blog ธรรมะ วิญญาณ สำหรับผู้สนใจ

ในห้อง 'ธรรมทาน - วิทยาทาน' ตั้งกระทู้โดย ิbeerms, 14 สิงหาคม 2010.

  1. ิbeerms

    ิbeerms สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +9
    อันนี้เป็น blog ที่ผมเขียนขึ้นมาเอง ขอเชิญ ผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรม เข้ามาอ่าน และ นำไปฝึกปฏิบัติกันได้ ตาม URL นี้

    ธรรมะ สมาธิ วิญญาณ พลังจิต


    blog ผมจะพยายามอับเดต เรื่อยๆ ครับ
     
  2. fantasyjazz

    fantasyjazz สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    อานิสงส์ในการสร้างหนังสือ หรือทำธรรมทาน

    อานิสงส์ในการสร้างหนังสือ หรือทำธรรมทาน แล้วผู้ที่ใช้สื่อ “ธรรมทาน” (จากคนสร้างหรือสนับสนุน) ได้ปฏิบัติดี
    ปฏิบัติชอบ อานิสงส์และบุญกุศลของผู้สร้างหนังสือหรือสื่อธรรมะนั้น จึงได้รับ ผลบุญผลกุศลอย่างมหาศาลไปด้วย
    เมื่อไม่นานมานี้เอง มารดาของคนนั้นไม่สบาย เจ็บหนักใกล้ จะเสียชีวิต แต่คนนั้นยังมีความต้องการอยากให้มารดา
    ของตัวเองอยู่ ไปอีกระยะ
    คนนั้นมาปรึกษาผม ผมก็ลองแนะนำให้ทำตาม
    โดยอ้างอิงบุญกุศลที่ได้เคยทำมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการ ทำ “ธรรมทาน” ที่ได้เคยช่วยสร้าง ช่วยสนับสนุนให้
    สร้างหนังสือ “ธรรมะ” ให้มาช่วยต่ออายุมารดาตัวเอง
    จากที่หมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่กี่วัน นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะไป (ตาย) เลย และน่าจะอยู่ไปได้อีกนาน
    เพราะอาการ เจ็บอาการป่วยแทบจะหายไปหมด
    จากที่แม่พูดไม่ได้ กินไม่ได้ (ต้องกินอาหารทางสายยาง) ได้ แค่ขยับมือขยับตัว
    พอคนนั้นทำตามที่ผมแนะนำ ปรากฏว่าชั่วข้ามวัน แม่ของคน นั้นก็เปลี่ยนเป็นคนละคน
    พูดได้ เดินได้ กินได้ (อาหารปรกติ) ไปไหนมาไหนได้
    อย่าว่าแต่ผู้เป็นลูก (คนนั้น) จะอัศจรรย์ใจเลย แม้แต่หมอ พยาบาลยังแปลกใจ
    นั่นเป็นเพราะบุญกุศล อานิสงส์แห่งการกระทำดี กระทำบุญ กุศลเป็นส่วนช่วย บุญกุศลจากการทำ “ธรรมทาน”
    และจากการ ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน
    จาก
     
  3. fantasyjazz

    fantasyjazz สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    การขอต่ออายุให้พ่อแม่ และผู้มีพระคุณ[​IMG]

    บทความเรื่องนี้ ผมสองจิตสองใจ ตัดสินใจอยู่นาน ว่า จะเขียนดีหรือไม่ดี ? เพราะบทความต่างๆ ที่ได้เคยเขียนไว้ นั้น จะเป็นแนวทางในเรื่อง “ความเป็นจริง” ผมมักจะไม่เขียนเรื่องที่เกินจริง หรือเรื่องมหัศจรรย์ ที่ป็นเรื่อง รู้เห็นได้เฉพาะตน การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้น เป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” เป็นเรื่องของความจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกนี้ ที่จะหลีกพ้นความจริงในเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน มีบารมีมากแค่ไหน หรือเก่งกล้า สามารถในเรื่องการปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐานแค่ไหน ก็ไม่สามารถพ้นเรื่อง “ความตาย” ไปได้ แต่ทั้งๆ ที่รู้กันดี ในความเป็นจริงเรื่องนี้คือ เรื่องที่ทุกคนเกิด มาต้อง “ตาย” ด้วยกันทั้งนั้น หลายๆ คนก็พยายามดิ้นรนไม่อยาก “ตาย” ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้อง “ตาย” แต่ดิ้นรนไม่อยาก “ตาย” ฟังดูแล้วเป็นเรื่องแปลก แต่จริงๆ แล้ว ทุกคนต้องเป็นอย่างนี้ ทั้งนั้น เป็นทั้งแบบตัวเองก็ไม่อยาก “ตาย” และไม่อยากให้คนที่เรา รัก เรารู้จัก หรือคนที่สนิทสนม มีความรู้สึกความสัมพันธ์ที่ดี “ตาย” พยายามดิ้นรนแสวงวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะไม่ “ตาย” ไปหาครูบาอาจารย์ หลวงพ่อ หลวงปู่ หรือเกจิอาจารย์ต่างๆ ไปให้ทำพิธีให้ เพื่อที่จะพ้น “ความตาย” แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำพิธีกรรมใดๆ เพื่อที่ให้พ้นความตาย ได้ บางทีก็ถูกหลอก บางทีก็เสียเงิน เสียตัว เสียความรู้สึกก็คงจะเหมือนเรื่องการไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรม ที่หลายคนชอบไปทำกันนัก เสียอะไรต่อมิอะไรไปมากมาย แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ ไม่มีการสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรมได้อย่างแน่นอน เพราะ“กรรม” นั้น จะหมดไปได้ก็ต่อเมื่อมีการชดใช้เท่านั้น แค่การสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรม ยังไม่สามารถจะทำได้ เลย แล้วนับประสาอะไรกับการจะทำพิธีกรรมให้พ้นจาก "ความตาย” ไม่มีใครสามารถจะพ้น “ความตาย” ไปได้ แต่ถ้าจะ “ยืด” เวลาตายออกไปอีกนั้น ก็เป็นเรื่องที่สามารถ ทำได้ “ยืด” เวลาออกไปนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะ “พ้น” ความตาย มีผู้ที่สามารถทำได้อย่างนั้นจริงๆ มีผู้ที่สามารถ “ยืด” เวลาตายได้ แต่ไม่สามารถ “พ้น” ความตายได้ นอกจากจะ “ยืด” เ วลาตายของตัวเองออกไปได้แล้วนั้น ผู้ที่ “สามารถ” เหล่านี้ ก็ยัง “สามารถ” ยืดเวลาตาย ของคนอื่นได้ด้วย พูด (เขียน) เพียงเท่านี้ อาจจะดูเป็นเรื่องง่าย กับการที่จะยืด อายุหรือยืดเวลาตายออกไป ความจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น มีเงื่อนไข มีองค์ประกอบมาก มาย บางเงื่อนไข บางข้อทำไม่ได้ง่ายๆ ที่สำคัญ.......มันต้องมีการสะสมปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการ จะกระทำการ "ยืดอายุ" ด้วย ไม่ใช่นึกอยากจะยืดอายุให้ตัวเอง หรือให้คนอื่น ก็จะทำได้ ทันที ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องใช้เวลา ใช้การสะสม ใช้ความจริงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญด้วย ลองอ่านไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่า การกระทำอย่างนี้ การยืดอายุ คนนั้น มันทำไม่ได้ง่ายๆ และไม่ใช่นึกจะทำ ก็ทำได้เลย อย่างที่บอกเอาไว้ว่า ไม่มีใครหนีพ้น “ความตาย” ไปได้ แต่คนเราก็พยายามหนีจากความตายนั้น...ให้ได้ บางคนก็รอดพ้นจากความตาย....ได้ ด้วยความสามารถของ คนอื่น ความตายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ ไม่มีใครไม่เจอ เพราะฉะนั้น ถ้าบางองค์ บางท่าน บางคน มีความรู้ความ สามารถ มี “จิต” ที่สงบนิ่งมากพอ ก็ “สามารถ” ล่วงรู้อนาคตได้ว่า ใครคนไหนถึงเวลาที่จะหมดอายุ หรือต้องตาย เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถล่วงรู้ได้ แต่จะต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ “จิต” ต้องนิ่งและสงบมากพอ แต่การ “รู้” นั้น บางทีก็ได้เพียงแค่ “รู้” แต่ก็ไม่สามารถ “แก้ไข” ได้ อาจจะสืบเนื่องมาจากเป็นเรื่องของ “กรรม” ที่เมื่อได้เคยทำ “กรรม” ใดไว้ ก็ต้องรับ “กรรม” นั้น อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มั้ยครับ มีคนหนึ่งซึ่งกำลังจะตาย จะด้วยเหตุอะไรไม่ต้องไปสนใจ แต่ ต้องตายแน่นอน คนๆ นั้นก็ไปกราบพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระท่านเห็นว่า คนๆ นี้ชะตาขาด จะต้องหมดอายุอย่างแน่นอน พระท่านก็อยากช่วย เพราะความเมตตา ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้อยู่ว่าคนๆ นี้ชะตาขาดแน่นอน แต่ด้วยความเมตตา เพราะรู้แล้วเห็นแล้วว่าลูกศิษย์จะตาย จะนั่งเฉยๆ ก็กระไรอยู่ คนๆ นี้นั่งสนทนากับพระรูปนี้อยู่เป็นเวลานาน ก็ขอลากลับ พระท่านก็บอกว่า อย่าเพิ่งกลับ ให้อยู่คุยกันก่อน คนๆ นี้ก็แปลกใจ เพราะไม่เคยเลยที่พระรูปนี้ท่านจะทักท้วงเพราะเวลาที่จะกราบลากลับ ท่านก็จะให้ศีลให้พร ให้เดินทางกลับ อย่างปลอดภัย ไม่เคยรั้งรอ หรือถ่วงเวลาเอาไว้ แต่คราวนี้ทำไมพระท่านถึงยังไม่อยากให้กลับ รั้งเอาไว้ แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไรมากนัก คิดไปว่าก็คงเป็น เพราะคิดถึงกัน เพราะครั้งนี้เป็นครั้งล่าสุดที่ได้มากราบ เนื่องจาก ไม่ได้มานมัสการท่านนานหลายเดือนแล้ว คนๆ นี้ลากลับถึง 3 ครั้ง พระท่านก็รั้งไว้ถึง 3 ครั้ง แต่เจ้าตัวมีภารกิจที่ต้องกลับไปจัดการ โดยไม่คิดว่าภารกิจ ที่ว่านั้น ตัวเองก็ไม่สามารถจัดการได้ พระท่านเมื่อห้ามถึง 3 ครั้งแล้ว ไม่สามารถจะห้ามได้ และไม่ สามารถจะทัดทานได้ จึงต้องปล่อยเลยตามเลย ด้วย “กรรม” เป็นเครื่องกำหนด....สรรพสิ่ง คนๆ นั้นก็เดินทางกลับ พ้นออกจากวัดมาไม่เท่าไหร่ ปรากฏ ว่าโดนรถ 10 ล้อชน ตายคารถ...ตรงนั้น คนเรานั้น เมื่อ “กรรม” กำหนดให้เป็นไปอย่างนั้น และเป็น “กรรมหนัก” แล้ว ก็ไม่มีใครหรืออะไรที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าจะถามว่า เมื่อพระองค์นั้นท่านทราบแล้วว่าลูกศิษย์ตัวเอง ชะตาขาด ทำไมไม่บอกความจริงไปเลยว่า ถ้าออกไปจากวัดแล้ว ต้องตายแน่นอน ทำไม่ได้ เพราะการที่จะไปบอกในเรื่องที่เป็นอนาคต และทำนายทาย ทักในเรื่องความตายให้กับคนอื่นนั้น มันผิดวินัยของสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านไม่ทำ เพราะมันเป็นการอวดอุตริ เรื่องนี้มีแนวความคิดอย่างนี้ “กรรม” ก็คือเรื่องที่เคยทำเอาไว้ ถ้าเป็นกรรมหนัก และเป็นกรรมที่ถูกผูกขาดไว้ ด้วยความอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวร กรรมอย่างนี้จะถูกกำหนดให้ตายตัวลงไปเลยว่า การชดใช้ กรรมนั้น จะเป็นที่ไหน เวลาไหน ตรงจุดไหน เรื่องที่ผมเล่านั้น ความเป็นจริงก็คือ ระยะทางและสถานที่ได้ ถูกกำหนดเอาไว้ว่า ผู้ชายคนนั้นจะต้องตายตรงนี้ เวลานี้ ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้ ผ่านเรื่องเวลา ผ่านเรื่องสถานที่ ก็จะผ่าน ความตายไปได้ (อ่านดีๆ ด้วยว่า ผ่านความตายไปได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ตาย แต่หมายถึง อาจจะไม่ตายตรงจุดนั้น เวลานั้น แต่อาจจะ ไปตายเวลาอื่น สถานที่อื่น ซึ่งอาจจะยืดเวลาออกไปได้ระยะหนึ่ง และในเวลาที่จะตายตรงจุดนั้น เวลานั้น แล้วไม่ตาย แต่ก็จะ ได้รับกรรมคล้ายๆ กับการตายเหมือนกัน เช่น โดนทำร้ายเจียนตาย อุบัติเหตุหนัก หรือเจ็บปวดหัวใจเหมือนตาย...ทั้งเป็น) พระท่านรู้ความเป็นจริงในเรื่องนี้ จึงพยายามถ่วงเวลาเอาไว้ เพื่อว่าเมื่อผ่านเวลาไป หรือผ่านสถานที่นั้นไปแล้ว จะลดความหนักความรุน แรงไปได้บ้าง แต่เมื่อเป็น “กรรม” หนัก ก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ การที่ถูกกำหนดสถานที่ตาย หรือเวลาตายเอาไว้นั้น จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ “กรรม” ได้กำหนดเอาไว้แล้วว่า จะต้องตายเวลานั้น เวลานี้ สถานที่นั้นสถานที่นี้ เรื่องนี้พิสูจน์กันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เอาที่เห็นชัดๆ พอจะยกตัวอย่างได้สัก 2-3 เรื่อง อย่างเหตุการณ์ รถบรรทุกแก๊สระเบิด ที่ถนนเพชรบุรี ตัดใหม่ คนตายมากมาย บางคนก็ถูกไฟย่างสดๆ ตายคาถนน เป็น เรื่องที่น่าสยดสยอง คนบางคนไม่เคยเดินทางผ่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่เลย คนบางคนอยู่ต่างบ้านต่างเมือง อยู่คนละซีกโลก ไม่มีความ จำเป็นต้องเดินทางผ่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่เลย แต่ในเวลานั้น (เวลา ที่แก๊สระเบิด) สถานที่นั้น (ถนนเพชรบุรีตัดใหม่) ทำไมคนที่ต่างคนต่างอยู่ อาจจะอยู่คนละซีกโลก ต้องมารับ เคราะห์กรรม ต้องมาตายพร้อมๆ กัน ในสถานที่ที่เดียวกัน นั่นเป็นเพราะ “กรรม” เป็นตัวกำหนด ให้มา “ตาย” พร้อมกัน เวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน เพราะได้เคยร่วมทำ “กรรม” เดียวกัน หรือเรื่องภัยธรรมชาต ิ “สึนามิ” คนตายกันหลายแสนคน (ทั้งหมด) หรือตายกันหลายหมื่นใน ประเทศไทย คนเหล่านี้ ต่างคนต่างอยู่ อยู่กันคนละประเทศ คนละซีกโลก ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างจิตต่างใจกัน ทำไมต้องมาตายที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน พร้อมๆ กันเป็นหมื่นเป็นแสน โดยที่ไม่ได้นัดกันมาเจอกัน แต่มาเจอกันเอง มาอยู่ในเหตุ การณ์เดียวกัน และมาจบชีวิตพร้อมกัน เรื่องนี้ “พิจารณา” กันให้ดีๆ เรื่องนี้ให้จำเอาไว้เป็นข้อสันนิษฐานให้ดีเลยว่า ถ้ามีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ทักเรา หรือเตือนเรา ตลอดจน การถ่วงเวลาไม่ให้เราเดินทางไปในที่ที่เรากำลังจะไป หรือ ห้ามในเรื่องต่างๆ ขอให้เชื่อไว้ก่อน (ด้วยการพิจารณาจาก “สติ” และ “ปัญญา”) ว่า ควรทำตามที่ท่านได้แนะนำ ได้เตือน หรือได้บอก เชื่อคนดี ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบไว้ ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะบางที ท่านเหล่านี้อาจจะกำลังจะช่วยเหลือเราทาง อ้อมก็ได้ ที่เล่าให้ฟังมานั้น เป็นเรื่องที่กำลังจะบอกว่า ยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หลายองค์ หลายท่าน หลายคน สามารถจะหลีกเลี่ยง หรือยืด “ความตาย” ไปได้....ในระยะหนึ่ง แต่อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า การกระทำอย่างนี้ต้องมี เงื่อนไขหลายอย่าง ลองดูเงื่อนไขที่ว่านั้นกันก่อน 1. ในกรณีจะช่วยคนอื่นนั้น คนๆ นั้นต้องเป็นคนที่มีบุญคุณ อย่างมากมายมหาศาลกับเรา เช่น พ่อแม่ หรือผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง ใหญ่กับเรา ต้องย้ำและเน้นว่า ต้องเป็น พ่อ แม่ หรือผู้ที่มีพระคุณอย่างยิ่ง ใหญ่มหาศาลเท่านั้น 2. คนที่เราจะช่วย (หรือแม้แต่ตัวเราเอง) นั้น เราต้องมั่นใจ ก่อนว่าเป็นคนดี มีคุณธรรม มีศีล มีสัตย์ มีบุญกุศล เป็นคนใฝ่ใน เรื่อง “ธรรม” และชอบทำบุญทำกุศล เพราะการที่จะมีชีวิตยืดออกไปอีกสักระยะนั้น ถ้าคนที่ถูกยืดอายุนั้น ไปทำความชั่วความเลว มันก็เป็นเรื่องที่เสียหายสำหรับผู้ที่ ทำการยืดอายุ เพราะอยู่นานออกไป แล้วไปทำความชั่วความเลว มันก็เป็น เรื่องที่ไม่สมควร ไม่ดี ไม่ควรค่ากับการที่มีอายุนานออกไปอีก ไม่ว่า จะเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ก็ตาม แต่ถ้าอยู่นานออกไปสักระยะ แล้วคนๆ นั้นกระทำแต่ความดี ทำแต่บุญกุศล เป็นเรื่องที่ดีที่สมควรทำ เพราะอยู่นานไปแล้วทำดี ก็มีคุณค่า คู่ควรกับการที่จะมีอายุสืบนานไปอีกระยะ และคนที่ไปช่วยคนอื่นยืดอายุออกไปอีกนั้น เท่ากับต้องเป็น คนค้ำประกันด้วยว่า คนที่ไปช่วยยืดอายุคนนั้น จะต้องทำแต่ความดี ควรค่ากับการที่จะมีอายุต่อไป ถ้าในทางตรงกันข้าม คนที่มีอายุยืดออกไปนั้น ทำแต่ความ ชั่วความเลว เราซึ่งเป็นคนช่วยยืดอายุ ก็เท่ากับเป็นผู้สนับสนุนให้ คนอื่นทำความชั่วความเลวด้วย ผู้สนับสนุน ก็เท่ากับเป็นผู้กระทำเอง ผู้สนับสนุนให้คนอื่นทำความชั่วความเลว ก็เสมอเหมือนกับได้ทำความชั่วความเลวนั้นเอง รับ “กรรม” (ชั่ว) เช่นเดียวกัน 3. ผู้ที่จะช่วยต่ออายุให้คนอื่นนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีบุญกุศลมาก มายมหาศาล มีมากมายพอที่จะเอาความดีเหล่านั้น มาพยุงชีวิตของ ตัวเอง หรือของคนอื่นด้วย ถ้าตัวเองยังไม่ดีพอ ยังมีความดี ยังมีบุญกุศลไม่เพียงพอ จะมีน้ำหน้าไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร ? แค่ลำพังตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด ก็อย่าได้ไปช่วยอะไรคน อื่นเลย และในหลักการของความเป็นจริงตามธรรมชาติก็คือ จะทำ อะไรให้ได้ผลอย่างที่ตั้งใจ ก็ต้องทำ “เหตุ” ให้ตรงกับ “ผล” ที่เราจะ ได้รับ ถ้าเราหวังว่าจะให้คนอื่น (หรือแม้แต่ตัวเราเอง) มีอายุยืนนาน ออกไปอีกสักระยะ เราก็ต้องทำ “เหตุ” ให้ตรงด้วย ก็คืออย่าไปทำร้ายชีวิตคนอื่น หรือสัตว์อื่นให้ต้องหมดไป พูด ง่ายๆ ก็คืออย่าไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตชีวิตอื่น ที่สำคัญ (มาก) ในข้อนี้ก็คือ ต้องเป็นผู้ที่มีบุญกุศลมากมาย มหาศาลอย่างที่บอก และต้องมีสะสมมาเป็นเวลานาน หรือมากพอ การที่จะมีบุญกุศลมากพอนั้น มันต้องมีการสะสม เพราะไม่มี อะไรหรอกที่จะได้มามากๆ ในระยะเวลาเพียงไม่เท่าไหร่ มันต้องมีการสะสม ต้องใช้เวลา การทำบุญทำกุศลก็เช่นกัน ไม่ใช่ทำวันสองวัน เดือนสอง เดือน ปีสองปี แล้วจะได้บุญมากมายสมความตั้งใจ เว้นแต่ในกรณีที่ทำ “กรรม” หนัก เช่น ทำบุญกับพระอริยะ หรือปฏิบัติจนได้ “สมาธิ” สูงๆ เมื่อรู้ว่าบุญกุศลต้องใช้เวลาในการสะสม ก็ต้องสะสมให้ จริงๆ จังๆ ทุกเวลาที่คิดว่าเราสามารถทำบุญทำกุศลได้ ไม่ใช่ว่าอยากจะยืดอายุพ่อแม่ของตัวเองวันนี้ แล้วมาเร่งทำ ความดีในวันนี้ ไม่ทันแน่นอนบุญบารมี กุศลและความดีนั้น ถ้าอยากให้มีมากต้องสะสมสะสมไว้วันละนิดวันละหน่อย ก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย สะสมบุญกุศล และคุณความดีนั้น ทำได้ทุกลมหายใจเข้า ออก การกระทำที่ได้บุญกุศลได้อานิสงส์มากที่สุดนั้นก็คือการปฏิบัติ สมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน ซึ่งรายละเอียด ผมได้เขียนไว้อย่างละเอียดแล้ว ในหนังสือ “สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้” เล่มที่ 1 รายละเอียด หรืออ่านได้ในเวบไซต์ http://www.extrasoul.com การเป็นคนดี เป็นคนที่ชอบทำบุญทำกุศลนั้น จะมีบุญกุศล ติดตัวไว้เป็นตัวสะสมไว้ใน “จิต” ตลอด เมื่อใดก็ตามที่เกิดภาวะวิกฤตฉุกเฉิน หรือเกิดมีความจำเป็น อย่างยิ่งยวด ก็สามารถนำบุญกุศลหรืออานิสงส์ของความดีนั้น มา ช่วยแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ โดยการอธิษฐานอ้างอิงบุญ กุศล หรือคุณความดีที่เราได้เคยกระทำมาแล้วเป็นตัวช่วย ด้วยเหตุนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสว่าให้เร่ง ทำบุญกุศลให้มาก ตลอดเวลา แม้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก (คือ เป็นไปในทำนองนี้ คงไม่ใช่ถูกต้องตรงทุกคำพูด ทุกตัวอักษร เพราะ ผมไม่เคยได้ยินที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสโดยตรง มีแต่ครูบาอาจารย์ ท่านสอนครับ) เพราะเราไม่รู้ว่าวันใดวันหนึ่ง เรามีโอกาสจำเป็นที่ต้องใช้บุญ กุศลนั้นหรือไม่ ถ้าเกิดมีความจำเป็นต้องใช้บุญกุศล แล้วเราไม่เคยทำมา ก่อน หรือทำก็มีไม่มากพอ มันจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือวิกฤต การณ์ที่เกิดขึ้นได้ จะมาเร่งทำในระยะเวลาอันใกล้นั้น บางทีมันไม่ ทันเวลา เมื่อคุณๆ ท่านๆ ยังมีลมหายใจ ยังมีโอกาสที่จะทำความดี ทำบุญกุศลได้ ก็จงทำ อย่าได้คิดว่า เอาไว้มีเรื่องมีปัญหา มีวิกฤตการณ์แล้วค่อยมา ทำบุญทำกุศลกัน มันจะไม่ทันกาล ทันการณ์ และทันการ มีเรื่องจริง (อีกเรื่อง) ที่คนที่ผมรู้จักได้เล่าให้ฟัง ก็คือ คนหนึ่ง (คนที่เล่าเรื่องให้ผมฟัง) เป็นคนที่ไม่รู้จักการทำบุญ ทำกุศลที่ถูกต้องอย่างแท้จริง คนนั้นก็ทำเพียงใส่บาตรตอนเช้าทุกๆ วัน บุญกุศลก็จะได้เพียงแค่นี้ ในเมื่อไม่เคยทำบุญกุศลอื่นเลย อานิสงส์จึงไม่หลากหลายได้ เท่าที่ทำ เมื่อมาเจอผม ผมก็บอกให้คนนั้นปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา กรรม ฐาน แล้วคนนั้นก็ถามว่า ตัวเองเป็นคนไม่ค่อยมีปัญญา (แต่ไม่ถึง กับโง่) อยากจะสนับสนุนให้คนอื่น มีปัญญาสว่างไสว (เป็นความคิด ที่ดี) ควรทำบุญทำกุศลอย่างไร ? ผมก็ตอบว่าควรทำ “ธรรมทาน” ซึ่ง “ธรรมทาน” นั้น ก็คือการให้คนอื่นได้รู้ ให้ความคิด ให้ ปัญญากับคนอื่น เช่น การสอนธรรมะ การบอกเล่าธรรมะ การให้สื่อที่เป็น ธรรมะ เช่น แจกหรือให้หนังสือธรรมะ หนังสือสวดมนต์ซีดีธรรมะกับผู้อื่น หรือจะเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นทำ “ธรรมทาน” ก็จะได้ อานิสงส์ในแบบเดียวกัน ก็คือได้ “ปัญญา” (แต่การทำบุญทำกุศลแล้วจะได้อะไรตามนั้น ต้องมีเงื่อนไข ว่า ต้องทำ “เหตุ” ให้ตรงด้วย เช่น ถ้าทำบุญ “ธรรมทาน” ก็ต้อง ศึกษาหาความรู้ด้วย ไม่ใช่ทำ “ธรรมทาน” แล้วไม่หาความรู้ ความ รู้ก็จะไม่มาหาเรา) คนๆ นั้นก็ทำตามที่ผมบอก แล้วถามผมว่า จะพิมพ์หนังสือที่ ให้ปัญญาหรือหนังสือธรรมะได้มั้ย ? ผมก็ตอบว่า... ได้... ดีด้วย คนนั้นก็บอกว่าเห็นผมจะพิมพ์หนังสือ “สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้” เล่มแรก คนนั้นก็ถามว่าหนังสือผมนั้น จัดว่าเป็นหนังสือธรรมะได้หรือไม่ ผมก็บอกว่า ก็กึ่งๆ เป็นหนังสือธรรมะ แต่ไม่ตรงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีอารมณ์อื่นปนอยู่ด้วย เช่น เรื่องของการทำเพื่อแสวงหาผล กำไร เป็นธุรกิจในการจัดพิมพ์หนังสือ แต่ถ้าเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ อย่างเช่นหนังสือที่ผมเขียน (สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้) ก็เป็นหนังสือที่ให้ปัญญาได้ เป็น “ธรรมทาน” เช่นกัน และหนังสือที่ผมพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ไม่ว่าจะพิมพ์ขาย หรือพิมพ์แจก ผมก็นำหนังสือนั้น ไปแจกจ่ายให้กับคนอื่นทั่วไปได้ เช่นกัน ทั้งตามวัด สถานปฏิบัติธรรม ผู้ที่สนใจเรื่องการปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน โดยไม่ต้องมานั่งโฆษณาบอกใคร พิมพ์ด้วย ขายด้วย แจกเป็น “ธรรมทาน” ด้วย คนนั้นก็แสดงความปรารถนาดีจะช่วยพิมพ์ ผมก็เลยบอกว่า ตอนนี้มีกัลยาณมิตรได้อุปถัมถ์แล้ว ทั้งช่วยสนับสนุนเรื่องการพิมพ์ และผู้ที่สั่งจองหนังสือด้วย ผมก็เลยบอกให้คนนั้น ไปสนับสนุนหนังสือท่านอื่น ที่กำลัง ต้องการผู้อุปถัมภ์ เขาก็ไปสร้างหนังสือธรรมะ เป็นเรื่องที่โชคดีมหาศาล ที่มีคน อ่านหนังสือที่คนนั้นสร้าง แล้วเกิดสนใจในพระพุทธศาสนา ได้อ่าน หนังสือ (ที่คนนั้นสร้าง) แล้วปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และจริงใจ ปรากฏว่าได้บรรลุธรรมในระดับสูง อานิสงส์ในการสร้างหนังสือ หรือทำธรรมทาน แล้วผู้ที่ใช้สื่อ “ธรรมทาน” (จากคนสร้างหรือสนับสนุน) ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อานิสงส์และบุญกุศลของผู้สร้างหนังสือหรือสื่อธรรมะนั้น จึงได้รับ ผลบุญผลกุศลอย่างมหาศาลไปด้วย เมื่อไม่นานมานี้เอง มารดาของคนนั้นไม่สบาย เจ็บหนักใกล้ จะเสียชีวิต แต่คนนั้นยังมีความต้องการอยากให้มารดาของตัวเองอยู่ ไปอีกระยะ คนนั้นมาปรึกษาผม ผมก็ลองแนะนำให้ทำตาม โดยอ้างอิงบุญกุศลที่ได้เคยทำมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการ ทำ “ธรรมทาน” ที่ได้เคยช่วยสร้าง ช่วยสนับสนุนให้สร้างหนังสือ “ธรรมะ” ให้มาช่วยต่ออายุมารดาตัวเอง จากที่หมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่กี่วัน นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะไป (ตาย) เลย และน่าจะอยู่ไปได้อีกนาน เพราะอาการ เจ็บอาการป่วยแทบจะหายไปหมด จากที่แม่พูดไม่ได้ กินไม่ได้ (ต้องกินอาหารทางสายยาง) ได้ แค่ขยับมือขยับตัว พอคนนั้นทำตามที่ผมแนะนำ ปรากฏว่าชั่วข้ามวัน แม่ของคน นั้นก็เปลี่ยนเป็นคนละคน พูดได้ เดินได้ กินได้ (อาหารปรกติ) ไปไหนมาไหนได้ อย่าว่าแต่ผู้เป็นลูก (คนนั้น) จะอัศจรรย์ใจเลย แม้แต่หมอ พยาบาลยังแปลกใจ นั่นเป็นเพราะบุญกุศล อานิสงส์แห่งการกระทำดี กระทำบุญ กุศลเป็นส่วนช่วย บุญกุศลจากการทำ “ธรรมทาน” และจากการ ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน สรุปได้ว่า ถ้าเราต้องการจะ “ยืด” อายุของพ่อแม่ และ ผู้มีพระคุณออกไปสักระยะหนึ่งนั้น ควรทำอย่างนี้ 1. พิจารณาผู้ที่เราจะ “ยืด” อายุด้วยว่า เป็นผู้สมควรจะช่วย มั้ย ต้องเป็นพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณมากๆ ของเรา หรือถ้าเป็นตัวเรา เอง เราก็ต้องพิจารณาด้วยความเป็นกลางและความเป็นจริงว่า เรา เองน่าจะมีอายุต่อไปอีกมั้ย 2. พิจารณาด้วยว่า ผู้ที่เราจะช่วย “ยืด” อายุต่อไปอีกนั้น เป็น คนอย่างไร เป็นคนดีเป็นคนที่ชอบทำบุญกุศลหรือไม่ ? ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ ควรไปช่วย เพราะถ้าผู้ที่เราช่วยยืดอายุ ไปทำความเลวความชั่ว เราเอง นั่นแหละ ต้องรับ “กรรม” ตรงนั้นด้วย 3. ข้อนี้สำคัญ เราผู้เป็นผู้ที่จะยืดอายุให้คนอื่นนั้น (หรือแม้แต่ ตัวเราเอง) ต้องมีบุญกุศล ต้องมีความดีอย่างมหาศาลด้วย ไม่ใช่แค่มี บุญกุศล แต่ต้องมีบุญกุศลอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งเกิดมาจาก การสะสมบุญกุศลที่ใช้เวลา อย่าทำในเวลาจำกัด แต่ต้องทำความดี ทำบุญกุศลเอาไว้ตั้ง แต่เนิ่นๆ เพื่อสะสมบุญบารมี บุญกุศลเอาไว้ให้มากๆ.....ตั้งแต่วันนี้ เมื่อพิจารณาได้แล้วว่า สมควรจะช่วยยืดอายุให้คนอื่น (แม้แต่ตัวเอง) แล้ว ก็ตั้งใจตั้ง “จิต” ให้เป็นสมาธิ ตั้ง “จิต” มั่น ทำ “จิต” ให้สงบ แล้วอธิษฐาน ดังนี้...... .....“ด้วยบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวง ที่ข้าพเจ้าได้เคยทำมาแล้ว ที่กำลังทำ และที่จะทำต่อไปในอนาคต ขอให้เป็นพลว (อ่านว่า พะ-ละ-วะ) ปัจจัย ให้ ............(ผู้ที่เราจะช่วย) ได้มีอายุยืนยาวนานออก ไปสักระยะ เพื่อให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณ และแสดง ความกตัญญู กตเวทิตากับ..........(ผู้ที่เราจะช่วย) ตามหลักธรรมของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อ ให้...........(ผู้ที่เราจะช่วย) ได้มีโอกาสสร้างบุญบารมี สร้างบุญ สร้างกุศลให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป” ไม่ต้องไปกำหนดว่าให้มีชีวิตยืดออกไปกี่ปี เพราะจะเป็นการ ฝืนความเป็นจริง และแสดงถึงความเห็นแก่ตัวเกินไป ยืดได้เท่าไหร่ก็จงพอใจ....แค่นั้น แต่อย่าลืมความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า ไม่มีใครหนีพ้นเรื่อง “ความตาย” ไปได้ ไม่ว่าจะมีการ “ยืด” ระยะเวลาไปได้สักกี่ครั้ง (ซึ่งจริงๆ แล้ว ทำได้ไม่กี่ครั้งเท่านั้น) สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ไม่สามารถจะหนีความตายไปได้ ทุกคนต้อง “ตาย” เมื่อถึงเวลาที่สุดของที่สุดแล้ว ทุกคนก็ต้อง “ตาย” นี่คือสัจธรรม........ความเป็นจริงที่จริงแท้แน่นอนที่สุด เมื่อเราได้รู้ถึงอานิสงส์แห่งการกระทำดี การกระทำบุญกุศล ที่สามารถนำมาช่วย “ยืด” อายุของพ่อแม่หรือผู้พระคุณอย่างยิ่งใหญ่กับเราได้อย่างนี้แล้ว เราจะมานั่งรอเวลาอะไรอีก จะรอให้พ่อแม่ ผู้มีพระคุณใกล้ตายก่อนหรืออย่างไร ? ถึงจะ มานั่งทำความดี คิดหรือว่า จะมาเร่งทำบุญทำกุศลเพื่อให้ทันมาช่วยวิกฤตนั้น จะมาช่วยได้ บุญกุศลที่เราทำอาจจะไม่มากพอ แต่ถ้าวันนี้ เวลานี้เรายังมีชีวิตอยู่ ยังสามารถทำความดี ทำ บุญกุศลได้ ทำไมไม่รีบทำ ทำไมไม่รีบสะสม ทำไมไม่กอบโกยบุญ กุศลเอาไว้ ถ้ารักพ่อรักแม่รักผู้มีพระคุณ ก็ควรรีบทำความดี ทำบุญทำกุศลตั้งแต่ตอนนี้เลย ทำบุญทำกุศลเอาไว้ให้มากๆ อ่านถึงตรงนี้จบแล้ว รีบทำบุญทำกุศลทำความดี...ทันที..เลยนะครับ อโณทัย เขตต์บรรพต จากหนังสือ “สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้” เล่ม 2 รายละเอียด (ข้อเขียนนี้ไม่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ในที่อื่นใด โดยหวังผลในเรื่องธุรกิจ แต่ถ้านำไปเผยแพร่เพื่อเป็นความรู้ และเป็นธรรมทาน โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องธุรกิจ ก็สามารถทำได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบทความ)</PRE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...