telwada ทำไมจึงคิดว่าตัวเองเป็น พระศรีอารย์ ? ขอให้อ่าน แล้วจะรู้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tammajak, 8 กรกฎาคม 2005.

  1. tammajak

    tammajak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +26
    ไม่ต้องคิดอะไรมากนะครับคุน telwada และก็ทุกคนด้วย แล้วขอให้อ่านให้จบ ผมสงสารทุกคนจึงได้ชี้แจงให้ทราบ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    <o:p></o:p>

    1. ตามธรรมดาแล้วนิยตะพระโพธิสัตว์ ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนนั้น ย่อมมีคุณธรรมอยู่ในใจเป็นปรกติ นั้นคือ มีความเมตตาเป็นหลัก ย่อมไม่ตอบโต้ โกรธ หรืออาฆาตพยาบาทคัยทั้งนั้น แม้คนอื่นจะว่าเค้าเพียงไร แต่นี้ไม่เป็นเช่นนั้นเลย<o:p></o:p>

    คุน telwada กลับโต้ตอบ ผู้ที่ว่าเค้า ว่าไม่ใช่พระศรีอารย์ คุน telwada ว่าคุนnnnว่า น่าสมเพช ซึ่งพระโพธิสัตว์จิงๆเค้าจะไม่ทำกันอย่างนี้ เพราะเค้าประกอบไปด้วยมหากรุณาธิคุณ<o:p></o:p>

    2.ถ้าเค้าเป็นพระศรีอารย์จิง เค้าจะไปบอกทำไม ว่าเค้าเป็นพระศรีอารย์ มันไม่ใช่เรื่อง ถึงบอกก้ไม่มีคนเชื่อ เพราะว่า ส่วนมากพวกที่เป็นพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ และพระอริยบุคคล ทั้ง4 ระดับ เค้าจะไม่บอกหรอกว่าเค้าสำเร็จพระอริยบุคคลแล้ว แต่เค้า จะแสดงออกในด้านการกระทำมากกว่า ซึ่งคุน telwadaกลับแสดงออกในทางที่ตรงกันข้าม (แล้วพระอริยบุคคลเค้าก็จะรู้กันเองด้วยว่าคัยสำเร็จแล้ว ไม่ต้องบอก เพราะถ้าบอกปุถุชนคนทำมะดาก็ย่อมไม่เชื่อ)<o:p></o:p>

    3.ถ้าเค้าเป็นพระศรีอารย์จิง เค้าจะไปบอกทำไม ว่าเค้าเป็นพระศรีอารย์ เพราะนี้มันยุคพระโคดม ถ้าเป็นพระศรีอารย์จิง เค้าจะไม่บอกหรอก เพราะถ้าบอก ชาวบ้านก็อาจจะพากันเลิกนับถือศาสนาของพระโคดม แล้วอาจจะมานับถือศาสนาของพระศรีอารย์แทน ซึ่งพระศรีอารย์ไม่ได้มีความปราถนาให้เป็นอย่างนั้น เพราะพระศรีอารย์ท่านมาเพียงเพื่อ ช่วยให้ศาสนาพระโคดมอยู่ถึง5000ปี ไม่ใช่มาเพื่อประกาศ ศาสนาท่าน<o:p></o:p>

    เพียงแค่นี้ก็คงจะรู้แล้วว่าคุนtelwadaเป็นพระศรีอารย์จิงหรือไม่จริง<o:p></o:p>

    <o:p></o:p>

    ฝากปิดท้ายด้วย<o:p></o:p>

    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 412.5pt; mso-cellspacing: .7pt; mso-padding-alt: 3.75pt 3.75pt 3.75pt 3.75pt" cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR style="HEIGHT: 18.75pt; mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 3.75pt; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 3.75pt; BACKGROUND: #ffdd99; PADDING-BOTTOM: 3.75pt; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 50%; PADDING-TOP: 3.75pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; HEIGHT: 18.75pt" width="50%">อภูวาที นิรยํ อุเปติ<o:p></o:p>

    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 3.75pt; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 3.75pt; BACKGROUND: #ffdd99; PADDING-BOTTOM: 3.75pt; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 3.75pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; HEIGHT: 18.75pt">คนพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก<o:p></o:p>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>

    สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ : ผู้ตั้งใจศึกษา ย่อมได้ปัญญา <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>

    กราบขอขมา ถ้า3ข้อที่ว่ามาผมพูดผิด<o:p></o:p>
     
  2. nnn

    nnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2005
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,298
    คมจริงๆๆ ครับ ตอนนี้คงบาดคอใครบางคนแล้ว ที่พี่วิเคราะห์มาผมเห็นด้วยอย่างยิ่งมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆครับ นับถือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    (bb-flower (bb-flower (bb-flower
     
  3. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    แล้วท่านว่า ศาสดา พระองค์ไหน
    ที่นิ่งไว้ ไม่สอน ซึ่งมรรคผล
    ศาสดา พระองค์นั้น ไม่สอนคน
    สัปดน เป็นได้ฤา ศาสดา

    ฉันนี้เป็น ผู้คนพบ เจนจบทั่ว
    จึงไม่กลัว คำติฉิน ของคนหนา
    จึงประกาศ ซึ่งตัวเอง สอนวิชชา
    ให้รู้ว่า ข้าฯนี้คือ พระศรีอารย์

    ฉันได้รู้ ได้พบ ประสบซึ่ง
    วิชชาหนึ่ง ศ่าสนา มาเล่าขาน
    อีกทั้งรู้ เรื่องแก่นแท้ ที่เรียก ญาณ
    จึงอาจหาญ ประกาศตน ประกาศตัว

    อีกทั้งรู้การ ฝึกกาย หลายรูปแบบ
    ทั้งจำแนก วิปัสสนา อยู่ในหัว
    ฉันนี้จึง ปราศจาก ซึ่งความกลัว
    ประกาศทั่ว ว่าข้าฯคือ ศาสดา
    __________________

    การวิเคราะห์ของคุณ เป็นการวิเคราะห์คงคนที่โง่แล้วอวดฉลาด ข้าพเจ้าจะด่าใคร ว่าใคร หรือจะฆ่าใครก็ได้ทั้งนั้น หากการกระทำนั้นเป็นไปเพื่อความสงบสุขของโลก และไม่ผิดกฎหมาย
     
  4. เจ้าโก้

    เจ้าโก้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,221
    ค่าพลัง:
    +939
    เหวอ ! แย่แล้ว...
     
  5. tammajak

    tammajak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +26
    แล้วคุนฆ่ากิเลสในตัวของคุนเองได้มั๊ยละ โลกจะได้สงบสุข เพราะทำแล้วโลกสงบสุข ก้ควรทำ คุนก้ฆ่ากิเลสในตัวคุนด้วยสิงั้นนะ
     
  6. Ganesa

    Ganesa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +5
    การวิเคราะห์ของคุณ เป็นการวิเคราะห์คงคนที่โง่แล้วอวดฉลาด ข้าพเจ้าจะด่าใคร ว่าใคร หรือจะฆ่าใครก็ได้ทั้งนั้น หากการกระทำนั้นเป็นไปเพื่อความสงบสุขของโลก และไม่ผิดกฎหมาย<!-- / message --><!-- sig -->

    ____________________________
    telwada

    ปล่อยเค้าเหอะครับ เค้าแค่มีอาการทางจิตเท่านั้นเองเรียกเจ้าหน้าที่ศรีธัญญาดีกว่าครับเพื่อความสงบสุขของพระพุธศาสนา
     
  7. แพรว

    แพรว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +166
    คุณ telwada เดินทะลุกำแพงได้ไหมค่ะ
    ช่วยเขียนสอนไหน
    แล้วเรื่องรังศีของคุณถ้าจะไปดูแล้วจะเห็นได้ตอนกลางคืนหรือตอนกลางวัน
     
  8. xyz

    xyz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2005
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +533
    เราชาวพุทธทั้งหลาย อย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจิตใจ

    ต่างศาสนาต่างความคิด เราชาวพุทธก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาลัทธิใหม่ที่เขาสร้างขึ้นก็มีกฏที่เขาเขียนขึ้น
    ใครที่สนใจเข้าลัทธิใหม่ของคุณ telwada ก็ pm ไปคุยกับท่าน



    ปล.ผมว่าคุณ webmaster น่าจะลบกระทู้นี้และอื่นๆที่เกี่ยวข้องไปเลยดีกว่า เพราะดูไงก็คงไม่มีวันจบแน่เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2005
  9. peerachai333

    peerachai333 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +15
    รู้แต่ว่าพระเทวทัตก็มีฤทธิ์เหมือนกัน
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ไม่มีมนุษย์คนไหน ที่สามารถฆ่ากิเลสได้ กิเลสต่างๆเป็นกระแสคลื่น ต้องมีหลักการและวิธีการจึงจะสามารถขจัดมันออกจากสรีระร่างกายของเราได้
    ข้าพเจ้าฆ่ากิเลสไม่ได้ดอกนะคุณ แต่ข้าพเจ้าขจัดมันออกได้ ขณะขจัดหรือขับดันมันออกมา ก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสี เป็นสีต่างๆตามแต่อารมณ์ ความรู้สึก หรือคลื่นกิเลสต่างๆที่เกิดจากภายนอก สามารถมองเห็นได้ ทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน อย่างชัดเจน ความชัดเจนของฉัพพรรณรังสียังขึ้นอยู่กับ กระแสคลื่นแห่งกิเลสว่า แรงหรือว่า อ่อน ถ้าอ่อน ก็พอมองเห็นได้ ถ้าแรงก็จะเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง หลายสี แจ๋ ๆ
    จำไว้นะ คุณธรรมศักดิ์ ไม่มีมนุษย์คนใด ฆ่ากิเลสได้ดอกนะคุณ แต่หากจะขจัดกิเลส หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ขจัดอาสวะให้สิ้น ย่อมทำได้ เพราะเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งที่มีชีวิตอยู่แล้ว
    สมองสติปัญญาระดับคุณนะ มันเพียงแค่ เศษธุลีใต้ฝ่าตีนของข้าพเจ้า อย่าสะเออะ ทำมาตีตนเสมอข้าพเจ้า
    แล้วก็อย่ามีความคิดอ่านที่โง่ๆแบบคุณ พีระชัย333 ทำอย่างกับว่า เคยเห็น พระเทวทัต อย่างนั้นแหละ
    คุณรู้น้อยไปแล้วคุณ พีระชัย เอ๋ย 5555555555555555
     
  11. tha99

    tha99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +66
    ครอบครัวมีปัญหาป่าวอ่ะ..............
     
  12. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +638
    เป็นพระศรีอาน ที่ไร้มารยาท ไร้ความเมตตา ยกตนเอง ยิ่งคุยยิ่งประกาศตัวเองว่า "ข้านะน๊ะไอ้ถ่อย" เพราะที่นี้คือที่สาธารณะ เป็นที่โล่งแจ้งใครเข้ามาอ่านก็ได้ (ยังไม่สำรวมอีก)

    ผมว่าคุณโง่ ควาย กว่าเขาอีกนะ ที่หลอกให้คุณสติแตก แล้วออกมาด่าตอบ หญ้าและฟาง เหมาะกับคุณที่สุดครับ แล้วผมจะถวายหญ้าและฟางให้นะครับ ท่านสีอาน
     
  13. peerachai333

    peerachai333 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +15
    รู้แต่ว่าพระเทวทัตถูกธรณีสูบ
     
  14. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +638
    <TABLE class=tborder cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>telwada<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_95136", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    Join Date: Sep 2004
    Location: 31 Mau 1 sansai T. sansailaung A.Muang chiangrai
    โพส: 386
    Rep Power: 49[​IMG]


    </TD><TD class=alt1><!-- icon and title -->ตำราวิชชา 3 วิชชา 8 ตอน ความโลภ ความโกรธ ความหลง


    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ความโลภ ความโกรธ ความหลง คืออะไร

    การที่ผู้เขียนได้นำเอาหัวข้อเรื่อง ความโลภ ความโกรธ ความหลง มากล่าวก็เพราะว่าการที่เรามีความรู้หรือมีความเข้าใจในเรื่องต่างๆบ้าง ก็ย่อมเป็นปัจจัยหรือสิ่งประกอบในอันที่จะทำให้การปฏิบัติธรรม หรือการฝึกตนนั้นไปสู่ความสำเร็จได้ ในที่นี้หมายถึงการมีความรู้ความเข้าใจทั้งในสภาวะภายในและภายนอกของตัวเรา ย่อมทำให้เราสามารถพิจารณาในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราและเกิดขึ้นกับผู้อื่นสิ่งอื่นว่ามีสาเหตุเป็นอย่างไรและจะมีผลเป็นอย่างไร หรือจะทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆอย่างไรอย่างนี้เป็นต้น หรือถ้าจะให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจว่าทำไมถึงต้องรู้ว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง คืออะไรเป็นอย่างไรนั้น ก็เพราะว่าความรู้ในเรื่องนี้เป็นชั้นพื้นฐานในการที่จะพิจารณาให้บรรลุถึงขั้นโสดาบันปฏิมรรค โสดาบันปฏิผล เป็นปัจจัยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญยิ่ง ดังนั้นผู้เขียนจึงได้นำเรื่อง ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาเขียนอธิบายไว้เพื่อเป็นแนวทางในการทำความเข้าใจ และเป็นแนวทางในการคิดพิจารณาเพื่อให้บรรลุมรรคผลดังจะได้อธิบายหรือพรรณนาดังต่อไปนี้.-
    ความโลภ ความโกรธ ความหลง มีทั้งระดับหยาบและละเอียด ที่กล่าวว่ามีทั้งหยาบและละเอียดก็เพราะในชั้นแรกความโลภหรือความอยากได้ ในชั้นปุถุชนคนทั่วไปย่อมเป็นความโลภหรือความอยากได้เกี่ยวกับการเป็นอยู่ คือเกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค และเป็นความโลภความอยากได้ตามกระแสสังคมการเป็นอยู่ร่วมกัน เช่น อยากมีเงิน อยากมีรถขี่ อยากมีงานทำหรืออื่นๆ อีกมาก ความอยากได้ถ้ามีความพอดีก็ไม่เป็นอันตรายหรือเป็นทุกข์ แต่ถ้ามีความโลภหรือความอยากได้มากเกินไปจนกลับกลายเป็นการแย่งชิงของผู้อื่น เบียดเบียนโกงผู้อื่นหรือทำผิดกฎเกณฑ์กติกาของสังคมก็ย่อมทำให้เกิดความทุกข์ทั้งตัวเอง และเกิดความทุกข์ต่อผู้อื่นที่เราไปเบียดเบียน ความโลภในระดับนี้เป็นระดับชั้นปุถุชนเป็นความโลภที่มองเห็นได้ง่ายแต่ขจัดได้ยากพอสมควร และที่ผู้เขียนกล่าวว่าขจัดได้ยากก็เพราะว่าความโลภประเภทนี้ จะมีติดตัวเรามาแต่กำเนิดอีกทั้งยังมีอยู่ให้สภาพแวดล้อมต่างๆทั้งภายในครอบครัว จนไปถึงภายนอกครอบครัวคือชุมชนต่างๆที่เราปฏิสัมพันธ์อยู่ ทำให้มีการขัดเกลาอบรมบ่มความคิดในเรื่องความโลภ หรือความอยากได้นี้ติดตัวเราอย่างหนาแน่น ที่ได้กล่าวไปนี้เป็นความโลภในชั้นธรรมดาหรือชั้นหยาบ อันเป็นความโลภหรือความอยากได้ในด้านรูปธรรม ส่วนความโลภในชั้นหยาบอีกแบบหนึ่งนั้นไป เป็นความโลภที่เป็นนามธรรม เช่นความโลภอยากให้คนกราบไหว้หรือนับถือมากๆความโลภอยากให้มีคนชอบมากๆความโลภอยากพูดมากๆ และอื่นๆอีกมากมายหลายอย่าง ส่วนความโลภในชั้นละเอียดนั้นจะเป็นทั้งในแง่ของรูปธรรมและนามธรรม แต่จะเป็นความโลภที่เราอาจจะไม่รู้สึกตัวหรือเช่นเมื่อเราปฏิบัติธรรมไปแล้วก็จะเกิดฤทธิ์ขึ้น ฤทธิ์ที่เกิดจะเป็นกิเลสคือความโลภฯอย่างละเอียด อันนี้จะไม่อธิบายในรายละเอียดเพราะเมื่อท่านฝึกตนบรรลุถึงชั้นโสดาบัน ท่านก็จะรู้ได้ด้วยตัวของท่านเองคือ เกิดความเข้าใจด้วยตัวเองว่าทำไมผู้เขียนจึงกล่าวว่า สิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่าฤทธิ์ที่เกิดมีขึ้นเป็นกิเลสหรือความโลภความหลงฯอย่างละเอียด ท่านทั้งหลายเมื่ออ่านมาถึงจุดนี้อย่าเพิ่งท้อใจว่า การจะฝึกตนให้บรรลุถึงซึ่งโสดาบันนั้นเป็นเรื่องยาก ซึ่งในทางที่เป็นจริงนั้นถ้าไม่มีหลักการหรือธรรมะหรือหลักวิชชาที่ถูกต้อง ย่อมไม่สามารถนำพาให้ท่านบรรลุถึงชั้นโสดาบัน แต่เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่านได้ศึกษาตำรานี้จนจบครบถ้วนกระบวนความ อีกทั้งได้ทำความเข้าใจในวิชชาของบทเรียนแล้วท่านทั้งหลายย่อมบรรลุโสดาบันได้อย่างแน่นอน และในส่วนของความโลภที่ได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น ก็จะไปสัมพันธ์กับความหลงและความโกรธ ซึ่งในที่นี้จะแยกให้เห็นเป็นอย่างๆไปเพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ
    ความโลภเกิดจากอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ความโลภเกิดจากร่าง
    กายและระบบการทำงานของร่างกาย หากจะกล่าวอีกรูปแบบหนึ่ง ก็คือ ความโลภเกิดจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร และจิตวิญญาณ ความโลภหรือความอยากได้เกิดจากการได้สัมผัสโดย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดเป็นความคิด ความโลภเป็นความรู้สึกชนิดหนึ่งที่มีปัจจัยหรือสิ่งประกอบหลายอย่างทำให้เกิดความโลภหรือความอยากได้ เช่น กรรมพันธุ์ สภาพสิ่งแวดล้อม สังคมความเป็นอยู่ ความรู้ ความจำ การปรุงแต่ง สรีระร่างกาย และอื่นๆ อีกมากมายหลายอย่างด้วยกัน
    ความโลภที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งก็เป็นความคิดอย่างหนึ่งของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกันจะมีมากมีน้อยหรือมีพอดีตามครรลองคือ ตามสังคมทั่วไปยอบรับ ก็เพราะ กรรมพันธุ์ สภาพแวดล้อม ความรู้ ความจำการปรุงแต่ง สรีระร่างกาย การสังคมและความเป็นอยู่จารีตขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม การเศรษฐกิจ อาชีพ หรือหากจะกล่าวในรูปแบบหลักธรรมหรือหลักการแห่งข้าพเจ้าแล้ว ความโลภย่อมเกิดจาก ความคิดและการนึกถึง เกิดจากอาชีพและการประพฤติแห่งอาชีพหรือพฤติกรรมแห่งการครองเรือน เกิดจากการพูดและการรู้คุณในสิ่งต่างๆ เกิดจากการครองเรือนและการให้ทาน ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวไป ล้วนเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความคิดและความรู้สึก อยากได้ หรือความโลภทั้งสิ้น ความคิดและหรือความรู้สึกอยากได้หรือความโลภนั้น ย่อมก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของแต่บุคคลแตกต่างกันไป หากพฤติกรรมเหล่านั้นไม่ขัดต่อวัฒนธรรมประเพณีไม่ขัดต่อกฎหมายก็ถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ดี แต่หากพฤติกรรมต่างๆของแต่ละบุคคลที่แสดงออกเมื่อเกิดความรู้สึก หรือความคิดอยากได้หรือความโลภนั้นขัดต่อจารีตขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณีหรือ ขัดต่อกฎหมายขัดต่อการสังคมเป็นอยู่ร่วมกันหรืออาจจะไปขัดต่อความคิด ขัดต่อสายตาของผู้อื่นก็ย่อมถือว่าเป็นสิ่งไม่ดี ซึ่งที่ผู้เขียนได้กล่าวไปข้างต้น ก็คงจะเป็นแนวทางเป็นความรู้ชั้นพื้นฐานเกี่ยวกับความโลภคือ ความอยากได้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้คิดพิจารณาต่อไป เพราะรายละเอียดปลีกย่อยของความคิดและหรือความรู้สึกอยากได้นี้ยังมีอีกมากมายซึ่งก็แล้วแต่ว่า ผู้ใดจะมีความสนใจมีความขยันมีเวลาทำความเข้าใจ และพิจารณาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะจะเป็นพื้นฐานเป็นความรู้ ที่จะทำให้บรรลุถึงชั้นอริยะบุคคลในชั้นต่างๆได้
    ความหลงหรือโมหะ โมหะคือ ความหลงความไม่รู้ซึ่งความเป็นจริง หรือเป็นอวิชชา ซึ่งตามที่ผู้เขียนได้กล่าวไปข้างต้นนี้เป็นความหมาย ตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ของเจ้าคุณธรรมปิฎก และพจนานุกรมพุทธศาสนาอีก
    หลายเล่มได้ให้ความหมายไว้ที่ใกล้เคียงและเหมือนกันดังได้กล่าวไว้ข้างต้น
    ความหลงหรือโมหะ ในทางความเป็นจริงนั้นเป็นความต้องการ เป็นความรู้สึกเป็นความคิดที่บุคคลผู้นั้นชอบ ผูกติดหรือยึดถือ ซึ่งหากจะกล่าวว่าบุคคลผู้นั้นไม่รู้ซึ่งความเป็นจริงหรืออวิชชาก็เพราะไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอคือ มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เป็นทุกข์ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ สำหรับในส่วนที่เป็นรายละเอียดในส่วนที่ลึกซึ้งกว่าระดับปุถุชน หรือในส่วนที่นอกเหนือไปจากการดำเนินชีวิตของสรรพสิ่งทั่วๆไปจะไม่กล่าวถึง เมื่อท่านทั้งหลายได้ฝึกตนไปแล้วก็จะรู้และสามารถขจัดความหลงอย่างละเอียดได้ด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ ที่กล่าวไปอย่างข้างต้นนั้นก็เพราะในวิถีชีวิตในธรรมชาติแห่งสรรพสิ่งย่อมมีความหลงหรือโมหะเกิดขึ้น หรือมีอยู่ในตัวบุคคลหรือสัตว์ไม่มากก็น้อย ซึ่งในสังคมหรือวิถีชีวิตหรือธรรมชาติของสรรพสิ่งนั้น ความหลงหรือโมหะก็ใช่ว่าจะผิดทำนองคลองธรรม แต่เป็นความคิดความรู้สึกที่เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามความต้องการของบุคคลเหล่านั้น แต่หากคิดพิจารณาให้ลึกซึ้งหรือแยกแยะรายละเอียดให้กว้างออกไป ความหลงหรือโมหะเป็นกิเลสคือเป็นเครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง เช่น ต้องสูญเสียสิ่งที่ตนรักตนหวง ต้องเสียเงินมากโดยไม่อยากจะเสียเช่นตกหาย ความหลงเกี่ยวกับสรีระร่างกาย ความหลงเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ ยศถาบรรดาศักดิ์ ความหลงเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีและอื่นๆ อีกมากมาย อย่างนี้เป็นต้น หากท่านผู้อ่านได้คิดพิจารณาด้วยตัวเองก็จะมีความเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะที่ได้กล่าวถึงความหลงหรือโมหะไปข้างต้นเป็น หัวข้อหลักเท่านั้น
    โมหะคือความหลง เกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ความหลงเกิดขึ้นจากสรีระร่างกายอันเป็นผลมาจาก กรรมพันธุ์ สภาพสิ่งแวดล้อม การสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน การศึกษา ความรู้ ความจำ ความคิด ศิลปะวิทยาการ เทคโนโลยี สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ลักษณะภูมิประเทศ สภาพลมฟ้าอากาศ ฯลฯหรือหากจะกล่าวในรูปแบบหลักธรรมหรือหลักการแห่งข้าพเจ้าแล้ว ความหลงย่อมเกิดจาก ความคิดและการนึกถึง เกิดจากอาชีพและการประพฤติแห่งอาชีพหรือพฤติกรรมแห่งการครองเรือน เกิดจากการพูดและการรู้คุณในสิ่งต่างๆ เกิดจากการครองเรือนและการให้ทาน ซึ่งสิ่งต่างๆที่ได้กล่าวไปล้วนเป็นปัจจัย ที่ทำให้เกิดความหลงหรือโมหะ
    ความหลงหรือโมหะเกิดขึ้นจากการที่สรรพสิ่งได้สัมผัส ได้จับต้อง ได้ปฏิบัติ ได้แสดงออก ได้ใช้ ได้ใกล้ชิด ได้เห็น ได้ฟัง ได้ลิ้มรส ที่กล่าวไปนี้เป็นการกล่าวโดยรวมว่า ความหลงย่อมเกิดขึ้นเมื่อได้มีพฤติกรรมต่างๆคือได้สัมผัสจับต้องปฏิบัติ แสดงออก ได้ใช้ ได้ใกล้ชิด ได้เห็น ได้ยินหรือฟัง ได้ลิ้มรส แม้บางครั้งการมีพฤติกรรมอย่างที่ได้กล่าวไป อาจจะไม่ก่อให้เกิดความหลงหรือโมหะก็ตามที แต่ส่วนใหญ่แล้วความหลงหรือโมหะจะเกิดขึ้นก็เพราะมีพฤติกรรมอย่างนั้นและมีปัจจัยต่างๆเป็นสิ่งประกอบอย่างนั้น เช่นนี้เป็นต้น
    สรุปแล้ว ความหลงหรือโมหะคือความไม่รู้ซึ่งความเป็นจริง หรืออวิชชา เป็นความไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่รู้ซึ่งความจริงว่าสรรพสิ่งทั้งหลายย่อมเป็นอย่างนั้นมีอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นความรู้เพียงชั้นพื้นฐานเป็นความรู้ที่กว้างและลึกซึ้งเพิ่มจากการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน เพราะธรรมชาติแห่งสรรพสิ่งล้วนย่อมมีความหลงย่อมเกิดความหลง อาจจะเป็นความหลงที่ก่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ ก่อให้เกิดเทคโนโลยีที่ทันสมัย ก่อให้เกิดความรักใคร่กลมเกลียว ปราศจากปัญหาทางสังคม แม้ว่าในส่วนที่ลึกซึ้งเฉพาะตัวบุคคลอาจจะเกิดความเศร้าหมองคือ เกิดกิเลสเครื่องทำให้ใจเศร้าหมองก็ตามที
    อนึ่งผู้เขียนขอย้ำว่า การประพฤติปฏิบัติหรือการทำงานใดใด ต้องมีความรู้หรือความเข้าใจชั้นพื้นฐานอยู่ก่อนจึงจะสามารถประพฤติปฏิบัติ หรือทำงานนั้นได้ การปฏิบัติธรรมก็เป็นการทำงานอย่างหนึ่งของร่างกายเรา ดังนั้นจึงต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐานเสียก่อน
    ความโลภหรือโลภะคือความอยากได้ โมหะคือความหลงความไม่รู้ซึ่งความเป็นจริง อวิชชาอันหมายถึง ความไม่รู้ว่าสรรพสิ่ง เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สรรพสิ่งย่อมเป็นไปอย่างนั้นย่อมมีอย่างนั้นเป็นเพียงความรู้ชั้นพื้นฐาน เป็นหัวข้อบอกกล่าวให้รู้ว่า การที่จะสามารถหลุดพ้นหรือสามารถขัดเกลา โลภะ โทสะ โมหะ ได้นั้น ต้องรู้ก่อนว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นอย่างไรมีต้นกำเนิดอย่างไรซึ่งก็ย่อมหมายรวมไปถึงปัจจัยต่างๆหรือสิ่งประกอบต่างๆ ที่ทำให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ด้วย
    โทสะ คือ ความคิดประทุษร้าย เป็นความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏก และพจนานุกรมพุทธศาสนาหลายเล่มได้ให้ความหมายไว้คล้ายคลึงกัน หรือตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ไว้ว่า ความโกรธคือ ความไม่พอใจอย่างรุนแรงซึ่งนำไปสู่การคิดประทุษร้าย ในที่นี้จะใช้คำศัพท์ทั้ง 2 คำก็ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าได้สับสนและอนุโลมว่า โทสะก็คือความโกรธ ผู้อ่านจะได้ไม่เข้าใจสับสน
    โทสะ เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ได้สัมผัสในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ด้วยกาย วาจา จากสรรพสิ่งต่างๆ ในความรู้สึกโกรธหรือโทสะนี้ จะรวมเอาความโลภและความหลงไว้ด้วย เรียกว่าโทสะมีความโลภและความหลงหรือโมหะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ก่อให้เกิดความโกรธได้ ที่ว่าโทสะเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งก็เพราะความโกรธทำให้เกิดความทุกข์ไม่สบายใจว้าวุ่น เป็นความรู้สึกที่ร้อนรุ่มกระวนกระวาย โทสะหรือความโกรธนี้หากจะกล่าวในรูปแบบหลักธรรมหรือหลักการแห่งข้าพเจ้าแล้ว ความโกรธหรือโทสะย่อมเกิดจาก ความคิดและการนึกถึง เกิดจากอาชีพและการประพฤติแห่งอาชีพหรือพฤติกรรมแห่งการครองเรือน เกิดจากการพูดและการรู้คุณในสิ่งต่างๆ เกิดจากการครองเรือนและการให้ทาน ซึ่งย่อมเกิดจากการสัมผัสแล้วคิดจึงรู้สึกโกรธ ความรู้สึกที่ว่านี้ อาจจะไม่ตรงกับความหมายของคำว่าเวทนาในภาษาบาลีเหตุเพราะเรื่องของความหมายของภาษา กับความเป็นจริงนั้นบางครั้งก็อาจจะมีความหมายไปคนละอย่าง ในที่นี้จะใช้คำว่าความรู้สึกโกรธหรือโทสะเป็นความหมายหนึ่งของคำว่า เวทนา เพราะไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมและกะทัดรัดมาแทนได้ และหากท่านผู้อ่านได้อ่านพบ คำว่าเวทนาในตำราหรือในหนังสือเล่มนี้ ก็ขอให้เข้าใจความหมายไปในทางเดียวกับผู้เขียนว่า เวทนาคือความรู้สึก หนาว ร้อน เป็นสุข เป็นทุกข์ โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ และอื่นๆอีกหลายอย่างซึ่งเจตนาของผู้เขียน ต้องการให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้คิดพิจารณาด้วยตัวเองเป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่เขียนในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเวทนามาก เพื่อเหลือไว้ให้ท่านทั้งหลายได้คิดพิจารณาด้วยตัวของท่านเองบ้าง
    สรุปแล้ว ความโลภหรือโลภะ, ความโกรธหรือโทสะ, ความหลงหรือ โมหะ เป็นความรู้สึกเป็นเวทนาอย่างหนึ่ง เป็นหลักความจริงในสรรพสิ่ง กล่าวคือ สรรพสิ่งย่อมต้องมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจง่ายขึ้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นส่วนปลีกย่อยของความรู้สึก บางท่านที่ติดหลงในพระไตรปิฎกอันนี้หมายความว่า ศึกษาในพระไตรปิฎก แล้วยึดถือรายละเอียดในพระไตรปิฎก จนไม่คิดพิจารณาถึงสภาวะจิตใจของตัวเองหรือของผู้อื่น ผู้เขียนก็ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าการให้ความหมาย หรือการตีความหมาย หรือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่าเวทนาของผู้ที่ได้เรียนได้ศึกษาพระไตรปิฎกมานั้นอาจจะไม่ตรงกับผู้เขียน แต่การทำความเข้าใจหรือการตีความหมายของคำว่าเวทนาของผู้เขียนนี้ เป็นการหยิบยืมคำว่าเวทนามาเป็นหลักการ เหตุเพราะว่าไม่สามารถหาคำใดที่เหมาะสมและกะทัดรัดมาใช้ได้ อีกประการหนึ่งหลักการขันธ์ 5 นี้ก็เป็นแก่นแท้ เป็นหลักความจริงแห่งธรรมชาติของสรรพสิ่งมีอยู่ในพระไตรปิฎก หากจะมีผู้ใดมีความคิดคัดค้านความหมาย ความเข้าใจ ก็ขอให้คิดและรู้ไว้ก่อนว่า ที่ผู้เขียนได้ให้ความหมาย หรือความเข้าใจไปแล้วนั้น ได้จากการใช้หลักการขันธ์ 5 แล้วศึกษา ค้นคว้า วิจัย โดยการสังเกตจากตัวเองและผู้อื่น ดังนั้น ผู้เขียนจึงให้ความหมายและความเข้าใจซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ประสบมากับตัวเอง และที่ผู้เขียนได้อธิบายไปทั้งหมดแล้วนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ขอให้ท่านทั้งหลายจงระลึกไว้เสมอว่าสรรพสิ่งย่อมมีโลภะคือความโลภเป็นธรรมดา ย่อมมีโทสะคือความโกรธเป็นธรรมดา ย่อมมีโมหะคือความความหลงเป็นธรรมดา ฉะนี้
    <!-- / message --><!-- sig -->____________________________
    telwada

    <MARQUEE>[​IMG]</IMG>[​IMG]</IMG></MARQUEE>
    <!-- / sig --></TD></TR><TR><TD class=alt2>[​IMG] [​IMG] [​IMG] </TD><TD class=alt1 align=right><!-- controls -->[​IMG] [​IMG] <!-- / controls --></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- post 95136 popup menu -->

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=thead>telwada</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option style="CURSOR: default">View Public Profile</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option style="CURSOR: default">Send a private message to telwada</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option style="CURSOR: default">Find More Posts by telwada</TD></TR><TR><TD class=vbmenu_option style="CURSOR: default">Add telwada to Your Buddy List</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- / post 95136 popup menu -->
     
  15. Ganesa

    Ganesa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +5
    คุณรู้จน พ่นได้พล่าม ความมากมาย พอเอาจริง เข้าก็กลาย เป็นเหยียบรู้ ก่อนทำอะไร ควรได้ถามพระองค์ดู คุณก็จู่ชิงทำก่อน ร้อนทั้งเมือง

    จากส่วนหนึ่งของคำกลอนที่ท่านพุทธทาสภิกขุ


    เอาไปอ่านดูและก็พิจารณาดูตัวเองด้วยนะครับนะครับลุง"telwada"ผู้รู้แจ้ง
     
  16. Ganesa

    Ganesa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +5
    ผมว่านะลุง"ศรีอารย์"ลุงน่าจะเรียกITVมานะมาถ่ายลุงไงบอกนักข่าวเค้าไปเลยว่าลุงคือศรีอารย์ผู้รู้แจ้ง5555 ชาวโลกเค้าจะได้รับรู้ถึงความบ้าบอเพ้อเจ้อของลุงไง5555555
     
  17. Ganesa

    Ganesa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +5
    ผมว่านะตอนลุง"ศรีอารย์"ผู้รู้แจ้งของผมเนี่ยนั่งฝึกวิชาของแกลุงแกคงธาตุไฟเข้าแทรกรึไม่ก็ธาตุไฟแตกนะแบบในหนังจีนนะครับแกถึงได้เป็นแบบนี้ครับเนี่ย
     
  18. Ganesa

    Ganesa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +5
    ผมละสงสารสงสารคนในครอบครัวลุงกะคนรอบข้างลุงจริง ต้องมานั่งหาวิธีบำบัดอาการลุงเคยปรึกษาจิตแพทย์บ้างมั้ยครับ"ลุงศรีผู้รู้แจ้ง" ถ้ายังนี่ต้องรีบบบบเลยนะครับเดี๋ยวกู่ไม่กลับนะ

    ด้วยความเป็นห่วงจากคนรักชาวศรีอารย์
     
  19. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ข้าพเจ้าว่า พวกคุณไม่เห็นตัวจริง ไม่เห็นของจริง ได้แต่พล่ามมากกว่านะ ธรณีจะสูบใครก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่า สูบใคร กลืนใครไปกี่มากน้อย ก็เพราะคนประเภทอย่างพวกคุณนั่นแหละ
    แค่หลัก ตรรกวิทยา พวกคุณยังไม่กระดิกหู กระดิก หาง แล้วยังมีหน้าโอ้อวด ความรู้ ยังมีหน้ากล่าวหาว่าข้าพเจ้าไม่มีมารยาท แน่จริงก็มาพิสูจน์เลยคุณ อย่าทำตัวเป็นสุนัขเห่าใบตองแห้งอยู่เลย
    แล้วจะบอกให้พวกคุณรู้ไว้ บุคคลใดที่อยู่ใกล้ชิดหรือรอบข้างข้าพเจ้าทำดีย่อมต้องได้ดี มีแต่ความสุขใจสบายใจ เว้นแต่พวกโง่ดักดานอย่างพวกคุณเท่านั้นแหละน่าคุณ
     
  20. peerachai333

    peerachai333 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +15
    โลกันตมหานรกในกะลาครอบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...