เพราะเหตุใดจึงมีองค์ คุณและโทษของการมีองค์ และวิธีแก้ไข

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 10 พฤษภาคม 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เพราะเหตุใดจึงมีองค์ ในพระศาสนาพุทธ กล่าวไว้ว่า หมู่มาร คือ ตัวทำลาย และ สะกัดกั้นความดี อันมี มารในใจ และ มารนอกใจ อันได้แก่

    กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และ เทวบุตรมาร

    คนที่มีองค์ทุกคน ล้วนเกิดจาก แพ้มาร 5 ฝูงนี้ฝูงใดฝูงหนึ่ง
    ใน 4 ฝูงแรก คือ มารในใจ คนเหล่านี้ไม่มีองค์จริง แต่เกิดจาก สัญญา แต่การก่อน ความสามารถแต่การก่อน ที่เคยปฏิับัติ พราหมณ์วัตร มาทำให้เกิด นิมิตต่างๆ แต่ก็เพราะ กิเลสของตน ความไม่รู้ของตน ความสงสัยของตน ทำให้เกิดความเชื่อที่ผิดๆ ก็คือ องค์ลง คนเหล่านี้ มักจะมีกิเลสมาก มีตัณหามาก อยากได้ใคร่ดี แต่ ก็ชอบทำบุญ โดยทำบุญแบบไม่รู้เหตุรู้ผล ไม่รู้จัก สภาวะของบุญ เพราะตนเองยังขาดปัญญา จึงทำอะไรไปตามสีลพตรปรามาส ซ้ำยังมีนิมิตบอกเหตุต่างๆ แต่ก็ด้วย อภิสังขารมาร จึงปรุงแต่งโยงเื่รื่องต่างๆ นาๆ ทำให้เกิดคิดว่า ตัวนี้มี ดี มีวิเศษ
    ประกอบกับความไม่รู้อะไร ก็ตั้ง ศาลบ้าง อุปโลกชื่อเจ้านั้นเจ้านี้ ตามแต่ใจของตนจะปรุงไป

    ในฝูงสุดท้าย คือ มารนอกใจ อันได้แก่ เทวบุตรมาร มารเหล่านี้ เป็นจิตที่คอยฉุดรั้ง ผุ้คนไม่ให้เข้าสู่ องค์ปัญญาที่ถูกต้อง บ้างก็มากลั่นแกล้งด้วย อำนาจด้วยฤทธิ์ ต่าง ๆ บ้างก็จะมาเข้าทรง โดยให้เหตุผลว่า มาเพื่อสร้างบารมี มาเพื่อช่วยเหลือพระศาสนา เหตุผลต่างๆ นาๆ ตามที่มารเหล่านั้นจะอุปโลก คนที่โดนองค์เหล่านี้กระทำ ก็ต้องโดนกดอยู่ร่ำไป หากไม่เชื่อ ไม่ทำตามก็จะเกิดเหตุ มิดีมิร้าย

    พระพุทธองค์ ทราบดีว่า เมื่อกาลต่อไป ฝูงมารเหล่านี้จะทำให้ พุทธบริษัท หยุดชะงัก พระองค์จึงประทาน เทวสูตร อันมีใจความดังต่อไปนี้

    ในพระพุทธศาสนา นั้น พระพุทธองค์ ไม่สรรเสริญ การทรงเจ้าเข้าผี ใดๆ
    ทรงสรรเสริญ ให้ใช้ อัตตาหิ อัตดนนาโถ คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

    วิธีการที่ เข้าถึง ปฐมฌาณ นั้นแล คือ เครื่องสะกัดกั้น องค์ ทุกๆ องค์ ทั้งนี้เพราะ มารโลก และ เทวโลก นั้นก้าวล่วงไม่ถึง อุเบกขาและ เอกัคตาจิตแห่ง ฌาณได้

    แต่ปัญหาคือ นักปฏิบัติธรรม ทำกัน ไม่ถึงปฐมฌาณอย่างแท้จริง

    ยังไม่เกิด สัมมาสมาธิ ตามภูมิของตน จึงทำให้จิตแตกออกไปสู่ภพต่างๆ นาๆ

    แล้วผมจะมาอธิบายให้ฟังว่า ฌาณที่ถูกต้อง อันเป็นเหตุให้ มารทั้งหลายมองไม่เห็น อันเป็นเหตุให้องค์ทั้งหลาย ต้องจากไป อันเป็นเหตุให้ ทุกข์ทั้งหลาย คลายสิ้นลงไป อันเป็นเหตุให้ กรรมที่มีเบาบางลงไปนั้น ต้องทำอย่างไร
     
  2. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,105
    ค่าพลัง:
    +2,696
    เป็นบทความที่น่าสนใจและน่าติดตามดีจริงๆ
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค - หน้าที่ 10
     
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สู้มันสิ เดี๋ยวก็ผ่านพ้นไปได้ มันเป็นทางผ่านของผู้ปฎิบัติสมาธิ
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เริ่มต้น ทำอย่างไร ต้องทำใจให้ตั้งอยู่กับการสำรวมอินทรีย์ คือ ไม่ถือนิมิต หมายความว่า ไม่ว่าจะฝันอะไร ไม่ว่าจะคิดอะไร ไม่ว่าจะประสบอะไรมา อย่าถือ อย่าตีความ อย่าคิดไป ให้ผ่านแล้ว ผ่านไปก่อน รูป รสกลิ่นเสียง อารมณ์ ต่างๆ อย่าถือ ไม่ต้องไปปรุงว่า เพราะเหตุใด เกิดจากสิ่งใด

    เพราะตัวปรุงไปนั้นเป็น ข้าศึกแก่ ปฐมฌาณ เป็นอย่างยิ่ง

    นี้เรียกว่า อินทรีย์สังวร ให้เริ่มต้นที่จุดนี้ เป็น ศีล คือ ล้อมกรอบ ให้ใจไม่แตกออกไปสู่ ความปรุงทั้งปวง
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เพราะ บุคคล ที่มีองค์นี้ ส่วนมากมิได้ หาหนทางแก้ไข ไม่ได้ศึกษา เปรียบกับคนพอเป็นโรค ก็ปล่อยเลยผ่านไปเป็นเดือนเป็นปี โรคนั้นก็รังแต่จะมีอาการหนักขึ้น ความปรุงก็มากขึ้น และท้ายที่สุดคือ อาการทรุดลง

    ถ้าพวกเราสังเกตุให้ดี ไม่มีเจ้าเข้าทรงรายไหนอยู่ยืนยาวได้ตลอด ทั้งนี้เพราะเมื่ออาการปรุง ตามฝูงมาร 4 ฝูงนั้นเต็มที่ อาการนิมิตที่เคยมี จะหลอน และจะไม่แม่นเหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะนิมิตที่ได้นั้นมาจากหมู่มาร มิใช่มาจาก พุทธะ และเมื่อที่สุดแล้ว ก็ต้องเลิกอาชีพนี้ไป แต่กว่าจะเลิกได้ กายใจ ก็บอบช้ำไปมาก สร้างกรรมไปมากแล้ว

    สำหรับ มารฝูงที่ 5 หมู่มารเหล่านี้ ก็ไม่อาจจะแกล้ง หรือจะทรงไปได้ตลอด จึงเกิดอาการ ไม่แน่ไม่นอน มาบ้างไม่ไม่มาบ้าง และ สุดท้าย ตนเองก็ต้องเลิกทรงไป

    ความไม่แน่นอนเหล่านี้ ผ่านมาทุกยุคทุกสมัย แต่เราไม่เคยสังเกตุ ซึ่งกว่าที่เราจะผ่านไปได้ ทั้งคนทรง และ คนนับถือ ก็ทำร้ายกันเองซึ่งกันและกัน
    ปิดทางแห่ง พระนิพพานทั้งคู่

    เดี๋ยวมาต่อนะครับ
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ตามธรรมดา คนที่มีองค์ มักจะพบเจออะไรแปลกๆ ทั้งนี้เพราะอำนาจสัญญา และ อำนาจจิต ของ พราหมณ์วัตร แต่ปากก่อน รวมถึง กรรม นั้นทำให้ต้องพบเจอสิ่งที่แปลกประหลาด

    อุปมาว่า หลุมพรางนั้นมักจะล่อให้เราเดินตามไปดู เพราะความเอะใจนั้นเอง

    เมื่อเกิดความเอะใจ ความสงสัย ก็ตามไป จิตก็คิดนั้นคิดนี่ตามอำนาจของ มาร
    เห็นนั่นเห็นนี่ตามอำนาจของมาร
    เกิดความสามารถ เห็น อดีต อันแม่น เห็นอนาคตอันแม่น ก็แน่นอนอยู่แล้วว่า มารนั้น มันย่อมฉลาด ที่จะยื่นของขวัญให้ก่อน เพราะประโยชน์ของมัน
    อุปมาเหมือน สิบแปดมงกุฎ มักจะเอาประโยชน์มาล่อให้เราตามมันไป
    แต่ถามว่า ประโยชน์ที่มันยื่นมานั้น เอามาทำอะไรจริงได้บ้าง
    เอามากินได้ไหม เอามาช่วยทำให้เราทำงานเก่งขึ้นได้ไหม เอามาช่วยให้เรามีความสุขกับการดูหนัง ฟังเพลง ยิ้มแย้มกับครอบครัวได้ไหม
    ผู้มีปัญญา ฉุกคิดก่อน แล้ว ละสิ่งเหล่านั้น เดินตามพระพุทธองค์ ไปที่ อินทรีย์สังวร


    จาก อินทรีย์สังวรสูตร นั้น พระพุทธองค์ จึงกล่าวไว้เพื่อล้อมกรอบมิให้จิตข้องใน นิมิต หรือ สิ่งที่เราประสบ จนกว่าเราจะมีปัญญาพร้อมแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้คิดไปก่อน ไม่ให้เราหลงไปก่อนทั้งๆ ที่ยังมีกิเลส ยังมีจิตที่ไม่ควรต่อวิชชา ต่ออำนาจเหล่านั้น อุปมา เหมือนคนยังไม่มีบารมีแล้วขึ้นที่สูง ก็ต้องเสียแต่ทรัพย์ เพื่อแลกกับบารมี หรือ คนยังไม่มีกำลังทรัพย์แต่อยากได้ใคร่มี ก็ต้องเป็นหนี้ แตพระพุทธองค์่สอนให้ปฏิบัติจนนิ่งก่่อนสร้างบารมีก่อน คือ สำรวมอินทรีย์ แล้ว เจริญ สติ ด้วย การกำกับ อริยาบท ให้ระลึกรู้ตัวด้วยสติสัมปชัญญะ คือ รุ้ตัวว่ากำลังทำอะไร ทุกอริยาบท กิน เดิน ยืน นั่ง นอน พอจะเริ่มคิด เริ่มปรุง ก็ให้ยึดหลักแห่งอินทรีย์สังวร คือ อย่าไป ถือ อย่าไปตีความ แล้วกลับมาเจริญ สติ กินเดิน ยืน นั่ง นอน รู้ตัวด้วย สติสัมปชัญญะ

    นี่เป็นเบื้องต้น จากนั้น แล้ว ค่อย เจริญ สมาธิ อันมีปฐมฌาณ เป็นเบื้องต้น
    แล้ว ค่อยก้าวล่วงไปถึง จตุตฌาณ
    นี่เป็นการปิดตาพญามาร

    แล้วเดี๋ยวค่อยมา เข้าสู่ปฐมฌาณว่ามี ลักษณะอย่างไร อะไรเป็นข้อสังเกตุ และปฐมฌาณนั้นจะสะกัด อำนาจแห่งมารทุกชนิดได้อย่างไร
     
  8. นายจั๊บ

    นายจั๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,109
    คุณขันธ์ครับ แล้วผู้ที่เป็นเทวดาฝ่ายดีมาทรงเพื่อสร้างบารมีล่ะครับ ผู้ที่เป็นร่างทรงมีกรรมอะไรผูกพันธ์กับเทวดาเหล่านั้นครับ
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ขออนุญาติเสริม......

    เทพ เทวดา ภูติผี และ ปีศาจ ล้วนมีจริง เรียกว่า โอปะติกะ

    วิญญาณ โอปะติกะ แท้จริง อยู่ร่วมกับมนุษย์ทุกคน

    เพียงแต่ เป็น จิตละเอียด ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ

    แต่สามารถ มองได้ด้วย สัมผัสของจิต ที่เรียกว่า สัมผัสที่หก

    เมื่อมี สมาธิมากพอ ณ จุด หนึ่งของการปฏิบัติ

    จิตของมนุษย์ มีลักษณะเป็น คลื่นความถี่ หรือ พลังงาน

    ดังนั้น หากเรามีคลื่นความถี่ที่บริสุทธิ์ หรือ ดี

    ตัวเราก็จะ อยู่กับจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์

    หากเรา ใช้จิตหยาบ หรือ อารมณ์โมโห เป็นประจำ

    จิตดังกล่าวของมนุษย์ผู้นั้น ก็จะอยู่ในมิติ ของ วิญญาณร้าย

    ดังนั้น การที่เรา ปฏิบัติธรรม จิตของผู้นั้น

    สามารถที่จะสื่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดี ไปโดยอัตโนมัติ


    ขอย้ำว่า มนุษย์ทุกคนมีเทพประจำตัวอยู่เเล้ว

    ตั้งแต่เกิด สังเกตุ ว่าเด็กมักจะปลอดภัยเมื่อไม่มีผู้ใหญ่

    แม้แต่ ศาสนาอื่น เช่น คริสต์

    เรียกว่า พระวิญญาณบริสุทธ์

    ศาสนาพุทธ เรียกว่า จิตพุทธะ
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ข้อนี้ผมไม่ทราบครับว่ามีกรรมผูกพันอะไรกับเทวดาเหล่านั้น
    แต่ ผมคิดว่า เทวดาที่เข้ามาทรงแบบมีร่างประจำ ผมไม่เชื่อว่า เทวดาเหล่านี้มาสร้างบารมี เพราะเป็นการยึดครองและไม่ได้ถามความสมัครใจ
    เป็นการบังคับ ซึ่ง เทวดาผุ้มีสัมมาทิฎฐิไม่มีลักษณะเช่นนี้

    มีแต่ บางครั้งบางคราว แบบเชิญเพื่อพิธีการ ให้กับส่วนรวม แบบนี้ผมยังพอว่าน่าจะเชื่อได้ว่า มาเพื่อโปรด เพื่อช่วยเหลือ
    แต่ก็ไม่ถือว่า เป็น วิถีแบบพุทธอยู่ดีครับ

    ยังเป็น นอกศาสนา อยู่ดี
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สำหรับ คนที่ คิดว่าอยู่ไม่เป็นสุข ทำอะไรก็ไม่เป็นสุข กลัวว่าเทพแกล้งหรือ อะไรก็ตาม ให้อ่านพระสูตรนี้ก่อน อย่าเพิ่งไปรับขันธ์

    ทั้งนี้ ทรงตรัสอีกว่า

    หมายความว่า หากผู้ใด ปัญญายังไม่อาจจะก้าวล่วง ให้ทำบุญอุทิศให้เทวดาให้มาก แต่อย่าไป นับถือเจ้าเข้าทรง ไปแก้ไขปัญหาผิดๆ อย่าเอามาปนเป กัน
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    มีแต่ เทวดา ติดโลกเท่านั้นที่ ยังไม่ไปโลกอื่น ( สวรรค์ นรก หรือ หลุดพ้น ) ที่จะมาเข้าทรง ถ้าใครกำลังเริ่มเห็นว่า ตัวเรายังไม่ใช่ของเรา ช่วงนั้น จะมีสิ่งพวกนี้เข้าแทรกได้ ถ้าไม่สนใจสักพักมันก็จะไม่มายุ่งกับเรา

    แต่เป็นธรรมดาที่เรามักอยากรู้ หัวใจพองโตว่า เราเหนือกว่าผู้อื่น มีสิ่งที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์คอยช่วย ความจริงแล้ว เราน่ะช่วยมัน ให้ดูกิเลสส่วนนี้ให้จงหนัก อย่าให้เกิดความหลง ถ้าหลงแล้วแก้ยากมาก

    แล้วพวกนี้เก่งนะ เป็นธรรมดาเราก็อยากรู้ว่าผู้ที่มาใช้ร่างเราเป็นใคร พออยากรู้มากก็นึกคิดปรุงไปต่าง ๆ นา ๆ ถ้าเรานึกว่า เป็นกวนอิม เวลาคุณนั่งสมาธิ มือคุณก็จะเป็นปางต่าง ๆ เลย ถ้านึกว่า เป็นหงอคง คุณก็เกาหัวสั้นตลอดเวลานั่งสมาธิ ถ้านึกว่าเป็นพรหม คุณก็จะหันซ้าย ขวา บน ล่าง แบบสี่หน้า

    ถ้ามาถึงจุดนี้ คนเข้มแข็งและต้องการพ้นทุกข์จริง ๆ ก็จะผ่านไปได้ด้วยความเข้าใจว่าไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องการ แต่ถ้าคนอ่อนแอ ก็จะไม่ก้าวหน้าตกเป็นทรงต่าง ๆ นา ๆ ไป

    ปล. ความคิดเห็นส่วนบุคคลนะครับ เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ
     
  13. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    ทำให้มนุษย์ที่มีองค์ หนีไม่พ้น คือ ตรงนี้

    ไม่ใช่เพราะว่า ต้องการช่วยมนุษย์เพียงอย่างเดียว

    เเต่เป็นเพราะกลัวเดือดร้อน, กลัวลำบาก, กลัวอีกมากมาย

    หากมีเทพ เหมือนเป็น เกราะป้องกันภัย


    ไม่มีใครอยู่เหนือกรรม

    ความลำบาก เทพไม่ได้เเกล้งคะ

    แต่เมื่อเราปฏิบัติธรรมกรรมดี มาเเทน

    ตัวเราก็เลย มีชีวิตที่ดีขึ้น ตามแรงแห่งบุญที่เราปฏิบัติ

    ไม่ใช่เพราะ อภินิหารย์ของเทพ

    บุญเราทำ เราถึงได้ เราถึงมีชีวิตที่ดีขึ้น

    เทพเป็นเพียงผู้ ชี้เเนะ
     
  14. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    สิ่งที่คุณขันธ์นำมาเสนอนี้ดี มีแง่ให้ขบคิดเป็นทางเลือก


    การพิจารณาสิ่งใดๆ ก็ตาม สมควรมีทางเลือกไตร่ตรอง

    มากกว่า 1 ทาง ก่อนการด่วนปักใจเชื่อถือ


    และจะดียิ่ง หากได้พิสูจน์ในขั้นกาลามสูตรแล้ว


    โดยมิใช่ การรับฟังต่อๆ กันมา หรือในทำนองอื่นที่มีลักษณะเดียวกันนี้
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    วกกลับมาถึง ปฐมฌาณ

    องค์แห่ง ปฐมฌาณ นั้น มี วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกคตา
    ที่ทำกันไปไม่ถึงไหน เพราะว่า มันวิตก วิจารณ์ ที่ปาก แต่ไม่ไปถึงใจ
    ปีติ สุข มันก็ไม่เกิด เพราะปาก บริกรรม ใจไปไหนต่อไหน

    มันต้องให้ใจแนบไปกับ คำบริกรรม ดุจ เวลาที่เราดูหนัง ดูละคร แล้ว ใจแนบไปกับสิ่งนั้น โดยไม่ได้คิดอะไรเพิ่มเติม นอกเหนือจากสิ่งที่เรากำลังดูหนัง

    ไม่เชื่อลองไปดูหนัง สนุกๆ สิ เจ้าไม่ลงหรอกตอนนั้น ทุกข์ก็ไม่มีหรอกตอนนั้น
    กรรมอันบังคับให้เราไปทำนั่นทำนี่ ก็ไม่มีหรอก ตอนดูหนังสนุก

    นี่แล้ว ฝึก เอาใจแนบไปกับคำบริกรรม ให้ได้เหมือนดูหนัง ติดตามกันไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    เรียกว่า วิตก วิจารณ์ในนั้นแหละ คู่กันไป ไม่ต้องไปแยก ทีนี้พอใจแนบไปสักระยะหนึ่ง ไม่ต้องไปดูมันนะว่านี่มันปีีติ แล้ว นี่มันวิตกวิจารณ์แล้ว แบบนี้แสดงว่า ใจเรายังไม่แนบ

    พอแนบไปสักระยะหนึ่งมันก็จะ เกิดอิ่มเอิบ สบายตัว เบาใจ นี่เรียกว่า ปีติ และ สุขจะตามมา พร้อมกับ เอกัคตาจิต ที่เป็นหนึ่งอย่างนั้น ไม่ส่ายไปทางใดๆ

    ทีนี้ พอจิตเป็นหนึ่งแล้ว อะไรๆ ก็ไม่ปรุงแต่ง ไม่ขวนขวายว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้คืออะไร มันหยุดไปเอง มารก็จะไม่สามารถมาทำอะไรเราได้

    ใจก็เป็นสุข พอทำเป็นวสีเข้าบ่อยๆ ใจก็คงอารมณ์ คงสภาวะสุขได้ ทำการทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ มีปัญญาเกิดขึ้น เพราะใจนิ่ง

    นี่นะ ต้องอบรมกันแบบนี้

    ก็สำหรับคนที่ยังทำไม่ได้ ก็ให้ ฝึกให้มาก ทำบุญก็อุทิศให้กับ บิดามารดา เจ้ากรรมนายเวร เทวดา เจ้าที่เจ้าทาง นั่น เราจะได้อยุ่เ็ย็นเป็นสุข

    แล้วก็ค่อยๆ ปฏิบัติธรรม ด้วยการ สังวร อินทรีย์ ถือศีล 5 ทำสมาธิ ทำฌาณ

    เมื่อมากขึ้นๆ เก่งขึ้นแล้วค่อยวิปัสสนา
     
  16. tanyatornbtp

    tanyatornbtp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +8
    คิด(เชื่อ)สิ่งใด ได้สิ่งนั้น
    ......

    รู้สิ่งใด ละสิ่งนั้น
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ใครอ่านมาถึงตรงนี้ ก็ช่วยบอกหน่อยว่า เห็นกันหรือไม่ว่า

    ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ ตามขั้นตามตอน

    ตามที่พระพุทธองค์ ทรงสอนทุกประการ และ ผมก็เอามาเสนอ มิได้มีบิดเบือนแม้แต่น้อย

    ตั้งต้น ด้วย สังวรอินทรีย์ และ ตามมาด้วย องค์สมาธิ คือ ฌาณ ซึ่งผมคิดว่า เท่านี้ ก็พอจะทำให้ใครดับทุกข์ได้ ถ้าหากปฏิบัติตามจริงๆ จังๆ

    แต่ถ้าใคร ไม่สนใจ แล้วจะเอาแต่ง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้ เพราะยุคนี้ มารเขามากันเยอะมาก ทั้งมัจจุมาร ทั้ง กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังจารมาร
    มากันครบทั้งหมด

    เวลา เราจะเรียนหนังสือ เรายังต้องตั้งใจ สนใจเีรียน แล้วนี่ บทเรียนชีวิต พวกท่านจะทำกันเอาง่ายๆ ได้อย่างไร

    กิเลสที่มันดองอยู่ในใจ มันไม่กลัวหรอก คนขี้เกียจ
    ที่ผมบอกมานั้นแหละ จะเป็นวิธีละ องค์ ละเทพ ที่เป็นมารได้

    สำหรับคนที่ ได้องค์สมาธิ จนเกิดสุข เกิดเอกคตา จิตใจ สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง เมื่อไร จะดำเนินวิปัสสนา ก็เข้ามาตั้งกระทู้ในนี้ ผมจะคอยบอกเองว่า วิปัสสนาทำอย่างไร และ เชื่อว่า ยังมีผุ้ที่มีภูมิวิปัสสนา สูงคอยแนะนำอยู่มาก
    ทั้ง ท่าน เอกวีร์ ท่านหลงเข้ามา ท่านคีตเสวี ท่านวิมุตติ ท่านฐานัฎฐ์ ไม่รู้ว่าใครอีกเพราะปลอมชื่อกันมาเยอะเหมือนกัน
    นี่คอยช่วยพวกท่านในภูมิวิปัสสนาได้แน่นอน ครับ
     
  18. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น
    อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด
    ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน
    ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์
    ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง
    เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวง
    ท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.
     
  19. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ขออนุญาตคุณขันธ์ ในการเสนอข้อธรรม โดยหลวงพ่อคำเขียน




    " ตาวิเศษเห็นบุญ เห็นบาป เห็นทุกข์ "

    ( หลวงพ่อคำเขียน สุวณโณ / วัดป่าสุคะโต สถาบันสติปัฏฐาน )


    ถ้ามีการดู มันก็เกิดการเห็น ถ้าเห็นแล้ว ไม่ได้เข้าไปเป็น การหลุดพ้น มันก็มีอยู่ตรงนั้นแล้ว ความทุกข์มันบอก ความทุกข์ต่างๆ มันบอก เกี่ยวข้องกับมันให้ถูก ทุกข์บางอย่างบรรเทา ทุกข์บางอย่างกำหนดรู้ ทุกข์บางอย่างต้องละ แต่ก่อนเราไม่รู้แจ้ง เห็นแจ้ง ก็นึกว่าเป็นตัวตนทั้งหมด ที่แท้มันเป็นของมันอยู่เช่นนั้น กว่าจะมารู้เห็นอย่างนี้เกือบตาย ทิ้งไปเปล่าๆ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นงูเป็นปลา

    พอมีตาวิเศษ ก็ได้พบเห็นเข้าจริงๆ ตื่นออกจากทุกข์จริงๆ ที่เรียกว่า พุทโธ คือมันตื่นทุกข์จริงๆ ถ้าจะว่าแล้วบัดนี้ ก็เข้าถึงพุทธศาสนาได้แล้ว จิตใจมันรู้มันตื่นออกจากทุกข์ มันไม่หลับ ไม่หลง ไม่ประมาท เบื่อหน่ายในกองทุกข์ของรูปของนาม ความโลภ โกรธ หลง บัดนี้ไม่มีที่ตั้งแล้ว

    รู้เห็นทางเป็นหลักฐานแล้วว่าเท็จจริงอย่างไร ตาวิเศษเห็นแจ้งเข้าอย่างนี้ มันเกิดปิติเหมือนกับเราทำงานอะไรที่มันสำเร็จ ก็มีความภูมิใจบ้างเป็นธรรมดา

    ความจริงมันบอก ธรรมชาติมันสอน มันได้จังหวะ ได้โอกาส มันก็เห็นสมมติบัญญัติทะลุไป ต่างจากคำพูดนี้มาก เป็นปรากฏการณ์ เหมือนแสงสว่างทำลายความมืด ถึงคราวมันต้องเป็นอย่างนั้น มันอยู่ไม่ได้ มันเอียงไปสู่ความพ้นทุกข์ก็ว่าได้ สิ่งใดที่เป็นไปในทางให้เกิดทุกข์เกิดหลง มันชนเข้าไปกระจุยกระจายเป็นอย่างนั้น

    การเข้าไปเห็นสมมติ เหมือนกับว่ามันตกแหล่งแห่งตัวฉัน ของฉัน ความโง่หลงงมงายทั้งหลาย อยู่ในดงของสมมติทั้งนั้น ตาวิเศษพบเห็นเข้าเช่นนั้น ไม่มีอะไรเข้าปิดบังได้ มันก็รื้อถอนความโง่หลงงมงาย ออกจากจิตใจได้จริงๆ มันเบากาย เบาใจจริงๆ

    อุปมาเหมือนกับเราหาบของหนัก เดินทางไกลหลายวัน พอมีคนมารับของหนักออกจากบ่า เราแทบจะเดินไม่เป็นเลย มันเบาเอามากๆ เหมือนเดินไม่ได้เหยียบพื้นดิน จิตใจก็เบาว่างไปเลย เกิดการเบากายเบาจิตใจจริงๆ

    ความโง่ หลงงมงาย แตกกระจุยกระจายไป ยังไม่ทันได้คิด หาเหตุหาผลอะไรเลย มันหลุดหล่นไป เหมือนกับเราสบตากับสัตว์ป่า พอเราเห็นมัน มันก็เห็นเรา มันก็วิ่งหนีไปเลย ยังไม่ได้ขับไล่อะไร

    สมมตินี้มีมากเหลือเกินเต็มโลก ไม่สามารถพรรณาได้ทั้งหมด เป็นวัตถุสิ่งของ เป็นคำพูดคำจา ชื่อเสียงเรียงนาม สมมติบัญญัติเอาทั้งนั้น

    จริงแบบสมมติ ไม่จริงแบบปรมัตถ์ มีตัวมีตนอยู่ สมมติบัญญัติเต็มไปหมด ฉันรัก ฉันชัง ฉันได้ ฉันเสีย ฉันชอบ ฉันไม่ชอบ ของฉัน ของเธอ ฉันดีกว่าเธอ เธอเลวกว่าฉัน ฉันๆ เธอๆ เต็มไปหมด

    จนกลายไปเป็นอุปาทานเกิดการขัดแย้ง ทะเลาะวิวาทกัน ของฉัน ของเธอ หมดตัวไปกับสมมติ สมมติขึ้นมาแล้วว่าไม่ชอบ ของอย่างเดียวบางทีก็ชอบ บางทีก็ไม่ชอบ บัญญัติเอาว่าดี ว่าไม่ดี สมมติขึ้นมาแล้วกลัว สมมติขึ้นมาแล้วกล้า มีวัตถุอาการต่างๆ ในตัว นอกตัว เต็มโลก ทับถมจิตใจของคนผู้ไม่รู้แจ้งรู้จริง

    สมัยก่อนก็เป็นหมอไสยศาสตร์ เล่าเรียนคาถาอาคมต่างๆ มาก บริกรรมตลอดทั้งคืนก็ไม่จบ ต้องบริกรรมเป็นบางคาถาไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้ามีคนเอาไปไล่ผี ขับผี ก็ต้องบริกรรมคาถาขับผี ไล่ผี ถ้าไม่บริกรรมคาถาจะไม่แคล้วคลาด บางคาถา ต้องบริกรรมให้ตัวใหญ่คับห้อง หนังหนาจึงหยุดได้

    ถ้าบริกรรมแล้วตัวไม่ใหญ่ หนังไม่หนา หยุดไม่ได้ คาถาจะไม่แคล้วคลาด นึกว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ บ้าหอบฟางแล้วเรา แต่ก่อนก็สักยันต์เต็มตัว แต่เป็นสีแดง ดูไม่เห็น ถ้าเป็นสีดำแล้ว ก็คงจะเป็นอนุเสาวรีย์แห่งความโง่หลงงมงาย

    มันตกแหล่ง แห่งความรู้แจ้งเห็นแจ้งจริงๆ เอาไม่อยุ่แล้ว มีแต่ความรู้ทะลุปรุโปร่ง มันจะเป็นจินตญาณ ไปคิดรู้อะไรมากๆ ทีเดียว มันรู้อยู่แบบนี้หลายวัน บางทีมันไม่ได้กำหนดเคลื่อนไหวเลย มีแต่นั่งรู้ไป อมยิ้มอยู่อย่างนั้น

    มันเป็นปิติสุขบอกไม่ถูก ไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน รู้แจ้งหลุดพ้นไปจริงๆ มันจะไปเอาความรู้ มันจะไปเอาความสุข
     
  20. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    ติรัจฉานวิชา แปลว่าวิชาที่ไปในทางขวาง(แนวนอน)
    ไม่ได้มุ่งตรงสู่มรรคผลเพื่อความพ้นทุกข์
    วิชาทั้งหลายแหล่ที่เรียนกันในระบบการศึกษาภาคบังคับตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัยก็คือติรัจฉานวิชาทั้งหมด
     

แชร์หน้านี้

Loading...