เรื่องผี ๆ กระสือ กระหัง

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ชนสรณ์, 6 ธันวาคม 2010.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ชนสรณ์

    ชนสรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +173
    คำถามจากทางบ้าน:
    ลูกมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องผีกระสือมานานแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ลูกยังอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันนี้ลูกย้ายมาอยู่ที่จังหวัดปทุมธานีแล้ว ทุกคนในหมู่บ้านจะเคยเจอผีกระสือจนทำให้รู้สึกเป็นสิ่งปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งวิธีสังเกตคนเป็นกระสือ ที่คนในหมู่บ้านจะรู้กัน คือ บุคลิกของคนๆ นั้น จะไม่ชอบสุงสิงกับใคร ชอบอยู่ในที่มืด แม้ในเวลากลางวัน ก็จะอยู่แต่ในบ้าน ทำบรรยากาศในบ้านให้ดูสลัวๆ ทึมๆ ถ้าใครมีญาติพี่น้องเป็นกระสือ เวลาทานข้าว จะชวนเท่าไร เขาจะไม่มากินด้วย จะกินข้าวทีหลัง แอบกินคนเดียวในมุมลับๆ และชอบกินของสดๆ คาวๆ ถ้าบ้านไหนมีคนใกล้จะคลอดลูก ยิ่งเป็นที่สนใจของกระสือมาก เพราะกระสือชอบกินของสกปรก ชอบกินรกและเลือดของเด็ก โดยแอบเข้ามาในบ้านตามร่องกระดานพื้นบ้าน เนื่องจากบ้านสมัยนั้นมักจะยกสูง โดยมีใต้ถุนบ้านไว้ ไม้กระดานก็ไม่ได้ติดกันแบบสมัยนี้ จะเป็นร่องกระดาน

    วิธีป้องกันกระสือเข้าบ้าน คือ เขาจะเอาลวดหนาม หรือไม้ไผ่ที่มีหนามมาวางไว้ใต้ถุนบ้าน เพราะมีความเชื่อว่า ผีกระสือจะกลัวลวดหนามเกี่ยวไส้ จะไม่มารบกวน ยิ่งถ้าใครมีบาดแผลต้องระวังให้ดี กระสือจะมาแอบดูดเลือด และจะทำให้คนๆ นั้นรู้สึกอ่อนเพลียไป ๒-๓ วัน

    อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับตัวลูกเอง ตอนนั้นลูกตากผ้าเปียกไว้ตอนกลางคืน เช้ามาก็พบว่า มีรอยเปื้อนคล้ายคนมาเช็ดปากทิ้งไว้ ลักษณะคราบก็เหมือนไปกินของสกปรกมา มีกลิ่นคาว ซึ่งคนโบราณจะมีความเชื่อว่า ถ้ามีรอยแบบนี้บนผ้า ให้เอาผ้าไปฟาดกับบันได จะทำให้คนที่เป็นกระสือเจ็บปาก แล้วปากเขาจะบวมๆ เราก็จะรู้ได้ว่า ใครเป็นกระสือ ลูกก็ทำตาม ปรากฏว่าเมื่อเดินไปสำรวจตามบ้านต่างๆ โดยเฉพาะบ้านที่ต้องสงสัย ที่มียายแก่ๆ อาศัยอยู่คนเดียว ซึ่งคนแถวนั้นจะรู้กันว่า ยายคนนี้เป็นกระสือ ก็พบว่ายายคนนั้นปากแกบวมฉึ่งจริงๆ
    [​IMG]


    ลักษณะของกระสือที่เห็นบ่อยๆ ในเวลากลางคืน หลัง ๓ ทุ่มไปแล้ว คือ จะเห็นเป็นดวงไฟกลมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ มีสีออกแดงๆ เหลืองๆ เหมือนเปลวเทียน ไม่เห็นเป็นหัวคน และก็ไม่เห็นไส้ห้อยรุ่งริ่งอย่างที่ใครๆ พูดกัน ดวงไฟจะลอยขึ้นๆ ลงๆ ไปมาเหมือนกำลังหาอาหารอยู่ ลูกเองเคยพยายามจะจับหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ แต่มีคนเคยทำสำเร็จ เขาเป็นพี่ชายของเพื่อนลูกเอง เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดพัทลุง
    เขาเล่าว่า หมู่บ้านเขาก็มีกระสือหลายตัวเหมือนกัน ตอนนั้นเป็นช่วงพลบค่ำ พี่สะใภ้กำลังจะคลอดลูก พี่ชายของเขาก็ยังจับปลาอยู่ตรงบริเวณคลองแถวบ้าน เมื่อพี่ชายมองมาที่บ้านของตัวเอง ก็เห็นดวงไฟดวงหนึ่งลอยขึ้นๆ ลงๆ วนอยู่รอบบ้าน นึกว่าไฟไหม้บ้าน จึงรีบกลับมาดู แล้วก็ชวนพรรคพวกเอาไม้ไผ่มาล้อมจับ แล้วก็จับได้ จึงขังดวงไฟนั้นไว้ในสุ่ม พอตอนเช้าดวงไฟก็หายไป เห็นแต่ความว่างเปล่า แต่พอตกกลางคืนอีกครั้ง ก็เห็นดวงไฟยังคงอยู่ในสุ่มเหมือนเดิม

    เช้าวันต่อมา จึงไปเดินตามหาว่า ใครเป็นผู้ต้องสงสัย ก็พบยายแก่ๆ อยู่บ้านคนเดียว นอนพะงาบๆ หายใจรวยรินคล้ายคนใกล้จะตาย ลักษณะเหมือนร่างไร้วิญญาณ พี่ชายของเพื่อนจึงไปยืนพูดกับยายคนนั้นว่า ต่อไปอย่ามายุ่งกับครอบครัวของเขาอีกนะ แล้วเขาก็ปล่อยกระสือไป เมื่อกลับไปบ้านก็ไปเปิดสุ่มออก จากนั้นก็ไม่มีกระสือมากวนที่บ้านอีกเลย

    กระสือมีจริงหรือไม่คะ สิ่งที่ลูกได้เจอ และพี่ชายของเพื่อนได้เจอ เป็นกระสือจริงๆ หรือไม่ กระสือมีลักษณะและมีความเป็นอยู่อย่างไร ส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่า มีแต่หัวกับไส้ลอยไปลอยมา แต่สิ่งที่ลูกและอีกหลายๆ คนเห็น เห็นเป็นเพียงดวงไฟลอยไปลอยมาแค่นั้นเอง

    ลูกเคยได้ยินมาว่า คนที่เป็นกระสือ ก่อนที่ตัวเองจะตาย จะต้องหาคนสืบทอด โดยหาจากญาติพี่น้องของตัวเอง และใช้แหวนเป็นสื่อ วิธีการคือ จะถอดแหวนให้ผู้สืบทอดรับไปใส่ต่อ เขาก็จะกลายเป็นกระสือตัวต่อไป เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้ากระสือมีจริง แล้วกระหังมีจริงหรือไม่


    ที่นี่มีคำตอบ:


    กระสือ คือ ภูตชนิดหนึ่ง

    ภูตอย่างหนึ่งผีอย่างหนึ่งปีศาจก็อีกอย่างหนึ่งแต่เราจะได้ยินคำรวมไปเลยภูตผีปีศาจ เพราะคำมันคล้องกัน แต่จริงๆ แล้วมันคนละประเภทกัน คือ หน้าตามันจะแตกต่างกันไป และพฤติกรรมหรือความสามารถมันจะแตกต่าง ซึ่งตอนเป็นมนุษย์ ทำกรรมหลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ เช่น นำของปลอมมาหลอกขายว่าเป็นของจริงของโบราณ โดยหากินทางมิชอบ อันนี้คือวิบากกรรมที่ทำให้เป็นภูต เป็นต้น

    ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ตายแล้ว ก็จะไปเป็นเปรตก่อน เพราะความโลภอยากได้ทรัพย์โดยมิชอบ มีความหิวโหยมาก จากเปรต กรรมยังไม่หมดก็จะมาเป็นพวกภูตที่กินได้เฉพาะของสกปรก ของคาว ของเน่าเหม็นโดยจะเข้ามาสิงอยู่กับคนที่มีวิบากกรรม เหมือนที่ตัวเองเคยทำตอนเป็นมนุษย์ คือ ไม่ได้สิงได้ทุกคน จะเข้าสิงได้ คนนั้นต้องมีวิบากกรรมอย่างเดียวกัน มันถึงจะดูดไปหากันได้

    ลักษณะรูปร่างก็คล้ายๆผีนั่นแหละ แต่มีฤทธิ์มากกว่า คือ สามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ แต่ผีแปลงไม่ได้ เช่น แปลงเป็นหมาดำ เป็นงู เป็นต้น

    ภูตบางตัวแปลงร่างได้มาก บางตัวแปลงได้น้อยหรือแปลงได้บางอย่างบางภูตแปลงได้ ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง บางภูตแปลงได้แค่เป็นหมาดำตัวใหญ่ได้ เป็นงูได้ นี่ยกตัวอย่าง

    ภูตชนิดนี้จะมีชีวิตสิงมนุษย์อยู่ เหมือนกาฝากที่ติดตามต้นไม้ต่างๆ ยิ่งอยู่นานไป ก็จะยึดทั้งร่างกายและจิตใจมนุษย์ เหมือนกาฝากที่ขยายขึ้นคลุมต้นไม้ พวกนี้จะชอบที่มืด ไม่ชอบแสงสว่าง แต่ไม่มีหัวและไส้ที่ลอยไปลอยมา เวลาถอดกายออกจากมนุษย์จะเป็นดวง เป็นสีๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีสีเหลือง สีแดง สีเขียว สีส้ม เป็นต้น (ที่มีหัวและไส้รุ่งริ่ง เป็นเปรตชนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่กระสือ และจะมีอีกาตามไล่จิกไส้ที่ห้อยมา)

    ดวงนั้น คือ ดวงจิตของมนุษย์ ที่มีวิบากกรรมที่โดนสิงและถูกสิง จะถูกบังคับให้ออกมา โดยภูตจะหุ้มดวงจิตนั้น ซึ่งมนุษย์จะเห็นแค่เพียงดวงจิตของมนุษย์ ที่มีวิบากกรรมลอยไปเท่านั้น แต่ตัวภูตมองไม่เห็น

    พวกนี้จะชอบไปกินของสกปรก ของคาว ของเหม็นเน่า เวลากินก็จะใช้วิธีกินเหมือนมนุษย์นี่แหละ เพราะสภาวะนี้เป็นกึ่งหยาบกึ่งละเอียด จึงสามารถกินของหยาบได้ กินเสร็จแล้ว ก็จะเอาปากไปเช็ดตามผ้าที่ตากไว้จริงๆ เหมือนมนุษย์เช็ดปากอย่างนั้นแหละ ฉะนั้นใครตากผ้าไว้กลางคืน ไปเก็บซะ

    [​IMG]

    สิ่งที่ลูกและพี่ชายเจอคือภูตพวกนี้แหละ ซึ่งมนุษย์เรียกว่า ผีกระสือ ซึ่งมีทั้งหญิงและชาย แล้วแต่มนุษย์จะสมมติเรียก เช่น ผู้หญิงก็สมมติเรียกว่าเป็นผีกระสือผู้ชายก็สมมติเรียกว่าเป็นผีกระหังแต่ผู้ชายไม่มีกระด้งหรือหางเป็นสาก อันนี้มนุษย์ก็สมมติกันไปเรื่อยๆ
    มีการสืบทอดจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่ง เมื่อวิบากกรรมนั้นยังไม่หมด โดยภูตที่จะมารับสืบทอดต้องมีกรรมชนิดนี้ด้วย ไม่ใช่จะไปให้ใครก็ได้ ถ้าไม่มีผู้ที่มีกรรมแบบเดียวกัน ภูตก็ต้องตายไปพร้อมกับร่างที่สิงนั้น คล้ายต้นกาฝากตายพร้อมกับต้นไม้ที่ตัวเกาะอยู่ แล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่นตามวิบากกรรมต่อไป เหมือนตายจากเปรตมาเป็นภูต ตายจากภูตก็ไปเป็นอะไรต่ออะไรตามวิบากกรรม

    ส่วนวิธีการถ่ายทอดนั้นก็หลากหลายวิธี ขอเพียงผู้มาสืบทอดต้องมีกรรมอย่างเดียวกันเท่านั้น ส่วนวิธีการจะถ่ายทอดอย่างไรก็ได้ จะมอบแหวน หรือจะอะไร มันมีหลากหลายวิธีการ ไม่ใช่เฉพาะมอบแหวนอย่างเดียว

    การจะจับภูตไว้ในสุ่มได้ ต้องมีมนตร์คาถาอาคม อยู่ๆ จะเอาสุ่มไปไล่จับโดยไม่มีวิชาอาคมนั้นยาก แล้วที่ว่าถ้าเอาผ้าที่มีลักษณะคล้ายๆ คนเช็ดปาก และมีกลิ่นคาวหรือของสกปรกไปฟาดที่บันไดนั้น จะทำให้เกิดปากบวมบ้าง หรือเอาผ้าไปต้มให้ปวดแสบปวดร้อนบ้าง ก็เป็นการเสริมแต่งเรื่องราวกันไป หรือการที่ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผีกระสือ เกิดปากบวมฉึ่งขึ้นมา อย่างเรื่องที่ว่านี้ ก็เป็นเรื่องของความบังเอิญ ไม่ได้เกิดเพราะว่า พอฟาดตุ้บ ฉึ่งขึ้นมาอย่างนี้ ไม่ใช่

    โดยคุณครูไม่ใหญ่(พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หลวงพ่อธรรมชโย)
    ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...