เมื่อประชัยถึงเวลาปล่อยวางถอยกลับสู่ธรรมะ

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 20 มกราคม 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    เมื่อ'ประชัย'ถึงเวลาปล่อยวางถอยกลับสู่ธรรมะ

    เมื่อ "ประชัย" ถึงเวลาปล่อยวาง ถอยกลับสู่ธรรมะ

    [​IMG]

    หากจะนึกภาพของ "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" ผู้เคยเป็นเสมือนภาพหรือสัญลักษณ์ของกิจการ "ทีพีไอ" เราอาจได้ภาพของนักธุรกิจที่ดุดันเต็มไปด้วยชั้นเชิง ชิงไหวชิงพริบ ทั้งในเชิงธุรกิจการค้าและการต่อสู้ทางกฎหมายอย่างดุเดือดในข้อพิพาทเกี่ยวกับการครอบครองกิจการอุตสาห กรรมมูลค่านับแสนล้านบาท

    นอกจากท่าทีแข็งกร้าวไม่ค่อยยอมใคร กอปรกับลีลาการพูดคุยให้สัมภาษณ์ที่เผ็ดร้อนแล้ว ภาพของ "ประชัย" ในการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ยังน่าจะเป็นไปด้วยความผูกพันกับสินทรัพย์ที่เป็นสมบัติทางธุรกิจมูลค่ามหาศาลถึงขั้นที่เมื่อเขาพลิกเส้นทางก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง สายตาหลายคู่ก็ยังจับจ้องว่านั่นอาจเป็นการก้าวรุกเข้าสู่การเมืองเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การต่อสู้และดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจอีกช่องทางหนึ่งเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม ในวันที่ "ประชาชาติธุรกิจ" พูดคุยกับประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อีกครั้งในช่วงปลายปี 2549 กลับได้พบ "ประชัย" ในอีกบุคลิกหนึ่งที่เปลี่ยนไปพอสมควร

    เปลี่ยนไปทั้งในภาพของความมุ่งมั่นทางธุรกิจกับแง่มุมความคิดรอบๆ ตัว

    บทสนทนาครั้งล่าสุดเกิดขึ้นก่อนวาระฉลองปีใหม่ 2550 ในระหว่างที่ "ประชัย" มาในชุดสบายๆ ร่วมกิจกรรมกับพนักงานในเครือบริษัททีพีไอโพลีนที่โรงงาน จ.สระบุรี

    ในหัวข้อหลักเกี่ยวกับการปล่อยวางและการถอยกลับมาหาความสงบง่ายๆ กับหลักธรรมที่เขาเชื่อว่า ช่วยปรับเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเขาได้มากเลยทีเดียว

    "ถ้าจะพูดเรื่องปล่อยวางหรือวางมือ ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับผม"

    ประชัยเล่าถึงยุคแรกที่ธุรกิจครอบครัวขยายจากกิจการค้าข้าวจากตลาดเล็กๆ ในเมืองสระบุรี จนกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของประเทศ และยุคหนึ่งก็ขยายธุรกิจเข้าสู่การค้าพืชผลเกษตร อาหารสัตว์ ครอบคลุมไปถึงกิจการ เพาะเลี้ยง-ชำแหละสัตว์ปีกครบวงจร

    "ถึงวันหนึ่งครอบครัวผมก็มองว่าการเลี้ยงไก่เอาเข้าโรงเชือด มันทำไปแล้วไม่สบายใจ เราก็ตัดสินใจว่าเลิก ผมก็ขายหุ้น ขายธุรกิจทั้งหมด ล้างมือจากวงการเลี้ยงไก่ ขายไก่แบบเด็ดขาด"

    นั่นคือสิ่งที่ "ประชัย" พยายามจะยืนยันว่าเขาไม่ได้ยึดติด เมื่อถึงจุดที่จะเลิกจะวางมือ ก็สามารถตัดใจได้

    แม้เจ้าตัวจะคุยด้วยความภาคภูมิใจว่า ถ้ายังเดินหน้าธุรกิจดังกล่าวแบบ

    ครบวงจรต่อเนื่องมาถึงวันนี้ก็ไม่ได้น้อยหน้ายักษ์ใหญ่รายอื่นของเมืองไทยแม้แต่น้อย

    เขาอธิบายว่า ที่กล้าเปลี่ยนเส้นทางหันไปลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างปิโตรเคมี หรือปูนซีเมนต์นั้นเป็นเพราะมีพื้นฐานการทำธุรกิจค้าข้าวที่บ่มเพาะจนแข็งแกร่ง รู้รอบในแทบทุกด้าน ทั้งการผลิต การค้า การส่งออกมาก่อนหน้านี้แล้ว

    อย่างไรก็ตาม เมื่อวันหนึ่งหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ฝันเอาไว้ ธุรกิจอาณาจักรที่เคยเป็นของตัวเองเปลี่ยนสภาพ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจ การต่อสู้ที่ดุเดือดก็กินเวลาเนิ่นนานยาวมาเป็นลำดับ

    จนในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าเดินมาสุดทางที่ไม่รู้ว่าจะยึดติดไปเพื่ออะไรอีก

    เคยเป็นผู้ส่งออกข่าวใหญ่ที่สุดมาแล้ว

    เคยพิสูจนให้เห็นว่าคนไทยธรรมดาๆ คนหนึ่งก็สร้างอาณาจักรธุรกิจปิโตรเคมีสู้กับสิงคโปร์หรือไต้หวันได้สบายๆ

    วันนี้ถ้าจะมีความสุขเรียบง่ายและสงบกับการถอยกลับมาศึกษาธรรมะ ขณะที่ปลดปล่อยและพักผ่อนได้กับการใช้ชีวิตทุกสุดสัปดาห์ที่โรงปูนทีพีไอ จ.สระบุรี อันเปรียบเสมือนฐานที่มั่นสุดท้าย

    "ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ตีกอล์ฟ ไม่ได้ออกกำลังด้วยการเล่นกีฬาอะไร นอกจากมาโรงงาน มาทำใจให้สงบ...

    มาประชุม ตรวจโรงงาน เพื่อพัฒนาเดินดูทุกจุดเข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้ มาดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง ทำแล้วมันประหยัดก็ได้เงินให้บริษัทเพิ่ม ทำแล้วอาจช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น เราปล่อยความร้อนออกจากโรงงานน้อยลง โลกก็น่าอยู่มากขึ้น"

    จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเที่ยวล่าสุดน่าจะเป็นเพราะการตัดสินใจเข้าไปศึกษาธรรมะที่วัดป่าแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี

    "หลังจากที่ได้ไปบวชผมก็กลับมามองว่าตัวเราใจเย็นมากขึ้น ดวงตาเห็นธรรมมั้ง (หัวเราะ) ก็ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ยิ่งพอมาอยู่ที่นี่ (โรงปูนสระบุรี) เราก็ปล่อยวางมากขึ้น"

    "หลักธรรมะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เรายึดถือได้ใจก็ร่มเย็น ผู้นำประเทศยึดถือประเทศก็ร่มเย็น..."

    จากจุดที่สับสนและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ประชัยยอมรับว่าการได้ศึกษาพระธรรมอาจเป็นการก้าวถอยที่สำคัญอันทำให้เขาเดินหน้าได้มั่นคงมากขึ้น

    "ตอนที่สับสนวุ่นวาย ธรรมะช่วยได้มาก ทำให้เราปล่อยวางและทุกเรื่องมันก็จบ ปล่อยวางและตั้งสติว่าเราจะทำอย่างไรต่อ แบบที่เขาเรียกว่า ผู้รู้ย่อมไม่มีเวทนา เราก็ไปเรียนตรงนี้มาได้ ก็คือได้มาก็อย่าดีใจ เสียไปก็ไม่ต้องเสียใจ ไม่มีเวทนา ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ นี่คือหลักธรรมที่เราเรียนรู้และนำมาปฏิบัติ ทำสมาธิอยู่ทุกวันนี้ การปล่อยวางก็คืออย่ามีเวทนา อย่ามีความแค้น"

    เพียงแต่ในมุมคิดแบบ "ประชัย" เขายังยืนยันว่าต้องมีสติอยู่เสมอ และวิธีปฏิบัติในการเจริญสติ สมาธิ ก็ได้มาจากช่วงเวลาที่ออกบวชที่วัดป่าใน จ.อุดรฯนั่นเอง

    "ตอนบวชเพื่อนฝูงที่อุดรฯเขาแนะนำไป ผมไปอยู่ในถ้ำที่เคยเป็นที่พักเดิมของคอมมิวนิสต์ อยู่ในป่าสงบมาก

    ตอนนั้นต้องเดินบิณฑบาตหลายกิโลเหมือนกันนะ ปฏิบัติแบบพระป่าเลยล่ะ

    ช่วงนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ห่วงอะไรทั้งสิ้น ตัดขาดจากทางโลก เรียนธรรมะ เป็นนักเรียน เรียนหนังสืออย่างเดียว ทุกวันบิณฑบาตเสร็จทำวัดเช้า แล้วก็ศึกษาตำราพระธรรม ทำสมาธิ ที่นั่นต้องจุดเทียนนั่งดูหนังสือตอนกลางคืน ตื่นตี 4 เป็นชีวิตที่เรียบง่าย ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ 1 เดือน

    ทำให้เป้าหมายในชีวิตของเราชัดเจนมากขึ้น ไม่งั้นเราก็หลงวนอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ ตอนนี้เราก็รู้ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่แท้จริงในชีวิตเรา ถึงเวลาก็ทำบุญ

    เงินมันจะมาก็มาเอง ถ้าไม่ใช่ของเรามันก็ไม่มา มีเงินเหลือก็ทำบุญ ชีวิตก็

    แค่นี้แหละ"

    นั่นเป็นบทสรุปของ "ประชัย" ในวันที่ถอยกลับมาสู่ธรรมะ และมีชีวิตสบายๆ ที่ปล่อยวางมากขึ้นในวันนี้



    ----------------------------
    Ref. http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02lif01180150&day=2007/01/18
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...