(2)หนังสือโลกทีปนี เกี่ยวกับภพภูมิ นรก สวรรค์ ตอน โลกเปรต

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 19 สิงหาคม 2011.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    เปตติวิสยภูมิ

    โลกเปรต
    อบายภูมิอันดับต่อไป มีชื่อว่า เปตติวิสยภูมิ หรือเรียกง่ายๆ ว่า โลกเปรต
    ภูมินี้เป็นภูมิที่ห่างไกลจากความสุข ไม่มีสถานที่อยู่โดยเฉพาะ สัตว์ที่ไปเกิดใน
    ภูมิกำเนิดเปรตนี้แล้ว แม้จะมีความทุกข์น้อยกว่าสัตว์นรกทั้งหลายก็จริงถึง
    กระนั้นก็ยังห่างไกลจากความสุขอยู่เป็นอันมาก ฉะนั้น จึงต้องเรียกภูมินี้ว่า
    เปตติวิสยภูมิ = โลกที่อยู่ของสัดว์ที่ห่างไกลจากความสุข
    ในเปตติวิสยภูมินี้ มีเปรตอยู่หลายพวกหลายประเภทตามแต่อำนาจ
    อกุศลกรรมที่ทำไว้จะบันดาลให ไปเกิดเป็นเปรตชนิดใด ปรากฏมีประเภท
    ของเปรตที่พอจะนำมากล่าวในที่นี่ ดังต่อไปนี้

    วิชชาตเปรต
    พวกวิชชาตเปรตนี้ เป็นเปรตชั้นผู้ใหญ่ ชั้นดี มีฤทธิ์มาก เป็นดุจดังพญา
    เปรต ทั้งเป็นเปรตที่พอจะรู้ พระจตุราริยสัจธรรม แต่ไม่นำพาคือไม่สนใจปฏิบัติ
    ตาม จึงมีความมัวเมาประมาท ทำทุจริตผิดพลาดในปางก่อน เลยต้องมาเสวย
    ผลกรรมชั่ว เกิดเป็นเปรตอยู่อย่างนี้ เปรตพวกนี้ อยู่ในแดนของเขาซึ่งตั้ง อยู่
    เหนือแดนนรก อยู่กันแต่เฉพาะพวกเขาเท่านั้น เปรตพวกอื่นจะเข้าไปอยู่ปะปน
    ด้วยไม่ได้ ต้องเสวยกรรมเป็นเปรตอยู่อย่างนี สิ้นกาลช้านาน จนกว่าจะสิ้น
    กรรมที่ทำไว จึงไปถือกำเนิดในภูมิอื่นต่อไป

    วิวิธเปรต
    ยังมีเปรตพวกอื่นอีกมากมายหลายพวกหลายฝูง นอกจากวิชชาตเปรต
    ดังกล่าวแล้ว ซึ่งอยู่ในสถานที่ต่างๆ กันและมีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกัน คือ
    เปรตบางพวก มีรูปร่างชั่วช้า ศีรษะร่างกายผอมโซนักหนา เนึ้อและเลือด
    ของเขามิได้มีเลย ทั้งร่างมีแต่กระดูกและหนังที่พอกหุ้มกระดูกอยู่อย่างนั้น
    เพราะไม่มีอาหารจะรับประทานหนังท้องเหี่ยวติดกระดูกสันหลัง ดวงตานั้นลึก
    กลวงดุจถูกเขาแกล้งควักออกเสียฉะนั้น ผ้าสักชิ้นหนึ่งที่จะปกปิดร่างกายก็มิได้
    มีเลย ผมยาวรุ่มร่ามลงมาปกปากปกหน้า เนื้อตัวเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียด
    น่ากลัวนัก ร้องไห้ครวญครางอย่างน่าเวทนา เพราะความหิวโหยอาหารหมด
    เรี่ยวหมดแรงจะไปไหนๆ ไม่ได้ ก็ได้แต่นอนหงายอิดโรยอยู่อย่างระเกะระกะ
    ขณะนั้นหูของพวกเขาย่อมไดัยินเสียงประดุจคน มาร้องเรียกแผ่วๆ ดังแว่ว
    มาแต่ไกลว่า
    "สูเจ้าทั้ งหลายเอ๋ย พากันมากินข้าว กินน้ำ"
    ฝูงเปรตทั้งหลายได้ ยินเสียงกรรมบันดาลเช่นนี้ ก็เข้าใจว่า มีข้าวมีน้ำ
    ต่างก็ดีเนื้อดีใจคิดจะลุกขึ้น แต่ก็ลุกขึ้นมิได้เพราะหมดเรี่ยวหมดแรง แล้วก็
    พยายามลุกขึ้นอย่างแสนลำบาก บางตนก็ล้มลงนอนหงายแผ่ แต่เสียงเรียกให้
    ไปกินข้าวกินน้ำ ก็ยังคงดังแผ่วมากระทบหูอยู่เรื่อย ๆ พวกเขาจึงอุตส่าห์
    พยายามเกาะกันล้มลุกล้มหงาย ในที่สุดก็ลุกขึ้นได้ ครั้นลุกขึ้นได้ ก็เอามือ
    อันเหี่ยวแห้งพาดขึ้นเหนือหัวชื่นชมยินดี ค่อยพยุงสรีระร่างกายไปสู่ทางทิศที่
    ได้ยินเสียงเรียก เร่งไปเร่งหาอยู่ช้านาน แต่จักได้พานพบข้าวและน้ำก็หามิได้
    เลย เขาจึงเสียใจรัองไห้ครวญ ครางพลางล้มลงกสิ้งเกลือกด้วยความหิวอยู่
    ที่นั่นเอง ในไม่ชัาก็มีเสียงเรียกมา เร้าใจให้พยายามอีก แต่จะได้เจออาหาร
    สักนิดก็หามิได้เลยได้ ยินแต่เสียงร้องเรียกแต่อย่างเดียว เป็นอย่างนี้หลายร้อย
    หลายพันปี จนกว่าจะสิ้นเวรกรรม
    เปรตเหล่านี้ ในชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์ผู้ใจร้าย มักริษยาคนอื่น เห็นคน
    อื่นมั่งมีเหนือตนก็ไม่พอใจ ครั้นเห็นคนยากไร้ก็กลับดูแคลน อยากได้ทรัพย์ลิน
    ของผู้อื่น ทำเล่ห์ทำกลหลอกลวงเอาทรัพย์ของท่านมาเป็นของตน ทั้งเป็นคน
    ตระหนี่ไม่ยินดีในการให้ทาน เห็นคนอื่นเขาให้ทานก็คอยห้ามปราม ฉ้อโกง
    ทรัพย์สินที่เป็นของสาธารณะหรือของสงฆ์เอามาเป็นของตนดัวยโลภเจตนา
    ครั้นตายแล้วจึงต้องมาเกิดเป็นเปรต เสวยทุกขเวทนาอันร้ายกาจเห็นปานฉะนี้
    เปรตบางจำพวก เมื่อมองดูสรีระร่างกาย ก็ดูงดงามประดุจเช่นพระพรหม
    มีรัศมีออกจากกายรุ่งเรืองเปล่งปลั่งดังทองธรรมชาติ แต่แปลกประหลาดตรงที่ว่า
    ปากของเขานั้นมีสัณฐานเช่นปากสุกรน่าเกลียด เลยทำให้ไม่น่าดูชม ทั้งเป็น
    เปรตที่อดอยากนักหนา จะหาสิ่งใดที่จะกินมิได้
    เหตุไฉน จึงมาเป็นเปรตแปลกประหลาดเช่นนี้? ได้ทราบว่า เมื่อก่อนเขา
    เคยเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนา บรรพชาคือบวชเป็นสงฆ์
    อุตล่าห์รักษาศีลอย่างหมดจดบริสุท ธ์ ร่างกายจึงแลดูผุดผ่องเช่นองค์พระพรหม
    แต่การที่ต้องมาเกิดเป็นเปรตมีปากเป็นหมูดูน่าชัง ก็เพราะว่าเขาเกิดความ
    ประมาทพลั้งพลาดกล่าวคำตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์ซื่งไม่มีโทษ ไม่มีผิด
    ด้วยความเขัาใจผิดอันเกิดจากอกุศลจิตตน กรรมจึงบันดาลให้เกิดผลเป็นเปรต
    เห็นประจักษ์อยู่อย่างนี้
    เปรตอีกฝูงหนึ่ง สรีระร่างกายงดงามน่าดูน่าชมราวกะเทพยดา แต่ว่าที่
    อวัยวะส่วนหน้าส่วนปากของเขานั้น ส่งกลิ่นเหม็นเน่านักหนา มีหนอนมาก
    หลาย ไต่ยั้วเยี้ยเจาะกินปากกินนัยน์ตาของเขาอยู่เนืองนิตย์ ที่เป็นเช่นนี้
    เพราะชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์ มีศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา อุตสาหะ
    รักษาศีล จึงปรากฏมีร่างกายงดงาม แต่การที่ปากเหม็นเน่า มีหนอนออกบ่อน
    กินปากเขานั้น ก็เพราะอกุศลกรรมวจีทุจริต ประพฤติผิดทางวาจาด่าว่า
    พระสงฆ์สามเณรเจ้ากูผู้ทรงศีลเป็นอุดมเพศ เหตุทรงไว้ซึ่งเพศอันประเสร ิฐ
    สูงสุด อกุศลกรรมจึงฉุดกระชากลากเขาใหัถือกำเนิดเป็นเปรตเลวยกรรมอยู่
    อย่างนี้
    เปรตอีกฝูงหนึ่ง เป็นเปรตเพศหญิง แม้เสื้อผ้าสักชิ้นหนึ่งก็ไม่มีพันกาย
    และมีตัวตนส่งกลิ่นเหม็นนัก ทั่วสรรพางค์กายมีแมลงวันไต่ตอมอยู่หนาแน่น
    ผอมโซหาเนื้อหาเลือดในร่างกายไม่มีเลยมีแต่หนังและเอ็นพอกกระดูกอยู่เท่านั้น
    เปรตเหล่านี้ได้รับความอดอยากหนักหนา หาสิ่งใดจะกินเข้าไปไม่ได้เลย
    ต่อนานๆ เมื่อหิวโหยสุดขีดแล้ว จึงคลอดลูกกรรมลูกเวรออกมาสักตัวหนึ่ง
    แล้วก็ฉีกเนื้อลูกของตนนั้นเคี้ยวกิน มีชีวิตเป็นเปรตแสนทุเรศอยู่อย่างนี้ เป็น
    เวลาหลายพันหลายหมื่นปี
    ที่ต้องมาเสวยกรรมเป็นเปรตน่าทุเรศอย่างนี้ ก็เพราะว่าในชาติก่อน เมื่อ
    เขายังเป็นมนุษย์ ได้ให้ยาแก่หญิงมีครรภ์ทำลูกของเขาให้ตกจากครรภ์ มีจิตใจ
    ประกอบด้วยอกุศล ไร้ความปรานีต่อสัตว์ที่เกิดในครรภ์ ประกอบกรรมทำเข็ญ
    อันเป็นบาปชั่วช้าลามก ใจสกปรกด้วยโลภเจตนา หวังจะได้ทรัพย์สินซึ่งเป็น
    ค่าจ้างเพียงเล็กน้อย ไม่คำนึงถึงบาปกรรมภายหน้าจะมาถึงตนอย่างไร ในไม่
    ช้าพอสิ้นชีวิต ก็ต้องลงมาเกิดเป็นเปรต ทนทุกขเวทนา มีกายน่าสังเวชสลดใจ
    ไม่มีสิ่งใดจะรับประทาน ต้องหิวโหยอดอยาก ผอมโซนักหนา จนต้องกินลูกของ
    ตนเองในเปรตวิสัยนี้ ด้วยอกุศลกรรมที่ทำมาแต่ปางบรรพ์
    เปรตบางจำพวกนั้น ไม่มีรูปร่างเหมือนสัตว์ที่มีชีวิตทั่วไป แต่มีรูปร่าง
    เหมือนกับก้อนเนื้อก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเท่านั้น! กองอยู่เป็นหย่อมๆ มีฝูงแร้งกา
    และนกตะกรุมซื่งมีอยู่ในโลกเปรตพากันจิกทึ้งกินอยู่อย่างวุ่นวาย ก้อนเนื้อ
    เปรตนั้นก็ได้แต่ร้องโอดโอยครวญครางด้วยความเจ็บปวด เพราะฝีปากของนก
    เปรตทั้งหลายที่พากันจิกทึ้งอย่างไม่ปรานี
    เหตุไฉนจึงต้องมาเกิดเป็นเปรตก้อนเนื้ออยู่อย่างนี้ ? ได้ทราบว่า เปรตพวกนี้
    เมื่อชาติก่อนเป็นมนุษย์ มีใจไม่บริสุทธิ์ละอาด ปราศจากความกลัวบาป คิดจะ
    ได้ลาภด้วยการประกอบอาชีพอันไม่ชอบธรรม กระทำปาณาติบาตกรรม ทำ
    การฆ่าโคและสัตว์แลัวแล่เนื้อออกเป็นชิ้น ๆ ขายแก่คนทั้งหลาย เป็นอาชีพ
    ประจำ ครั้นสิ้นชีวิตดับจิตในชาตินั้น ก็พลันลงไปเกิดเป็นสัตว์นรกสิ้นกาล
    ช้านาน พอพ้นจากนรกแล้วกรรมยังไม่สิ้น จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตก้อนเนื้อ
    ให้ฝูงแร้งกาและนกตะกรุมเฝัารุมล้อมจิกทึ้งอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม
    เปรตบางจำพวก มีรูปร่างและการเสวยกรรมอย่างแปลกพิลึก คือ มีร่าง
    กายน่าเกลียดน่ากลัว ล่องลอยไปมาในอากาศดัวยเปรตวิสัย ไม่ได้อยู่กับที่ มี
    ร่างใหญ่ บางตนมีขนเป็นหอก บางตนมีขนเป็นธนูหน้าไม้ บางตนมีขนเป็นปืน
    ขณะที่ลอยลมไปมาบนอากาศนั้น บรรดาขนเปรตที่เป็นหอก หนาไม้ ปืน ซึ่ง
    ติดร่องแร่งอยู่เต็มร่างของเขานั้น ก็มีอันเป็นหลุดกระเด็นไปโดยแรง แลัวก็กลับ
    มาประทุษร้ายตัวเขา เปรตตนที่มีขนเป็นหอกๆ นั้นก็กลับมาแทงเอาอย่างแรง
    ทุกๆ ขนหอก ขนที่เป็นธนูหน้าไม้ ครั้นกระเด็นออกไปแลัวก็กลับมีลูกเสร็จ
    เรียบร้อยแล้วยิงมาถูกตัองตัวเขาให้ได้รับความเจ็บปวดแม้เปรตตนที่มีขนเป็นปืน
    ครั้นขนปืนทั้งหลายเหล่านั้นกระเด็นไปแล้ว ก็กลับมีลูกยิงมาถูกต้องตัวเขาสุด
    ที่จะนับแผลที่ถูกยิงได้ เพราะขนในกายของเขามีเท่าใดก็กลายเป็นปืนยิงมา
    เท่านั้น อย่างนี้จะนับแผลที่ถูกยิงได้ อย่างไรเล่า เปรตทั้งหลายเหล่านั้น ครั้นถูก
    ขนจัญไรของตนประทุษร้ายเอาเช่นนี้แล้ว ก็ได้แต่ร้องครวญูครางด้วยความ
    เจ็บปวดเหลือทน ต้องเป็นอยู่อย่างนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสิ้นกาลช้านาน
    ได้ทราบมาว่า เปรตเหล่านั้น แต่ก่อนครั้งเป็นมนุษย์ ความโลภฉุดให้ทำ
    อกุศลกรรมที่หยาบช้า ทำปาณาติบาตเป็นพรานไพร คว้าได้หอก ได้ธนูหน้าไม้
    หรือได้ปืน ก็มุ่งเข้าลู่ป่าเที่ยวล่าเนื้อถึกมฤคีตามแต่จะได้ แล้วนำมาเลี้ยงดูกัน
    ขยันทำแต่บาปอยู่ทุกวันเวลา เมื่อถึงมรณาอาสัญกรรมตามทัน จึงต้องไปเกิด
    ในนรกเป็นเวลาช้านาน พ้นจากนรกแล้วเศษบาปยังมี จึงต้องมาเกิดเป็นเปรต
    จำพวกดังกล่าวมาน
    เปรตบางจำพวก เขามีรูปร่างน่าทุเรศ เป็นเปรตชายมีอัณฑะขนาดใหญ่
    เท่าหม้อเท่าไหเมื่อเขาเดินไป ต้องแบกลูกอัณฑะของเขาใส่บ่าแล้วเดินไป เมื่อ
    เวลานั่ง ก็ต้องนั่งทับลูกอัณฑะ ดูน่าสงสารเป็นหนักหนา มีฝูงแร้งกาพากันตาม
    จิกทึ้งเป็นกลุ่ม ๆ เขาก็ได้แต่ร้องทุรนทุรายศรวญครางดัวยความเจ็บปวด
    ทรมาน เหลือที่จะพรรณนา
    ได้ทราบว่า เปรตเหล่านี้ เมื่อชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์ เป็นคนมีวิชาความรู้
    ตั้งอยู่ ในตำแหน่งผู้พิพากษาตัดสินความ แต่เขาปราศจากหิริโอตตัปปะ ถูก
    ความโลภเข้าครอบงำ ทำให้ใจไขว้เขววิปริตเอนเอียง ตัดสินความผิดธรรม รับ
    สินบนในที่ลับแล้ว เมื่อตัดสินความในที่แจ้งในตำแหน่งวินิจฉัย ก็ให้ชนะที่ตน
    รับสินบนเขาไว้เป็นคนชนะ ส่วนชนที่ควรชนะก็กลับตัดสินให้แพ้ แต่ประพฤติ
    กรรมอันทำลายความยุติธรรมของโลกตลอดกาลนาน จะได้มีหิริโอตตัปปะบ้าง
    ก็ไม่มีเลย ด้วยมาคิดเสียว่าผู้ใดใครผู้หนึ่งจักล่วงรู้กรรมในที่ลับของตนก็หามิได้
    ประมาทมัวเมาอยู่อย่างนี้ ครั้นสิ้นชีวิตจึงต้องไปถือกำเนิดเป็นสัตว์นรกตลอด
    กาลนาน ครั้นพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมีอยู่ จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตมี
    สรีระร่างน่าทุเรศเห็นปานนี้
    เปรตบางจำพวกมีเพศน่าอัศจรรย์ คือ มีเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธ
    ศาสนา ทรงผ้าสังฆาฏิ จีวรบาตร ประคดเอว อัฐบริขารต่างๆ ครบบริบูรณ์
    เมื่อแลดูไปในไม่ช้า ก็ปรากฏว่ามีไฟลุกขึ้นท่วมหัวไหม้เปรตเหล่านั้นพร้อมทั้ง
    บาตร จีวรอัฐบริขาร ให้เหลือแต่เถ้าถ่าน ในไม่ช้าก็กลับปราฏมีรูปร่างเหมือน
    อย่างเดิมอีก เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำซาก ไม่ว่าจะเคลื่อนกายไปที่ไหน เขาย่อมถูกไฟ
    ไหม้ อยู่ทุกสถานที่ อยู่บนภาคพื้นก็ถูกไฟไหม ที่ภาคพื้น เหาะลอยหนีไปบน
    อากาศ ถูกไฟไหม้บนอากาศอยู่แดงฉาน ต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้น
    กรรม
    ทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้ ? ได้ทราบมาว่า ผู้เป็นผี
    เปรตเหล่านี้ เมื่อชาติก่อนโชคดี ได้มีโอกาสเข้ามาบวชในพระบวรพุทธศาสนา
    แต่ถูกโลภเจตนาเข้าครอบงำ ทำให้ปัญญาจักษุมืดมัว มองไม่เห็นคุณค่าอัน
    ประเสริฐของพระพุทธศาสนา ตั้งหน้าแต่จะได้ลาภลักการะถ่ายเดียว ท่องเที่ยว
    ไปในแว่นแคว้นด้วยศีลไม่บริสุทธิ์ ประพฤติตนดุจบวชมาเพื่อทำลายล้าง หรือ
    เป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนาโดยการทรงไวัซึ่งเพศภิกษุสามเณร ไม่สำรวมกาย
    วาจา รู้ว่าตนเป็นผู้ มีศีลไม่บริสุทธิ์แล้วก็ยังไม่สละคืน กลับประพฤติย่ำยี
    ล่วงเกินอาบัติน้อยใหญ่ ไร้ยางอาย ประหนึ่งคนบ้าใบ้โมหจริต ประพฤติผิด
    เพราะดูแคลนพระพุทธบัญญัติ ไม่กระทำตามพระโอวาทานุสาสนี มีแต่จะเที่ยว
    หลอกลวงชาวบ้านชาวแว่นแคว้น กอบโกยเอาลาภสักการะมาสุดแต่จะได้
    ไม่เห็นภัยในวัฏสงสารสมกับนามว่าเป็นภิกษุ เมื่อตนเป็นอลัชชี มีศีลไม่บริสุทธิ์
    ไร้ ยางอาย ครองเพศอันอุดมเป็นภิกษุหลอกลวงบริโภคอาหารลาภสักการะของ
    ชาวแว่นแคว้นอยู่เช่นนี้ ครั้นถึงแก่มรณภาพตายไป จึงต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก
    เสวยกรรมอยู่สิ้นกาลนาน พ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมี ถึงมาเกิดเป็นเปรต
    ถูกไฟไหม้อยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรม
    เปรตบางจำพวก มีรูปร่างแปลกประหลาด คือ รูปร่างใหญ่โตบึกบึนแต่
    ปราศจากศีรษะ เป็นเปรตหัวขาด มีจักษุและปากอยู่ที่หน้าอก แลดูน่าเกลียด
    น่ากลัวยิ่งนัก ยืนทะมึนเฉยอยู่ไม่พูดไม่จา มีฝูงแร้งกาที่บินมาเกาะตามเนึ้อ
    ตามตัวแล้วจิกเจาะอวัยวะต่าง ๆ ของเขากินเป็นกลุ่ม ๆ เขาก็ได้แต่โองไห้ทุรน
    ทุรายด้วยความเจ็บปวตทั้งกายใจ ไม่อาจที่จะประหัตประหาร หรือขับไล่ฝูง
    แร้งกาที่มาประทุษร้ายเขาได้ เพราะสัตว์เปรตเหล่านั้น มันเกิดแต่กรรมของ
    เขาเอง
    เขาทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตเสวยกรรมเช่นนี้? ได้ทราบว่า
    ในชาติก่อนเขาเป็นคนที่ไม่รู้ ธรรมะ จึงเห็นแก่สินจ้าง กระทำปาณาติบาตเป็น
    เพชฌฆาตตัดคอคนหรือรับสินจ้างสินบนฆ่าคนใหัตายไปตามคำสั่งของนายจ้าง
    สุดแต่ว่าเขาจะสั่งให้ฆ่าใคร อกุศลจึงนำไปเกิดในนรกสิ้นกาลช้านานแล้วมา
    บังเกิดเป็นเปรต เสวยกรรมอยู่อย่างนี
    ยังมีเปรตอีกฝูงหนึ่ง มีร่างสูงยิ่งนัก แลดูเหมือนกับต้นตาลต้นมะพร้าว
    ผมเผ้าหยาบกระด้างยาวเหยียด มีกลิ่นเนื้อตัวเหม็นลาบเหม็นสาง ตลอดร่าง
    จะหาที่น่าดูน่าชมมิได้เลย เขามีความอดอยากหิวโหยเหลือประมาณ แม้ข้าว
    สักเม็ดหนึ่งก็ดี น้ำลักหยดหนึ่งก็ดี ที่จะได้ตกถึงท้องเป็นไม่มีเลย นับเป็นเวลา
    หลายแสนหลายล้านปี มีแต่จะเสวยทุกข์อันเกิดจากความหิวโหยอิดโรยอยู่
    อย่างนั้น
    การที่ต้องมาเป็นเปรตอดอยากอยู่อย่างนี้ ก็เพราะในกาลก่อน เขาเกิด
    เป็นมนุษย์สุดจะตระหนี่เหนียวแน่นนักแล มีแต่จะตั้งหน้ากอบโกยเอาทรัพย์สิน
    มาเป็นของตนถ่ายเดียว ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ขอแต่ให้ตนได้มาก็แล้วกัน
    ด้วยเขานั้นมีใจโลภเหลือประมาณ มิได้ ทำทานด้วยตนเลย ครั้นเห็นคนอื่นเขา
    ให้ทานก็คอยห้ามคอยปรามว่า เป็นการกระทำที่หาประโยชน์บ่มิได้ ด้วยนิสัย
    ชั่ว ตัวเขาประกอบไปด้วยความโลภสลักจิตเช่นนี้ จึงเกิดมาเป็นเปรตอดอยาก
    หิวโหยดังกล่าวแล้ว
    ยังมีเปรตอีกฝูงหนึ่ง มีร่างกายน่าเกลียดน่ากลัว ตัวเขามิได้ทำอะไรอื่นเลย
    มีแต่เอาค้อนเหล็กลุกแดงด้วยเปลวไฟ เฝ้าตีกระหน่ำลงไปบนศีรษะของตนเอง
    ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่มีว่างเว้นแต่ลักเพลา
    ที่ต้องมาเสวยกรรมเช่นนี้ ก็เพราะเมื่อเขามีชีวิตเป็นมนุษย์ เขาเป็นคน
    พาลสันดานร้าย ประกอบด้วยโทสจริต ลืมคิดถึงคุณแห่งพ่อแม่ แต่พอตนโกรธ
    ขึ้นมาก็ยับยั้งไม่ได้ จึงเอาไม้เอามือตบตีหัวบิดามารดา ด วยอกุศลกรรมทำบาป
    ต่อบุพการีชนเช่นนี้ พอสิ้นชีวิตลง จึงมาเกิดกลายเป็นเปรตบ้า ก้มหน้าก้มตา
    อยู่แต่จะเอาค้อนเหล็กแดง ประหัตประหารศีรษะตนเองอยู่เป็นนิตย์ ด้วยฤทธิ์
    แห่งอกุศลกรรมชักนำให้เป็นไป ต้องใช้ กรรมอยู่นานนักหนา
    ฉะนั้น ผู้มีปัญญาเห็นทุกข์โทษในอบายภูมิ จึงไม่ควรประมาทในกรรมชั่ว
    ขึ้นชื่อว่าบาปธรรมกรรมชั่ว แม้จะมีประมาณน้อย บางทีก็เป็นสนิมในใจ คอย
    ขัดขวางไม่ให้ทำความดีอันสูงยิ่งๆ ขึ้นไปได้ มิหนำซ้ำยังนำไปสู่อบายภูมิได้
    ง่ายพึงเห็นอุทาหรณ์ดังเรื่องต่อไปนี้

    สูกรเปรต
    สมัยศาสนาองค์สมเด็จพระโลกเชษฐ์พุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ นั้น
    มนุษย์เรามีอายุยืนประมาณสองหมื่นปี ก็มีคนบวชเป็นภิกษุสามเณรเหมือนกับ
    กาลทุกวันนี้ คราทีนั้น มีภิกษุ ๒ รูปอยู่ด้วยกัน ณ วัดใกล้ป่าแห่งหนึ่ง รูปอาวุโส
    มี พรรษา ๖๐ อีกรูปหนึ่งมีพรรษา ๕๙ พระคุณเจ้าทั้งสองมีความรักใคร่สนิท
    สนมดุจพี่น้องคลานตามกันมา ภิกษุผู้อ่อนกว่า ท่านมีสัมมาคารวะเอาใจใส่
    ปฏิบัติพระเถระประดุจเช่นตนเป็นสามเณร ฝ่ายพระเถรเจ้าก็มีใจเฝ้าห่วงใย
    เอาใจใส่ให้ โอวาทภิกษุผู้ด้อยอาวุโลกว่าอยู่เนืองนิตย์
    เมื่อถึงคราวจะวิปริตอาเพศ ก็บังเอิญให้มีพระนักเทศน์เข้ามาในอาวาสนั้น
    แล้วเสกสรรปั้นแต่งวาจากล่าวเปสุญญวาท ให้พระคุณเจ้าทั้งสองแตกกัน เมื่อ
    แตกกันแล้ว ต่างองค์ต่างก็คว้าเอาบาตรเอาจีวรของตน ออกไปจากอาวาสนั้น
    คนละทิศ พระธรรมกถึกก็ยึดอาวาสอยู่สบายตามลำพังแต่องค์เดียว หาได้
    เฉลียวใจถึงบาปกรรมที่ตนกล่าวยุยงส่อเสียดให้พระสงฆ์แตกกันแม้แต่น้อยไม่
    หนึ่งร้อยปีผ่านไป พระเถรเจ้าทั้งสองที่ถูกยุยงให้แตกกันนั้น มาพบกันเข้า
    ในอาวาสแห่งหนึ่ง เมื่อต่างก็ปรับความเข้าใจกันดีแล้ว จึงได้ทราบว่า การที่
    ตนหลงขัดใจกันถึงกับต้องออกจากอาวาสด้วยความเสียใจนั้น เป็นแผนการ
    ของพระธรรมกถึกผู้ลามก ใจสกปรกคิดจะยึดเอาอาวาสนั้นเป็นที่อยู่ของตน
    เมื่อรู้แน่แก่ใจเช่นนี้ พระคุณเจ้าทั้งสองจึงพากันกลับมายังอาวาสเก่าเพื่อจักดู
    หน้าพระธรรมกถึกผู้เปสุญญูวาท พอพระธรรมกถึกซึ่งบัดนี้ ได้กลายเป็นเจ้า
    อาวาสไปแล้ว ได้ทราบว่า พระคุณเจ้าทั้งสองกลับกลมเกลียวคืนดีเหมือน
    อย่างเดิม และกำลังกลับมา จึงเกิดความละอายอยู่วัดนั้นไม่ได้ ต้องเข้าป่าไป
    ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณธรรม
    แต่อุตส่าห์ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่านานนักหนา ก็ไม่อาจจะยัง
    คุณพิเศษใหับังเกิดขึ้นได้เพราะจิตใจไม่สงบ ความชั่วผิดในครั้งนั้นติดอยู่ในห้วง
    ความคิด ออกฤทธิ์เป็นนิวรณ์คอยกางกั้นไม่ใหัคุณธรรมเบึ้องสูงเกิดขึ้นได้
    หมื่นกว่าปีผ่านไป ท่านก็แตกกายทำลายขันธ์ถึงแก่มรณภาพ อกุศลกรรมเพียง
    เปสุญญวาท กล่าวส่อเสียดยุยงให้พระสงฆ์โกรธกัน ซึ่งถ้าดูด้วยสายตาสามัญ
    ก็น่าจะเป็นบาปเล็กน้อย แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะบันดาลใหัพระธรรมกถึกรูป
    นั้น ไปเกิดในอเวจีมหานรก ถูกไฟนรกไหม อยู่สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ถึงบัดนี้ เศษ
    บาปยังไม่หมด จึงมาบังเกิดเป็นเปรต มีเพศแปลกประหลาด คือ สรีระร่างกาย
    ของเขาเหมือนอย่างมนุษย์ธรรมดา แต่ว่าส่วนหน้ากลายเป็นหมูมิหนำซ้ำยัง
    มีหางงอกออกมาจากปากเป็นกาวเพิ่มความน่าเกลียด น่าทุเรศให้ เกิดความ
    สังเวชแก่ผู้มาพบเห็ นมากยิ่งขึ้น ตลอดเวลามีหมู่หนอนทั้งหลาย ทั้งตัวเล็ก
    ตัวใหญ่ไต่เข้าไต่ออกอยู่แถวบริเวณช่องปากนั้น เขานั่งทรมานกายเพราะถูก
    หนอนบ่อนปากอยู่สิ้นกาลนาน
    เท่าที่เล่ามานี้ ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า อกุศลกรรมทุกชนิด อย่าได้ คิด
    ประมาทว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยเป็นอันขาดเพราะ อาจนำไปลู่อบายภูมิไดัทั้งนั้น
    ขอให้ ท่านทั้งหลายพึงทราบเหตุที่จะนำไปสู่อบายภูมิ ดังต่อไปนี้

    เหตุนำไปอบาย
    เหตุที่นำไปเกิดในอบายภูมินันก็คืออกุศลกรรมความชั่วทุกชนิด แต่เมื่อ
    แย กประเภทที่เป็นไปโดยส่วนมาก ก็ย่อมจะมีประเภท ดังนี้
    ๑. อกุศลกรรมที่กระทำด้วยโทสะ ย่อมนำไปบังเกิดในนิรยภูมิคือโลกนรก
    ๒. อกุศลกรรมที่กระทำด้วยโลภะ ย่อมนำไปบังเภิดในเปตติวิสยภูมิคือ
    โลกเปรตที่กำลังพูดถึงอยู่นี่ และนำไปบังเกิดในอสุรกายภูมิ
    ๓. อกุศลกรรมที่ทำด้วยโมหะ ย่อมนำไปบังเกิดในติรัจฉานภูมิ คือในโลก
    ของเดียรัจฉาน
    อกุศลกรรม ๓ ประการ คือ โลภะ โทละ โมหะ นี เป็นตัวนำให้ไปบังเกิด
    ในจตุราบายภูมิคืออบายภูมิทั้ง ๔ ความจริงเนื้อความนี้ ควรจะรอเอาไปกล่าว
    ไว้ในตอนหลัง แต่เห็นว่าการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้จบเป็นตอนๆ ไป นึกขึ้นได้
    ในตอนนี้ ก็เอามาแทรกใส่ไว้เสียเลย เพื่อจะได้ไม่ตกหล่นในภายหลัง

    เปรตในป่าลึก
    คนที่มีวาสนาชะตาเสีย ซึ่งมี่อันเป็นจะต้องมาเกิดในโลกเปรตนี้ โดยมาก
    เป็นเพราะบาปที่ทำด้วยโลภะเป็นเหตุดังกล่าวแล้ว คือ มีความโลภเป็นใหญ่
    มีความโลภเป็นเจ้าหัวใจ อยากได้จนลืมตัว ไม่นึกถึงบาป เหมือนกับเปรตใน
    ป่าลึก ซึ่งมีเรื่องเล่าไว้ในพระคัมภีร์ทางศาสนา ดังต่อไปนี้
    ยังมีพระภิกษุหลายรูปด้วยกัน จำพรรษาอยู่ในโลหนชนบท ณ ลังกาทวีป
    ครั้นออกพรรษาแลัว พระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นมีความประสงค์จะไปไหว้พระศรี-
    มหาโพธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาลัมพุทธเจ้าบรมครู จึง
    ชวนกันออกจากวัดเดินลัดรอนแรมมาด้วยศรัทธาเลื่อมใส
    เดินทางมาหลายวัน ก็บรรลุถึงป่าใหญ่เต็มไปด้วยแมกไม้ สิงสาราสัตว์
    ปราศจากผู้คน ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าป่าลึกเขัาไปทุกที ครั้นเหน็ดเหนื่อย จึงพากันนั่ง
    พักบนแผ่นหินใหญ่ซึ่งน่านั่งกว่าที่อื่น เพราะแลดูสะอาดปราศจากดิน นั่งพักอยู่
    ที่นั่นทั้งหมดหลายสิบรูปด้วยกัน
    พอหายเหนื่อยแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้าในการเดินทาง จึงลุก
    ขึ้นเดินตรวจดูไปมา เพราะนึกแปลกใจว่า เหตุไฉน แผ่นหินใหญ่จึงปรากฏมี
    ในกลางดินกลางป่า ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะมีภูเขาอยู ใกล้ ๆ เลย ครั้นเล็งแลดูด้วย
    ทิพยจักษุ พระผู้ เป็นเจัาก็รู้ว่า แผ่นหินใหญ่ที่ท่านนั่งพรัอมกับพระหลายสิบรูป
    ดัวยกันนั้น ไม่ใช่แผ่นหินโดยธรรมชาติ ที่แท้เป็นสัตว์เปรตตนหนึ่งซึ่งเวรกรรม
    ชักนำให้มาเป็นเปรตรูปร่างอย่างนี้ จึงมีเถรวาทีถามว่า
    "ดูกรเปรต! ท่านทำกรรมอะไรไว้ในชาติปางก่อน จึงต้องมารับกรรมอัน
    น่าสังเวชเห็นปานนี้ "
    เปรตนั้นจึงตอบพระเถรเจ้าด้วยความเศร้าว่า
    ข้าแต่ท่านผู เจริญเมื่อข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ในครั้งศาสนาของพระบรมครู
    กัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้ามีความประมาท ได้ประพฤติย่ำยีทำลายที่นา
    ซึ่งผู้มีศรัทธาอุทิศเป็นที่กัลปนาถวายแก่วัดแห่งหนื่งให้ ฉิบหาย โดยมาคิดเสียว่า
    กรรมชั่วเพียงเล็กน้อยไม่เป็นไร ครั้นตายลงก็มาเกิดเป็นเปรตอย่างที่พระคุณ
    เจ้าเห็นอยู่นี่แหละ ข้าพเจ้าต้องอดข้าวอดน้ำ มีร่างเป็นหินนอนอยู่กับดิน เป็น
    เช่นนี้มาหลายหมื่นปีแล้วนะ พระผู้เป็นเจ้า" เปรตผู้น่าสงสารเว้นระยะนิดหนึ่ง
    แล้วกล่าวต่อไปว่า
    "ขอพระคุณเจ้า จงได้โปรดเมตตาบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า อย่าจงเอา
    เยี่ยงอย่างข้าพเจ้า จงอย่าได้ประมาทในบาป จงอุตส่าห์ทำบุญทำทาน ขึ้นชื่อว่า
    ของสงฆ์ของวัดแล้ว อย่าได้ ประมาทเป็นอันขาด เพราะจะเป็นทางนำไปสู่นรก
    และต้องมาเสวยผลกรรมเช่นกับที่ข้าพเจ้ากำลังได้รับอยู่เวลานี้ และจะหมด
    เวรกรรมเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบเลย"
    พระภิกษุทั้งหลาย ได้ฟังวาจาของเปรตหินในป่าลึกก็ให้ รู้สึกสลดใจ
    แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร จึงพากันเดินทางต่อไปตามความตั้งใจเดิม คือ
    พระศรีมหาโพธิ สถานที่ตรัสรู้ขององค์พระบรมครูสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ยังมีเปรตในป่าลึกอีกตนหนึ่ง มีสภาพความเป็นอยู่น่าสงสาร และน่า
    กลุ้มใจแทนยิ่งนัก คือ เขามีร่างกายจมอยู่ในหินบนภูเขาในป่าลึกแห่งหนึ่ง
    ครึ่งตัว ปรากฏรูปร่างคล้ายมนุษย์เพียงส่วนบนเท่านั้น เขาทนทุกขเวทนา
    อดข้าวอดน้ำ ตากแดดตากฝนเฉยอยู่อย่างนั้นไปไหนมาไหนไม่ได้ เป็นเวลา
    นานนับไม่ถ้วนจำนวนเดือนปี
    คราวหนึ่ง มีพระภิกษุหลายรูปหลงทางเข้าไปในป่าเขาแห่งนั้น วนเวียน
    ไปมาถึง ๗ วัน ก็ยังหาทางออกไม่ได้ ต่างรูปต่างก็ได้ รับความหิวโหยเป็นกำลัง
    แล้วมาพบเปรตตนนั้นเข้าโดยบังเอิญ ทีแรกก็เข้าใจว่าเป็นคนมายืนอยู่ ต่างก็
    พากันดีใจว่า เรามาพบคนเข้าแล้ว จักได้ถามหนทางว่าทางออกจากป่าไปทาง
    ไหน? ไม่ทันพิจารณา พากันเข้าไปหา แล้วก็ร้องถามขึ้น
    "ดูกรประสก หนทางทีจักไปเมืองโน้น ไปทางไหน พวกเราหลงทางมา
    ๖-๗ วัน แย่เต็มที ไม่เห็นมีทางออกเลย ช่วยบอกหน่อยเถิด
    เปรตตนนั้นจึงตอบว่า
    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! พวกท่านหลงทางอยู่ในป่าหิวโหยเพียง ๗ วัน ไม่สู้
    เท่าไหร่นัก แต่ข้าพเจ้าสิ ต้องอยู่ที่นี่ถึง ๔ พุทธันดร ข้าวสักเม็ด น้ำสักหยด
    ไม่ได้ตกถึงท้องเลย..."
    "พูดอะไรเช่นนั้นเล่า ประสก!" ภิกษุหูนื่งขัดขึ้นอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก
    นึกว่าเปรตนั้นพูดเล่น
    "จริง ๆ นะ พระคุณเจ้าทั้งหลาย" เปรตพูดต่อไป พระคุณเจ้าจงพิจารณา
    ให้ดี ข้าพเจ้านี้หาใช่คนไม่ แต่ข้าพเจ้าเป็นเปรต เปรตที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
    จมอยู่ในหินครึ่งตัว อดข้าวอดน้ำ ตากแดดตากลม อยู่อย่างนี้มาตลอด ๔
    พุทธันดรแล้ว"
    "ท่านทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเปรตน่าทุเรศอยู่นานนักหนาถึง
    เพียงนี้? "ภิกษุเหล่านั้นถาม
    เปรตจึงเล่าให้ฟังว่า
    "ในสมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์แรก ในภัทรกัปนี้ คือ องค์พระกกุ-
    สันโธพุทธเจ้านั้น ข้าพเจ้าเป็มนุษย์ชาวนา เขตนาของข้าพเจ้าอยู่ติดกับเขตนา
    ที่เขาอุทิศให้เป็นของสงฆ์ ข้าพเจ้าเป็นคนละโมบเห็นแก่ได้ ไม่นึกถึงว่าจะ
    เป็นบาปเป็นกรรม จึงได้ถอนเสาศิลาปักเลขหมายเขตแดนนาทั้ง ๒ เลย
    เลื่อนเข้าไปในฝั่งนาของสงฆ์ ชิงเอานา ของสงฆ์เข้ามาไว้ในเขตแดนของตนเพียง
    เล็กน้อย ไม่นึกเลยว่า บาปกรรมจะมี และเกิดผลทรมานหนักหนาเช่นที่
    ข้าพเจ้ากำลังได้รับอยู่นี่'' เปรตเว้นระยะนิดหนึ่งแล้ว ก็ยกมือขึ้นชี้บอกแก่
    พระภิกษุทั้งหลายว่า
    "โน่นแน่ะ หนทางไปเมืองที่พระคุณเจ้าต้องประสงค์จะไป" แล้วก็กล่าว
    ต่อไปว่า เมื่อพระคุณเจ้าไปแล้ว ขอจงได้โปรดเมตตาบอกแก่มนุษย์ทั้งหลาย
    ว่า อย่าเอาเยี่ยงอย่างข้าพเจ้า ข

    อรุณรัตน์:





    ๑๐. อชรคเปรต เปรตพวกนี้มีรูปร่างแปลกประหลาดแตกต่างกันคลัาย
    สัตว์เดียรัจฉานต่าง ๆ ในโลกนี้ เช่น บางเปรตมีรูปร่างเป็นงูเหลือม บางเปรต
    มีรูปร่างเป็นควาย เป็นเสือ เป็นม้า เป็นวัว เป็นไก่ เป็นหมา เป็นจระเข้ เป็น
    มนุษย์ มีรูปร่างต่างกัน แต่ก็ถูกไฟเผาไหม้ตลอดร่างกายอยู่ทั่วทุกตัวเปรตเช่น
    เดียวกัน ทั้งกลางวันกลางคืนไม่ว่างเว้น
    ได้ยินว่า ในชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์มีวิชาเก่งกล้าในการกระทำอันลึกลับ
    เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลมาเยือน ก็เข้าใจว่าเป็นยาจกมาขอทรัพย์ลมบึตของ
    ตน จึงด่าว่าเปรียบเปรยท่านเหล่านั้นเสมอด้วยสัตว์เดียรัจฉานต่าง ๆ โดย
    ประลงค์จะไม่ให้ทาน หรือมิฉะนั้นก็แกล้งหลอกหลอนด้วยวิชาการทางไสยอัน
    ลึกลับทำเป็นรูปงู รูปเลือ แกล้งให้ สะดุ้งกลัวตกใจหนีไป อกุศลกรรมจึงซัดให้มา
    บังเกิดเป็นเปรต ถือเพศเป็นสัตว์เดียรัจฉานต่าง ๆ ดังกล่าวมา
    ๑๑. มหิทธิกาเปรต เป็นเปรตมีฤทธิ์ และมีรูปงาม ปรากฏดุจเทพยดา แต่
    ว่าอดอยากหิวโหยอาหารยิ่งนัก ครั้นเที่ยวไปในลถานที่ต่างๆ พบเห็นมูตรคูถ
    แลของอสุจิสกปรกโสโครกต่างๆ ก็ดูดโอชะบริโภคเป็นอาหาร ด้วยวิบากกรรม
    ที่ตนทำไว้แต่ปางก่อน
    ได้ทราบมาว่า เปรตพวกนี้ ในชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์ บวชเป็นพระภิกษุ
    สามเณร พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์ จึงปรากฏมีรูปร่างผุดผ่องรุ่งเรือง
    ราวเทพยดา แต่ที่ต้องมาเป็นเปรตอดอาหาร กินมูตรคูถของอสุจิสกปรกต่างๆ
    ก็เพราะเขาเหล่านั้นได้ แต่รักษาศีลอย่างเดียว ไม่ได้บำเพ็ญธรรม มีใจเกียจ
    คร้านต่อการบำเพ็ญสมณธรรม ตามวิสัยแห่งบรรพชิตนักบวช จิตใจจึงมาก
    ไปด้วยโลภะ โทละ โมหะ กิเลสเหล่านี้มีอยู่ประจำจิตใจเขามิได้เบาบางลงไป
    เพราะเขามีความเข าใจผิดคิดเสียว่า "ตูบวชแล้ว รักษาแต่เพียงศีลก็พอ"
    เมื่อเป็นเช่นนี้ ครั้นมีลาภลักการะเกิดขึ้นแก่สงฆ์ เช่น กุฏิ วิหาร ที่อยู่อาศัย
    และบริขารเครื่องใช้ต่างๆ นานา ซึ่งทายกมีศรัทธาถวายเป็นของสงฆ์ ก็หวง
    ห้ามมิให้ภิกษุสามเณรอื่นบริโภค ด้วยโลภจิดซึ่งติดอยู่ในสันดานตน มิฉะนั้น
    เปรตเหล่านี้ บางตนเคยเป็นฆราวาสหวงห้ามที่พักอาศัย เช่น ศาลา โรงร้าน
    และศาลซึ่งบุคคลลร้างไว้เพื่อให้เป็นที่พักอาศัยสาธารณะแก่คนทั่วไป หวงห้าม
    ไม่ให้คนอื่นเข้าไปพักอาศัยด้วยจิตริษยา หรือหวงเอาไว้ เป็นของตนด้วยโลภ
    เจตนา โดยการกล่าวว่า "ตูเป็นคฤหัสถ์ผู้รักษาศีล ย่อมได้อยู่อาศัยในสถานที่นี่"
    แล้วก็ยึดเอาเป็นที่อยู่อาศัยของตนแต่ผู้เดียว ด้วยกรรมดีที่รักษาศีลบริสุทธิ์
    แต่ปนกับกรรมชั่วที่ปราศจากธรรม กรรมจึงชักนำให้ มาเกิดเป็นมหิทธิกา
    เปรตมีรูปงามดังเทพยดา แต่ยากไร้ หาอะไรจะบริโภคมิได้
    ๑๒. เวมานิกเปรต เปรตพวกนี้ที่ชื่อว่า เวมานิกเปรต ก็เพราะเหตุมีสมบัติ
    คือวิมานเป็นทองซึ่งเป็นของทิพย์ บางครั้งเลวยสุขราวเทพยดา บางคราวต้อง
    เสวยทุกข์ โดยสมควรแก่อกุศลกรรมที่ตนทำไว้ ผลัดเปลี่ยนกันไปตามกาละ
    เปรตประเภทนี้มีอยู่มากมาย
    ได้ทราบว่า เปรตเหล่านี้ชาติก่อนเป็นคนมีศรัทธา ก่อสร้างกองการกุศลไว้
    มากมาย แต่ไม่รักษาศีล ไม่รักษากายวาจาใหับริสุทธิ์ ครั้นตายลงจึงตรงมาเกิด
    เป็นเวมานิกเปรตนี้ หรือมิฉะนั้นเขาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้แต่รักษา
    ศีลอย่างเดียว แต่ไม่มีศรัทธาสร้างกองการกุศลอย่างอื่นเลย เพราะเ9Hมไปด้วย
    ความลังเลสงสัย เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างในบุญในบาป ถึงทำบุญรักษาศีลก็ทำอย่าง
    เสียไม่ได้ ทำโดยไม่ตั้งใจเลย ครั้นตายลงจึงตรงมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต พึงดู
    ตัวอย่างให้ แจ้งชัดดังต่อไปนี้

    เปรตมีวิมาน
    ยังมีเปรตตนหนึ่ง มีวิมานอยู่ดุจเทวดาในสวรรค์ ประดับด้วยอาภรณ์แล
    ดูงามหนักหนา แต่ว่าเขาอดอยากยากไร้เป็นอันมากหาอาหารจะกินไม่ได้
    ตลอดเวลาได้ แต่เอาเล็บมืออันคมกริบดุจมีดกรด ข่วนขูดเอาเนื้อและหนังของ
    ตนมากินต่างอาหาร เป็นอยู่อย่างนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก
    ได้ทราบว่า ชาติก่อน เปรตผู้นี้เป็นเจ้าเมืองมีใจกอบด้วยโลภเจตนา มัก
    กินสินจ้างสินบนของชาวราษฎร มิได้กครองเมืองโดยธรรม มุ่งหน้าแต่จะ
    กอบโกยทรัพย์สมบื่ตของประชาชนเอามาเป็นของตน การทำบุญการกุศลไม่
    เคยใฝ่ใจมาเป็นเวลานาน
    กาลวันหนึ่ง เป็นวันจำศีลอุโบสถ องค์พระราชาในประเทศนั้น ท้าวเธอ
    เป็นผู้มั่นในพระศาสนา จึงเรียกบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายมาประชุมในท้องพระโรง
    แล้วก็ตรัสถามไปทีละคนว่าใครเป็นคนจำศีลบ้าง เจ้าเมืองคนอื่นเขาเป็นคน
    จำศีลตามพระราชา ก็ทูลตอบว่า "ข้าพระบาทจำศีล พระเจ้าข้า" ดังนี้ ทุกคน
    ครั้นมาถึงลำดับเจ้าเมืองคนนั้น พระราชาจึงตรัสถามมันว่า "สูมึงจำศีลหรือมึง
    มิได้จำศีล" ก็แลเจ้าเมืองคนนั้นมันมิเคยจำศีลแต่ลักครั้งเลย แต่ว่าเกิดความ
    ละอายแก่คนทั้งหลาย ตลอดถึงองค์พระราชา มิรู้จะทำฉันใด ก็เลยกราบทูล
    ไปว่า "ข้าพระบาทได้จำศีล พระเจ้าข้า"
    คราทีนั้น ยังมีเกลอเขาคนหนึ่ง หมอบอยู่ข้างๆ รู้สันดานเขาดีว่า เจ้านี่
    มันมิจำศีล มิรู้ทำบุญ มิรู้บำเพ็ญธรรมแต่สักน้อย จึงเกลอผู้นั้นค่อยๆ สอบถาม
    เขาว่า "เกลอเอ๋ย! สูมึงจำศีลจริงหรือ? " เขาก็กระซิบบอกแก่เกลอผู้นั้นตาม
    ตรงว่า "กูมิได้จำศีล ครั้นกูจะว่าตามตรงไซร้ ก็จะได้ ความละอายแก่คนทั้งหลาย
    กูจึงกล่าวสับปลับไปว่า กูได้จำศีลแล" เจ้าเกลอนั้นจึงโอวาทอนุลาสน์ว่า
    "ผิว์ดังนั้นไซร้ ตั้งแต่เพลานี้ ไปจนตลอดคืน เกลอจงจำศีล ๘ อันมีนามว่า
    อุโบลถศีล อย่ากินข้าวเลย อดให้ถึงรุ่งขึ้น พอรุ่งเช้าจึงกินข้าว อย่างนี้ย่อมได้
    บุญูแก่เกลอ อนึ่ง เกลอก็ได้กราบทูลแก่ท่านว่า ได้ จำศีลแล้ว ผิว์ไม่กระทำดัง
    คำข้า ก็จะเป็นการอำพรางเจ้าอำพรางนาย" แล้วจึงลอนอุโบลถศีลใหัแก่เขา
    ซึ่งเขาก็เห็นชอบตามนั้น จึงต้องลมาทานศีลด้วยจำใจ เริ่มอดข้าวเพราะกลัว
    ศีลจะทำลายแต่บัดนั้นไป เหตุว่า เขามิเคยลมาทานศีลอุโบลถอดข้าวในยาม
    วิกาล ครั้ นมาอดข้าวเข าในเพลากลางคืน ก็เป็นลมตายในเทียงคืนนั้น
    แล้วมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต ได้วิมานทิพย์ และเครื่องประดับอลังการ
    สวยงามนักหนา เพราะอานิสงล์ผลบุญที่ตนเชื่อฟังคำเกลอผู้ ให้โอวาทสั่งสอน"
    ได้รักษาอุโบสถศีลจนกระทั่งดับจิตตายไป แต่ที่ต้องเป็นเปรตอดอยาก เอาเล็บ
    มือเล็บตีนข่วนเนื้อหนังของตนเองกิน ก็เพราะมันเป็นเจ้าเมืองมาก่อน แต่กิน
    สินจ้างสินบนมิได้บังคับความตามคลองธรรม แลไม่มีศรัทธาทำบุญทำทาน
    มาเลย
    ฝูงเปรตทั้งหลายในเปตโลก เท่าที่ได้พรรณนามามากมายตั้งแต่ต้น
    จนกระทั่งถึงขณะนี้ทุกจำพวก เป็นเปรตที่เกิดด้วยอำนาจอกุศลกรรมและ
    เศษบาปของตนเอง ต้องเสวยผลกรรมชั่วของตนไปจนกว่าจะสิ้นกรรม จะรับ
    ส่วนบุญูล่วนกุศลของใครไม่ได้ เพราะยังต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่ จิตใจยังไม่
    เลื่อมใสใคร จะรับส่วนบุญ ของใคร ถึงแม้หมู่ญาติจะใจดีทำบุญกรวดน้ำอุทิศ
    ให้ด้วยความเป็นห่วง จะทำใหญ่โตมโหฬารสักเท่าไรก็ตาม ก็ไม่สามารถจะ
    รับส่วนบุญนั้นได้ ต่อเมื่อได้สิ้นเวรกรรมที่ตนเสวยแล้ว มาเกิดเป็นเปรตอีก
    ประเภทหนึ่ง จึงจะคอยรับส่วนบุญูที่พวกญูาติมิตรอุทิศให้ได เปรตประเภทที่ว่า
    นี้ก็คือ ปรทัตตูปชีวีเปรต

    ปรทัตตูปชีวีเปรต
    เปรตพวกปรทัตตูปชีวีน เป็นเปรตจำพวกเดียวเท่านั้น ที่สามารถจะรับ
    ส่วนบุญกุศลที่พวกญาติแลมิตรอุทิศให้แต่มนุษยโลกนี้ เพราะเขามีอกุศลเบา
    บาง จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนกุศล โดยที่ตนมีความอยากข้าวน้ำเป็นกำลัง
    จึงท่องเที่ยวไปมา นึกถึงหมู่ญาติของตนว่าใครผู้ใดอยู่ที่ไหนบ้าง ครั้นนึกได้และ
    พบเจอแล้ว ก็คอยอยู่ใกล้ๆ คอยท่าอยู่ โดยหวังว่า "เมื่อใดญาดิของดูทำกุศล
    แล้วเขาคงอุทิศให้ดูบ้าง" ครั้นญาติผู้นั้นทำบุญกุศลแล้วแต่ลืมอุทิศให้ตน หรือ
    อุทิศให้แก่คนอื่นไม่อุทิศให้ตน เขาก็เดินวนไปมาหน้าเศร้าสร้อยด้วยความ
    ผิดหวังน้อยใจ ถึงกับล้มซบสลบลงด้วยความหิวโหยสุดประมาณ ได้แต่หวัง
    อยู่ว่า "ครั้งด่อไปเขาคงไม่ลืมดู เขาคงอุทิศให้ดูบ้าง" เป็นอยู่อย่างนี้นานแสน
    นาน บางทีก็สำเร็จสมประสงค์ บางทีก็ไม่ลมประสงค์ เพราะพวกญาติมิตร
    ของตนไม่เคยทำบุญทำกุศลโดยเหตุที่เป็นมิจฉาทิฐิชน หรือว่าทำบุญูกุศล
    แล้วหลงลืมเสีย ไม่อุทิศให้ ก็ยังไม่ได้อนุโมทนา ต้องรอคอยอยู่นานนักหนา
    ในกรณีนี้ มีเปรตตัวอย่างที่จะนำมาเล่าไว้ ดังต่อไปนี้

    เปรตคอยรับส่วนบุญ
    อดีตกาลนานมาแล้ว แต่ครั้งพระศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงพระนามว่า พระปุสสะบรมโลกนายกปรากฏขึ้นในโลก นับย้อนหลังตั้งแต่
    ภัทรกัปของเรานี้ไปได้ ๙๒ กัป ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารเกิดเป็นขุนคลัง รับจัด
    การถวายทานแด่พระสงฆ์ ซึ่งมีองค์พระปุสสะพุทธเจัาเป็นประมุข ตามพระ
    บัญชาของพระกุมารสามพระองค์ซึ่งเป็นนาย ขุนคลังนั้นครั้นรับหน้าที่ใหญ่ต้อง
    จัดการเลี้ยงพระสงฆ์มากมายทุกวัน จึงไปเรียกเอาญาติของตนหลายคนมา
    ช่วยทำงานในโรงครัว และช่วยเลี้ยงพระ คนพวกนี้มาทำงานตอนแรก ๆ ก็ดีอยู่
    แต่พอหลายวันผ่านไป ชักเกิดความประมาทขึ้น แอบบริโภคอาหารก่อน
    พระสงฆ์ บ้างแอบนำอาหารที่เขาทำไว้เพื่อถวายพระสงฆ์ไปให้บุตรภรรยาของ
    ตนที่บ้านบ้าง ทำอยู่เช่นน เป็นนิจเสมอมา ตามวิสัยของคนโลภ ครั้นถึงคราว
    ตาย พระราชกุมารทั้งสามกับขุนคลัง ก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์
    แต่ว่าพวกคนโลภเหล่านั้นต้องลงไปเกิดในนรกสิ้นกาลช้านาน ครั้นพ้นโทษ
    จากนรกแล้วจึงไปเกิดในเปรตวิสัย ครั้งสุดท้ายมาเกิดเป็น ปรทัตตูปชีวีเปรต
    คือ เปรตประเภทที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี่
    ปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนั้น ต้องหิวโหยอดอยากอยู่นาน เพราะไม่มีใคร
    ทำบุญอุทิศให้ ครั้นจำเนียรกาลล่วงมาถึงสมัยแห่งสมเด็จกกุสันโธสัมมาลัมพุทธ-
    เจ้า ซึ่งเป็นลมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์แรกในภัทรกัปนี้ ประชาชนทั้งหลาย
    ได้ ฟังเทศน์รู้ธรรมแล้วจึงก่อลร้างกองการกุศลทำบุญสุนทรทาน แล้วแผ่ส่วน
    กุศลราศีไปถึงญาติของตนๆ ในเปรตวิสัย เปรตทั้งหลายที่เป็นญาติของใคร
    ครั้น เขาแผ่ส่วนบุญไปให้ต่างก็ดีเนึ้อดีใจ ยกหัตถ์ขึ้นท่วมหัวอนุโมทนาสาธุการ
    ส่วนบุญ ก็พ้นจากเปรตวิสัยในโลกเปรต ไปเกิดในภูมิอื่นตามยถากรรม
    เบึ้องว่า เปรตทั้งหลายผู้เป็นญูาติของขุนคลัง ครั้นเห็นหมู่เพื่อนเปรตของ
    ตน ได้ส่วนบุญจากญาติพ้นทุกข์ไปตามๆ กันเช่นนั้น แต่ว่าตนไม่มีใครอุทิศให้
    ยังต้องเป็นเปรตอยู่ตามเดิม ก็มีความน้อยใจเสียใจอย่างสุดซึ้ง ในที่สุดถึงกับ
    พากันไปเฝ้าสมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่า "ข้าพระบาททั้งหลาย
    จักได้อาหาร และจักพันจากภาวะความเป็นเปรตนี้ เมื่อไหร่หนอพระเจ้าข้า"
    พระพุทธองค์จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
    "ในศาสนาของเรานี้ ท่านจักยังไม่พ้นก่อน ต่อเมื่อเรา
    ตถาคตนิพพานไปแล้ว นานแสนนาน แผ่นดินสูงขึ้น ๑
    โยชนุ์ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมน์ จักมาตรัสในโลก
    นี้ ขอท่านจงคอยเข้าไปถามพระโกนาคมน์นั้นเถิด"
    ครั้นศาสนาแห่งพระกกุสันโธเสื่อมสิ้นจากโลกนี้แล้ว พระพุทธเจ้า
    ทรงพระนามว่าพระโกนาคมน์ก็อุบัติขึ้นในโลก เปรตทั้งหลายเหล่านั้น จึงเข้าไป
    ทูลถาม พระองค์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
    "แม้ในศาสนาของเรานี้ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากเปรต
    วิสัยก่อน ต่อเมื่อเรานิพพานไปแล้ว แผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์
    พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสโป จักมาตรัสในโลกนี้ ขอให้
    ท่านทั้งหลายจงอดใจคอยถามพระกัสสโปนั้นเถิด "
    เปรตทั้ง หลายก็อดกลั้นเสียซึ่งความอยาก พยายามอดทนต่อความลำบาก
    หิวโหยอยู่ตลอดกาลนาน จนกระทั่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนาม
    ว่า กัลสโป เสด็จอุบัติตรัสในโลกนี้ จึงพากันเข้าไปทูลถาม พระองค์จึงทรงมี
    พระมหากรุณาตรัลบอกว่า
    "แม้ในศาสนาของเรานี้ ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจาก
    เปรตวิสัย ยังไม่ได้รับส่วนบุญ ต่อเมื่อเราเข้าสู่นิพพานแล้ว
    แผ่นดินสูงขึ้นได้ ๑ โยชน์ จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
    ทรงพระนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดมบรมโลกุตมาจารย์ มา
    ตรัสในโลกในกาลครั้งนั้น จักมีขัตติยาธิบดีผู้เป็นฌาติเก่าของ
    ท่านทั้งหลาย พระนามว่าพระเจ้าพิมพิสาร จะถวายทาน
    แล้วอุทิศส่วนกุศลแผ่บุญให้แก่ท่าน พวกท่านจึงจะพ้นจาก
    เปรตวิสัย และจักได้บริโภคอาหารในกาลครั้งนั้น"
    ครั้นสมเด็จพระกัสสปทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้
    เปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ดีเนื้อดีใจราวกะว่าตนจะได้ในวัน
    พรุ่งนี้ ยับยั้งอยู่พุทธันดรหนึ่ง ครั้นถึงพุทธุปบาทกาลนี้ สมเด็จพระศรี
    ศากยมุนี โคดมบรมครูของเรามาตรัสในโลก โปรดพระเจ้าพิมพิลารให้ได้สำเร็จ
    พระโสดาปัตติผล ตั้งอยู่ในอจลศรัทธา มีความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระรัตน-
    ตรัยแล้ว ท้าวเธอจ็งทรงจัดแจงเครื่องบิณฑบาตถวายแด่พระพุทธองค์พร้อม
    กับพระสงฆ์แลัวก็หาได้ทรงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไม่ ด้วยว่าองค์ขัตติยาบดีมี
    พระทัยวุ่นวายไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ทรงครุ่นคิดอยู่แต่ว่า จะก่อสร้าง
    คันธกุฎีถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างไร เป็นเหตุให้ทรงลืมแผ่ส่วนพระราช
    กุศล
    ปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนั้นรอตั้งนานแล้วเพราะพระพุทธดำรัสพระ
    กัสสปสัมพุทธเจ้า ยังก้องอยู่ในโสตแห่งตนว่าจักพ้นเปรตวิสัยได้บริโภคข้าวปลา
    อาหาร ในสมัยที่พระเจ้าพิมพิสารทำกุศลทานในศาสนาของพระสมณโคดมของ
    เรานี้ จึงต่างก็หวังอยู่เต็มที่ ดีเนื้อดีใจว่า เวลาวันนี้จักได้ส่วนบุญู จงพากันมา
    คอยอยู่รอบพระราชนิเวศน์ เพื่อจะคอยอนุโมทนาส่วนกุศล ครั้นเห็นพระองค์
    ทรงเฉย ไม่อุทิศให้แต่ประการใดก็เศรัาใจยิ่งนัก ผิดหวังไม่สมความคิดที่รอ
    มานานนักหนา จึงในเวลากลางคืน ไดัพากันรัองโอดโอย สำแดงอาการหิวโหย
    ด้วยลำเนียงเปรต แหลมเล็กวิเวกวังเวงจับขั้วหัวใจ เมื้อพระเจ้าพิมพิสารได้
    สดับเสียงเปรต ก็ทรงสะดุ้งจิตตกพระทัยเป็นกำลัง รุ่งเชัาจึงทูลถามพระผู้มี
    พระภาคเจ้าว่า "ข้าพระบาทได้ลดับเสียงอันพิลึกดังนี้ เหตผลจะมีดังฤๅ"
    พระพุทธองค์จึงทรงชี้แจงว่า "ดูกรบพิตรพระราชสมภาร! อย่าได้ทรง
    กลัวเลย ลามกอันใดอันหนึ่งจะได้ บังเกิดมีแก่พระองค์นั้นหามิได้ สำเนียงที่
    ทรงสดับนั้นเป็นเสียงแห่งฝูงเปรตผู้เป็นญาติของพระองค์ ไดัรับความลำบาก
    อดอยากมาช้านาน มาคอยรับส่วนกุศลซึ่งบพิตรพระราชสมภารบำเพ็ญแล้ว
    อุทิศให้ ครั้นมิได้ รับส่วนกุศลดั่งตนปรารถนา จืงมาร้องทวงเอาด้วยเสียงอันดัง"
    ครั้นได้ ทรงสดับพระพุทธฎีกาดังนี้ องค์ขัตติยาธิบดีจึงทูลเกล้าฯถวายน้ำ
    ทักขิโณทกแล้ว ทรงอุทิศล่วนพระราชกุศลราศีว่า
    อทํ โน ญาตีนํ โหตุ
    ขอผลทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าด้วยเถิด
    สระโบกขรณีเดียรดาษด้วยปทุมชาติทั้งหลายก็ปรากฏเกิดขึ้นแก่เหล่าเปรต
    ในขณะมาตรว่าพระองค์ออกพระโอษฐ์อุทิศจบลง เปรตทั้งหลายต่างก็ดีใจพา
    กันลงอาบดื่มกินน้ำในสระโบกขรณี สรีระเนื้อตัวมีสีดังทอง ความหิวกระหาย
    ระงับไปหมดสิ้น สมเด็จพระภูมินทร์จึงถวายข้าวยาคู ข้าวสวยและสรรพาหาร
    แล้วทรงอุทิศ ส่วนกุศลให้ โภชนาหารทิพย์ก็บังเกิดแก่เปรตทั้งหลาย ต่อมา เมื่อ
    ขัตติยาธิบดีถวายผ้าเสนาสนะคันธกุฎีแล้วอุทิศให้ ผ้าทิพย์แลวิมานก็บังเกิดขึ้น
    แก่เขา ตามจำนวนวัตถุทานที่ทรงอุทิศ เมื่อได้อนุโมทนาด้วยกุศลจิต เกิดเป็น
    ปัตตานุโมทนามัยกุศล คือ บุญกุศลอันเกิดจากการอนุโมทนา ส่วนบุญ ที่คนอื่น
    ทำแล้วอุทิศให้ตน เปรตทั้งหลายก็พ้นจากเปตวิสัยภูมิโลกเปรต เปลี่ยนเพศไป
    บังเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์
    ที่นำเรื่องนี้มาพรรณนาไว้ ก็เพื่อจะชี ให้เห็นว่า ในบรรดาเปรตทั้งหลายนั้น
    เปรตพวกอื่นไม่สามารถที่จะรับส่วนบุญกุศลที่พวกญาติมิตรทำแล้ว อุทิศให้ แต่
    มนุษยโลกนี้เลย จะรับได้ก็แต่เปรตพวกปรทัตตูปชีวีนี้เท่านั้น เพราะเปรต
    พวกนี้ มีอกุศลบางเบา จึงมีจิตพอที่จะอนุโมทนาส่วนบุญของผู้อื่นได้ ถึงแม้ว่า
    เปรตพวกนี้จะสามารถรับส่วนบุญได้ก็ตาม แต่การที่จะได้รับส่วนบุญอันจัก
    อำนวยผลให้พ้นจากเปรตวิลัย ย่อมเป็นการยากยิ่งนัก เพราะต้องประกอบด้วย
    องค์ ๓ ประการผลบุญ จึงจะลำเร็จแก่เขา คือ
    ๑. ทานที่พวกญาติมิตรในมนุษยโลกนี้บำเพ็ย ต้องเป็นทานที่ถวายแก่สงฆ์
    ซึ่งเรียกว่า สังฆทาน
    ๒. ครั้นเขาถวายแล้ว ต้องอุทิศให้เปรตปรทัตตูปชีวี
    ๓. เปรตปรทัตตูปชีวีนั้น ต้องมาคอยรับแล้วอนุโมทนา
    ต้องพร อมไปด้วยเหตุ ๓ ประการนี้ ผลบุญจึงจะสำเร็จแก่พวกปรทัตตูป-
    ชีวีเปรต ทีนี้ ขอให้ท่านผู้มี ปัญญาทั้งหลายจงวินิจฉัยใคร่ครวญดูเถิดว่า กว่า
    เปรตจักได้ รับส่วนบุญที่ญาติมิตรอุทิศให้ แต่มนุษยโลกนี้ จะเป็นสภาพที่ยากเย็น
    เพียงไร เพราะว่าหากขาดเหตุ ๓ นี้อย่างใดอย่างหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ รับ เช่น ญาดิ
    มิตรให้ทานแก่ยาจกวณิพกผู้ปราศจากศีล แล้วอุทิศล่วนบุญให้ เปรตก็ไม่
    สามารถรับไดั เพราะขาดเหตุข้อที่ ๑ เช่นนี้เป็นต้น

    สรุปเปตติวิสยภูมิ
    บรรดาลัตว์ที่ทำกาลกิริยาตายไปถือกำเนิดในเปตติวิลยภูมิคือเกิดในโลก
    เปรตนั้น มีอยู่หลายประเภทหลายชนิด สุดแต่อกุศลทุจริตที่ตนก่อสร้างไว้ แต่
    ปางก่อน ครั้นเขามาเกิดในโลกเปรตนี้แล้ว ย่อมได้รับความทุกข์ทรมานฯ
    อดอยาก ด้วยการเสวยผลกรรมมีประการต่าง ๆ จะหาความสุขมิได้ เลย เพราะ
    โลกเปรตนี้ เป็นโลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความลุข
    ฉะนั้น ถ้าใครรู้ตัวว่า ตนเป็นคนรักความสุข เกลียดความทุกข์ ก็ต้อง
    พยายามทำตัวใหัพ้นจากโลกเปรตนี้ อย่าไปเกิดเป็นอันขาด ตัองหาทางป้อง
    กันเสียแต่เนิ่นๆ ด้วยการละเวันความชั่วหรือที่เรียกว่า บาป ให้หมดแล้วตั้ง
    หน้าสร้างกองการกุศลอันเป็นความดีเสียวันนี้ อย่าทำเป็นคนปัญญาดี คิด
    ฟุ้งซ่านไปตามประสาคนมีทิฐิอันใช้ไม่ค่อยได้ว่า โลกเปรตไม่มี อย่างนี้ ครั้น
    ตายไปเกิดเป็นเปรต ได้รับความทุกข์ทรมานเข้า จักเลียใจภายหลัง และเป็น
    การสายเกินไป สุดวิสัยที่จะแก้ได้ ถ้าผู้ใดใครผู้ หนื่งเกิดความคิตวิตถาร มีใจรัก
    ความทุกข์ทรมาน เกลียดความสุขสบายในภายหน้า ก็จงเร่งอุตส่าห์ทำบาป
    เข้า อย่าทำมันเลยความดี ขมีขมันทำแต่ความชั่วอยู่เนืองนิตย์ ก็จักได้สมคิด
    คือ ตายไปต้องไปเกิดในโลกเปรต อันเป็นสถานที่ที่ห่างไกลจากความสุขสม
    ปรารถนา
    พรรณนาในเปตติวิสัยภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติได้แล้ว จึงขอยุติลงด้วย
    ประการฉะนี้

    อสุรกายภูมิ
    โลกอสุรกาย
    อบายภูมิอันดับต่อไปมีชื่อว่า อสุรกายภูมิ ที่ได้ชื่อว่า อสุรกายภูมิ ก็
    เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายที่กรรมชักนำให้ไปบังเกิดในภูมนี่แล้ว จะไม่มีความร่าเริง
    เลยเป็นอันขาด ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่บนโลกอสุรกายนี้ ไม่มีความสนุกสนาน
    ร่าเริง ไม่มีการเล่นให้ได้รับความบันเทิงใจในบางคราว เหมือนมนุษยโลกของ
    เรานี้แม้แต่สักน้อยหนึ่งเลย ฉะนั้น ภูมินี้จึงชื่อว่า อสุรกายภูมิ =- ภูมิที่อยู่ของ
    สัตว์ซึ่งปราศจากความร่าเริงสนุกสนาน
    สัตว์ทั้งหลายที่อุบึตเกิดในภูมินี้ บางทีท่านเรียกชื่อว่า กาลกัญชิกาสุรกาย
    เพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นมีสภาพที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ มีมุขทวารช่อง
    ปากเล็กยิ่งนัก ประมาณเท่ารูเข็มที่ใช้กันอยู่ในมนุษยโลกเท่านั้น พึงทราบ
    ลักษณะของอสุรกายสัตว์ทั้งหลาย ดังต่อไปนี้
    กาลกัญชิกาลุรกายบางจำพวก มีสรีระร่างแลดูน่าทุเรศพิลึก เพราะว่า
    มีร่างกายผ่ายผอมนักหนา แต่ว่าสูงชะลูดนับได้เป็นร้อยเป็นพันวาขึ้นไป เนื้อ
    และโลหิตในสรีระร่างของเขามาตรว่าสักนิดหนึ่งไม่มีเลย มีแต่หนังหุ้มกระดูก
    เป็นสัตว์ตายซากประดุจดังใบไม้แห้งเหม็นสางสุดประมาณดวงตาของเขาทั้งสอง
    มีประมาณเล็กเท่ากับตาปูที่เห็นกันอยู่นี้เท่านั้น และไม่ได้ ตั้งอยู่ที่บนใบหนัา
    อย่างตาของมนุษย์เรา แต่ว่าตั้งอยู่บนศีรษะ ตรงกระหม่อมของเขา แม้ปากก็
    เช่นเดียวกันเขามีมุขทวารช่องปากเล็กประมาณเท่ารูเข็ม ตั้งอยู่บนศีรษะ
    กลางกระหม่อม ใกล้ ๆ กับดวงตาของเขานั่นเอง
    นอกจากจะมีรูปร่างแปลกพิลึกน่าทุเรศดังกล่าวมา กาลกัญชิกาสุรกายยัง
    มีชีวีตความเป็นอยู่อย่างแสนลำบากยากเย็น ต้องต่อสู้กับความหิวกระหายอยู่
    ตลอดเวลา เพราะการแวงหาอาหารนั้น เป็นไปได้ยากนักหนา ก็จะไม่ยาก
    อย่างไรได้เล่า เพราะดวงตาเขาเล็กเหลือเกิน ไม่สมกับรูปร่าง มิหนำซ้ำยัง
    ไพล่ไปตั้งอยู่กลางกระหม่อมอีก อย่างนี้แล้วจะมองเห็นอาหารได้ง่าย ๆ อย่างไร
    กัน ครั้นพบเจออาหารตามอสุรกายวิสัยแล้ว จะบริโภคแต่ละครั้งก็แสนจะ
    ลำบากเพราะว่าปากของเขาตั้งอยู่กลางกระหม่อม เหนือศีรษะ เวลาจะบริโภค
    อาหารจึงต้องเอาหัวปักลงมาข้างล่าง เอาตีนชี้ฟ้า ต้องตั้งท่าอย่างนี้จึงจะ
    บริโภคเข้าไปได้ และกว่าอาหารจะเข้าปากไปได้ก็แสนจะลำเค็ญ เพราะเขามี
    ปากเท่ารูเข็มเท่านั้น ต้องเสวยกรรมเป็นอสุรกายสัตว์น่าสงลาร ทนทุกข์ทรมาน
    หิวกระหายอยู่อย่างนี้ เป็นเวลาหลายพันหลายหมื่นปี จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรม
    ที่ทำไว้
    บางอสุรกายมีรูปร่างแปลกประหลาดแตกต่างจากประเภทที่กล่าวมา คือ
    มีท้องยานใหญ่ยิ่งนัก ส่วนหลังไม่น่าดู ตลอดลำตัวสูงใหญ่ มีสีกายดำทะมึนน่า
    กลัว เล็บมือเล็บเท้ายาวรีแหลมคม และมีสันดานร้าย ใจคอเหี้ยมโหดดุดัน มัก
    ข่มเหงเพื่อนอสุรกายด้วยกัน ตลอดวันเวลา มีมือถือกระบองเหล็กอลุรกาย
    อันรุ่งเรืองแดงฉานด้วยเปลวไฟ เที่ยวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยเกิน
    ขนาด เดินไปในอสุรกายสัตตาวาสอย่างแสนลำบาก ครั้นมาพบอสุรกายดัวย
    กัน ก็มีอาการประหนึ่งเป็นบ้าวิกลจริต แสดงฤทธิ์ประหารกันด้วยกระบอง
    ยังกันและกันให้ได้ รับทุกขเวทนาเจ็บปวดหนักหนา เป็นอย่างนี้ ช้านาน จนกว่า
    จะสิ้นอกุศลกรรมที่ทำไว้
    หากจะมีข้อลงลัยว่า สัตว์ทำกรรมประเภทใดไว้ จึงตัองมาถือกำเนิดเป็น
    สัตว์ในอสุรกายภูมินี้ คำตอบก็มีว่า เท่าที่ปรากฏโดยมาก อกุศลกรรมที่สัตว์
    ทั้งหลายทำด้วยโลภเจตนา ย่อมส่งผลให้มาเกิดในภูมินี้ เช่นเมื่อครั้งเป็นมนุษย์
    มีความโลภมากประจำจิต ประกอบทุจริตกรรมด้วยการปล้นขโมยหรือฉ้อโกง
    ลักทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ไม่รู้จักประกอบอาชีพทำมาหากิน เห็นท่านมีสมบัติ
    ก็เกิดอิสสาริษยาปรารถนาจะทำลายล้าง หรืออยากจะเอาไว้เป็นของตนแล้วก็
    ลงมือประกอบอกุศล เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติที่ตนปรารถนา หรือมิฉะนั้น
    ก็เป็นคนโลภมาก ฉ้อโกงเอาทรัพย์สินอันเป็นของสงฆ์ ซึ่งบุคคลผู้มีจิตศรัทธา
    ทั้งหลายอุทิศเป็นทานวัตรนับเข้าในสังฆทาน หรือมิฉะนั้น เห็นเขาขุดบ่อ
    ขุดสระสร้างสาธารณสถานสำหรับคนทั่วไป ก็หาทางทำลายล้างไม่ให้ผู้คน
    บริโภคใช้สอยด้วยน้ำจิตริษยาเป็นพาลชน ครั้นแตกกายทำลายตน อกุศลกรรม
    เหล่านี้ ก็ฉุดกระชากลากลงไปเกิดในนรก ตัองหมกไหม้ อยู่ด้วยไฟนรกสิ้นกาล
    ช้านาน พ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังไม่สิ้น จึงต้องมาถือกำเนิดในอสุรกายภูมินี้
    เท่าที่พรรณนามานี้ จะเห็นได้ว่า สัตว์อสุรกายนี้มีสภาวะที่ละม้ายเหมือน
    กับสัตว์เปรตเป็นส่วนมาก ทั้งความเป็นอยู่แลอกุศลถรรมที่ทำไว้แต่ชาติปาง
    ก่อน ทั้งนี้ก็เพราะภูมิทั้งสองนี้ ใกล้ชิดติดต่อกันมาก ฉะนั้น ท่านจึงเรียกติดต่อ
    กันไปเลยว่า เปรตอสุรกาย เพื่อเข้าใจง่าย พึงสังเกตสภาวะที่แตกต่างกัน
    แห่งอบายภูมิทั้ง ๓ คือ นิรยภูมิ เปตติวิสยภูมิ และอสุรกายภูมิ ดังต่อไปนี้
    ๑. นิรยภูมิ หรือโลกนรก สัตว์ทั้งหลายที่ไปบังเกิดในโลกนี้ เขาย่อม
    ประสบทุกขเวทนาเพราะความร้อนเป็นส่วนมากเช่น ในอเวจีมหานรกนั้น
    รุ่งเรืองด้วยเปลวไฟอยู่เป็นนิตย์ หาเวลาหยุดพักมิได้แผ่นพื้นอเวจีนรกล้วน
    แล้วไปด้วยเหล็กอันร้อนแรงรุ่งโรจน์โชตนาการด้วยเปลวไฟ สัตว์นรกทั้งหลาย
    ต้องเสวยทุกข์ใหญ่ จะนับประมาณความร้อนแรงนั้นเหลือคณานับ
    ๒. เปตติวิสยภูมิ หรือโลกเปรต สัตว์ทั้งหลายที่ไปบังเกิดในโลกนี้ เขา
    ย่อมประสบทุกขเวทนา เพราะความอยากอาหารเป็นส่วนมาก แท้จริง สัตว์
    ทั้งหลายในเปตติวิลัยนั้น บางพวกมิได้บริโภคโภชนาหารเลย ตลอดสองสาม
    พุทธันดรก็มี แสบร้อนในท้องในไส้ของตนยิ่งนัก เพราะถูกไฟในกายเผาไหม้
    เสียนักหนา เปรียบดังว่าไฟอันไหม้ อยู่ในโพรงไม้ฉะนั้น เปรตทั้งหลายย่อม
    เสวยทุกข์ใหญ่ จะนับประมาณความอดอยากนั้นเหลือคณานับ
    ๓. อสุรกายภูมิ หรือโลกอสุรกาย สัตว์ทั้งหลายที่มาบังเกิดในโลกนี้เขา
    ย่อมประสบทุกขเวทนาเพราะความกระหายน้ำ เป็นส่วนมาก แท้จริง สัตว์
    ทั้งหลายในอสุรกายภูมินั้นบางพวก เพราะวิบากแห่งอกุศล แต่กระแสชลจะได้
    หยดถูกปลายชิวหามาตรว่าจะให้เปียกสักนิดไม่มีเลย ตลอดเวลาสองสาม
    พุทธันดร บางทีเห็นชโลธร คือ บ่อบึงและมหานที ก็ยินดีว่าจะดื่มกินซึ่งน้ำ
    พยายามตะเกียกตะกายไป แต่พอไปถึง กระแสชลก็มิได้มี ทรายในท้องนที
    กลายเป็นเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการกลับเผาตน หรือบางทีก็กลายเป็นแผ่นศิลา
    อันแห้งผาก อสุรกายทั้งหลายก็มีจิตเหือดแห้งเพราะกระหายน้ำ ต้องเสวยทุกข์
    เพราะความกระหายน้ำ อยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นอกุศลที่ตนได้กระทำไว้แต่ปาง
    หลัง
    โดยความแตกต่างของสัตว์ในอบายภูมิทั้ง ๓ ที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มี
    วิจารณญาณก็ย่อมจะเห็นได้แล้วว่า เปรตกับอสุรกายนั้นมีสภาวะต่างกันที่พอ
    จะสังเกตได้ คือ เปรตทั้งหลายมีความอดอยากอาหารเป็นสัญลักษณ์เครื่อง
    ทรมาน ส่วนอสุรกายทั้งหลายนั้นมีความหิวกระหายน้ำเป็นสัญลักษณ์เครื่อง
    ทรมาน เรื่องอสุรกายมีความกระหายน้ำเป็นกำลัง พึงพิจารณาเห็นตัวอย่าง
    ดังต่อไปนี้

    อสุรกายกระหายน้ำ
    อสุรกายตนหนึ่ง มีความกระหายน้ำ มานานนักหนา จึงท่องเที่ยวเรื่อยมา
    จนถึงมหาคงคาอันกว้างใหญ่ ก็รีบลงไปในมหาคงคานั้นทันใด กระแสชลใน
    คงคากลับกลายเป็นควันด้วยกรรมบันดาล อสุรกายนั้นเดินไปดังว่าเดินบน
    แผ่นศิลาที่ถูกไฟเผาตั้งแต่หัวค่ำจนรุ่งราตรีกาล เขาได้ยินแต่เสียงน้ำ แต่หาเห็น
    น้ำไม่ ทั้ งๆ ทีเดินอยู่บนผืนน้ำ
    พอรุ่งอรุณ พระภิกษุประมาณ ๓๐ รูป เดินมาที่ริมฝั่งคงคาเพื่อโคจร
    บิณฑบาต เห็นสัตว์ประหลาดเดินอยู่บนนำ เช่นนั้น จึงถามว่า "ตัวท่านนี้ เป็น
    ใคร เหตุไฉนจึงเดินบนน้ำได้เล่า" เขาจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นอสุรกาย เที่ยว
    หาน้ำเพื่อจะดื่มกิน เพราะหิวกระหายมานานนัก พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดบอกที
    เถิดว่าน้ำมีอยู่แห่งใด" ภิกษุทั้งหลายจึงบอกว่า "ท่านเดินอยู่บนน้ำ แล้วยังไม่
    เห็นอีกหรือ" เขาจึงตอบว่า "ทีแรกข้าพเจ้าเห็นน้ำ มีมากมายแต่ไกล ครั้นเข้า
    มาใกล้ น้ำหายไป มิได้มี เห็นแต่เปลวอัคคีพรัอมกับควัน จึงดิ้นรนค้นหาน้ำ
    จนตลอดราตรี แต่จะได้พบน้ำมาตรตรว่าสักหยาดเดียวก็หามิได้"
    ภิกษุทั้งหลายมีใจกรุณาจึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น ท่านจงมานอนลงที่เนิน
    ทรายนี่เถิด เราทั้งหลายจักตักน้ำมาให้" แล้วต่างรูปต่างก็เอาบาตรของตนไป
    ตักน้ำจนเต็มบาตร แล้วค่อย ๆ เทลงในปากเท่ารูเข็มของอสุรกาย แต่เฝ้า
    พยายามช่วยกันเทลงในปากของอสุรกาย จนกระทั่งสายเกือบหมดเวลาภิกขา
    จาร และต่างรูปต่างก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงถามว่า "เราช่วยกันตักน้ำ เทลง
    ในปากของท่านสิ้นทั้ง ๓๐ บาตร ท่านได้รับความชุ่มชื่นหมดความกระหายไป
    บ้างแล้วหรืออย่างไร" อสุรกายนั้นสั่นศีรษะให้ปฏิญญาว่า
    " เปล่าเลย พระคุณเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ รู้รสน้ำว่าเป็นอย่างไรเลย
    เป็นความสัตย์จริง หากข้าพเจ้าได้ดื่มน้ำ ไม่มากแต่กึ่งซองมือก็ดี ขออย่าให้
    ข้าพเจ้าได้ผุดได้เกิด ขอให้ข้าพเจ้าอยู่ในกำเนิดอสุรกายนี้ตลอดไปเถิด ที่
    พระคุณเจ้ามีจิตกรุณาช่วยก็เป็นพระคุณ แต่เป็นกรรมของข้าพเจ้าเอง จึงไม่ได้
    ดื่มกินซึ่งน้ำ ขอพระคุณเจ้าจงรีบไปภิกขาจารเถิด" พระภิกษุทั้งหลายได้ฟัง
    ก็เกิดความสังเวชใจ แต่มิรู้จะทำประการใด จึงรีบไปโคจรบิณฑบาตตามสมณ-
    วิสัยต่อไป

    สรุปอสุรกายภูมิ
    เท่าที่กล่าวมานี้ พอสรุปได้ว่า อสุรกายภูมิเป็นภูมิที่น่ากลัวหนักหนา
    เพราะเต็มไปด้วยความอดอยากหิวกระหายเหลือประมาณด้วยอกุศลกรรมที่ก่อ
    ไว้แต่ปางก่อนย้อนมาตามทัน ฉะนั้น เราท่านทั้งหลายผู้มีปัญญา อย่าได้
    ประมาทต่อกรรมชั่ว จงรักตัว ก่อสร้างแต่กุศลจนเต็มสามารถ เพื่อจักได้
    ไม่พลาดพลั้งไปถือกำเนิดภูมิชั่ว คือ อสุรกายภูมินี้
    พรรณนาในอสุรกายภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติลงได้แล้ว จึงขอยุติลง
    ด้วยประการฉะนี้

    ติรัจฉานภูมิ
    โลกเดรัจฉาน
    อบายภูมิอันดับสุดทัายมีชื่อว่า ติรัจฉาภูมิ หรือโลกเดรัจฉาน ที่ชื่อว่า
    ติรัจฉานภูมิ ก็เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายที่ไปเกิดขึ้นในภูมินี้ มีความชื่นชมยินดีใน
    เหตุ ๓ ประการ คือ การกิน ๑ การนอน ๑ การประกอบเมถุนกิจ ๑ ซึ่งมี
    ความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าพวกสัตว์นรก เปรตและอสุรกาย เพราะเหตุที่มีอกุศล
    บางเบา แม้จะประสบความลำบากยากแค้นประการใดก็ดี สัตว์ที่เกิดในภูมินี้ ก็
    ยังพอมีความชื่นชมยินดีอยู่บัาง คือ ยินดีในเหตุ ๓ ประการดังกล่าวมา ฉะนั้น
    ภูมินี้จึงชื่อว่า ติรัจฉานภูมิ = โลกของสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุสาม
    คำว่า ติรัจฉานภูมิ นี้ ยังหมายความอีกอย่างหนึ่งก็ได้ คือ หมายความว่า
    โลกของสัตว์ผู้ไปโดยขวาง จริงอยู สัตว์ที่ไปเกิดในภูมินี้ เวลาจะไปไหนมาไหน
    ต้องไปตามขวางหรือตามยาว ต้องคว่ำอกไป พึงดูเดรัจฉานที่อยู่ข้างๆ ตัวเรา
    เวลานี้ เช่น หมู หมา เป็ด ไก่ เขาจะไปไหนแต่ละที ต้องไปตามขวางลำตัว
    คว่ำอกไปทั้งนั้น ผิดกับมนุษย์เราซึ่งไปตามตรง ศีรษะเป็นอวัยวะเบื้องบนตั้งอยู่
    สูงสุด ไม่ใช่มีศีรษะขวางๆ อย่างศีรษะเดรัจฉาน
    นอกจากร่างกายของเขาเหล่านั้น จะมีสภาวัไปอย่างขวาง ๆ แล้ว ในส่วน
    จิตของเขาก็ยังขวางอีกด้วย คือ ขวางจากมรรคผลนิพพาน ลัตว์ที่เกิดในภูมิน
    ซึ่งได้ชือว่าเป็นเดรัจฉานแล้ว ถึงจะพยายามทำความดีสักเท่าใด จะมีจิตใจ
    ประเสริฐเลิศล้นสักแค่ไหน มีวาสนาบารมีมาเพียงใด การที่จะได้มรรคผล
    นิพพานในชาติที่เป็นเดรัจฉานนั้น ย่อมไม่มีเลยเป็นอันขาด เพราะเป็นสัตว์
    ชาติ อาภัพ จะได้อย่างมากก็เพียงแค่สวรรค์สมบิตเท่านั้น ฉะนั้น ท่านจึงเรียก
    ภูมินี้ว่า ติรัจฉาภูมิ = โลกของสัตว์ผู ้ไปโดยขวาง

    ติรัจฉาน ๔
    เมื่อกล่าวโดยประเภท สัตว์เดรัจฉานนั้นมี ๔ ประเภทด้วยกัน คือ
    ๑. อปทติรัจฉาน ประเภทที่ไม่มีเท้า ไม่มีขา ได้แก่ งู ปลา ไส้เดือน
    เหล่านี้ เป็นต้น
    ๒. ทวิปทติรัจฉาน ประเภทที่มีขา ๒ ขา ได้ แก่ ไก่ เป็ด นกตะกรุม แร้ง
    กา เหล่านี้ เป็นต้น
    ๓. จตุปทติรัจฉาน ประเภทที่มีขา ๔ ขา ได้แก่ หมี หมา วัว ควาย ช้าง
    ม้าเหล่านี้ เป็นต้น
    ๔. พหุปทติรัจฉาน ประเภทที่มีขามากกว่า ๔ ขาขึ้นไป ได้แก่ กิ้งกือ
    ตะเข็บ ตะขาบ เหล่านี้ เป็นต้น

    ติรัจฉานชีวิต
    เมื่อกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ สัตว์ที่ไปเกิดในติรัจฉาภูมินี้ ย่อมมีความ
    เป็นอยู่เช่นที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้แล้วโดยมาก เพราะว่าพวกสัตว์เดรัจฉานเป็น
    สัตว์ที่มีรูปร่างปรากฏตัวตน คนเห็นได้ ไม่เหมือนอบายสัตว์ที่มีกายไม่ปรากฏ
    มนุษย์ธรรมดาเห็นไม่ได้ เช่น เปรต อสุรกาย เป็นต้น ความเป็นอยู่ของสัตว์
    เดรัจฉาน ที่ควรทราบโดยสังเขปในที่นี้ก็มีดังนี้
    ๑. สถานที่ สัตว์ที่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว ย่อมไม่อยู่เป็นที่ เพราะ
    ไม่มีที่อยู่ของตนโดยเฉพาะ ไม่เหมือนผู้ไปเกิดในนรก ในนรกมีสถานที่อยู่เป็น
    ขุมๆ สัตว์ไปตกนรกขุมไหน ก็ต้องอยู่เสวยผลกรรมชั่วของตนในนรกขุมนั้น
    ครั้นพ้นกรรมก็ตายจากนรกนั้น ถ้าบาปยังมีก็ไปเกิดในอื่นต่อไป หากหมด
    กรรมก็ไปเกิดในภูมิอื่นตามยถากรรม แต่สัตว์ที่เกิดในติรัจฉาภูมินี่ไม่ใช่อย่าง
    นั้น คือ ไม่มีที่อยู่ของตนโดยเฉพาะ มีที่อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง เที่ยวอยู่ทั่วๆ
    ไปในพื้นปฐพีมีสัตว์เดรัจฉานอยู่มากมาย เช่นที่เห็นกันอยู่แล้ว
    ๒. ความเป็นอยู่ สัตว์ที่ไปเกิดในติรัจฉาภูมิ มีความเป็นอยู่ลำบากกว่า
    มนุษย์มากมายนัก เพราะเป็นสัตว์มีภัยแห่งชีวิตรอบด้าน ชีวิตจะอยู่รอดไปแต่
    ละวัน ก็แสนจะลำบากยากเย็น เป็นชีวิตที่ตกต่ำแสนอาภัพ ได้รับแต่ความไม่
    สบายรอบด้าน ต้องแสวงหาอาหารกินตลอดเวลา กว่าจะได้ก็ยากนักหนา พึงดู
    หมาหมูที่อยู่ใกล้ๆ เป็นตัวอย่าง ต้องระวังภัยอย่เนืองนิตย์ เกิดความสะดุ้ง
    จิตไม่มีหยุด ไหนจะภัยจากมนุษย์คอยตีฆ่า ไหนจะภั1ยจากสัตว์ใหญู่กว่าคอย
    ประหาร ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรม
    ที่ทำไว้

    บุรพกรรม
    ลัตว์ทั้งหลายทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาถือกำเนิดเกิดในติรัจฉานภูมิ
    เมื่อกล่าวตามสภาพธรรม โดยมากนั้น สัตว์ที่ต้องมาเกิดเป็นเดรัจฉาน ก็เพราะ
    อำนาจเศษบาปอกุศลที่ตนกระทำไว้ให้ผล เช่น คนผู้หนึงทำบาปหนัก ต้องไป
    ตกนรกสิ้นกาลช้านาน ครั้นพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังไม่สิ้น ก็ต้องไปเกิด
    เป็นเปรตอสุรกาย ทีนี้ แม้ว่าเขาผู้นั้นไปเกิดเป็นเปรตอสุรกายแล้ว แต่ว่า
    บาปยังเหลืออยู่ ยังไม่หมดสิ้น ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในติรัจฉานภูมินี้
    นี่ประเภทหนึ่ง
    อีกประเภทหนึ่งนั้ น เมือเป็นมนุษย์ก็เป็นคนธรรมดาสามัญเราดีๆ นี่เอง
    ไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญชั่วช้าอย่างไร แต่ว่าเวลาจวนจะตาย จิตประกอบด้วย
    โมหะ ความหลงผิดมืดมนมัวเมาเขลาความคิด ขาดสติสัมปชัญญะ ไม่มีสรณะ
    ที่พึ่งจะยึดถือให้มั่นคง อย่างนี้ครั้นขาดใจลงในขณะนั น ก็ต้องไป กิดในกำเนิด
    เดรัจฉาน เช่น นิทานเรื่องจริงที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้

    พญาเอรกปัตนาคราช
    พญานาคตนนี้ เมื่อชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาลประเสริฐสุด
    บวชในพระพุทธศาลนา ในพุทธสมัยแห่งสมเด็จพระบรมทศพลทรงพระนามว่า
    สมเด็จพระกัสสปะสัมมาลัมพุทธเจ้า เป็นภิกษุหนุ่มบำเพ็ญสมณธรรมจนชรา
    นานถึงสองหมื่นปี วันหนึ่งลงนาวาจะข้ามนทีไปสู่ฝั่งอื่น เมื่อจะลงนาวาได้
    ยื่นมือไปจับใบตะไคร้นำ ที่ริมฝั่ง ครั้นนาวาแล่นไปก็เผลอมิได้ ปล่อย ใบตะไคร้
    น้ำขาดติดมือไป ครั้นถึงฝั่งที่ตนปรารถนาแล้วก็เลยลืม มิได้แสดงอาบัติ
    ตั้งหน้าไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าต่อไป
    ครั้นล่วงอายุขัย เมื่อใกล้จะถึงแก่มรณภาพ นอนอยู่บนเตียงเป็นที่ตาย
    เกิดนึกขึ้นได้ จะหาภิกษุองค์ใดที่จะแสดงอาบัติด้วยก็มิได้มี ภิกษุนั้นให้เกิด
    ความเดือดร้อนด้วยโทษผิดพุทธบัญญัติอันเล็กน้อยนี้ ครั้นสิ้นชีวิตก็ไปเกิดใน
    กำเนิดเดรัจฉาน เป็นพญูานาคราชใหญ่ ภายหลังได้แปลงเพศเป็นมาณพมาเฝ้า
    สมเด็จพระพุทธเจ้าสมณโคดมบรมครูของเราทั้งหลาย ได้ฟังธรรมแล้ว
    ก็หาได้บรรลุมรรคผลคุณวิเศษแต่ประการใดไม่ เพราะว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    การที่คนเราตัองไปเกิดในอบายภูมิ คือ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะโมหะ
    เป็นเหตุนั้นมีประมาณมากมาย เพราะคนทั้งหลายมีความประมาท ขาดปัญญา
    ที่รู้ จริงเห็นจริง ปฏิเสธสิ่งที่ตนไม่รู้ ไม่เห็นว่าเป็นของไม่มี ทั้งๆ ที่เป็นปุถุชนคน
    สามัญ มีปัญญาสั้นเล็กน้อยหนักหนา แต่ทิฐิมานะก็พาให้ถือเอาว่า "ตูข้าเป็น
    คนมีความคิดดี ตูเป็นคนรู้ เหตุผล ความคิดของตูนี่แหละถูก ของคนอื่นใช้ไม่ได้
    ไม่น่าเชื่อ" ดังนี้เป็นต้น เลยไม่ประกอบบุญกุศล เพราะตนไม่เห็นตัวบุญ
    ตัวบาปเป็นเช่นไร อยู่ไปวันหนึ่งๆ โดยไม่คำนึงถึงโลกหน้าว่าจะเป็นอย่างไร
    เพราะตนไม่เห็น จึงไม่เกิดศรัทธาเชื่อถือ ถึงจะมีศรัทธาอยู่บ้าง ก็เป็นศรัทธา
    อันมีลักษณาการประดุจศีรษะเต่า คือ ผลุบๆ โผล่ๆ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อย่างนี้
    พอใกล้จะขาดใจตายลงไป จิตก็จะหลงใหลเพราะไม่มีหลักยึด คิดเพริดไปด้วย
    อำนาจโมหะความหลงงมงาย ตายไปแล้วก็ไม่แคล้วไปเกิดในกำเนิดเดรัจฉาน
    เช่น วัสสการวานรที่น่าสงสาร โดยมีเรื่องปรากฏในพระคัมภีร์ทางพระพุทธ
    ศาสนา ซึ่งจะเก็บความนำมาเล่าไว้ ดังต่อไปนี้

    วัสสการวานร
    สมัยที่ลมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังทรงประกาศศาสนาอยู่ในพระนคร
    ราชคฤห์นั้น มีพราหมณ์เฒ่าเจ้าปัญญูาอยู่คนหนึ่ง ปรากฏนามว่า ท่าน
    วัสสการพราหมณ์ผู้เป็นใหญ่ พราหมณ์เฒ่าผู้นี้ตะแกเป็นคนมีความรู้ เป็น
    นักปราชญ์ราชบัณฑิต มีผู้คนนับถือมาก ขนาดพระเจ้าแผ่นดินยังทรงยกย่อง
    เคารพบูชา ไปไหนมาไหนมักมีศิษย์และบริวารติดตามมากมาย
    วันหนึ่ง พราหมณ์นั้นเห็นพระมหากัจจายนะมหาเถรเจ้าองค์อรหันต์กำลัง
    ลงมาจากเขาคิชกูฏ จึงกล่าวคำหยาบประมาทหมิ่นเล่น ด้วยเห็นเป็นสนุกว่า
    "บรรพชิดรูปนี้ มีกิริยาเหมือนวานร" สมเด็จพระชินวรสัมมาลัมพุทธเจ้าพระผู้
    ทรงสัพพัญญุตญาณ ครั้นทรงทราบเหตุการณ์เช่นนั้น จึงทรงมีพระพุทธฎีกา
    ตรัสว่า
    "วัสสการพราหมณ์ผู้เฒ่าชรา กล่าววาจาประมาทหมิ่น
    พระมหากัจจายนะองค์อรหันต์ ครั้นแตกกายทำลายเบฌัจ-
    ขันธ์แล้ว จักบังเกิดเป็นวานร มีหางเหมือนโค อยู่ในเวฬุวัน
    ป่าไม้ไผ่ใหญ่ในประเทศนี้"
    พราหมณ์เฒ่าพอได้ข่าวว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพุทธฎีกา
    พยากรณ์อนาคตของตนเช่นนั้น ก็ให้มีอันลังเลลงสัย ใจหนึ่งคิดไม่อยากจะเชื่อ
    เพราะมีอหังการ์ถือว่าตัวสิเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้มากมาย แต่อีกใจหนึ่งให้นึก
    พรั่นประหวั่นจิต เพราะมาคิดเข้าใจแน่แท้แก่ตนว่า "พระสมณโคดมผู้นี้มีวาจา
    ไม่เป็นสอง ลองได้ตรัสอะไรออกมา สิ่งนั้นก็เป็นจริง จักได้ผิดไปแต่สักครั้ง
    ไม่เคยมีเลย"
    เมื่อมาคิดได้ดังนี้ พราหมณ์เฒ่าผู้มีความสุขุมรอบคอบเป็นนิสัย ก็ลั่งให้
    ปลูกต้นไม้มีผลต่างๆ ไว้ในเวฬุวันป่าไผ่เป็นอันมาก แล้วจัดแจงแต่งตั้งบุรุษ
    ใช้ของตนให้เฝ้าพิทักษ์รักษาป่าไม้ นั้นเป็นอันดี ด้วยความคิดว่า ผิว์อาตมาตาย
    แล้ว มาเกิดเป็นลิงในป่านี จริงดั่งพระสมณโคดมว่า ก็จักได้อาศัยพฤกษาแต่
    บรรดามีผลที่ปลูกไว้นี่เคี้ยวกินเป็นอาหาร
    ต่อมาไม่นาน ตะแกก็ถึงแก่กาลกิริยาด้วยโมหจิตอันเลือนหลง ตรงมาถือ
    กำเนิดในครรภ์วานร พอออกจากอุทรก็มีหางเหมือนหางโค เติบโตอยู่ใน
    เวฬุวันป่าไมัไผ่ใหญ่ถูต้องตามพระพุทธฎีกา ถ้ามีผู้รู้ประวัตคิวามเป็นมาร้อง
    เรียกชื่อวานรนั้นว่า "วัสสการๆ" วานรนั้นก็จะเข้ามายืนอยู่ใกล้ ๆ ไม่เกรงกลัว
    เหมือนกับจะรู้ภาษาคน
    ผู้ที่มิได้ ประกอบกุศลกรรมทำความดีไว้ ปล่อยชีวิตอันมีค่าใหัล่วงเลยไป
    โดยเปล่าประโยชน์ ไม่พยายามทำชีวิตของตนใหัเป็นแก่นสาร ถือเอาความ
    พอใจแห่งตนเป็นประมาณ เป็นคนพาลผลาญโอกาสอันประเลริฐสุด ที่มีโชคได้
    เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่คิดหน้าคิดหลัง มัวแต่คลั่งในเรื่องสำมะเลเทเมา ทำตน
    ให้เปล่าจากที่พึ่ง ไม่คำนึงถึงบุญถึงบาป ครั้นตายแล้วจะไปเกิดเป็นห่าน เป็น
    นกพิราบ อันเป็นภูมิของเดรัจฉานลัตว์ ซึ่งมิรู้ธรรมะ มิรู้บุญบาป
    ผู้ใดหมกมุ่นอยู่แต่อบายมุข มิฉุกคิดที่จะบำเพ็ญกุศล อันเป็นนาถะที่พึ่ง
    ของตนในภายหน้า ทุกวันเวลาก็ตั้งหน้าแต่จะเล่นการพนันขันต่อโดยคิดว่า
    ตนมิได้ฉ้อโกง หรือตีด่าว่าใครไม่เป็นบาป ปรารถนาได้ลาภคล่องๆ จากการ
    พนัน ลุ่มหลงจนติดเป็นนิสัย คนเหล่านี้ ถ้าไม่มีกุศลมาชักจูงในขณะจะตาย
    เพราะใจหลง จึงต้องลงไปเกิดในกำเนิดเดรัจฉานโง่ เป็นตัวหนอน ไส้เดือน
    และกิ้งกือ เป็นต้น
    ผู้ใดมีจิตประกอบด้วยอกุศลธรรม คือ มีปกติมักอิจฉาริษยาอยู่เนืองนิตย์
    ไม่คิดถึงเหตุผลเพราะความเขลา และใจของเขามีโลภะเข้ามาปะปน เป็นคน
    โลภมากไม่รู้ประมาณ เป็นพาลไม่สร้างกุศลอะไรไว้ ครั้นตายไปต้องเกิดเป็นเสือ
    เป็นหมี เป็นเม่นและเป็นสัตว์ที่ดุร้ายนานาชนิด เพราะอกุศลชักพาไป
    ผู้ใดมีความเย่อหยิ่งจองหองพองขน เพราะถือว่าตนเป็นใหญ่ เป็นคนมี
    ความรู้ ใครสู้ตนไม่ได้ ถือเอาแต่ความคิดของตนเป็นประมาณ อาจหาญราวกะ
    เป็นศาสดา แต่ไม่นำพาในการสร้างกุศล ครั้นวายชนม์ก็จะไปเกิดเป็นลาเป็น
    หมา หรือเป็นจระเข้สัตว์เดรัจฉาน ไม่มีหวังได้นิพพานมรรคผล ดุจเช่นอุบาสก
    คนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า มหาวาจกอุบาสก โดยมีเรื่องเล่าไว้ในพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้

    มหาวาจกอุบาสก
    อดีตกาลนานมาแล้ว ยังมีอุบาสกผู้หนึ่งนามว่า มหาวาจกอุบาสก เขาเป็น
    คนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง อุตส่าห์บำเพ็ญูทานรักษาศีลเป็นประจำ
    เฝ้าเรียนธรรมฟังธรรม จนเกิดมีปัญญาแตกฉานในทางศาสนา เรียกไดัว่า
    เขาเป็นคนชอบธรรมะธัมโม มีปกติวางโตคุยเขื่องฝอยเฟื่องแต่เรื่องธรรมะ
    วันหนึ่งตะแกเกิดความคิดที่ดีเยี่ยมขึ้นมาว่า การที่จะได้ประโยชน์อันสูงสุดจาก
    พระพุทธศาสนานั้น จำต้องบำเพ็ญภาวนา จึงจะได้มรรคผลนิพพาน ครั้นคิด
    ดังนี้ แล้ว ตะแกก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญภาวนาตามที่ตนเรียนรู้มาเพียร
    พยายามบำเพ็ญอยู่นานนักหนานับได้หลายปี จะได้บรรลุมรรคผลก็หาไม่
    แต่ก็ไม่ละความอุตส่าห์พยายาม เพราะแกมารู้ความจริงด้วยตนเป็นผู้คงแก่
    เรียนว่า "ตราบใด ที่บุคคลยังไม่บรรลุมรรคผล ตราบนั้นก็ยังต้องท่องเที่ยวใน
    วัฏสงสาร บางทีอาจพลั้งพลาดไปเกิดในอบายภูมิ คือ เป็นสัตว์นรก เปรต
    อสุรกาย และเป็นเดรัจฉานก็ได้" อบายภูมิมาเตือนใจให้หวาดกลัวอยู่เช่นนี้
    แกจึงไม่ละความพยายาม แต่จะพยายามเท่าใดก็หาได้บรรลุผลไม่ เพราะขาด
    วาสนาบารมี และขาดกัลยาณมิตรอาจารย์ผู้บอกกัมมัฏฐานภาวนาที่ดี
    ในที่สุด หลังจากบำเพ็ญูภาวนามาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เป็นเวลา ๕๐ ปี แต่
    ไม่ไดับรรลุอะไร ให้เหน็ดเหนื่อยนักหนา เบื่อระอาเป็นที่ลุด อกุศลจิตก็ผุดขึ้น
    มาในมโนทวาร ทำใหัเกิดความคิดวิปริตพาลพาโลเปะปะไปว่า
    "ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้ความอะไร! เป็นแต่อุบายสอนคนให้ละชั่ว
    ประพฤติดี เพื่อคนทั้งหลายมันจะได้ไม่เบียดเบียนกัน โลกจะได้อยู่อย่างสงบ
    สุข ก็เท่านั้นเอง นรกสวรรค์วัฏสงสารมีที่ไหนกัน ถึงมีศาสนานี้ก็ไม่เป็น
    นิยยานิกธรรม คือ นำสัตว์ออกจากวัฏสงสารไม่ได้ ดูแต่อาตมาซิ... ฮึ! บำเพ็ญ
    ภาวนามาตั้งนานด้วยความเหนื่อยยาก นับเป็นสิบๆ ปี ก็ไม่เห็นได้อะไร ถ้า
    มรรคผลมีจริง ป่านนี้ก็คงได้มรรคผลเขัาบ้างแล้ว คงไม่มีหรอก เรื่องนรก
    สวรรค์ มรรคผลนิพพาน มันเป็นเพียงอุบายอันแสนฉลาดของพระพุทธเจัา
    ท่าน สำหรับสอน คนโบราณสมัยก่อนซึ่งยังโง่เง่าอยู่ต่างหาก เราก็หลงเชื่อถือ
    ให้เป็นบ้าไปได้ โธ่เอ๋ย! กูหนอกู โง่เสียตั้งนาน"
    ครั้นตะแกเกิดอกุศลจิต คิดวิปริตไปตามอารมณ์ไม่รู้ เรื่องเช่นนี้ แล้ว ก็เลิก
    จากการบำเพ็ญภาวนา ไม่ทำการกุศลสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะไม่เชื่อถือหมดศรัทธา
    ในไม่ช้าก็ถึงแก่กาลกิริยาดัวยโมหจิตไม่มีหลักที่พึ่ง จึงต้องไปเกิดในกำเนิด
    เดรัจฉานเป็นจระเข้ใหญ่ในบึงแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ริมมรรคาใกล้ อรัญราวป่า มี
    สรีระร่างน่าเกลียดน่าชัง ยับยั้งอยู่อาศัยที่บึงใหญ่นานนักหนา ต่อไปภายหน้า
    จะเกิศเป็นอะไรอีกนั้น แม้แต่ตัวแกก็สุดวิสัยที่จะรู้!

    สรุปดิรัจฉานภูมิ
    เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ พอที่จะสรุปได้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่ทำบาปกรรมไว้
    นอกจากจะตัองไปชดใช้กรรมทนทุกขเวทนาอยู่ในนรกเปรตอสุรกายแล้ว
    ยังต้องไปใช้กรรมในกำเนิดเดรัจฉานได้อีก สุดแต่อำนาจอกุศลกรรมจะนำพาไป
    ก็ผู้ที่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนี้ ย่อมมีโอกาสน้อยนักหนา ที่จักกลับมาเกิดเป็น
    มนุษย์ได้อีก ถ้าหากกุศลผลบุญูแต่ปางก่อนของตนไม่มี! ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
    ก็เพราะว่า การเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นมีโอกาสทำบาปได้ ง่ายกว่ามนุษย์มากนัก
    เมื่อทำบาปเพิ่มขึ้นแล้วจักมีโอกาลกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งสูงกว่าอบายภูมิ
    ได้อย่างไรเล่า ในเรื่องนี้ พึงทราบตัวอย่างเพื่อเข าใจง่าย ดังนี้
    สมมติว่า มีคนผู้หนึ่งเขามีความประมาทพลั้งพลาดตายไปเกิดเป็นเสือ
    ธรรมชาติเสือก็ย่อมจะทราบอยู่แล้วว่าเป็นสัตว์มากด้วยโทสะ คอยคิดจะ
    ประหารชีวิตผู้อื่นเคี้ยวกินเป็นอาหาร กว่าเสือตัวนั้นจะตายก็ต้องทำปาณาติ
    บาตฆ่าสัตว์อื่นเลี้ยงชีวิตมากมายจนนับไม่ถ้วน ครั้นดับจิตตายลงไป เสือตัวนั้น
    ก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกในนิรยภูมิ เพราะว่าโทษของปาณาติบาตเป็นเช่นนั้น
    ต้องเป็นสัตว์นรกอยู่ตลอดกาลนาน สุดที่จักนับประมาณได้ หากว่าไม่ เป็นเช่น
    นั้น สมมติว่า คนผู้ หนึ่งตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นเนื้อเก้งเนื้อทราย ตลอดชีวิตก็
    บริโภคแต่ใบไม้ใบหญ้าเป็นอาหาร ไม่ได้ประกอบการชั่วเลย แต่ว่าบังเอิญ
    เคราะห์ร้าย ถูกนายพรานยิงเอาให้ไดัรับความเจ็บปวดนักหนา เกิดทุกขเวทนา
    เป็นล้นพ้น จิตของตนก็จะเกิดโทสะ ไหนจะโกรธเคืองผูกใจเจ็บคนที่ยิงตน
    ใหนจะโกรธเคืองตนเองด้วยทุกขเวทนาครอบงำ เพราะตามธรรมดาผู้ที่ถูก
    ทุกขเวทนาครอบงำมากๆ ถ าไม่มีหลักของใจแล้ว จิตย่อมจะซัดส่ายคล้ายเป็น
    บ้า เกิดโทสะขึ้นมาโดยหาเหตุผลมิได้ เมื่อโทสะเกิดขึ้นในขณะนี้ก็หมายความว่า
    จิตของเขาเศร้าหมองแล้วเพราะโทสะครอบงำ เมื่อจิตเศร้าหมองอย่างนี้ แล้วจะ
    ไปเกิดในสวรรค์วิมาน หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิได้ อย่างไร เพราะมี
    พระบาลีบ่งระบุไว้ตายตัวว่า จิตเตฺ สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงขา เมื่อจิต
    เศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นที่หวังได้ ! ด้วยเหตุนี้ เขาก็ต้องไปเกิดโน่น สถานที่
    ทุคติอบายภูมิโน่น คือ ไปเกิดเป็นสัตว์นรกเปรตอสุรกาย หรืออย่างน้อยก็ใน
    กำเนิดสัตว์เดรัจฉานอย่างเก่าอีกนั่นเอง
    เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ก็พึงพิจารณาเถิดว่า สัตว์ที่โชคร้ายพลาดพลั้ง
    ไปเกิดในกำเนิดเดรัจฉาน หากไม่มีกุศลกรรมความดีที่ตนเคยสร้างไว้ก่อนมา
    ช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนแล้ว ก็เป็นการยากแสนยากที่จะยกตนให้พ้นจากอบายภูมิไดั
    ฉะนั้น จึงไม่ควรประมาท จงหมั่นประกอบกุศลกิจ เพื่อผดุงชีวิตตนไม่ให้หล่น
    ไปในกำเนิดเดรัจฉาน
    พรรณนาในติรัจฉานภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติได้แล้ว จึงขอยุติลง
    ด้วยประการฉะนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...