คลังเรื่องเด่น
-
หลวงพ่อเน้นย้ำไว้ ตายแล้วไปไหน กลิ่นธูปหรือกลิ่นดอกไม้จะบอกได้
หลวงพ่อเน้นย้ำไว้ ตายแล้วไปไหน กลิ่นธูปหรือกลิ่นดอกไม้จะบอกได้
มีลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดท่านหนึ่ง ได้เคยเอ่ยถาม ท่าน”หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(มหาวีระ ถาวโร , หลวงพ่อฤษีลิงดำ)” ว่า “กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา คุณแม่ด่อน กลิ่นประจักษ์ ได้ถึงแก่กรรมด้วยสาเหตุอันใดมิได้ไต่ถามมา แต่ที่ใคร่อยากทราบและจะไต่ถามก็คือว่าหลังจากที่ท่านตาย 7 วัน จะปรากฏมีกลิ่นธูปหอมๆ มาให้ลูกๆได้สัมผัสเสมอๆ ทั้งที่บ้านไม่มีใคร่จุดธูป ที่จะเรียนถามในลักษณะอย่างนี้ แสดงว่าผู้ตายไปดี หรือ ไม่ดีเจ้าคะ”
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(มหาวีระ ถาวโร , หลวงพ่อฤษีลิงดำ)ได้บอกกล่าวไว้ว่า “ไปเป็นพรหม” ซึ่งท่านหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(มหาวีระ ถาวโร , หลวงพ่อฤษีลิงดำ) ได้เมตตาอธิบายต่อไปว่า ถ้ากลิ่นเป็นกลิ่นธูปหอมเป็นพรหม หรือถ้ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นดอกไม้ละก็เป็นเทวดา หรือนางฟ้า กลิ่นที่ได้รับจะแตกต่างออกไปตามสถานะที่ผู้ตายได้ไปอยู่
คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่45 รวมธรรมเทศนาของ...พระราชพรหมยาน(มหาวีระ ถาวโร , หลวงพ่อฤษีลิงดำ)
------------------
ที่มา
http://www.tnews.co.th/contents/205410 -
"รักษาศีล รักษาที่ใจ" (หลวงปู่จันศรี จนฺททีโป)
"รักษาศีล รักษาที่ใจ"
" .. การรักษาศีลนั้น รักษาที่ไหน อะไรเป็นศีล ก็รักษาที่กาย วาจา ให้เป็นปกติ "กาย วาจาจะเป็นปกติได้ ก็ต้องอาศัยใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นประธาน ใจเป็นผู้บังคับบัญชา กาย วาจา ให้กระทำอย่างนั้น" .. "
หลวงปู่จันศรี จนฺททีโป -
พระพุทธชินราช :หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ผู้ถาม : "ทีนี้เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธชินราชนี่ พุทธลักษณะสวยสดงดงามนี่หมายถึงว่า พระพุทธชินราชนี่เป็นพุทธลักษณะคล้าย ๆ สมเด็จฯ องค์ปฐมหรือพระพุทธกัสสปครับ....?"
หลวงพ่อ : ความจริงเรือนแก้วนี่เขาสมมุติขึ้นมานะ แทนรัศมี ต้องไปถามพระเจ้าพรหมฯ
ผู้ถาม : "พระเจ้าพรหมมหาราชหรือครับ...?"
หลวงพ่อ : ใช่ "ความจริงพระพุทธชินราชที่พิษณุโลกนี่พระเจ้าพรหมมหาราชสร้าง พระเจ้าลือไทมาซ่อมทีหลัง"
ผู้ถาม : "สมัยโน้นหรือครับ...?
หลวงพ่อ : ใช่ ๆๆๆ คือว่าเวลานั้นท่านชื่อ "พระเจ้าศรีธรรมปิฎก" เราเรียกพระเจ้าพรหมฯ นั่นเป็นชื่อเดิม ชื่อที่เป็นพระราชาชื่อ พระเจ้าศรีธรรมปิฎก สร้าง และต่อมาสมัยสุโขทัยนี่ซ่อม ไม่ใช่สร้างนะ แต่เวลานั้นประวัติศาสตร์ไม่ได้เขียนไว้นี่ มันรุ่นก่อนประวัติศาสตร์
ที่คณะพิษณุโลกชุดที่เขานำพระบรมธาตุมาให้น่ะ ของเก่าเขาเยอะ พระเก่า ๆ เยอะ เขาลือกันว่าเจดีย์องค์นั้นที่พังไปแล้ว พระเจ้าพรหมฯ เอาของไปฝังไว้ที่นั่น พระบรมธาตุ เขาลือกันนะ มิใช่เขาลือ เขารู้ข่าวลือ ฟังต่อ ๆ มา และแกก็จะไปขุด พอเริ่มจะขุดเจ้าเสียงครึ่กครั่ก ๆ ตูมตาม ๆ ๆ เสียงในแผ่นดินนะ พอเขาจุดธูปบอกว่าจะขุดไปถวายหลวงพ่อ... -
"ใส่บาตรพระ" : พระองค์นั้นจะดีจะชั่วอย่าไปมอง พระองค์ไหนจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวท่าน เราคิดดี เราก็ได้บุญ
"ใส่บาตรพระ"
"ฉันไม่ใส่บาตรพระเพราะไม่เลื่อมใสพระองค์นั้น ไม่ทำบุญกับพระวัดนี้"
"หลวงพ่อจรัญ" จึงให้ข้อคิดไปว่า... ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปหาพระที่เป็นสุปฏิปันโนมาใส่บาตรหน้าบ้าน ไม่มีหรอก หายาก ลูกชาวบ้านมาบวช ให้เราตั้งจิตไว้
"ข้าพเจ้าขอทำบุญกับพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ" แล้วก็ใส่บาตรไป
พระองค์นั้นจะดีจะชั่วอย่าไปมอง พระองค์ไหนจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวท่าน เราคิดดี เราก็ได้บุญ...
บางคนตักบาตรมาจนแก่แต่ตายไปนรกเพราะเจตนาไม่ดีใส่บาตรด้วยความคิดที่ไม่ดี แล้วจะได้บุญได้อย่างไร
"คนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติกรรมฐานได้ผล เขาจะไม่มองพระในแง่ร้าย ส่วนพวกที่ชอบวิจารณ์พระองค์นั้นไม่ดี พวกนั้นแสดงว่ายังไม่ถึงธรรมะ ไม่ถึงพระรัตนตรัย"
"ถ้าปฏิบัติได้จะไม่มองพระในแง่ร้าย เห็นเป็นพระสงฆ์นุ่งเหลืองห่มเหลืองมาก็ไหว้พระสงฆ์สาวกของพระผู้เป็นสุปฏิปันโน พวกนี้ทำบุญได้ผลแน่นอน"
หนังสือ : ธรรมวิธีการแก้ปัญหา ของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) -
หลวงปู่ปานบอกหลวงพ่อฤาษีฯ เรื่อง "การเงิน"
หลายคนถามว่า...
เหตุที่ไม่สะสมทรัพย์นั้น มีความเป็นมาอย่างไร ได้ตอบให้ทราบว่า มีมาตั้งแต่วันที่อุปสมบท (บวช) วันแรก เมื่อออกจากโบสถ์แล้วพักเหนื่อยประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษๆ หลวงพ่อปานท่านเรียกเข้าไปหาท่าน ท่านแนะนำว่า เรื่องการเงินเป็นเรื่องที่ต้องระวังมาก อย่าเผลอปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำจิต ขออธิบายโดยย่อว่า...
ท่านแนะนำว่า...
"อย่าสะสมเงินไว้ให้มาก"...เมื่อมีคนถวายมา ให้แบ่งส่วนดังนี้
๑.ส่วนที่หนึ่ง...ร่วมสังฆทาน คือเอาเข้าโรงครัว
๒.ส่วนที่สอง...เอาไปเข้าร่วมวิหารทาน คือร่วมการก่อสร้าง
๓.ส่วนที่สาม...เอาไว้ใช้ส่วนตัว เมื่อมีความจำเป็น
๔.ในจำนวนเงินที่เอาไว้ใช้ส่วนตัวนั้น จงอย่าให้มีเกินพันบาท ถ้าเกินพันให้ทำบุญเสีย
๕.เงินในปีนี้ จงอย่าให้เหลือถึงปีหน้า ถ้าเหลือให้คิดว่า ปีหน้าเราจะทำอะไรที่มีการใช้จ่ายเกินจำนวนเงินที่เหลือ และเมื่อถึงปีหน้าจริงๆ ให้ทำตามที่ตั้งใจไว้
เมื่อรับเงินท่านแนะนำว่า...
"ให้คิดว่าถ้าเราไม่เป็นพระ ไม่มีใครให้เงินใช้ฟรีๆ อย่างนี้ เพราะเราบวชเป็นพระ จึงมีคนถวายเงิน จงอย่าเมาเงินที่ญาติโยมถวายมา จงใช้อย่างพระ, มีอย่างพระ..อย่ามีมากกว่าที่กำหนดให้"... -
เรื่องรู้เลยตาย : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ความจริงเรื่องรู้เลยตายหรือรู้ก่อนเกิดนี่ ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากจะพูด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียน ๆ เรื่องรู้เลยตายและรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่นรู้ว่าเมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้ถึงภควพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยว่ามันไฟอะไรจะดันไปไหม้แม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นเกินพอดี เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามเป็นจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ฉันนั่งคุมกรรมฐาน ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญูวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้
ไฟล้างโลก และสิ้นศาสนา
หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี จะมีไฟล้างโลก ล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่า ความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างนั้น เป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมาก มารวมตัวกันอยู่ เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลก มีแต่ความเร่าร้อน หาความสงบสุขไม่ได้ ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปีแล้ว จากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี... -
"นรก คือความโกรธ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
"นรก คือความโกรธ"
" .. "ความโกรธ เกิดขึ้นในใจในตัวของเรา มันร้อนอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบถทั้งปวงหมด เป็นไฟเผาตลอดเวลา คนที่โกรธมากจึงอายุสั้น ตายเร็ว ถ้ายังไม่ตายก็ถูกไฟเผาอยู่นั่นแหละ" ความโกรธนั้น มันเกิดจากความไม่พอใจเรียกว่า "ปฏิฆะ"
"นรกแตก" คือว่า "ความโกรธ ความไม่พอใจมันร้อนเต็มที่แล้ว มันแตกกระจายออกไป เห็นสิ่งต่าง ๆ แล้วไม่พอใจไปทั้งหมด" วัตถุสิ่งของใดๆ ที่อยู่รอบด้านรอบตัวของเรา เห็นเป็นพิษเป็นสงไปหมด ผู้คนต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวของเรา แม้แต่ญาติมิตร พวกพ้องพี่น้องของเรา มีบิดามารดาเป็นต้น ก็เห็นเป็นภัยหมด
อันนั้นแหละ "หม้อนรกแตก มันแตกออกมาจากใจ แล้วก็กระจายไปทั่วทุกแห่งหน" ไหม้ตลอดหมด เรียกว่า "นรกแตก" มันแตกเป็นหม้อเล็กหม้อน้อยออกไป นั่นแหละใครไม่รู้จักนรก ให้ดูเสีย ให้เข้าใจเสีย "นรก คือความโกรธ"
"ความโกรธนี้เมื่อมีในตัวของเราแล้ว เราไม่อดกลั้นมันเลย ปล่อยกระจายออกภายนอก ไหม้เผาผลาญไปทั่วบ้านทั่วเมือง" ไฟไหม้ป่าเขายังสามารถดับได้ แต่ไฟภายใน ไฟนรกตรงนี้ไม่ดับเลยสักที รถดับเพลิงสัก ๑๐ คันก็มาเถิด ยิ่งฉีดเข้าใส่เท่าไร ยิ่งกระพือไฟขึ้นใหญ่โต .. "... -
ละชั่วเพื่อใคร ?
ความชั่วมีหลายด้านหลายทาง
แต่มันก็อยู่ในตัวของเรานี่แหละ
เกิดจากตัวของเรา มีที่ตัวของเรา
ปรากฏขึ้นที่ตัวของเรานี่เอง
เช่น เราทำชั่วโดยการลักขโมย ฉ้อโกงหรือคิดอิจฉาริษยา ประหัตประหารคนโน้น อยากฆ่าอยากตีคนนี้ นี่เป็นความชั่ว
คนที่ไม่รู้จักความชั่ว เมื่อได้ประหัตประหารคนอื่น สำคัญว่าเป็นของดี ถือว่าตนมีอำนาจอิทธิพลเหนือคนหรือเหนือสัตว์อื่น ๆ อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักของดีของชั่ว ผู้นั้นยากที่จะละความชั่วได้ เพราะเห็นของชั่วกลับเป็นของดี
การละทิฏฐิมานะก็เข้าใจว่าเป็นของเลว ไม่อยากยอมให้ใคร
มานะ คือ ความแข็งกระด้าง
ทิฏฐิ คือ ความดื้อรั้น ไม่ยอมคนอื่น
ถ้ายอมก็กลัวจะเสียรัดเสียเปรียบ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดเพราะ มีโมหะอวิชชาอยู่ ผู้ที่ละมานะทิฏฐิ โดยไม่เห็นว่าการละเช่นนั้น เป็นการน้อยหน้าต่ำตาหรือโง่เง่าเต่าตุ่นอะไร ผู้นั้นมีความเห็นถูกต้องไม่หลง
เพราะการละทิฏฐิมานะเราไม่ต้องอาศัยคนอื่น
ไม่มุ่งถึงคนอื่น
เรามุ่งในตัวของเราเอง
มานะ อาสวะและกิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นที่ตัวของเรา
มันทำให้เดือดร้อนวุ่นวาย
เราไม่ได้ละเพื่อคนอื่น
เราละเพื่อตัวของเราคนเดียว... -
เผยบันทึกบทสนทนาระหว่าง "หลวงปู่ดู่" กับ "หลวงปู่บุดดา"!! ... สายใยแห่งความผูกพันของพระอริยเจ้า!!!
เผยบันทึกบทสนทนาระหว่าง "หลวงปู่ดู่" กับ "หลวงปู่บุดดา"!! ... สายใยแห่งความผูกพันของพระอริยเจ้า!!!
บทสนทนาธรรม (ถอดเทป) บางช่วงบางตอนที่สำคัญ
เมื่อครั้งที่ "หลวงปู่บุดดา ถาวโร" มาเยี่ยมอาการอาพาธของ "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"
ณ วัดสะแก จังหวัดอยุธยา
หลวงปู่บุดดา : เออ... หายซะ...หายใจไว้ ธรรมะไม่ป่วย ป่วยแต่ร่างกาย ธรรมะไม่ป่วยหรอก
พระผู้ติดตามหลวงปู่บุดดา : พอบ่ายหน่อย หลวงปู่ชวนมาเยี่ยมหลวงปู่ครับ
หลวงปู่ดู่ : ให้หายซะที
หลวงปู่บุดดา : หาย...หายซะ
หลวงปู่ดู่ : อยากให้มามากๆ มันจะได้ตายไวๆ
หลวงปู่บุดดา : พระรุ่นเก่าหายหมดแล้ว ไม่มีใครป่วยแล้ว หายป่วยแล้ว
หลวงปู่ดู่ : เมื่อวานนี้หลวงพ่อโง่นมา...มาเยี่ยม
หลวงปู่บุดดา : หายป่วย...หายไข้ซะ
หลวงปู่ดู่ : ให้สมองดีๆ หน่อย จะได้ไปเกาะผ้าเหลืองพระพุทธเจ้า ... ไม่อยากอยู่แล้วเต็มที
หลวงปู่ดู่บอกกับญาติโยม : นั่นไง...น้ำร้อน น้ำแร้นน่ะ เอ้า! ใครยังไม่ได้ (แป้ง) เรียงเข้ามานะ เอ้า! ให้ท่านจับหัวเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เหลือแต่แก่นแล้ว กระพี้หล่น
โยมท่านหนึ่งที่อยู่ใกล้วัดพูดขึ้นขณะทาแป้งเสกของหลวงปู่บุดดา :... -
อุบายธรรม "หลวงปู่ดู่" ใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาทีเปลี่ยนนักเลงสุรา สู่เพศบรรพชิต
อุบายธรรม "หลวงปู่ดู่" ใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาทีเปลี่ยนนักเลงสุรา สู่เพศบรรพชิต
หลวงปู่ดู่เป็นผู้ที่มีอุบายธรรมลึกซึ้ง สามารถขัดเกลาจิตใจคนอย่างค่อยเป็นค่อยไป มิได้เร่งรัดเอาผล เช่นครั้งหนึ่งมีนักเลงเหล้าติดตามเพื่อนซึ่งเป็นลูกศิษย์มากราบนมัสการท่าน สนทนากันได้สักพักหนึ่ง เพื่อนที่เป็นลูกศิษย์ก็ชักชวนเพื่อนนักเลงเหล้าให้สมาทานศีล ๕ พร้อมกับฝึกหัดปฏิบัติสมาธิภาวนา
นักเลงเหล้าผู้นั้นก็แย้งว่า “จะมาให้ผมสมาทานศีลและปฏิบัติได้ยังไง ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ”
หลวงปู่ดู่ท่านก็ตอบว่า “เอ็งจะกินก็กินไปซิ ข้าไม่ว่า แต่ให้เอ็งปฏิบัติให้ข้าวันละ ๕ นาทีก็พอ”
นักเลงเหล้าผู้นั้นเห็นว่านั่งสมาธิแค่วันละ ๕ นาที ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร จึงได้ตอบปากรับคำจากหลวงปู่
ด้วยความที่เป็นคนนิสัยทำอะไรทำจริง ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ทำให้เขาสามารถปฏิบัติได้สม่ำเสมอเรื่อยมามิได้ขาดแม้แต่วันเดียว บางครั้งถึงขนาดงดไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ เพราะได้เวลาปฏิบัติ จิตของเขาเริ่มเสพคุ้นกับความสุขสงบจากการที่จิตเป็นสมาธิ ไม่ช้าไม่นานเขาก็สามารถเลิกเหล้าได้โดยไม่รู้ตัวด้วยอุบายธรรมที่น้อมนำมาจากหลวงปู่... -
"แม้พรหมก็ยังมีสังขาร" คำเทศน์สอนครั้งสุดท้ายของ หลวงปู่บุญฤทธิ์!!!
"แม้พรหมก็ยังมีสังขาร" คำเทศน์สอนครั้งสุดท้ายของ หลวงปู่บุญฤทธิ์!!!
“ร้านอาหารสวนทิพย์”เป็นชื่อสถานที่ที่เป็นสวนอาหารมีระดับ แต่อีกพื้นที่หนึ่งในบริเวณเดียวกัน กลับเป็นที่ที่ ร่มรื่น สัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติภาวนายิ่งนัก ด้วยในพื้นที่ส่วนใกล้ๆกันคือที่พำนักของ “หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต” ซึ่งเจ้าของได้ถวายให้เป็นที่พักสงฆ์ของท่านมานานนับ ๑๐ ปีแล้ว
“หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต” ท่านเป็นพระอริยะในสายกรรมฐานของพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นพระสุปฏิปันโนที่ทันในสมัยพระอาจารย์มั่นและยังไม่มรณภาพ และในวันที่ ๑๘ ก.พ. ที่จะถึงนี้ท่านจะมีอายุครบ ๑๐๓ ปี ด้วยกายสังขารของท่าน แต่ด้วยจิตของท่านนั้นคงมิอาจนับอายุได้ เพราะแม้จะมีอายุถึง๑๐๓ ปี ไม่อาจออกเสียงพูดได้อีกต่อไป และต้องนอนอยู่บนเตียงพยาบาลในห้องปลอดเชื้อเป็นส่วนใหญ่(อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุหกล้มเมื่อหลายปีก่อน) แต่ท่านก็ยังนำศิษยานุศิษย์และสาธุชนผู้สนใจในธรรมปฏิบัติภาวนาอยู่ตลอด โดยเฉพาะในวันสุดสัปดาห์ โดยจัดให้มีการปฏิบัตินั้นจะเริ่มตั้งแต่ ๑๑:๓๐ถึง ๑๒:๐๐ น. เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เป็นครึ่งชั่วโมง ที่เราจะได้สงบจิตภาวนา... -
"ความโกรธไม่มีคุณ มีแต่โทษ" (สมเด็จพระญาณสังวร)
"ความโกรธไม่มีคุณ มีแต่โทษ"
" .. ความโกรธไม่ดีเลยและไม่ใช่ความโกรธของผู้อื่นเท่านั้นที่ไม่ดี "ความโกรธของตนเองก็ไม่ดี" และสำหรับตนเอง "ความโกรธของผู้อื่น แม้ไม่ดีเพียงไร ความโกรธของตนเองยิ่งไม่ดีกว่ามากมายนัก เป็นโทษกว่ามากมายนัก"
แน่นอน แต่พากันคิดผิดเข้าใจผิดไปเสียหมด "เวลาตนเองโกรธจึงลืมคิดไปว่าเป็นความไม่ดี เพราะไปมุ่งเพ่งเล็งปรุงแต่งไป ว่าเขาทำอย่างนั้น เขาพูดอย่างนั้น ซึ่งล้วนทำให้เราเกิดความโกรธ เป็นความผิดความไม่ดีของเขา"
พุ่งความคิดไปโทษผู้อื่น "จนไม่มีความคิดหลงเหลือให้เห็นความโกรธในตนเอง" จึงลืมคิดไปด้วยว่า "ความโกรธของตนก็คือความไม่ดีของตน" และลืมคิดให้รู้แก่ใจว่า "ความโกรธที่เกิดแก่ตนทุกครั้งไป ไม่ใช่ความไม่ดีของผู้ใดอื่น แต่เป็นความไม่ดีของตนเอง"
แน่นอน ใคร่ขอให้จำไว้ให้มั่นว่า "ความโกรธไม่มีคุณมีแต่โทษ" ใครโกรธคนนั้นมีความไม่ดีเกิด เสมอไป .. "
แสงส่องใจ ๒๕๔๕
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ -
ได้เห็นเป็นบุญตา!! สมเด็จย่าทรง "ตอบคำถามธรรมะ" ด้วย "ลายพระหัตถ์" ของพระองค์เอง!!
ได้เห็นเป็นบุญตา!! สมเด็จย่าทรง "ตอบคำถามธรรมะ" ด้วย "ลายพระหัตถ์" ของพระองค์เอง!!
ในหนังสือ "ธรรมะสมเด็จย่า" ที่จัดพิมพ์โดยคุณอัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ "สมเด็จย่า" ได้พระราชทานตอบคำถามเกี่ยวกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เองแก่ผู้จัดพิมพ์ ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้ทราบถึงมุมมองและแง่คิดของพระองค์อันสะท้อนให้เห็นถึงธรรมะหลายประการที่อยู่ในพระหฤทัย
ลายพระหัตถ์สมเด็จย่า : ต้องฝึกสมาธิ แล้วจะรู้ได้ว่า ตอนไหนเราโลภ เราโกรธ เราหลง สิ่งเหล่านี้ก็จะลดลงได้
เมื่อเรายังเป็นคนธรรมดาอยู่ ความทะยานอยากก็มีอยู่ แต่ถ้าเราทะยานอยากในสิ่งที่ถูกที่ดี ตัณหาก็จะลดลง
สมเด็จย่าทรงตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมะด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เอง
คุณอัครวัฒน์เล่าว่า
"ผมดีใจและตกใจมากที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตอบคำถามให้ทุกข้อ ไม่มีเว้นเลยสักข้อเดียว แม้บางคำถามที่ซ้ำกันก็ทรงตอบด้วยลายพระหัตถ์ว่า 'ตอบไปแล้ว' หรือ 'ถามไปแล้ว' บางคำถามทรงตอบว่า 'เป็นเรื่องยืดยาว... แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง' "
ที่มา : หนังสือ "ธรรมะสมเด็จย่า", อัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์
---------------------
ที่มา... -
ด้วยพระบารมีของ"สองธรรมราชา" ร่วมสร้าง! ที่มา"พระพุทธญาณเรศวร์" แห่งวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร รู้แล้วสิ้นสงสัย..ว่าเหตุใดจึงศักดิ์สิทธิ์นัก!
ด้วยพระบารมีของ"สองธรรมราชา" ร่วมสร้าง! ที่มา"พระพุทธญาณเรศวร์" แห่งวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร รู้แล้วสิ้นสงสัย..ว่าเหตุใดจึงศักดิ์สิทธิ์นัก!
พระพุทธญาณเรศวร์
ที่เคยสงสัยว่า ทำไมจึงศักดิ์สิทธิ์
ถ้าไม่ได้เห็นภาพในอดีต และบันทึกจากผู้ที่อยู่เหตุการณ์ในวันนั้นมาประกอบในการเล่า คนรุ่นหลังคงมองเพียง พระประธานในพระอุโบสถวัดญาณสังวราราม
สมเด็จพระพุทธญาณนเรศวร์
เป็นพระพุทธปฏิมาประธานในพระอุโบสถวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๙ สังกัดธรรมยุตินิกาย มีคำเลื่องลือในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์อย่างมากมาย ด้วยการสร้างเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชกุศลต่อสมเด็จพระนเรศวร์มหาราช เป็นพระพุทธปฏิมาที่ประทับอยู่บนพื้นแผ่นดินอย่างแท้จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จเททองหล่อ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๓ ณ อุโบสถรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร ในกาลครั้งนี้ พระพุทธที่นำบรรจุ มีพระพุทธรูป ภปร.ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว ๙นิ้ว ปี๒๕๐๘,พระไพรีพินาศ ปี๒๕๐๕ ขนาดหน้าตัก ๓ นิ้ว,รูปหล่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ปี๒๕๐๖ ผู้เป็นอุปัชฌาย์จารย์... -
น่าศรัทธายิ่ง "พระพุทธรักขิตะ" ภิกษุจากยูกันดา ผู้ไม่เคยย่อท้อ เคยศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทย..วันนี้ขอเดินหน้าเผยแผ่พุทธศาสนาในแอฟริกาต่อไป
น่าศรัทธายิ่ง "พระพุทธรักขิตะ" ภิกษุจากยูกันดา ผู้ไม่เคยย่อท้อ เคยศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทย..วันนี้ขอเดินหน้าเผยแผ่พุทธศาสนาในแอฟริกาต่อไป
จากเรื่องของ นายจูเลียน ดีซิเลต หรือ "พระจูเลี่ยน" ชาวแคนาดาที่เข้ามาบวช ใต้ร่มพระพุทธศาสนาในประเทศไทยไปนั้น แสดงให้พวกเราศาสนิกชนเห็นว่า ว่าหากเรามุมานะที่จะศึกษาหาความรู้ในสิ่งใดแล้ว ย่อมไม่มีพรมแดนใดที่ขวางกั้นเราได้ ซึ่ง “พระจูเลี่ยน” เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ประจักษ์ชัด แต่นอกจากพระจูเลี่ยนแล้ว ทางเราอยากพาท่านไปรู้จักกับ “พระพุทธรักขิตะ” ในภาษาบาลีมีความหมายว่า “ผู้ปกปักษ์รักษาพระพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นภิกษุผิวสี จากประเทศยูกันดา ผู้เลือกเดินทางตามรอยพุทธศาสนาและเผยแผ่ธรรมในทวีปแอฟริกาสืบต่อไป
พระพุทธรักขิตะภิกขุ เดิมมีชื่อว่า สตีเว่น คาบอคโกซา (Steven Kaboggoza) เกิดเมื่อปีค.ศ.1966 ในครอบครัวชาวคริสต์ ณ กรุง กัมปาลา ประเทศยูกันดา ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา ตั้งแต่วัยเด็กแล้ว เด็กชายสตีเว่น คาบอคโกซา มักใช้เวลาว่างไปกับการนั่งคิดพิจารณาอยู่เสมอ โดยที่ท่านไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า สิ่งนี้จะกลายเป็นตัวช่วยในการนั่งสมาธิของเขาในอนาคต... -
หลวงปู่จันทา ถาวโร...เล่าเรื่อง คาถาพระไตรสรณะคมน์
เมื่อพักภาวนาอยู่ที่ดงผาลาด พอสมควรแล้ว ได้ข่าวว่าที่ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีผีโป่งดุร้ายมาก เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน นั่นแหละ ก็เลยออกเดินทาง ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้
ค่ำนั้นก็ไม่เดินจงกรม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียงเหาะขึ้นทางโคนโป่งโน้น ขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พุ่งลงทางหัวทุ่งทางโน้น เสียงดัง ตึ้ง... ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแดงจ้าร่าเข้ามา ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ามา มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้า วิ่งหนีเข้าป่าไป
โอ๋...นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธรรมหรอก มิได้มารบกวน หวังยึดเอาสถานที่ของใครทั้งนั้น เอานะ มาลองดูกันว่า คาถาอาคมของใครจะเก่งกว่ากัน เราจะได้รู้กันว่า อาคมของศาสนาจะดีเพียงใด จะปราบผีร้ายได้ไหม พอไฟใกล้เข้ามาในระยะประมาณ ๑ เส้น (๒๐ วา) เท่านั้น ก็อ่านคาถาว่า
"อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเส พุทธนาเม อิอิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธะปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง... -
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร กับวัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐานจิต
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโรแห่งวัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
ท่านก็เคยพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับวัตถุมงคลของท่านอยู่เสมอว่า..
“วัตถุมงคลก็เป็นเพียงวัตถุเท่านั้น ของจริงก็คือ พระสัจจธรรมทั้งปวง
มีวัตถุมงคลแล้วไม่ทำตัวให้ดีไม่ทำใจให้เป็นกุศล ก็หวังอะไรไม่ได้สักอย่าง
มีวัตถุมงคลแล้วต้องทำความดีด้วย จึงจะเกิดผลต่างๆเป็นนานาประการ
หากหวังพึ่งวัตถุมงคลอย่างเดียวโดยไม่สร้างบุญกุศลย่อมไม่ได้อะไรขึ้นมา…” -
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล กับทัศนคติเรื่องวัตถุมงคล
หลายท่านอาจเคยสงสัยว่า ทำไมบรรดาครูบาอาจารย์บางท่าน อนุญาติให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์ลูกหาจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้น ท่านมีความหมายอันใดหรือ?
แม้แต่องค์หลวงปู่ท่านก็เคยอนุญาติให้จัดสร้างวัตถุมงคลบ้างตามวาระโอกาส และตามเจตนาที่เหมาะสม
ซึ่งทุกครั้งหลวงปู่ท่านก็จะแจกให้ฟรีกับผู้ที่มากราบนมัสการโดยไม่เคยคิดเป็นมูลค่าใดๆ
ข้อความตอนหนึ่งจากหนังสือ “อตุโล ไม่มีใดเทียม” (หน้าที่ ๑๘๑) ของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีพวกสาธุชนกลุ่มหนึ่งมาสนทนาธรรมด้วยและถามท่านว่า
“วัตถุมงคลมีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือหลวงปู่จึงได้สร้างหรืออนุญาติให้สร้างเหรียญขึ้น?”
หลวงปู่ดูลย์จึงวิสัชนาว่า
“พวกท่านทั้งหลายแสดงความสนใจในการบำเพ็ญภาวนา ก็พากันบำเพ็ญภาวนาไป
ไม่ต้องไปห่วงไปสนใจกับวัตถุมงคลอันเป็นของภายนอกนี้ แต่สำหรับผู้มีจิตใจเพลิดเพลินอยู่
ยังยินดีในการเกิดตายในวัฏฏสงสาร ยังไม่สามารถหันมาสู่การปฏิบัติธรรมได้
ก็ให้อาศัยวัตถุภายนอกเช่นวัตถุมงคลนี้ เป็นที่พึ่งไปก่อน อย่าไปตำหนิติเตียนอะไรเลย
ครั้นเขาเหล่านั้น... -
ใช้วัตถุมงคลให้ถึงธรรม
"ศาสนสถาน และศาสนวัตถุ" ไว้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของศาสนาทุกศาสนาในโลก รวมถึงพระพุทธศาสนา ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป้าหมายของการสร้างวัตถุ ก็เพื่อให้บุคคลได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ใช้เตือนสติ ให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว และปฏิบัติตามหลักของศาสนา จนนำไปสู่การเรียกวัตถุที่สร้างขึ้นในลักษณะนี้ว่า "วัตถุมงคล"
โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนา ที่มีการสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปเคารพของพระพุทธเจ้า เป็นจำนวนมากกว่าศาสดาของศาสนาใด ๆ จนถูกนำไปบันทึกไว้ใน กินเนสส์บุ๊ก (The Guinness Book of Records) ว่า พระพุทธเจ้าเป็นบุคคล ที่มีอนุสาวรีย์รูปเคารพมากที่สุดในโลก เพราะเพียงแค่ประเทศไทยก็มีมากมายจนนับไม่ได้แล้ว ดังนั้น เรื่องวัตถุมงคลจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ในพระพุทธศาสนาของประเทศไทย แต่ก็มีนักวิชาการบางส่วน หรือสำนักเรียนบางแห่ง ที่ออกมาตำหนิวัตถุมงคลว่า เป็นสิ่งที่ทำให้คนเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของศาสนา
ซึ่งในความเป็นจริง โบราณาจารย์ท่านมีความเข้าใจสภาพของบุคคลมากกว่าคนในปัจจุบัน โดยท่านทราบว่า พุทธศาสนิกชนนั้นมีความแตกต่างกัน เปรียบเหมือนพีระมิดที่มีส่วนฐานกว้างใหญ่สุด คือบุคคลที่ยึดติดในพิธีกรรมและสิ่งมงคลต่างๆ ส่วนตรงกลาง... -
หลวงปู่แหวนกับการอธิษฐานวัตถุมงคล - เล่าโดยหลวงพ่อฤาษีฯ
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟัง แล้วนำมาถ่ายทอด ลงในหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ โดยสิทธา เชตวัน ดังนี้ :-
หลวงปู่แหวน ไม่เคยสนใจเรื่องการสร้างพระเครื่องแปลกๆพิสดาร ตลอดจนเครื่องราง ของขลังเลย มีแต่พระและฆราวาสลูกศิษย์ลูกหาจัดสร้างขึ้น แล้วขนไปให้ท่านปลุกเสกบ้าง ซึ่งท่าน ก็มีเมตตาไม่ขัดข้อง
หลวงปุ่แหวน กล่าวว่า..." ชาวบ้านทั้งหลายยังติดข้องอยุ่ในโลกธรรม โลกียสมบัติ ยึดถือตัวตน บุคคลเราเขา ยังเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีโอกาสจะเป็นนักบวชกระทำจิตตัดกิเลส หาทางหลุดพ้น ได้สะดวก จำเป็นอยู่เอง ที่ชาวบ้านจะต้องยึดถือพระเครื่องเป็นที่พึ่ง อย่างน้อยพระเครื่องก็เป็นจุด ให้ชาวบ้านเข้าถึงความดี ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ที่ชาวบ้านจะมี พระเครื่องไว้ติดตัว"...
" ปู่ก็เสกให้ ใครเอามาให้ ก็ต้องเสกให้ไป ด้วยความเมตตานั่นแหละ หลานเอ๊ย"
หลวงปุ่แหวน กล่าวไว้อย่างนี้ เมื่อคณะศรัทธาจากที่ต่างๆทั่วสารทิศ หอบหิ้วขนเอาพระ เครื่องรางของขลัง ไปให้ท่านปลุกเสกถึงวัด
ตอนนั้นหลวงปุ่แก่มากแล้ว ชราภาพไปด้วยวิสัยสังขาร หูตึง เดินเหินไม่สะดวก ทางวัดจึง... -
แม้แต่พญานาคยังต้องย้ายถิ่นเปลี่ยนที่อยู่ เมื่อหลวงปู่ขาวไปธุดงค์ที่ภูถ้ำค้อเพราะเหตุใด?
แม้แต่พญานาคยังต้องย้ายถิ่นเปลี่ยนที่อยู่ เมื่อหลวงปู่ขาวไปธุดงค์ที่ภูถ้ำค้อเพราะเหตุใด?
หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภูถ้ำค้อ ที่เกี่ยวกับลูกหลานพญานาค ดังต่อไปนี้
คืนหนึ่ง ในระหว่างที่หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนา ได้เห็นในนิมิตว่าบรรดางูใหญ่งูเล็กหลายพันตัว
พากันเลื้อยออกมาจากถ้ำเป็นขบวนยาวเหยียด
หลวงปู่ได้ถามในนิมิตว่า "จะไปไหนกันมากมายเช่นนี้ ?"
หัวหน้างูใหญ่ตอบว่า "พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นภูมินาค"
หลวงปู่ถามซ้ำอีกว่า "จะพากันไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่เดิมนี้ ?"
งูตอบว่า "จะไปที่ห้วยอีตุ้ม เพราะตั้งแต่พระคุณเจ้ามาอยู่ในถ้ำนี้แล้ว พวกข้าพเจ้าอยู่ยากกินยาก"
หลวงปู่จึงถามว่า "เพราะอะไร ?"
งูตอบว่า "เพราะพวกข้าพเจ้าอยู่สูงกว่าพระคุณเจ้าผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ ทำให้ร้อนไปทั่วร่างกาย จึงขอลงไปอยู่ในที่ต่ำๆ จะได้ไม่เป็นบาป"
ในบรรดางูเหล่านั้นมีนาคหนุ่มตัวหนึ่งถูกมัดปาก โดยให้คาบก้อนหินอยู่ หลวงปู่เห็นว่าแปลกกว่านาคตัวอื่นๆ จึงถามหัวหน้าพวกเขาว่า "ทำไมจึงต้องมัดปากเขาไว้ด้วย ?"
หัวหน้าตอบว่า "มันดื้อมาก เกรงมันจะทำอันตรายพระคุณเจ้า"
หลังจากออกจากสมาธิแล้ว... -
ลางสังหรณ์ก่อนฟ้าสาง!! หลวงพ่อสมชายเห็น "ลางบอกเหตุเครื่องบินตก" ... ก่อนจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้สมเด็จพระราชินีทรงกันแสง!!
ลางสังหรณ์ก่อนฟ้าสาง!! หลวงพ่อสมชายเห็น "ลางบอกเหตุเครื่องบินตก" ... ก่อนจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้สมเด็จพระราชินีทรงกันแสง!!
สมัยที่ "หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย" (คลิกอ่าน : เปิดประวัติ "หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย") ได้มาพำนักที่วัดเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๓ นั้น ในระหว่างนี้ก็มีเหตุการณ์ที่ลืมไม่ได้เกิดขึ้น
ครั้งหนึ่ง หลวงปู่สมชายได้รับกิจนิมนต์ให้เข้าไปในพระราชพิธีพร้อมกับครูบาอาจารย์แห่งภาคอีสานหลายรูปในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๒๓ แต่ในคืนวันที่ ๒๖ ขณะที่ท่านกำลังพักภาวนาอยู่ภายในกลดข้างหินใหญ่ก้อนหนึ่ง จวบจนค่อนรุ่งของวันที่ ๒๗ ท่านจึงออกมาจากกลด ซึ่งผิดไปจากเวลาปกติ พระเณรที่ติดตามไปด้วยกันทั้งหมดแปดรูปเมื่อได้ยินเสียงหลวงปู่กระแอมก็รู้สึกแปลกใจว่าท่านอาพาธหรือมีเหตุอะไร จึงรีบมาที่กลด
หลวงปู่สมชายนั่งลงบนตั่งเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของเขาอีโต้ พระเณรทุกรูปต่างก็เงียบเพื่อรอรับฟังว่าท่านจะพูดอะไร แต่ท่านก็นั่งเงียบ...ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น!
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หลวงปู่สมชายจึงเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้นว่า... -
วิศวะยังยอม!! "วัดภูทอก" บันไดเวียนวนรอบภูผา 7 ชั้น ... มหัศจรรย์แห่งสิ่งก่อสร้างจาก "นิมิตของหลวงพ่อจวน"!!
วิศวะยังยอม!! "วัดภูทอก" บันไดเวียนวนรอบภูผา 7 ชั้น ... มหัศจรรย์แห่งสิ่งก่อสร้างจาก "นิมิตของหลวงพ่อจวน"!!
"วัดเจติยาคีรีวิหาร" หรือ "ภูทอก" สร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ โดยการนำพาของ "พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ" ซึ่งได้มาบำเพ็ญเพียรสมณธรรมอยู่ที่ภูวัว จังหวัดหนองคาย
เรื่องของเรื่องก็คือ คืนหนึ่งพระอาจารย์จวนได้เกิดนิมิตขึ้น โดยเห็นปราสาทสองหลัง ลักษณะสวยงามมาก อยู่ทางด้านภูทอกน้อย ดังนั้น ท่านจึงได้เดินทางมาพิสูจน์ตามที่เกิดนิมิตและได้พบกับลักษณะภูมิประเทศที่สวยงามร่มรื่น เหมาะที่จะปฏิบัติธรรม จึงได้สำรวจและปักกลดอยู่ที่ถ้ำบนภูทอกกับพระครูสิริธรรมวัฒน์
ต่อมา ญาติโยมชาวบ้านคำแคนเห็นว่าพระอาจารย์จวนธุดงค์มาอยู่ที่ภูทอก จึงพร้อมใจกันอาราธนาให้สร้างวัดขึ้นที่ภูทอกแห่งนี้
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ชาวบ้านได้มาช่วยกันสร้างบันไดขึ้นภูทอกจนถึงชั้นที่ ๕-๖ และได้ปลูกสร้างเสนาสนะสำหรับพระสงฆ์อยู่ถึง ๒ เดือน ๑๐ วัน จึงแล้วเสร็จ
ปี พ.ศ. ๒๕๑๓-๒๕๑๔ พระอาจารย์จวนได้ชักชวนชาวบ้านสร้างทำนบกั้นน้ำขึ้นสองแห่งเพื่อใช้เก็บกักน้ำและจัดระบบน้ำประปาภายในวัดภูทอก
นอกจากนั้น... -
วิธีสังเกตสุนัขที่เลี้ยงไว้ว่าก่อนเกิดมาจากไหน - พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน
+++ วิธีสังเกตสุนัขที่เลี้ยงไว้ว่าก่อนเกิดมาจากไหน +++
ถาม : (เรื่องหมา)..................................
ตอบ: ถ้าอยู่ใกล้ๆ #จะขอดูใต้คางเขาหน่อยว่าเขามีขนกี่เส้น #จะมีตุ่มอยู่ตุ่มหนึ่ง#แล้วมีขนแข็งๆ ยาวๆ อยู่ใต้คางตรงนี้ #ถ้าหากว่ามีขนเส้นหนึ่ง สองเส้น สามเส้น #ส่วนใหญ่มาจากเทวดาหรือพรหม พวกนี้รู้ภาษาทุกตัวแหละ พูดอะไรเขาก็รู้ เส้นยาวๆ แข็งๆ น่าไปเห็นปุ๊บก็เข้าใจแล้วล่ะ ถ้า ๔ เส้นขึ้นไปเริ่มดื้อ ถึงฟังรู้เรื่องแต่ว่ามันดื้อ #ถ้าหากว่าขนเส้นเดียว #หลวงพ่อบอกว่าเป็นราชาหมา #ไปที่ไหนหมาตัวอื่นจะกลัว
ในชีวิตเคยเจออยู่แค่ ๒ ตัว ยังไม่เจอตัวที่ ๓ ทั้ง ๒ ตัวอยู่ที่วัดท่าซุง ตัวแรกชื่อเจ้ามะดัน มันแสบขนาดเขาเลยเรียกไอ้มะดัน ขนมันสีแดงแปร๊ดเลย แต่มันแดงทั้งตัวนะ แดงแบบคุณทองแดงนี่แหละ แต่มันแดงทั้งตัว คิดดูเป็นลูกหมานะอายุมันยังไม่ถึง ๒ เดือนเลย เวลากินอาหารนี่หมาใหญ่เข้ามา มันไล่กัดเขากระจายเลย แล้วหมาอื่นต้องหนีมันด้วย แต่ปรากฏว่ามันเก่งเกินไป เป็น distemper-หัดหมาตายเสียฉิบ แล้วลูกแม่นวล ไอ้ครอกนั้นไม่มากหรอก ๑๑ ตัว ตายเกลี้ยงเลย อีกตัวหนึ่งก็ตี๋น้อย หมาของท่านตี๋ โดนรถชนอยู่ข้างถนน... -
การสวดมนต์ - ธรรมโอวาทพระอาจารย์เล็ก สุธัมมปัญโญ
ธรรมโอวาทพระอาจารย์เล็ก สุธัมมปัญโญ
"การสวดมนต์ทำวัตรจริง ๆ มีประโยชน์ ตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ ขึ้นไป จนถึงประโยชน์อย่างมหาศาล การที่เราสวดมนต์ อันดับแรกสมาธิต้องมี ถ้าหากสมาธิท่านไม่ดี จิตไม่ทรงตัวมันก็สวดผิด อันดับต่อไป ถ้าหากว่าท่านท่องบ่นสวดมนต์เป็นปกติ สภาพจิตมันจะก้าวขึ้นเป็นฌานได้ง่าย เพราะมันเคยชินกับการถูกบังคับให้จดจ่ออยู่เฉพาะหน้า เป็นระยะเวลานานประมาณครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน หรือว่าท่านจะทำเป็นทิพยจักขุญาณ เวลาเราสวดมนต์ ก็ให้นึกคำสวดของเราเป็นตัวหนังสือขึ้นมาอยู่ตรงหน้า ทีละคำ ทีละประโยค ให้มันลอยผ่านไปเรื่อย ๆ ถ้าเราเห็นตัวหนังสือชัดเจนเท่าไหร่ เราก็สามารถเห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น หรือว่าถ้าจะเอาประโยชน์กันจริงๆ ก็ทำอย่างที่ผมทำ คือ ส่งใจไปกราบพระบนนิพพาน ตั้งใจสวดถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าลักษณะนั้นท่านอยู่บนนิพพานนาน ๆ ไป จิตมันจะชินกับอารมณ์ที่ปราศจากกิเลส กิเลสมันจะจาง มันจะบางลงไปเรื่อย ในที่สุดมันก็หมดไปได้ ถ้าคุณอยู่ตรงนั้น ตายเมื่อไหร่ก็อยู่บนนิพพานเลย
ประการที่สำคัญที่สุด การสวดมนต์ก็คือการท่องบ่นสาธยายคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า... -
"ภาวนา มีอานิสงส์กว่าบุญทั้งหลาย" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"ภาวนา มีอานิสงส์กว่าบุญทั้งหลาย"
" .. ไปที่ไหนเราก็ได้เทศน์เสมอ "เรื่องภาวนาเพราะเป็นหลักสำคัญมาก" มันจะไม่เป็นก็ตาม การภาวนาของเราก็มีผลมากตลอดอยู่แล้วนี่อันหนึ่ง แล้วยิ่งจะได้รู้สิ่งนั้นเห็นนี้ยิ่งจะแตกกระจัดกระจายออกไป ฝังลึกลงโดยลำดับ "เรื่องเชื่อบุญเชื่อกรรมไม่ต้องบอก เป็นขึ้นมาเอง"
แล้วกระจายออกไปความเชื่อ กระจายกว้างขวางลึกซึ้งไปเรื่อย ๆ นี่เกิดขึ้นจากการภาวนา "การที่เราได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์ นี่ก็เป็นบทหนึ่ง แต่สู้บทภาวนาที่ประจักษ์ขึ้นในเจ้าของไม่ได้" จากครูบาอาจารย์สอนแล้วทำอย่างนั้น ๆ อันนี้จะเป็นที่แน่ใจตัวเองได้โดยลำดับ "จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ภาวนา"
ที่สรุปลงมานี้ "คือจากการภาวนานะ การภาวนาจึงพิสดารมากทีเดียว สิ่งไม่เคยรู้เคยเห็นไม่เคยคาดเคยคิด เป็นขึ้นมาได้ไม่สงสัย" ก็กิเลสอันเดียวเท่านั้นปิดไว้ พอเปิดนี้จ้า มันก็เห็น เปิดมากเปิดน้อยเห็น เปิดจ้าหมด "เห็นกระจ่างเต็มหัวใจเลย เป็นอย่างนั้นนะ ต่างกัน จึงอยากให้ภาวนา"
ไปที่ไหนทุกวันนี้ "มักจะเทศน์ทางภาวนา เพราะความสงสาร อยากให้ตั้งหลักตั้งเกณฑ์ไว้ในจุดภาวนา" ถึงจะไม่ได้ความแปลกประหลาดอัศจรรย์... -
มโนมยิทธิ : สงสัยในเรื่อง อุปทาน ~ จิตใต้สำนึก - ถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีฯ
☆☆☆☆☆
มโนมยิทธิ : สงสัยในเรื่อง อุปทาน ~ จิตใต้สำนึก
☆☆☆☆☆
ไอ้ตัวสงสัยมันมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าเราฝึกด้านทิพจักขุญาณและมโนมยิทธิ บางทีเราคิดว่า
○ บางทีก็มีท่านผู้มาถามว่าไอ้สิ่งที่ปรากฏขึ้น มันเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกหรือ
▪มาถามแบบนี้เราตกใจเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน จิตใต้สำนึกนี่ไม่รู้ว่ามาจากไหน รู้จักไหมอาจารย์ยกทรง
◇◇◇ คือจิตเราจริง ๆไม่อยู่ใต้สำนึกหรือไม่อยู่เหนือสำนึก อยู่ตรงสำนึกพอดี ใช่ไหม จิตมีสภาพคิด มันจะไปนั่งคิดอยู่ใต้ตัวนึกมันก็ไม่ได้
มันไม่ได้อยู่ด้วยกันนี่ ใช่ไหมโยม ถูกไหม จิตที่มีสภาพคิด เขาไม่อยู่ใต้สำนึกหรือเหนือสำนึก อยู่ตรงสำนึกพอดี ถ้าอะไรที่จะคิดมานั้นเป็นเรื่องภาวะของจิต ◇◇◇
ทีนี้วิธีการฝึกทิพจักขุญาณ
▪ถ้าสิ่งที่ปรากฏกับจิต ไม่ใช่จิตใต้สำนึก แล้วก็ไม่ใช่จิตเหนือสำนึก และก็จงคิดว่าภาพนั้นหรือสิ่งนั้นเราคิดไว้ก่อนหรือเปล่า
○ ถ้าเราวาดภาพไว้ก่อนอันนี้อาจจะเป็นอุปาทาน ไม่เรียกว่าใต้สำนึกหรือเหนือสำนึก แต่ว่าสิ่งที่เราเคยได้ยินหรือได้ฟังมา พวกเทวดานี่ ขาเป๋บ้าง มือแปบ้าง
ถ้าบังเอิญไปเห็นแบบนั้นเข้า อย่านึกว่าใต้สำนึกหรือเหนือสำนึกหรืออุปาทาน... -
วิธีดู “พระแท้ พระเทียม” ดูอย่างผู้มีปัญญา (ธรรมะยาวหน่อย ควรอ่านให้จบ)
วิธีดู “พระแท้ พระเทียม” ดูอย่างผู้มีปัญญา
(ธรรมะยาวหน่อย ควรอ่านให้จบ)
ปัญหาต่างๆเรื่องราวต่างๆที่เราได้ยินได้ฟังกันนี้ ก็เกิดจากความอยากทั้งนั้น ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งทุกวันนี้ก็มาจากความอยากทั้งนั้น ความอยากเสพกามจึงเป็นปัญหาขึ้นมา อยากเสพรูป เสียง กลิ่น รส อยากนั่งรถเบนซ์นี่ก็เป็นความอยากเสพกามนะ อยากจะนั่งเครื่องบินส่วนตัวนี้ก็เป็นความอยากเสพกาม ความอยากจะใส่แว่นตาหรูๆ ใช้กระเป๋าหรูๆใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ อันนี้เป็นเรื่องของการเสพกามทั้งนั้น นักบวชต้องไม่เสพกาม นักบวชต้องมักน้อยสันโดษสมถะเรียบง่าย ดูครูบาอาจารย์ท่านซิ ใส่แว่นตาหรูๆใช้กระเป๋าหรูๆ นั่งเครื่องบินส่วนตัวหรือเปล่า พระพุทธเจ้ามีราชรถนำขบวนหรือเปล่า พระพุทธเจ้าเวลาจาริกไปไหน ไปโปรดสัตว์โลกนี้ท่านเดินไป ท่านเดินภาวนาไป นี่แหละคือแบบฉบับพุทธังสรณังคัจฉามิ ชาวพุทธเราไม่มอง มองไม่เห็นกัน พอมาเจอพวกห่มเหลืองที่กลายเป็นผู้เหาะเหินเดินอากาศได้ก็ตื่นเต้นตกใจ มีเงินมีทองเท่าไหร่ก็ประเคนไปให้หมดเลย เพราะหวังจะร่ำจะรวยจากการทำบุญ กับพระผู้วิเศษ เหาะเหินเดินอากาศได้ แล้วท่านก็เอาไปเสพกามอย่างสบาย... -
"รักษาสติ ให้เหมือนทหารรักษาหน้าที่" (หลวงปู่จันศรี จฺนททีโป)
"รักษาสติ ให้เหมือนทหารรักษาหน้าที่"
" .. ให้มีสติคอยระวัง "ตั้งสติอยู่เสมอว่า อันใดที่มากระทบกระทั่งกับจิตใจของเรานั้น เราก็มีสติคอยระมัดระวัง เหมือนอย่างทหารที่ออกรบในสงคราม ก็ตั้งใจรักษาหน้าที่ ไม่ให้ข้าศึกผ่านเข้ามาในแนวรบได้"
ฉันใดก็ดี "เราก็พยายามที่จะรักษาจิตใจของเรา ไม่ให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงผ่านเข้ามา" ไม่ให้หลงใหลไปตามอารมณ์นั้น ๆ .. "
โอวาทธรรม พระอุดมญาณโมลี
(หลวงปู่จันศรี จฺนททีโป)
หน้า 387 ของ 412