ใส่บาตรชาติหน้าได้กินหรือเปล่า?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 16 ตุลาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    วันนี้ขอเริ่มต้นด้วยการตอบคำถามจากท่านผู้อ่านสักฉบับ...ดังที่เคยเรียนอนุญาตท่านผู้อ่านไว้แล้วว่า หากมีคำถามเข้ามาและมีความสำคัญพอที่จะเป็นความรู้ประดับปัญญาบ้าง ภูเตศวรจะตอบลงในคอลัมน์ ธรรมะ 5 นาที เพื่อเป็นการบอกเล่าต่อท่านผู้อ่านท่านอื่น ๆ ด้วย
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    คำถามนี้มาจากคุณภารดร สุขสมาน จากจังหวัดอยุธยา ซึ่งผู้เขียนขออนุญาตตัดทอนเฉพาะใจความสำคัญมาลงเท่านั้น เพื่อไม่เป็นการเยิ่นเย้อ คำถามคือ...
    <o:p></o:p>
    ... วิญญาณ หรือ โอปปาติกะ โดยปกติต้องกินอาหารเหมือนกันหมดหรือเปล่า อาหารที่กินคืออะไร ตามที่รู้ว่าใครทำบุญตักบาตร แล้วจะมีกินในชาติหน้าจริงหรือไม่ อย่างไร?...
    <o:p></o:p>
    คำตอบเป็นอย่างนี้ครับ...
    <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าทรงดำรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายล้วนดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเสพอาหาร เพราะฉะนั้นมนุษย์หรือโอปปาติกะไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือต้นไม้ต้องกินอาหารทั้งนั้น และอาหารที่กินเข้าไปจะแตกต่างกันไปตามประเภทของชีวิตนั้น ๆ<o:p></o:p>
    โอปปาติกะก็เช่นกัน การเสพอาหารเพื่อดำรงอัตตาแห่งวิญญาณก็แยกไปตามระดับของภพภูมิของตนเองเหมือนกัน มาถึงตรงนี้บางท่านอาจมีคำถามว่า โอปปาติกะจะไม่มีกายหยาบอย่างเรา จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องกินอาหารไปเลี้ยงวิญญาณที่ไม่มีร่างกาย ปัญหานี้สามารถอธิบายได้ไม่ยาก แม้เหล่าโอปปาติกะจะไม่มีกายหยาบเหมือนพวกเรา แต่ก็มี กายทิพย์ ซึ่งเป็นกายที่เกิดจากใจ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า...
    <o:p></o:p>
    มโนมยรูป แปลว่า รูปที่เกิดจากใจ
    <o:p></o:p>
    เพราะฉะนั้น โอปปาติกะที่มากินเครื่องเซ่นสังเวย อาหารก็ย่อมจะหมดไปได้ เพราะเครื่องเซ่นเป็นธาตุหยาบ ใจ...เป็นสิ่งละเอียด การเสพด้วยใจจึงต่างกับการกินการเสพอย่างมนุษย์ แม้จะมีผู้ทรงสมาธิหรือที่เรียกว่านั่งทางในเก่ง ๆ ซึ่งสามารถมองเห็นว่า พวกนี้กำลังกินอาหารซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับเครื่องเซ่นสังเวยก็ตาม แต่สิ่งที่มองเห็นในโลกแห่งโอปปาติกะนั้น ก็ไม่ใช่อาหารที่ไปจากโลกมนุษย์ แต่เป็นอาหารที่เกิดจากใจของพวกเขาเอง
    <o:p></o:p>
    ที่ยกตัวอย่างให้เห็นดังกล่าว หมายถึงโอปปาติกะในชั้นต่ำซึ่งยังยึดถือติดในอุปาทานทางจิตว่า ตนยังมีสภาวะเหมือนตอนยังเกิดเป็นคนอยู่ ส่วนพวกโอปปาติกะชั้นสูง อาหารที่หล่อเลี้ยงวิญญาณก็ย่อมแตกต่างกันไปตามภาวะของจิตเป็นลำดับ แม้กระทั่งพวก ‘พรหม’ ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ต้องเสพอาหาร พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสว่า...
    <o:p></o:p>
    พวกเหล่านี้มีปีติเป็นอาหาร
    <o:p></o:p>
    ซึ่งหมายความว่า จิตใจของพวกพรหม ซึ่งโดยธรรมดาย่อมจิตใจสดชื่นอยู่เสมอเหมือนบุคคลที่อยู่ในฌานจิตจะอิ่มเอิบสดชื่นในสุขย่อมไม่มีความหิวโหยแต่อย่างใด ฉะนั้น พวกพรหมจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาอาหารที่ปรุงแต่งด้วยตัณหาทั้งปวง
    <o:p></o:p>
    ส่วนพวกที่อยู่ในสวรรค์ชั้นฉกามาพจร หรือพวกที่อยู่ในอบายภูมิ ตัณหา อุปาทานในวัตถุยังคงมีอยู่ ฉะนั้นยังคงมีความต้องการสิ่งที่เป็นวัตถุอันนั้นบ้าง อันนี้บ้าง และเดี๋ยวก็เบื่อสิ่งนี้ สิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้จึงยังต้องการอาหาร ยังต้องการสิ่งต่าง ๆ ตามตัณหาที่ยังฝังอยู่ในวิญญาณ
    <o:p></o:p>
    ว่ากันว่าพวกที่อยู่ในสวรรค์ ถ้าหากผู้ใดมีจิตใจสดชื่นรื่นเริงอยู่เสมอ จะมีชีวิตอยู่ในสวรรค์นาน อาหารหรือสิ่งต่าง ๆ ก็หาง่ายตามจิตนึกคิด หากแต่พวกที่เป็นเทวดาชั้นต่ำหรือพวกอยู่ในอบายภูมิ พวกนี้มีตัณหาหยาบ มีกิเลสมาก จึงดำรงสภาพหิวโหยอยู่เสมอ และถ้าตนทำบาปเอาไว้มาก วิบากของบาปที่มีอยู่ในสันดานแห่งจิต จะส่งผลให้เร่าร้อนทุกข์ทรมานอยู่เสมอ ก็ยิ่งเพิ่มความหิวโหยมากขึ้น ดังนั้นเราจึงพบว่า พวกโอปปาติกะชั้นต่ำประเภทผีหรือเปรต อสุรกายที่จัดอยู่ในโอปปาติกะชั้นต่ำในอบายภูมิ จึงมีความตะกละตะกลามมาก ๆ เพราะพวกนี้เปรียบเหมือนมนุษย์ที่ไม่เข้าใจชีวิตของตัวเอง ทำนองเดียวกับเด็กหรือคนที่ไม่มีการศึกษา ทั้งที่ตนเองมีชีวิต แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาอย่างไร ทว่ารู้หรือไม่รู้ก็ตาม ต่างก็มีตัณหาติดวิญญาณมาจากชาติก่อน ๆ แล้ว ก็ดิ้นรนแสวงหาสิ่งต้องการของเขาตามความเคยชินเหมือนโอปปาติกะชั้นต่ำพวกนี้ จะไม่รู้อะไรมากไปกว่ามนุษย์เท่าใดนัก...หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ
    <o:p></o:p>
    ...วิธีแสวงหาของพวกเขาจึงเป็นไปตามความเคยชินเหมือนตอนอยู่ในโลกมนุษย์ทุกประการ...
    <o:p></o:p>
    ส่วนพวกที่เข้าใจเรื่องชีวิตดี อย่างพวกเทวดาชั้นสูงนั้น เขารู้แจ่มแจ้งว่าชีวิตที่เขาเป็น มาจากผลของวิบาก เพราะฉะนั้นเมื่อรู้อยู่ว่าได้สร้างวิบากกุศลอะไรมาบ้าง พวกนี้จึงเหมือนคนในโลกมนุษย์ที่มีทั้งความรู้ มีเงิน มีอำนาจ เมื่อต้องการสิ่งใดก็แสวงหาได้โดยง่าย ความทุกข์ก็น้อย ตามลำดับชั้นของปัญญาบารมีของตน
    <o:p></o:p>
    มาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าคำถามที่ว่า ใครทำบุญตักบาตรแล้วจะมีกินในชาติหน้าหรือไม่...?”ก็แทบจะไม่ต้องตอบให้เหนื่อย...
    <o:p></o:p>
    เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับภาวะของคนทำว่า ชาติหน้าอยู่ที่ไหน...ภพอะไร...<o:p></o:p>
    ถ้าคุณอยู่ในชั้นฉกามาพจร...ก็ได้รับ แต่การรับของคุณไม่ใช่รับเหมือนการรับส่งทางไปรษณีย์ เพราะกุศลกรรมที่กระทำจะติดอยู่ในภวังคจิตเป็น ‘นามธรรม’ ฉะนั้นเมื่อต้องการใช้ผลบุญจะอุบัติขึ้นในลักษณะนิรมิตจากจิต เสพโดยจิต อิ่มในจิต
    <o:p></o:p>
    ถ้าคุณอยู่ในชั้นพรหม...ถึงตรงนั้นคุณก็ไม่ต้องการมันอีกแล้ว เพราะพวกพรหมสามารถจะอุปาทานอย่างหยาบได้ และเสพปีติเป็นอาหารอย่างที่พูดไว้ดังกล่าวข้างต้นแล้ว
    <o:p></o:p>
    ถ้าคุณตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ ผลบุญในการใส่บาตรคุณจะรับได้อย่างไร จริงไหมครับ คงไม่มีข้าวที่ใส่บาตรในชาติก่อนลอยมาถึงมือคุณอย่างใจนึกแน่ ๆ ก็ขนาดจำหรือระลึกก็ยังไม่ได้เลย จริงไหมครับ
    <o:p></o:p>
    คุณคงอยากถามต่อว่า ...ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ทำจะไม่สูญเปล่าหรือ?’
    <o:p></o:p>
    ขอตอบว่า ไม่...เพียงแต่กุศลที่คุณทำทานจะยังคงอยู่ในภวังคจิตหรือภวังควิญญาณไปเรื่อย ๆ ...กุศลนั้นอาจจะส่งผลให้คุณสามารถทำหน้าที่การงานประกอบอาชีพเจริญรุ่งเรือง ไม่อดไม่อยากแทน
    <o:p></o:p>
    ดังคำกล่าวที่ว่า...ผู้ทำ จาคะ คือการให้ทานโดยสม่ำเสมอ จะมีทรัพย์สินหรือความร่ำรวยในชาติภพหน้าตอบแทน ผู้เคร่งครัดในศีลจะเลิศด้วยผิวพรรณ วรรณะ และสติปัญญา...
    <o:p></o:p>
    ครับ...แม้คำถามของคุณภราดรจะไม่ยืดยาว แต่ผู้เขียนไม่สามารถตอบโดยย่นย่อได้ เพราะเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลายควรรู้เอาไว้ประดับตนบ้าง
    <o:p></o:p>
    แต่อย่างไรก็ตาม อยากจะบอกท่านผู้อ่านทั้งหลายไว้ตรงนี้บ้างว่า...อย่าซีเรียส อะไรกับผลแห่งกุศลที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ว่า จะสามารถสนองคุณกลับคืนในชาติหน้าอย่างไรบ้างเพราะการนึกคิดเช่นนั้น เป็นเพียงการทำบุญหวังสิ่งตอบแทน...
    <o:p></o:p>
    เพราะทำเพื่อหวังได้รับสิ่งตอบแทนเป็นแค่ ทำบุญ
    <o:p></o:p>
    แต่ถ้าทำด้วยความสบายใจ ไม่คิดได้อะไรตอบแทน เป็นการ ทำกุศล
    <o:p></o:p>
    บุญ ทำให้ได้สุขในชั้น โลกียธรรม คือสวรรค์
    <o:p></o:p>
    กุศล จะนำส่งให้ถึง โลกุตรธรรม คือการก้าวสู่มรรคผลนิพพาน
    <o:p></o:p>
    ฉะนั้น จึงอยากบอกท่านทั้งหลายว่า...ควรทำ ปัจจุบัน ให้ดีที่สุด ทำอะไรก็ตาม ทำอย่างมีสติ...ทำอย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเท่านั้น ก็ประเสริฐที่สุดแล้วครับ
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ฉบับนี้ขอจากกันด้วยธรรมะล้ำค่าของพระอริยเจ้าสององค์ คือ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ และหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี...ดังนี้...
    <o:p></o:p>
    ...อดีตคือธรรมเมา...อนาคตคือธรรมเมา...ปัจจุบันคือธรรมะ...(ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด)
    <o:p></o:p>
    ผู้ใดทำจิตให้เป็นกลางได้ ผู้นั้นย่อมพบความสงบสุข...(จิตเป็นกลางคือจิตที่ไม่หลงผิดในทั้งทุกข์และทั้งสุข...ดีและชั่ว...คือการรู้จักวางอุเบกขา)



    <o:p>www.dhamma5minutes.com</o:p>
     
  2. รวียากร

    รวียากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    342
    ค่าพลัง:
    +1,309
    สาธุ ๆ ๆ ๆ อนุโมทมิ ข้าพเจ้า เคยอ่านหนังสือ เป็นเรื่องจริงของคนที่ตายแล้วฟื้น
    ได้ไปดูเมืองนรก ชายผู้นี้ไม่เคยใส่บาตร จึงไม่มีอะไรกิน ต่างจาก วิญญาณ ตนอื่น มีกิน
    เพราะ ตอนมีชีวิตอยู่ ได้เคยใส่บาตร

    อันนี้จริงเท็จประการใด รบกวนผู้รู้อธิบาย
     
  3. นิพ_พาน

    นิพ_พาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,984
    ค่าพลัง:
    +7,810
    ปกติก็ไปใส่บาตรทุกเช้า เพราะกลัวว่า
    บิดามารดาที่เสียไปจะไม่มีอะไรทานกันค่ะ
    เศรษฐีเรือทอง......
    เงินไหลกองทองไหลมา....
     
  4. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    อนุโมทนาสาธุครับ ทำบุญไว้สม่ำเสมอก็เป็นทุนรอนสำหรับจิตวิญญาณต่อไปใน ภพภูมิข้างหน้า
     
  5. Tom_Om

    Tom_Om เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +411
    ปกติใส่บาตรทุกเช้าค่ะ แต่ระยะหลังไม่ค่อยสบาย ตื่นสาย อาศัยไปถวายเพลบ้าง สวดมนต์ และอุทิศส่วนกุศลบ้างค่ะ
     
  6. ทัสชา 567

    ทัสชา 567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,008
    เคยอ่านเรื่องของพันเอกเสนาะ จินตรัตน์ ท่านเคยตายแล้วฟื้นมาสามครั้ง ท่านตายครั้งแรก ท่านเหมือนลอยไปในอากาศ สักพัก ท่านรู้สึกหิวข้าว พอคิดเช่นนั้น ได้มีโต๊ะกับข้าวผุดขึ้นมา บนโต๊ะนั้นมีอาหารมากมาย และเมื่อสังเกตุอาหารนั้นท่านคุ้นๆเพราะล้วนแต่เป็นอาหารที่แม่ของท่านได้ทำให้ท่านนำไปใส่บาตรทุกเช้า อาหารนั้นมีกลิ่นหอมบอกไม่ถูกว่าหอมแบบใหนเพราะในโลกมนุษย์ไม่มีกลิ่นนี้ พอจะลงมือทานท่านก็อิ่มทิพย์โดยอัตโนมัติ แล้วโต๊ะอาหารก็หายไป แล้วท่านก็เดินทางต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...