียกว่า ธรรม นั่นเอง อันมีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่ระดับพื้นๆ ธรรมดาไปจนถึงระดับที่พ้นโลกเหนือโลกไปเลย และการสวดมนต์ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้ ธรรม อันประเสริฐนั้น หากเราไม่ลองสวดด้วยตนเองก็จะไม่มีวันรู้และไม่มีวันเข้าใจถึงความสำคัญของการสวดมนต์ได้เลย เชื่อหรือไม่ว่า การสวดมนต์เปลี่ยนอนาคตได้ การสวดมนต์ช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ การสวดมนต์ให้แต่ผลที่ดีไม่มีผลร้ายหากสวดอย่างถูกต้องตามที่กล่าวแล้ว หากท่านเชื่อเรื่องของชาติหน้าและอำนาจของบุญกุศล การสวดมนต์จะช่วยให้ท่านเดินทางไปสู่โลกหน้าอย่างมีสติและมีคติภพภูมิที่ดี หรือแม้หากท่านไม่เชื่อเรื่องของชาติหน้า การสวดมนต์ก็จะช่วยให้ท่านมีสติในชีวิตประจำวันเพราะการสวดมนต์จะช่วยให้ท่านมีสมาธิที่ดีเนื่องมาจากคลื่นสมองที่ได้รับการจัดระเบียบอันเกิดจากการสวดมนต์ของท่าน เมื่อท่านมีสมาธิสติของท่านก็จะดีตามไปด้วยและปัญญาของท่านก็จะมากขึ้นด้วยจะเกิดความสุขุมละเอียดรอบคอบมากขึ้นด้วยและจะมองโลกนี้ในแง่ดี ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข นี้เป็นผลจากการสวดมนต์ การสวดมนต์แก้กรรมได้ แต่ไม่ใช่ไปแก้กรรมในอดีต กรรมในอดีตที่กำลังส่งผลนั้นเราไปแก้มันไม่ได้แต่เราป้องกันได้ด้วยการสวดมนต์ พระพุทธเจ้าจึงทรงเรียกบทสวดมนต์ของพระองค์ว่า พระปริตร แปลว่า เครื่องป้องกัน อย่างน้อยที่สุดก็คือป้องกันเราไม่ให้หลงผิดได้ (ด้วยการศึกษาความหมายแห่งธรรมะที่มีอยู่ในบทสวด) อย่างมากก็ช่วยให้เรารอดพ้นจากกรรมนั้นๆไปเลยด้วยอานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย (เมื่อเราสวดมนต์บ่อยๆ อานุภาพแห่งการสวดนั้นก็จะคอยติดตามคุ้มครองเรา เมื่อถึงเวลาที่อกุศลกรรมในอดีตจะส่งผล พลังที่คุ้มครองเราก็จะเข้ามาช่วยป้องกันเราได้ไม่มากก็น้อยตามกำลัง ทั้งจากความแรงของกรรมเอง และจากพลังที่เรามีอยู่ว่าจะสามารถต้านทานได้มากน้อยเพียงใด) และการสวดมนต์สามารถเปลี่ยนอนาคตของเราได้ ถ้าเราเชื่อตามพระพุทธพจน์ที่ว่า จิตเตนะ นียติ โลโก แปลว่า โลก อันจิตย่อมนำไป และ มโนปุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา แปลว่า สิ่งทั้งหลายมีจิตถึงก่อน มีจิตเป็นใหญ่ มีจิตเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยจิต แล้ว การสวดมนต์ซึ่งจริงๆแล้วก็คือจิตของเรานี้เองเป็นผู้สั่งให้สวด แล้วบทสวดแต่ละบทก็เกี่ยวเนื่องกับคุณของพระรัตนตรัย เมื่อเราสวดแต่ละครั้งก็เท่ากับว่าจิตของเราจะสูงขึ้นด้วยสะอาดขึ้นด้วยและดีขึ้นด้วย เพราะคุณพระรัตนตรัยเป็นของสูงของดีของสะอาด เมื่อจิตได้สัมผัสกับคุณพระรัตนตรัยบ่อยๆ จิตก็จะสูงขึ้นดีขึ้นและสะอาดขึ้นโดยลำดับ ส่วนจะได้ผลช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับพื้นฐานและความขยันหมั่นเพียรของแต่ละคน ดังนั้นอนาคตของเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะการสวดมนต์ถือเป็นกุศลกรรมประการหนึ่ง ดังเช่น พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ใช้คำบริกรรมว่า พุทโธ อันเป็นพระนามย่อของพระพุทธเจ้าที่สั้นที่สุด เป็นการสวดมนต์ทางจิตที่สั้นที่สุด เมื่อผนวกกับการเดินลมปราณทางพระพุทธศาสนาที่เรียกว่าการเจริญ อานาปานสติ แล้ว เมื่อถึงที่สุดแห่งการปฏิบัติ กุศลกรรมนั้นย่อมส่งผลให้ทั้งกายและจิตของผู้ปฏิบัติเกิดความสะอาดบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ดังปรากฏเป็น พระธาตุ ให้เราได้เห็นนั่นเอง หรืออย่างน้อยหากเราบำเพ็ญเพียรภาวนาปฏิบัติไม่ได้ถึงขนาดนั้น อานิสงส์นั้นก็จะติดตัวเราไปตลอดทุกภพทุกชาติอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย นี้เป็นผลแห่งการสวดมนต์<O:p></O:p>
    ส่วนพระคาถาบทสั้นๆนั้น ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ จะมีบ้างก็ตรงที่ ส่วนใหญ่เป็นคำย่อเป็นหัวใจของพระคาถาบทยาวๆแล้วนำมาร้อยเรียงขึ้นเป็นพระคาถาบทสั้นๆ หรือไม่ก็เป็นคำโบราณที่แปลตรงตัวลำบาก หรือไม่ก็หาความหมายไม่ได้เลยก็มี (อาจมีแต่เราไม่รู้และไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้) เพราะการท่องพระคาถาบทสั้นๆนั้น เน้นที่ความเชื่อมั่นศรัทธาเป็นหลัก เป็นการจัดเรียงอณูของจิตให้เป็นระเบียบและรวมรวมพลังของจิตให้เป็นหนึ่งเดียว ฉะนั้นแม้ท่องผิดบ้างถูกบ้างก็ยังมีผล แต่ถ้าจะให้ดีต้องท่องให้ถูกต้องตามอักขระวิธีจึงจะสมบูรณ์ ยิ่งถ้ารู้ถึงความหมายและพลังอำนาจอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์หรือผลอานิสงส์แห่งพระคาถาแล้ว ยิ่งดีใหญ่ หรือเวลาสวดมีสมาธิดีได้เห็นรัศมีแห่งอักขระพระคาถา รู้ถึงที่มา และติดต่อกับผู้แต่งพระคาถาได้ก็ถือว่าจบหลักสูตรของผู้เรียนพระคาถาแล้ว และด้วยความเคารพในพระพุทธองค์แลพระบูรพาจารย์ ในคัมภีร์เล่มนี้จะไม่ได้นำบทสวดมนต์เจ็ดตำนานสิบสองตำนานและพระคาถาบทอื่นๆมาลงไว้เนื่องจากมีแพร่หลายมากอยู่แล้ว หาได้ไม่ยาก ส่วนการร้อนวิชาก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะไม่ใช่มนต์คาถาทางไสยศาสตร์ฝ่ายดำ และถ้าเราสวดพระคาถาบทใดแล้วรู้สึกเย็นกายเย็นใจก็ให้สวดบทนั้นเป็นประจำ แสดงว่าถูกกับธาตุในตัวของเรา เมื่อสวดมนต์บ่อยๆแล้วอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลถวายคุณพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ด้วยเพื่อแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมกับทั้งอุทิศกุศลผลบุญให้กับบิดามารดาสรรพสัตว์ทั้งหลายสรรพวิญญาณทั้งหลายตลอดจนเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาเจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ ด้วย จะประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปอย่างแน่นอน <O:p></O:p>
    ผู้ใช้พระคาถาให้ได้ผลนั้นต้องไม่มีความลังเลสงสัยใดๆ ต้องสวดอย่างถูกต้องตามอักขระวิธีและตั้งจิตมุ่งหมายให้บังเกิดผลตามความประสงค์และตามอานุภาพแห่งบทพระคาถานั้นๆ ขอให้ทุกท่านที่มีความเลื่อมใสในการสวดมนต์คาถา จงได้ประสบผลสำเร็จแห่งอำนาจอันวิเศษและความมหัศจรรย์ของพระคาถาทุกบท อันจักอำนวยประโยชน์สุขให้แก่ทุกท่านได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าตราบเท่าจนถึงพระนิพพานเทอญฯ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009
  2. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ สาธุ [​IMG]
     
  3. อย่าลืมฉัน

    อย่าลืมฉัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +2,807
    พ.ธรรมรังสี ครับ แล้วเวลาสวดมนต์ ในสมองของเราควรเป็นเช่นไร

    ควร นึกถึงคำสวดมนต์
    หรือ พยายามทำจิตให้ว่าง
    หรือ นึกถึงพระพุทธรูป

    ขอบคุณครับ;42fairy3
     
  4. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175
    เรียน คุณ paeyim<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1962977", true); </SCRIPT> (แป๊ะยิ้ม) ที่นับถือ

    ถ้าเราสวดมนต์ จิตเราก็ต้องระลึกถึงบทสวดสิครับ ไม่งั้นจะสวดถูกได้อย่างไร ถ้าเราไปคิดเรื่องอื่น จิตก็วอกแวก ไม่นิ่ง ขาดสติไปอีก สวดถูกบ้าง ผิดบ้าง ถ้าสวดแล้วจิตไม่นิ่ง เกิดความฟุ้งซ่าน ให้หยุดสวดไปสักพักนึงก่อน แสดงว่า จิตยังไม่พร้อม ถ้าฝืนสวด จะทำให้ธาตุในกายผิดปกติได้ เรียกว่า ธาตุไฟเข้าแทรก รวมไปถึง การนั่งสมาธิ ด้วย ครูบาอาจารย์ผม (สายพระในดง) สอนว่า ถ้านั่งแล้วไม่ดี อย่าฝืนนั่ง ถ้าฝืนบ่อยๆ จะทำให้แก้ไขยาก ต้องตรวจดูอารมณ์ของจิต เป็นประการสำคัญ นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมการสวดมนต์หรือการนั่งสมาธิจึงไม่ก้าวหน้าหรือไม่ได้ผลเท่าที่ควร

    ส่วน การจับภาพนิมิตองค์พระด้วยนั้น หากทำได้ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นเครื่องวัดระดับสมาธิได้เป็นอย่างดี ถ้าภาพพระนั้นยิ่งชัดเจนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายถึงจิตของเรามีสมาธิมากขึ้นเท่านั้น เรียกว่า บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต และ ปฏิภาคนิมิต ตามลำดับ แต่จะจับภาพหรือไม่จับภาพ ก็ได้ ถ้าจิตรวมถึงฐานของสมาธิแล้ว ย่อมได้ผลดุจเดียวกัน ให้เป็นไปตามความถนัด

    ส่วน การทำจิตให้ว่าง นั้น ย่อมเป็นผลของการเจริญวิปัสสนา โดยมี "มหาสติปัฏฐาน" เป็นหลักในการปฏิบัติ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในทุกขณะจิต ในทุกอิริยาบถ ไม่จำเพาะกับการสวดมนต์ หรือ การนั่งสมาธิ อันเป็น สมถวิธี เท่านั้น อนึ่ง การสวดมนต์โดยเข้าใจถึงความหมายแห่งบทพระธรรมนั้นๆ ก็จัดเป็น วิปัสสนาวิธี ด้วย แต่ให้น้อมลงสู่ "พระไตรลักษณ์" ในทุกขณะจิตนั้นแล "จิตว่าง" แท้ๆ จึงจะเกิด จิตต้องว่างด้วยตัวของมันเอง ไม่ใช่ไปคิดให้มันว่าง เพราะถ้ายังมีความคิดอยู่ จิตจะว่างได้อย่างไร จงอย่าคิดให้จิตว่าง แต่จงว่างจากความคิด แล้วจิตจะว่างจริงๆ ว่างจากความคิดปรุงแต่ง ว่างจากกิเลส ........ เอวัง...


    กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา........
    ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่เป็นกลางๆ

    สังขารธรรม วิสังขารธรรม......
    ธรรมที่ปรุงแต่ง ธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง


    ด้วยความนับถือ
    หมอพล... ( พ.ธรรมรังสี )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2009
  5. DD.

    DD. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ

    ------------------------------------------
    พุทโธ...พุทโธ...ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส
    <!-- / message -->
     
  6. อย่าลืมฉัน

    อย่าลืมฉัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ครับ

    แล้วตอนต่อไปจะเริ่มเมื่อไหร่อีกอ่ะครับ
    fairy3รอนาน แว้วว
     
  7. TJ69

    TJ69 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +152
    อนุโมทนาสาธุ ในผลบุญด้วยครับ

    --------------------------------------

    คนที่ไม่เคยเป็นผู้ให้...ย่อมยากที่จะได้รับ..
    “การให้”..มองอย่างธรรมดาดูเหมือนว่า..เป็นการสูญเสีย..
    แต่แท้ที่จริงแล้ว...
    ผู้ให้ คือ..ผู้ที่ได้รับต่างหาก..
    คนที่เป็นผู้ให้จึงมีเกียรติคุณเกริกกรรจายชั่วฟ้าดินสลาย
    ทั้งนี้นั่นเป็นเพราะ
    “...โลกคารวะผู้ให้... แต่บอดใบ้ต่อผู้กอบโกยและโกงกิน...”


    ที่มา : ธรรมะรับอรุณ....ท่าน ว. วชิรเมธี
     
  8. รักจันทร์

    รักจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +311
    อนุโมทนาบุญครับ

    สาธุ...

    ชื่อ "พ.ธรรมรังสี" คุ้นจังเลยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...