เมตตา เป็น บ่อเกิดแห่งความรู้แจ้ง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 22 กันยายน 2007.

แท็ก: แก้ไข
  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    การเจริญเมตตานั้น มีหลายระดับ ถ้าจิตมีความเมตตาจะมีความ สงสาร เมื่อมีความสงสาร ก็มีการให้ ทาน มีความปิติอิ่มใจ เต็มใจให้ นั้นมาจากความเมตตาสงสาร
    คือให้ได้ ให้วัตถุทาน ระดับนี้ยังเป็นเปลือกนอก ระดับพื้นฐาน ของการทำบุญ
    เป็นการละความตระหนี่ ได้ในระดับวัตถุ

    การเจริญเมตตาระดับสูง นั้น เรียกว่าเป็นไปเพื่อกุศลจิต ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจ
    กับคำว่า บุญ และกุศล การทำบุญนั้น อานิสงฆ์ของการให้ทานนั้น ส่งผลให้ไปเกิดในสวรรค์ มีสมบัติอันเป็นทิพย์ ถ้าเกิดในเมืองมนุษย์ก็มั่งมีโภคทรัพย์ และยังมีอานิสงฆ์อีกอย่างหนึ่งของการให้ทาน เมื่อน้อมระลึกถึงแล้วจิตเกิดความปิติอิ่มใจ ระลึกเพื่อให้จิตสงบ
    มีปิติหล่อเลี้ยงจิต อย่างนี้เรียกว่า กุศล เป็นไปเพื่อความสงบระงับดับกิเลส เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน การเจริญเมตตาระดับสูง เป็นไปเพื่อยังกุศลจิตให้งอกงาม ไพบูลย์
    การเจริญเมตตาระดับนี้ คือการให้อภัยทาน ซึ่งสำคัญมากๆผู้ใดบำเพ็ญได้ระดับนี้
    อาการ โกธร สักแต่ว่าเป็นอาการให้รู้ว่า ไม่พอใจ แต่ไม่ไปพยาบาทไม่ กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย ถึงมีกระแสแห่งความคิดอยากทำสิ่งไม่ดีโต้ตอบ แต่ก็มีสติรู้เท่าทัน เมื่อรู้ทันความคิดชั่วนั้น มันถูกรู้มันก็ดับไป ไม่มีพิษภัย เป็นกิริยาเท่านั้น ไม่มีการสนองการกระทำ
    ว่าง่ายๆคือไม่เป็นเจ้ากรรม(ผู้กระทำ)นายเวร(ผู้รับผลกระทำ) ผู้เจริญเมตตาระดับนี้
    แม้มีผู้มาทำร้าย หมายชีวิต ถึงแม้จะได้รับความทรมาน แต่ให้อภัย ไม่อาฆาตพยาบาท
    ผูกเวรใคร มีแต่ความเมตตาสงสารให้อภัย ทำร้ายใครไม่ได้ จิตผู้บำเพ็ญระดับนี้
    จึงประเสริฐ จิตของพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันจะเป็นอย่างนี้ รู้ความคิด แยกแยะผิดถูก
    ถึงแม้จะมีความพอใจในกาม แต่มีขอบเขตรับผิดชอบในศีลห้า มีจิตสงบระงับเข้าถึงความว่างได้ เพราะอำนาจแห่งเมตตาธรรม กามกิเลสก็ไม่รุมเร้ามาก บรรเทาเบาบางลง
    มีจิตว่างเป็นวิหารธรรม เมื่อจิตมีความรับผิดชอบต่อชั่วดี ปิดประตูแห่งความชั่วในใจ
    ถึงจะคิดชั่ว แต่รู้ทันความคิดนั้น ไม่สนองทางกาย วาจา เจ้ากระทำชั่ว นายเวรผู้รับผลชั่วจึงไม่มี พระพุทธเจ้าจึงทรงรับรองว่าเป็นอริยสาวก ในพุทธศาสนานี้ ปิดแล้วซึ่งประตูนรก สัตว์เดรัจฉาน มีแต่เกิดเป็นมนุษย์และสวรรค์ ไม่เกินเจ็ดชาติก็บรรลุธรรมขั้นสูงสุด
    การเจริญเมตตาระดับสูงจึงเป็นไปเพื่อ ความประเสริฐ หรืออริยนั่นเอง ไม่มีความอิจฉาพยาบาท ระดับนี้คือ มหาศีล อธิจิต จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

    มีอีกประโยชน์ขั้นสูงสุด เมื่อจิตมีความตั้งมั่นดีแล้ว จิตเข้าถึงความว่าง มีความเป็นผู้รู้ตื่นอยู่ด้วย สติ สัมปัชชัญญะ ว่าง่ายๆคือ ความรู้เท่าทัน ความคิดชั่วเกิดก็รู้เท่าทัน เห็นการเกิดดับ เป็นพื้นฐานของการรู้ทันแต่ยังไม่ถึงขั้นถอนรากกิเลส แต่มีความรับผิดชอบไม่ทำบาปทั้งปวง นั่นศีลพร้อม ส่วนการทำกุศลให้ถึงพร้อม นั้น จิตเข้าถึงความว่าง เพราะละความอิจฉาพยาบาท เป็นเหตุให้จิตเข้าถึงความว่างได้ง่าย เมื่อพิจารณา สาวไปถึงที่เกิดแห่งตัณหา คือเวทนาๆเกิดจากผัสสะ(กระทบ)ทางอายตนะทั้ง หกประตู เมื่อมีความสำรวมระวัง ในการกระทบ รูป เสียงฯแล้ว ก็เห็นเวทนา(พอใจ-ไม่พอใจ) เกิด-ดับ เห็น ความ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน นี่แหละปัญญาญานเกิดตรงนี้ สัมมาวิมุติ ความเห็นชอบในความหลุดพ้น รู้แจ้งที่ผัสสะ เวทนานี่ ไม่มีที่อื่น เพราะรู้เท่าทัน อาการมันเกิด มันดับ ตัณหา ความอยาก ความไม่อยาก มันก็เกิดจากเวทนานี อาศัยเวทนาเป็นเหตุให้เกิด เมื่อจิตผู้รู้ มีความรู้เท่าทัน เห็นตอนมันเกิด -ดับ ก็จบลงแค่นั้นการรู้แจ้ง
    ผมจึงกล่าวว่า เมตตา เป็นบ่อเกิดแห่งการรู้แจ้ง คือเมตตาเป็นเหตุให้จิตเข้าถึงมหาศีล
    เข้าถึงความเป็นผู้รู้ทันความคิด เข้าถึงสัมมาสมาธิ ดำรงจิตว่างไว้ได้ เป็นเหตุให้เกิด
    สัมมาญาณะ ความรู้แจ้งชอบ สัมมาวิมุติ ความหลุดพ้นชอบ

    http://larndham.net/index.php?showtopic=27094
     

แชร์หน้านี้

Loading...