เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 มกราคม 2025 at 17:08.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,974
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,583
    ค่าพลัง:
    +26,423
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,974
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,583
    ค่าพลัง:
    +26,423
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพมีงานสำคัญก็คือ ไปกราบถวายมุทิตาสักการะพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ. ๘) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์ วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี เนื่องในวันทำบุญอายุวัฒนมงคล ๙๑ ปี

    เมื่อไปถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้รออยู่ก่อนแล้ว จึงได้เข้าไปกราบถวายไทยธรรม โดยเฉพาะเหรียญพระร่วงเกราะเพชรของวัดบึงลาดสวาย ซึ่งสร้างโดยพระครูสมุห์อานนท์ อานนฺโท กระผม/อาตมภาพกราบเรียนย้ำกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านว่า "เป็นเหรียญทองคำนะครับ ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมก็มอบให้กับเขาไปได้เลย" พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคลยกเหรียญขึ้นใส่หัว แล้วหลังจากนั้นก็ถามสารทุกข์สุขดิบ

    เหตุที่กระผม/อาตมภาพเข้านอกออกในได้นั้น เกิดจากเนิ่นนานมาแล้ว สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังเป็นพระสิรินันทเมธี อยู่ที่วัดดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้พบกันครั้งแรก พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านห่มจีวรสีแดง คำว่าสีแดงในที่นี้ก็คือสีเหลืองเจือแดงเข้มตามในพระธรรมวินัยนั่นเอง

    เมื่อกราบเรียนถามพระเดชพระคุณท่านว่า "ทำไมถึงห่มจีวรสีนี้ขอรับ ?" ท่านบอกว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. ๙) ซึ่งสมัยนั้นอยู่วัดยานนาวา เป็นพระมหาเถระที่พวกเราเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่งรูปหนึ่ง ท่านได้ประทานจีวรสีนี้ให้ จึงได้ถือห่มจีวรสีเหลืองเจือแดงเข้ม หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "สีแดงแบบครูบา" นี้มาโดยตลอด

    จนกระทั่งท่านมาเป็นเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ปรากฏว่าท่านเปลี่ยนจากห่มจีวรสีเหลืองเจือแดงเข้มนี้มาเป็นจีวรสีพระราชนิยม กระผม/อาตมภาพกราบเรียนถามว่า "ทำไมหลวงพ่อเปลี่ยนจีวรเสียละครับ ?" ท่านบอกว่า "ไม่ได้..ตอนนี้ตำแหน่งของเราก็คือเจ้าคณะจังหวัด ทำอะไรบรรดาลูกคณะมักจะทำตาม ขืนไปห่มจีวรสีแดงแบบนั้นอีก เดี๋ยวเขาทำตามกันทั้งจังหวัดจะเดือดร้อนโดยใช่ที่ เราตัวคนเดียว เปลี่ยนตามส่วนรวมเขาดีกว่า"

    ทำเอากระผม/อาตมภาพมานึกว่า เมื่อตอนที่มาอยู่วัดท่าขนุนใหม่ ๆ กระผม/อาตมภาพก็ยังห่มจีวรสีเหลืองแบบวัดท่าซุงอยู่ ครั้นมาอยู่ที่วัดราษฎร์ประชุมชนาราม หรือว่าวัดท่ามะขาม ก็ยังคงใช้จีวรสีเหลืองเป็นหลัก แต่เมื่อมาอยู่ทางวัดท่าขนุน ปรากฏว่าทั้งวัดและทั้งอำเภอ ยกเว้นวัดพุทโธภาวนา เขาห่มจีวรสีพระราชนิยมกันทั้งนั้น ถ้าหากว่าเราให้เขาเปลี่ยนตามเราคนเดียว ก็เดือดร้อนกันทั้งวัดเป็นอย่างน้อย กระผม/อาตมภาพจึงได้เปลี่ยนมาห่มจีวรสีพระราชนิยมแทน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,974
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,583
    ค่าพลัง:
    +26,423
    เมื่อได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาทุกระดับว่า คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมินั้น ห่มจีวรเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งอำเภอ ทั้งที่อำเภอทองผาภูมิเป็นอำเภอที่ใหญ่มาก มีพื้นที่เทียบเท่าจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ ๓ จังหวัดรวมกัน จึงทำให้หลวงพ่อพระครูสุวิมลกาญจนวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดพุทโธภาวนา เจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ ท่านก็เปลี่ยนจากการห่มจีวรสีแดงครูบาตามสายครูบาอาจารย์ของท่าน ก็คือหลวงพ่อภาวนาพุทโธ (หลวงพ่อจำลอง) เปลี่ยนมาห่มสีพระราชนิยม จึงทำให้คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ เมื่อเข้าประชุมที่ไหนก็ตาม ได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาเสมอว่า มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นอย่างยิ่ง

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคลนั้น ตำแหน่งปัจจุบันของท่านก็คือที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ กระผม/อาตมภาพสมัยนั้นเคยแอบดูกำลังใจพระบ่อย ๆ แม้ว่าจะไปพลาดท่าให้กับพระองค์ที่ ๑๐ จนท่านใช้คำว่า "แว่นตาแตก" ก็คือใช้ทิพจักขุญาณแล้วไม่สามารถที่จะดูได้ก็ตาม แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวก็อดไม่ได้ เมื่อถึงเวลากราบพระเถระรูปใดก็มักจะแอบดูกำลังใจของท่านเสมอ

    ปรากฏว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านไวมาก ทันทีที่รู้เห็นว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่เก็บตัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ยอมเปิดเผยให้คนอื่นรู้ ท่านก็หันขวับมา ยกมือเขกหัวเปรี้ยงสนั่นเลย..! บอกว่า "รู้แล้วแกอย่าเที่ยวไปบอกใครนะ" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่รับปาก โดยที่ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านก็เห็นกระผม/อาตมภาพเป็นบุคคลผู้ไว้วางใจได้ ไปหาเมื่อไรก็สามารถเข้านอกออกในได้เสมอ

    เมื่อท่านมาสร้างหลวงพ่ออู่ทององค์ใหญ่ ที่หน้าผามังกรบิน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยที่มีสโลแกนว่า "หนึ่งเดียวในไทย ยิ่งใหญ่ในโลก มรดกคู่ฟ้าดิน" เนื่องจากว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่บามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน โดนทางด้านรัฐบาลตาลีบันทำลายไป ท่านจึงตั้งใจสร้างองค์นี้ขึ้นมาแทน เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของทางด้านพระพุทธศาสนาให้ชาวโลกได้รู้

    โดยเฉพาะท่านได้ขอพื้นที่บริเวณเขาทำเทียม ซึ่งอดีตก็คือเหมืองในการระเบิดหินเพื่อที่จะโม่ปูน แล้วเมื่อโดนปิดไป ท่านก็ขอพื้นที่นั้นมาทำประโยชน์ด้วยการแกะสลักหน้าผาเป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทององค์ใหญ่มหึมา ตั้งชื่อให้ว่า พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ กระผม/อาตมภาพก็ยังร่วมสร้างกับท่านไป ๑ ล้านบาท หลังจากนั้นท่านก็ยังมีโครงการที่จะเจาะถ้ำเพื่อให้พระภิกษุสามเณร สามารถที่จะทำสังฆกรรมบริเวณนั้นได้อีกด้วย
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,974
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,583
    ค่าพลัง:
    +26,423
    โครงการของท่านต้องบอกว่ายืดยาวออกไปเรื่อย ๆ โดยที่นำเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพท่านหนึ่ง ก็คือพระครูสุตาภรณ์พิสุทธิ์ (ชลอ เตชพโล ป.ธ.๔) ซึ่งตอนนั้นเป็นรองเจ้าอาวาสวัดไผ่โรงวัว เป็นเจ้าคณะตำบลบางตาเถร เขต ๒ มาให้ช่วยดูแลงานก่อสร้างที่นั่น

    เมื่อกระผม/อาตมภาพถามว่า "ทำไมหลวงพ่อถึงได้คิดจะทำแต่งานใหญ่ ๆ ต่อเนื่องแบบนี้ครับ ?" ท่านบอกว่า "ข้ากำลังทดลองดูว่าในสมัยโบราณที่ในพระไตรปิฎกบันทึกเอาไว้ ว่าถ้าหากว่าบุคคลที่มีหลักธรรมอิทธิบาท ๔ สามารถที่จะอธิษฐานร่างกายอยู่ได้ถึง ๑ กัป ข้าไม่ได้คิดว่าจะอยู่ถึง ๑ กัปหรอก แต่คิดว่าถ้างานไม่หมด ข้าตั้งใจว่าจะไม่ตาย ดังนั้น..ถ้าอายุ ๑๒๐ ปีน่าจะเป็นไปได้" กระผม/อาตมภาพเองก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนา แต่ไม่ขอไปกับหลวงพ่อท่านหรอก..!

    ปรากฏว่าอีกไม่กี่ปีต่อมา เมื่อท่านไปงานที่วัดท่าขนุน เดินเข้าไปในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย นั่งลงพักแบบเหนื่อยมาก ท่านบอกว่า "เล็ก..ดูท่าข้าจะอยู่ไม่ถึง ๑๒๐ ปีแล้วว่ะ..!" กระผม/อาตมภาพขำก็ขำ จึงได้กราบเรียนท่านว่า "ก็แล้วแต่หลวงพ่อเถอะครับ ถ้ากายสังขารไม่ไหว จะไปก็นิมนต์ได้เลย" แต่ปรากฏว่าหลังจากวิกฤตครั้งนั้นแล้ว ท่านก็ตั้งใจจะสร้างพระบรมธาตุเจดีย์จุฬามณี อยู่บนเหนือหลวงพ่ออู่ทอง ในลักษณะที่ว่าเหมือนกับเป็นมงกุฎ สวมถวายหลวงพ่ออู่ทององค์ใหญ่นั้น

    กระผม/อาตมภาพเห็นว่า ถ้าหากว่าหลวงพ่อขืนทำอยู่ในลักษณะแบบนี้ ตายเสียก่อนก็ไม่เสร็จ เมื่อกราบเรียนถามท่านว่า "ราคาเท่าไรครับ ?" ท่านบอกว่า "๒ ล้านบาท" กระผม/อาตมภาพยังสะดุ้งเฮือก "เจดีย์ทั้งหลัง ๒ ล้านบาท สร้างไป ๓ วันพังหรือเปล่า ?!" ท่านก็ยังหัวเราะทั้งที่ป่วย บอกว่า "ลูกศิษย์เขาอาสาทำให้ เขาคิดแค่ต้นทุนเท่านั้น ไม่คิดเอากำไร เขาทำแข็งแรง..ข้ารับรอง"

    กระผม/อาตมภาพจึงนำปัจจัย ๒ ล้านบาทไปถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน บอกว่า "หลวงพ่อไม่ต้องกังวลนะครับ ถ้าหากว่าแค่ ๒ ล้านบาท ผมรับผิดชอบแทน งานนี้จะได้ไม่คาใจหลวงพ่อ จะไปไหนก็นิมนต์ได้เลย ไม่มีห่วงแล้ว..!"

    แต่เมื่อสร้างพระเจดีย์เสร็จ ท่านก็แข็งแรงวันแข็งแรงคืน จากที่เดินไม่ได้ก็เริ่มหัดเดินทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งท้ายที่สุดก็ทิ้ง "วอล์คเกอร์" หันมาถือไม้เท้าเดินได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ท่านผอมลงไปมาก ท่านเองก็ยังมีโครงการที่จะทำโน่นทำนี่อีกหลายอย่าง ทั้ง ๆ ที่ปีนี้ก็เจริญอายุมาถึง ๙๑ ปีแล้ว
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,974
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,583
    ค่าพลัง:
    +26,423
    เมื่อกระผม/อาตมภาพถวายไทยธรรมแล้ว ปรากฏว่า นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีเข้ามากราบ หลวงพ่อท่านก็ยังเมตตาบอกว่า "ผู้ว่าใหม่..รู้จักกันไว้สิ" กระผม/อาตมภาพจึงได้กราบเรียนว่า "หลานผมเองครับ" ทำเอาทุกคนตะลึงกันหมด ท่านผู้ว่าจึงได้รายงานว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร หลวงพ่อท่านก็ยังดีใจว่าเป็นเด็กสองพี่น้องเหมือนกัน

    เนื่องเพราะว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเป็นคนอำเภอสองพี่น้อง ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้นรกรากของตายายและแม่ ตลอดจนน้า ๆ ทุกคนก็เติบโตกันอยู่ที่ตลาดบางลี่ อำเภอสองพี่น้องนั่นเอง ทางบ้านยายถึงเวลาก็ไปกราบหลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน หลวงพ่อเหนี่ยง วัดอัมพวัน เมื่อพี่สาวคนโตแต่งงานมาอยู่ที่ตำบลทุ่งคอกกระผม/อาตมภาพก็ตามไปกราบหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก รับรสชาติไม้เรียวของหลวงพ่อแดงที่ดุนักดุหนามากันบ้าง..!

    เมื่อโยมแม่แต่งกับโยมพ่อ มาอยู่ทางด้านจังหวัดนครปฐม ก็ไปกราบหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่น้อย วัดธรรมศาลา หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม เหล่านี้เป็นต้น

    แล้วสมัยนั้นยังมีพระมหาเถระสุดยอดอีกรูปหนึ่ง ก็คือหลวงปู่แตง วัดดอนยอ อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จึงรู้สึกว่าตนเองนั้นโชคดีมาก ที่ว่ารกรากของทางด้านพ่อหรือแม่ก็ตาม มีแต่พระมหาเถระผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของวิปัสสนากรรมฐานกันรอบไปหมด โดยเฉพาะในเรื่องของคาถาอาคม อภิญญาสมาบัติ ท่านทั้งหลายเหล่านี้คล่องตัวจริง ๆ เมื่อได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมก็ยังไปกราบหลวงปู่มุ่ย วัดดอนไร่ หลวงปู่ดี วัดพระรูป เหล่านี้เป็นต้น

    ในช่วงนั้นรู้สึกว่าจะเป็นยุคของดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่ง เพราะว่าทางด้านภาคเหนือนั้นก็มีหลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่ครูบาอินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนกระทั่งหลวงปู่เปลี่ยน วัดอรัญญวิเวก หลวงปู่น้อย วัดบ้านปง ที่อยู่ก่อนจะถึงวัดของครูบาเทืองในปัจจุบันนี้ แล้วก็ยังมีหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ตลอดจนกระทั่งพระเถระรูปอื่น ๆ อีกมาก
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,974
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,583
    ค่าพลัง:
    +26,423
    ทางด้านภาคอีสานนั้น กระผม/อาตมภาพก็ติดหนับอยู่กับหลวงปู่ฝั้น วัดถ้ำขาม ซึ่งตอนหลังท่านมาสร้างวัดป่าอุดมสมพรเพิ่มเติม หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล ที่กราบทีไรก็เห็นท่านเป็นแม่ทุกที ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดจากบุญสัมพันธ์กรรมสัมพันธ์อะไร หรือแม้กระทั่งหลวงตาบัว กระผม/อาตมภาพก็ขอหวยมาแล้ว เพราะอยากทราบว่าพระสายวิสุทธิมรรค ท่านมีอภิญญาสมาบัติ มีทิพจักขุญาณหรือไม่ ? ซึ่งหลวงตาบัวท่านก็เมตตาให้หวยมา ๒ ตัว ออกตรงเป๊ะเลย เพราะรู้ว่ากระผม/อาตมภาพไม่เล่นหวย ขอเพราะอยากรู้เท่านั้น เป็นต้น

    ในยุคที่ดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่งเหล่านั้น อยากจะบอกว่าท่านใดที่บุญดีก็ได้พบได้เห็น ไม่เหมือนกับยุคนี้สมัยนี้ ที่มีผู้ซึ่งกล่าวหาว่า "พระเถระผู้ที่มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่านั้นจะไปมีคุณความดีอะไร ?" เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพไม่ขอถกด้วย เนื่องเพราะว่ายังทำไม่ถึงระดับมรณภาพแล้วไม่เน่า ไม่สามารถที่จะบรรยายได้ว่า มีคุณความดีขนาดไหน หรือต่อให้บรรยายได้ ก็น่าจะใช้เวลากันเป็นวันเป็นคืนเป็นต้น

    เมื่อกราบลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล เดินทางกลับสู่ที่พักแล้ว ก็รอเวลาเพื่อที่จะไปหาหมอตามที่ได้นัดเอาไว้ต่อไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้

Loading...