***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ยังไม่มีกำหนดครับ สามารถโทรสอบถามท่านได้โดยตรง 089-6142671
    ที่สำคัญท่านชี้แนะการปฏิบัติให้ทางโทรศัพท์ได้เลยนะครับ

    ผมเคยโพสเรื่องของท่านไว้ที่นี่

    http://palungjit.org/threads/***หลว...-แต่เป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม***.315940/
     
  2. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    โทรไปจะไม่เป็นการไปรบกวนครูบาอาจารย์เหรอครับ หรือว่าท่านอนุญาตให้โทรหาได้เลย
     
  3. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ถ้าสนใจปฏิบัติธรรม ท่านเมตตามากครับ
    ลองอ่านเรื่องของท่านตาม link ดูซิครับ
    ท่านบอกว่าจะอยู่อีก 10 ปี เพื่อแนะตรงนี้
     
  4. sathit56

    sathit56 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +39
    ตามอ่านอยู่ครับ ขอลองศึกษาให้เข้าใจก่อน อย่าทิ้งช่วงนานนักนะครับ กำลัง hot
     
  5. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    เล่าต่อนะครับ

    ในส่วนวิปัสสนา
    ตามที่คุณ Nopphakan ได้แนะนำแนวทางให้สังเกตุจิต อันนั้นก็ดีมากนะครับ
    แต่ที่ผมบอกว่ามีวิธีที่ดีกว่า ก็คือตามแนวทางหลวงพ่อสมบูรณ์ ให้สังเกตุจิตที่ "ไม่มีกิเลส" หรือจิตว่างครับ
    ปกติเราไม่ได้มีกิเลสตลอดเวลานะครับ มีจังหวะที่จิตไม่ได้ปรุงแต่งอะไร แต่เราอาจไม่เคยสังเกตุ
    ไม่มีใครปรุงแต่งตลอดเวลาหรอกครับ แต่ขณะที่ไม่ปรุงแต่ง จิตว่างๆ เป็นอะไรที่มักจะมองข้ามกันไป เหมือนเส้นผมบังภูเขา
    อันนั้นคือจิตเดิมๆ หรือจิตว่าง ถ้าจับจุดตรงนี้ได้แล้ว เพียวเจริญจิตชนิดนี้ไว้...จะเป็นวิธีที่ลัดสั้นมากๆ
    ไม่ต่องวิเคราะห์ใดๆ แค่กลับมาอยู่กับจิตเดิม...หรืออาจเรียกว่าจิตถึงฐานก็ได้
    ก็ไม่มีกิเลส นั่นก็หมายถึง ไม่มีความทุกข์....

    ทุกๆ ครั้งที่มีสติ กลับมาอยู่กับจิตเดิม กลับฐาน ความทุกข์จะอันตรธานไปสิ้น
    หรือถ้าไม่หาย ก็เห็นความทุกข์ได้ จิตจะแยกตัวมาเป็นผู้รู้ ผู้เห็น ไม่ใช่เป็นผู้ทุกข์
    เป็นดังนั้น ความทุกข์จะดับลง กลับไปสู่จิตที่ว่างจากทุกข์ ว่างจากกิเลส เป็นจิตเดิมแท้ กลับฐานได้
    จิตจะมีกี่ดวงก็ตาม...แต่จิตดวงที่สำคัญที่สุด คือจิตที่ไม่มีกิเลส จิตดวงที่ไม่ทุกข์
    ไม่ต้องอะไรมาก รู้จักจิตดวงนี้ดวงเดียวพอเลย

    เราปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ใช่ไม๊ครับ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อให้รู้อะไรมากๆ
    บางท่านอาจหลงอยู่กับการไปดูเกิดดับ แต่ไม่ได้ไปดูจิตที่ไม่มีทุกข์ ไม่มีการเกิดดับอันนี้
    แล้วก็เข้าใจว่าเป็นจิตที่พระอรหันต์เท่านั้นที่มี........ไม่ใช่เลยครับ มีกันทุกคน แต่ไม่เคยสังเกตุกันเอง
    ไม่ได้หยุดปรุงแต่ง ปรุงกันไป บางทีก็ปรุงธรรมะ....เลยไม่รู้จักสภาวะที่ไม่มีทุกข์ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว
    นั่นแหละครับ จิตถึงฐานของจริง....ฐานที่จิตเดิมๆ ไม่มีการปรุงแต่งอะไรเลย

    อย่าหลงทางนะครับ ปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์ ไม่ใช่เพื่อสงบ เพื่อศลีบริสุทธิ์ เพื่อเกิดปัญญาญาณ เกิดสมาธิ
    อันนั้นเป็น "ทาง" ไม่ใช่ "ผล" .....อย่าไๆปจับเอา ทางเป็นผล ครับ
    ไม่มีทุกข์ก็จบครับ แค่นั้น อย่าเผลอไปปรุง เผลอปรุงก็กลับฐานจิตเดิม

    หลวงพ่อกล่าวบ่อยๆ "ไม่มีทุกข์แล้วจะเอาอะไรอีก"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  6. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ในส่วนสมถะ

    เมื่อเจริญสติจนมาสติถี่มากพอ จนต่อเนื่องเป็นสายเดียวได้แล้ว
    จะมีขณิกะรองรับอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการฝึกสมถะจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็น
    เหมือนที่ผมคตั้งชื่อกระทู้เอาไว้ กสินใน 1 วัน / อรูปฌานใน 1 วัน
    คือเมื่อกำหนด เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ขึ้น ก็เอาไปใช้งานได้ทันที
    จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่ 1 วันหรอกครับ กำหนดปุ๊ป ก็เอาไปบำบัดโรคได้ทันที
    แต่พูดไปก็เหมือนโม้ ..... ไม่ใช่หรอกครับ กว่าจะมามีวันนี้ ก็ผ่านการเจริญสติมาก่อน...อย่างที่กล่าวมา

    ผมได้ใช้กสินบำบัดโรค (ขอใช้คำว่าบำบัด เพราะว่ายังไม่ถึงขั้นรักษาให้หายได้) อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์
    ก็ด้วยการใช้อาการของคู่ปรับมาแก้ไขเวทนาที่เป็น อาทิเช่น
    เวลามึนหัว ก็เข้าไปดูในจุดที่มึน เข้าไปดูซักพัก จนไปเห็นต้นเหตุที่เป็นจุดเล็กๆ สังเกตุว่ามันเป็นอาการอะไร
    ถ้ามันร้อน ก็ใช้ความเย็นเข้าไปตรงจุดนั้น มันจะไปทำปฏิกริยาราวๆ 3-10 นาที ...กะๆ เอานะครับ
    แล้วเวทนาตรงนั้นก็จะค่อยๆ หาย พักเดียว เวทนาอื่นก็ปรากฏอีก...ก็เข้าไปพิจารณาแบบนี้อีก
    ถ้าเป็นก้อนแน่นๆ แข็ง ก็ใช้ความไหวของลมเข้าไปบำบัด สักพักก็หาย....


    ผมค่อยๆ พัฒนาวิธีการมากขึ้น เช่นรู้สึกว่าหนักและแสบบริเวณเบ้าตาด้านหลัง
    ผมพิจารณาว่าน่าจะเป็นการคลั่งของเลือด ณ บริเวณนั้น
    ผมก็ลองใช้จิต ไล่เลือดให้ไหลกลับไปตามความรู้สึกว่าเส้นเลือดเดิมจะไปทางไหน
    ความรู้สึกว่ามันจะไหลกลับไปที่บริเวณท้ายทอย แล้วเวทนาก็ค่อยๆ หายไป
    ซักพัก มันจะเป็นอีก ก็ไล่เลือดกลับไปอีก....
    หลายทีเข้า ผมก็ทดลองเอากสินดิน คือความแข็ง ไปกั้นทางไม่ให้มันมาอีก
    มันก็ได้ผลดีกว่าเดิม เวทนาหายไปได้นานขึ้น....
    จนมีเวลาที่ชีวิตเป็นปกติ ไม่มีเวทนาใดๆ เลย เป็นเวลานานกว่าแต่ก่อน

    คือเมื่อก่อน อาการต่างๆ จะเป็นสลับกันเกือบทั้งวัน มีบางช่วงที่ผมเป็น "ปกติ" ไม่มีอาการอะไรเลย
    อาการปกติเป็นช่วงสั้นๆ ครั้งนึงราวๆ 1 ชม. แล้วก็เป็นอีก สลับกันทั้งวัน
    วันหนึ่งเป็นหลายรอบ น่าจะมากกว่า 5 รอบครับ...เป็นแบบนี้มา 8 ปีแล้ว บางวันต้องลางาน นอนอย่างเดียวเลย
    หลังจากใช้กสินได้ อาการน้อยลง มีเวลาปกติมากขึ้น นานขึ้น...

    ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่คือลืมตานะครับ ผมนั่งหลับตาน้อยมากครับ ก่อนนอนยังไม่นั่งเลย ทำตอนนอนนั่นแหละ
    นี่คือผลจากสติ สมาธิที่เกิดจากสติ มั่นคงมากๆ จ่ออยู่ตลอดเวลา ใช้ได้รวดร็ว แค่นึก...ไม่ต้องใช้เวลาตั้งสมาธิเลย
    ทำได้แทบทุกขณะ แม้พูดคุยกับคนอื่น ดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว เรียกว่าเป็นเมื่อไหร่ แก้ไขเมื่อนั้น บำบัดกันตรงนั้นเลย
    ผมเรียกว่า "วัน ทู ฌาน"


    โรคที่ผมเป็นวันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะครับ หนักเอาการทีเดียว
    เป็นโรคที่ซับซ้อนมากๆ ระบุไม่ได้ว่าเป็นอะไรแน่ แถมรักษาไม่หายด้วย
    รักษามาหลายวิธีมากๆ หมดเงินไปเยอะ...ไม่หาย แค่ดีขึ้น...
    ผมพอจะทราบแล้วครับว่า มาจากรรม..เป็นกรรมหนักด้วย
    ตอนนี้ยังไม่เฉลยนะครับ ว่ากรรมอะไร คอยติดตามก็แล้วกัน



    2 อาทิตย์ ผ่านไป ผมขับรถกลับไปรับแม่กลับ กทม ขาไปคราวนี้ปลอดโปร่งดี เพราะมีกสินเป็นผู้ช่วย
    ไม่ต้องผจญเวทนาง่วง มึน มากๆ เหมือนคราวที่ไปส่งแม่...
    พอเริ่มเป็น ก็เริ่มบำบัด อาการก็ทุเลาๆ ลง จนหาย

    และที่เขาค้อ ที่แม่ผมไปพักหลบภัยน้ำท่วม ผมก็พบกับวิชาใหม่ วิชาที่จะชักนำผมไปสู่ เรื่องที่ตั้งชื่อกระทู้
    ....อรูปฌานใน 1 วัน
    วิชานั้นคือ....จักระ...ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    มาพิจารณากัน นะครับ ผมจะเขียนปรับกับ ความเห็น จขกท ไม่ใช่เพื่อข่ม แต่
    เพื่อ วิจารณญาณ อันสมบูรณ์ของผู้อ่าน ที่จะพึงเห็นได้ว่า มีสมบูรณ์กว่าที่จะ
    หลงไปฟังอะไรแล้วเชื่ออย่างง่ายๆ

    มาประเด็นหลักๆ เท่านั้น เรื่อง น้ำไม่เกี่ยว เอาแบบ บิ๊กแบก (ใช้ว่าหาม)

    จิตเดิมแท้ : จิตเดิมแท้นั้น หรือ ฐีติภูตัง หากเป็นสายวัดป่า จะต้องทำสมถะ บริกรรม
    นิมิตจนจิตอิ่มอารมณ์ เติมความคิดใดๆไม่ได้อีก หมดอาการสงสัย คือแม้แต่จะสงสัย
    ว่านี่อะไร นี่ยังไงก็ไม่เกิด หรือที่เรียกว่า จิตรวมใหญ่ ก็จะ ถึง ฐีติภูตัง จิตเดิมแท้

    แล้ว จิตเดิมแท้ของสายพระป่า เป็น จิตที่มีอวิชชาอยู่เต็ม ไม่ได้ละอวิชชาเลย พูดง่ายๆ
    เป็น จิตที่มีโมหะทั้งดุ้น ดังนั้น สายพระป่าไม่ได้ ภาวนาไปเจริญ จิตที่มีโมหะทั้งดุ้นตัว
    นี้ แต่ให้เข้าไปเห็น เข้าไปพิจารณาว่า จิตเดิมแท้มีโมหะ มีอวิชชา จริงไหม อย่างไร
    มันไม่เที่ยงใช่ไหม คือ ให้เข้าไปเห็นความไม่เที่ยงของ ฐีคิจิต ตามเห็นเนืองๆ(พิจารณา)
    ก็จะถอดถอนการยึดมั่นถือมั่น เลิกเจริญจิตโมหะจัดเต็ม ตัวนี้ ค่อยๆซักฟอกไปเรื่อยๆ

    ส่วนสาย สมถะ อื่นๆ จิตเดิมแท้จะประภัสสร ผ่องใส ( ผ่องใสเพราะ โมหะ เป็นตัวแสง
    สีผ่องใส หมองลงเมื่อมีกิเลสจรมา ) สายสมถะก็ต้อง ถึง "ฌาณ4" ต้องไม่รับรู้กาย
    เนื้อ หรือแม้แต่กายลมก็ต้องหายหมด ไม่อยู่ในการรู้ของจิต ก็จะเรียกว่า ถึง จิตเดิมแท้
    เมื่อถอนจิตกลับออกมาแล้ว ต้องพิจารณาขันธ์5 ธาตุขันธ์ เกสา โลมา นัขา ทันตา ตะโจ
    เรียกว่า งานการภาวนาเจริญปัญญาเพื่อชำระกิเลส พึ่งเริ่มต้น

    ส่วนสายวิปัสสนา อันนี้ ต้องทำความเข้าใจ กายคตาสติ ซึ่งคือ การรู้เนื้อรู้ตัว มีสติ
    มีสัมปชัญญะ ต้องรู้กายรู้ใจ คำว่า รู้กายรู้ใจ คือ สังเกตกายใจให้เหมือนสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่
    ตัวตนของเรา ทำเหมือนกับ อ่านหนังสือ คือมีกายกับใจเป็นตัวหนังสือ ไม่ใช่จมไป
    ข้างกายหรือจมไปข้างใจ ต้องปรากฏกายใจให้ระลึกทั้งคู่ ขนานกันไป เคียงกันไป
    ถ้า จมไปยึดจิต ก็ถือว่า มีโมหะจัดเต็ม ถ้าจมไปข้างกายถือว่า (พักจิตจากโมหะ)

    ก็จะเห็นว่า เป็นการเน้นที่การเจริญมรรค อย่างสมเหตุสมผล

    ไม่ใช่อยู่ดีๆ ฮานาก้า บอกว่า เจอจิตปราศจากกิเลสแล้ว โดยยังไม่ทันทำอะไร
    ให้เป็นปัจจัตตังของตนเลย ละเมอเชื่อทิฏฐิตนที่ปรุงขึ้นมาเสียแล้ว เรียกว่า
    "คนไม่ทำงาน แต่จะเอา ผล" ขาดสัมมาอาชีวะ
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ส่วนเรื่อง การเจ็บไข้ได้ป่วยของกาย ตรงนี้ พระท่านสอนให้พิจารณาเข้ามา
    ว่า มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง และ เป็น อนัตตา คือ ควบคุมไม่ได้
    เพราะ มันเป็น ผลสืบเนื่องมาจาก "กรรม"

    สิ่งที่สืบเนื่องมาจากกรรม เวลามันปรากฏกับกายกับใจเรา เรียกว่า กรรมมัน
    อุบัติขึ้น หรือ กรรมส่งผล เป็นวิบากผล เป็นวิบากกรรมที่เราเคยทำมา และ
    กฏแห่งกรรมนี้ เวลาเข้าไปพิจารณา นอกจากจะต้องเห็นว่า มีสภาพไตรลักษณ์
    แล้ว ยังต้องเห็นเป็นเรื่อ อจิณไตย4 ด้วย คือ คาดหวังอะไรไม่ได้ เอาความ
    รู้กับเรื่องนี้ไม่ได้ หากไป ดำริเรื่อง อจิณไตยว่าเป็นเรื่องที่จัดการได้ รักษาได้
    หายได้ ก็เรียกว่า เข้าถึง ความเป็นบ้า !!!

    ดังนั้น เวทนากายเวทนาจิต ป่วยกายป่วยจิต มันเป็น ผลกรรมอย่างหนึ่ง ให้พิจารณา
    เห็นลงเป็นตัวทุกข์ และให้พิจารณาเห็นว่ามันจรไปก็จรมา ไม่เที่ยง อนิจจัง อนัตตา
    มีเหตก็เกิด หมดเหตุเขาก็ดับของเขาอยู่แล้ว บางคนไปเพ่งมัน แล้ว มันก็ดับของ
    มันตามธรรมชาติ อย่างปวดฟันหากเราปล่อยไปสักพัก ไม่ทันข้ามคืน ยังไงเสียเรา
    ก็ต้องตัดเข้าภพอื่น ภวังค์อื่น เลิกรับรู้อาการปวด เป็นปรกติอยู่แล้ว แต่ คนที่เข้า
    ถึงความเป็นบ้า ไปพิจารณาว่า รักษาได้ ก็จะเห็น เห้ย มันดับ เพราะ เราจ้อง เราเพ่ง

    แล้วก็อุปทานไปว่า ตนได้เข้าไปรักษา หลังจากนั้น ก็จะเกิด อัตตาตัวเบ้อเร้อ พร่ำ
    เพ้อถึงความสามารถใดๆ บรรดามี

    * * * *

    ส่วนการ บำบัดโรค ของชาวพุทธ เราจะมี อิทธิบาท4 ซึ่งถ้าไปพิจารณา
    ก็ไม่ใช่ อิทธิบาท4เฉยๆ แต่จะต้อง ผนวกกับ โพชฌงค์7 ด้วย และตัว
    ที่สำคัญมากๆคือ "ธรรมวิจัยยโพชฌงค์" ต้องมีตัวนี้ประกอบ ถึงจะบำบัด
    โรคได้จริง สิ้นโรค สิ้นเชื้อได้จริง

    ซึ่งก็เป็นการแทงตลอดด้วย คำ ด้วย พยัญชนะ ด้วย อรรถ

    คือ หมายถึง เราสามารถเจริญ โพชฌงค์7รวมทั้งอิทธิบาท4 ซึ่งเป็นส่วน
    ประกอบของ โพธิปักขยิธรรม32 ประการ ที่ทำให้ เข้าถึงความเป็น อรหันต์

    และ ความที่เป็น อรหันต์นั้นแหละ ที่ท่านพูดสั้นๆว่า หายจากโรค สิ้นเชื้อ พ้น
    การเจ็บ พ้นอาการไข้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  9. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    สรุปง่ายๆว่า เจริญกรรมฐานแล้วตกวิสัปนูกิเลส ข้อที่ "สุข" เลยคิดไปว่านี้คือสิ่งที่ต้องการ อุปทานไปเรื่อย

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  10. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ผมว่าดีนะครับ กระทู้นี้ ผู้เข้ามาอ่านได้ประโยชน์มาก
    คือได้ฟังความเห็น หรือประสบการณ์ของคนหลายคน
    (หรือ 2 คนหว่า เพราะ เล่าปัง กับ นิวรณ์ กับ บุคคลทั่วไป 3 คน น่าจะเป็นคนเดียวกันนะ
    ถ้าใช่ ทำไมต้องใช้ 3 ชื่อหนอ หรือมีชื่ออื่นอีก ดูมีพิรุธนะเนี้ยะ)

    ผมขอพักเรื่องผมไว้นิดนึงนะครับ พรุ่งนี้ติดเสวนาธรรม
    พอดีอ่านความเห็นของคุณเล่าปังแล้วมีคำถามเยอะเลย
    แต่ขอถามนิดเดียวแหละครับ ไม่อยากรู้เยอะ ไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรนะ

    1 จิตเดิมแท้ มีหลายสายเหรอครับ

    2 แถมสายพระป่า...
    จิตเดิมแท้ของสายพระป่า เป็น จิตที่มีอวิชชาอยู่เต็ม ไม่ได้ละอวิชชาเลย พูดง่ายๆ
    เป็น จิตที่มีโมหะทั้งดุ้น

    ข้อนี้ไม่ได้ตั้งใจถามว่าจริงหรือเปล่า
    แต่อยากถามว่ากล่าวออกมาแบบนี้ ไม่กลัวศิษย์สายพระป่าเคืองเอาหรือครับ

    3 ดังนั้น เวทนากายเวทนาจิต ป่วยกายป่วยจิต มันเป็น ผลกรรมอย่างหนึ่ง ให้พิจารณา
    เห็นลงเป็นตัวทุกข์ และให้พิจารณาเห็นว่ามันจรไปก็จรมา ไม่เที่ยง อนิจจัง อนัตตา
    มีเหตก็เกิด หมดเหตุเขาก็ดับของเขาอยู่แล้ว บางคนไปเพ่งมัน แล้ว มันก็ดับของ
    มันตามธรรมชาติ อย่างปวดฟันหากเราปล่อยไปสักพัก ไม่ทันข้ามคืน ยังไงเสียเรา
    ก็ต้องตัดเข้าภพอื่น ภวังค์อื่น เลิกรับรู้อาการปวด เป็นปรกติอยู่แล้ว แต่ คนที่เข้า
    ถึงความเป็นบ้า ไปพิจารณาว่า รักษาได้ ก็จะเห็น เห้ย มันดับ เพราะ เราจ้อง เราเพ่ง

    แล้วก็อุปทานไปว่า ตนได้เข้าไปรักษา หลังจากนั้น ก็จะเกิด อัตตาตัวเบ้อเร้อ พร่ำ
    เพ้อถึงความสามารถใดๆ บรรดามี

    แสดงว่าอาการป่วยกายป่วยจิต นี้รักษาไม่ได้เหรอครับ เป็นอจินไตยอย่างนั้นเหรอครับ
    ถามเฉพาะความป่วยกายก็ได้

    ถามแค่นี้แหละครับคุณนิวรณ์ เอ้ย คุณเล่าปัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    มีเยอะกว่านี้อีก สำหรับเรื่อง ไอดี แต่ ใช้ไอดีไหน สำนวน เทคนิค การเขียน
    ก็ตัวเดิม แล้วทำไมต้องใช้หลายไอดี ก็จะ ดูปฏิภาณ ของคนที่สนทนาด้วย
    ในกรณีรายใหม่ๆ

    จิตเดิมแท้ มีหลายสาย เพราะเนื่องจากเดิม เถรวาท ไม่มีการใช้คำว่า จิตเดิมแท้

    ตามพุทธวัจนะ ไม่มีการใช้ตัวนี้ มีแต่ มนัส มโน จิต วิญญาณ แสงขาว ฯ ก็หลาย
    ตัวอยู่ แต่ไม่ว่าจะตัวไหน ก็ไม่ใช่ตัวเดียวกับ นิพพาน จึงต้องมีกระบวนอบรม
    จิต ซักฟอกจิต เพื่อให้เป็นอุบายธรรมในการเกิดสภาวะที่สมควรแก่ธรรมในการแจ้ง
    นิพพาน สภาวะที่สมควรนั้นคือการสิ้นตัณหาไปจากจิต

    ทีนี้ คำว่า จิตเดิมแท้ มันฮิตไปตามกระแส หนังจีน ซึ่งทำให้ คนไทยนิยมสายมหายาน
    ขึ้นมาจนติดปาก คนวัยนี้ก็จะอายุราว 35-60 ต่ำกว่านี้จะออกแนว ฝงหวิ๋น คือ ฤทธิ์
    อย่างเดียว จักรอย่างเดียว ไม่มีศษสนามารองรับ ต่ำลงมาอีกก็ จูมง ไปเลย

    ทำให้ คนสมัยก่อน ต้องแก้ลำ ต้องพูดให้กลับมาเถรวาทให้ได้ จึงเกิด การหยิบยืมคำ
    มาเพื่อ เปรียบเทียบ ที่เด็ดสุดคือ ไปเทียบกับ ฐีตภูตัง ฐีต คือ ที่ตั้ง ภูตัง คือ สูงสุด

    หรือที่อยู่ในประเด็นเราก็คือ ฐานของจิต ซึ่งเป็นคำใหม่สุดที่กำลังฮิต

    ถ้าอยากจะให้ชัด ก็อ่านของหลวงตามหาบัว ท่านจะพูด จิตเดิมแท้ผ่องใส ก็คือ ฐีติจิต
    ซึ่งเป็น จิตแบบมีกองขี้ควาย คือ มีอวิชชาทั้งดุ้น ต้องชำระตัณหาในการสงวนหวง
    แหนจิตตัวนี้ ก็จะละความเข้าใจผิดได้ทั้งหมด

    * * *

    ป่วยกาย ป่วยจิต ก็หมายถึง จิตมันแปรปรวน การที่จิตแปรปรวน ก็เพราะ วิบาก
    ในการยึดถือจิต มีตัณหาต่อตัวจิต ตัณหาในการมีจิต คือ ตัณหามันไม่สิ้น

    ตัณหาไม่สิ้นก็คือ ป่วย ในทางพุทธศาสนา ไม่ใช่ เจ็บไข้ได้ป่วยเกิดแก่เจ็บตาย

    ตัณหาไม่สิ้น คือ เชื่อ คือ ฝี คือ หนอง ซึ่งก็เป็นผลจาก กฏแห่งกรรม

    ตรง กฏแห่งกรรม นี้ต้อง ถือว่า แก้ไม่ได้ เพราะมันหาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่เจอ
    ไม่รู้ไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรมาบ้าง จึงไม่มีวันแก้ได้หมด ความที่แก้ได้ไม่หมด
    จึงเรียกว่า อาจิณไตย หากสำคัญว่ แก้กรรมได้ ก็จะเข้าถึงความเป็น บ้า

    กรณีพรพุทธองค์ ยังต้องรับกรรมคือมี พระชนนม80ปี เนื่องจากฆ่ารากษ์ ต้องทน
    กระหายยามต้องการฉันน้ำ เพราะห้ามโคลูกอ่อนกินน้ำสกปรก ต้องปวดหัวเนืองๆ
    เพราะความยินดีกับหมู่ญาติที่ฆ่าปลาได้จำนวนมาก นี่ก็แปลว่า พระพุทธองค์
    ก็แก้กรรมไม่ได้หมด

    ที่นี้ เขาเน้นกันที่ ตัณหาสิ้น ไม่ใช่ไปแก้กรรม เพื่อให้ จิตหมดจรดแบบคนโง่
    แบบ เปรตจัดหัวนอน ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งแก้ก็เหมือนลิงแก้แห คือ ยิ่งแก้ก็ยิ่งเพิ่ม
    กรรมใหม่ เว้นแต่ จะสิ้นตัณหาก็เลิกแก้ จะเกิดอะไรขึ้นก็รับไปตาม กฏแห่งกรรม

    และพอตัณหาสิ้น ก็ถึงจะมี สภาวะที่เหมาะสม สภาวะที่เหมาะสมนั้น จะเป็นอุบายให้
    เห็นนิพพาน ซึ่งก็เพียงพอแล้ว ในเชิงปฏิบัติ ถ้าสิ้นตัณหา ก็ถือว่า นิพพาน แล้ว
    หมดงานแล้ว จิตหมดงานแล้ว

    ก็ลองพิจารณาดู
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ทีนี้ ลองสดับอีกเรื่อง

    เคยได้ยิน ลัทธิมิจฉาทิฏฐิ ที่ปรารภว่า "บุญกรรมไม่มี ทุกสิ่งเกิดขึ้นลอยๆ" ไหม

    นั่นแหละ ลักษณะทิฏฐิอย่างหนึ่ง ที่พระพุทธตรัสชี้ว่า อุบาติที่สุด เพราะ ปฏิเสธกฏแห่ง
    กรรม ปฏิเสธกำพืด รากเง้าของจิต

    โดยพวกนี้ จะยกให้เห็นว่า จิตเดิมแท้นั้นเป็นผ้าขาว ผ่องใส หากไม่ทำอะไร ก็นิพพาน
    อยู่แล้ว แต่ เนื่องจากยังไม่ตาย ก็เลยต้องเจอผัสสะ ผัสสะนั้นทำให้เกิด กิเลสจรมา
    ทำให้จิตหมองไป ดังนั้น หากยึดมั่นถือมั่นด้วยทิฏฐิว่า จิตเดิมแท้ผ่องใส ทุกสิ่งทุกอย่าง
    ที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากนั้น เป็นเพียงสิ่ง เกิดขึ้นลอยๆ ให้ปล่อยไปอย่าสนใจ เดี๋ยว
    ตอนตาย จิตตอนนั้นมันก็ผ่องใสเอง

    เนี่ยะ คือ พวกบอกว่า จิตเดิมแท้ผ่องใสอยู่แล้ว ยึดเอาไว้เป็น ทิฏฐิ ลอยๆ ก็จบ

    พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อุบาติที่สุด
     
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    และ...เวลา ผมอวดจำ ผมไม่ได้อวดเพื่อเอาดี เอาเด่นอะไร

    ก็แค่เสนอ บทธรรม ที่มันน่าจะมีประโยชน์แก่ผู้ฟังธรรมเป็น

    ผู้ฟังธรรมเป็นคือ ฟังธรรมจากข้างนอก แต่ ย้อนดูข้างใน ว่า กระเพื่อมสั่นไหว
    สงสัย ประหม่า ครั้คร้าม เหงื่อออก อันเกิดจากธรรมฤทธิ์ (ไม่ใช่เพราะผู้กล่าว)ไหม หากมี ก็ไม่ควรจะเผิกเฉย ไม่ควร
    เจริญความประมาท ก็แค่ ส่องใจที่กระเพื่อมนั้นว่า ยังมีอาสวะอยู่ ยังมีการนอน
    เนื่องอยู่ จึงทำให้ หลุดออกจากฐาน ออกจากภพ สะเทือนภพที่ยึดมั่นถือมั่น

    ดังนั้น หากใครฟังธรรมเป็น ก็ล้วนแต่จะเกิดประโยชน์ต่อ คนฟังเอง ไม่เกี่ยว
    กับ คนบรรยาย เพราะหาก บทบรรยายนั้นเป็นของดี เป็นอุบายนำออกแต่
    ส่วนเดียว ย่อมหมายถึง บทบรรยานั้นย่อมเป็นคำของ ตถาคต

    เมื่อเป็น คำของคตาคต แล้วละก้อ ประโยชน์แก่ผู้บรรยาย(เจ้าของ)ไม่เกิดแล้ว เพราะ
    พระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว

    ส่วนผมก็แค่ คนอวดจำ ไมได้ประโยชน์อะไรจากใคร เลย เพราะผม จำมา
    กล่าวอย่างเดียว

    เรียกคนทำหน้าที่แปลกๆนี้ว่า ฝ่ายคันธุระ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร ที่จะมีตาม
    พุทธานุญาติ ให้พุทธบริษัททำงานอยู่สองลักษณะคือ คันธุระ และ วิปัสสนาธุระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  14. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เข้ามาฟังนิทานก่อนนอน
    ท่าจะฝันดี
     
  15. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ถ้าอยากจะให้ชัด ก็อ่านของหลวงตามหาบัว ท่านจะพูด จิตเดิมแท้ผ่องใส ก็คือ ฐีติจิต
    ซึ่งเป็น จิตแบบมีกองขี้ควาย คือ มีอวิชชาทั้งดุ้น


    หลวงตามหาบัวท่านกล่าวเช่นนี้จริงๆ หรือครับ ??
    มีหลักฐานยืนยันไม๊ ...(ที่ถามเพราะเคยเห็นคุณแต่งคำพูดผมครั้งนึงแล้ว เลยไม่ค่อยเชื่อใจ)


    อ่อ...ใช้หลายไอดี ระวังนะครับ....
    http://palungjit.org/threads/การดันกระทู้ที่ไม่สมควรกระทำ.256894/
     
  16. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คนเรา เวลาพูด ก็จะยึดว่า อักขระวิธี นั้นคือ ของตัว ถ้อยคำนั้นเป็นของตัว

    หากใครทำซ้ำ ลอกเลียนแบบ ความที่ ตัณหามันฝังตัวอยู่ หวงจัด หน้ามืด

    ก็จะสำคัญว่า มีการล่วงละเมิดสิทธิ มีการร่วมสังวาส ข่มขืน กระทำ ชำเรา เกิดขึ้นแล้ว

    ความไม่พอใจนั้น ถูกฝังเก็บไว้ แปรเปลี่ยนเป็น ความแคลงใจ ความไม่พอใจ
    แล้ว สำทับด้วยการลูบคลำศีล กล่าวหาว่า ผู้อื่นล่วงละเมิดตน

    * * *

    ผมจึงลองใช้ การลอกเลียนคำ เพื่อดูสิว่า คุณจะอ้างลิขสิทธิงานนิพนท์ ร้อยกรอง
    ของตนไหม ซึ่งก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่อยากรู้ เพราะมันมีกันได้ คนทั้งโลกร้อยละ 99.99
    ก็มีกัน ไม่แปลก แต่ก็ขอดูว่า มีไหม

    ถ้าไม่มี ก็แปลว่า ไม่ใช่พวก ยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิที่ประชุมลงเป็นของๆตน
     
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    แหะๆ สงสัยจะหยิบผิดเล่ม
    นี่มัน ต๋วยตูน(ฉบับเล่ากัน)
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ขออีกเรื่อง เนื่องจาก คำว่า "จิตเดิมแท้ผ่องใส จิตนั้นนิพพานแล้ว" บังเอิญ
    ว่า คุณผูกไว้ว่าเป็นคำพระ

    ก็ต้องขออธิบายนิดหนึ่งว่า

    เวลาคนที่ปฏิบัตได้จริง ถึงขั้นสิ้นเกิเลส หมดงาน แน่นอนเลยว่า
    หากท่านจะปรารภ จิตของท่านขณะนั้น มันก็ไม่พ้นที่จะกล่าวว่า "มัน
    ผ่องใส นิพพานแล้ว" แต่นั้นก็เพราะ ท่านตรากตรำงานภาวนาของ
    ท่านจะเสร็จแล้ว ท่านก็กล่าวออกมา

    กล่าวออกมาทำไม

    ก็เดาเอาว่า คงจะมีคนที่ตรากตรำภาวนามาอย่างหนัก แล้ว ยังไม่เห็นรส
    อันเลิศเสียที จิตมันจะท้อเอาได้ ครูบาอาจารย์ ก็จะ ปรารภถึงสภาวะ
    ที่ หมดงาน สบายๆ เพื่อให้ เป็นกำลังใจแก่คนภาวนา

    แต่ปุถุชนคนหนา อาจจฟังอยู่ด้วย หรือ ไปหาเอาที่เขาอัดไว้มาฟัง ก็สำคัญ
    ว่า พระท่านพูดกับตน แบบนี้ ก็จะ ผลิกหมด ท่านไม่ได้เจตนาจะพูดให้คน
    หยุดปฏิบัติ ท่านต้องการพูดกระตุ้นให้ภาวนาต่อ อย่าหยุด

    นี่ก็ลอง พิจารณา บริบทนี้ดู ว่าเป็นไปได้ไหม
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    นี่ๆ เวลาจะมาช่วยคนอื่น ก็ เอาให้มัน เคลียๆ หน่อยสิ

    จะมาช่วยคุณ กล้วยเขา ก็ แสดงอะไรให้มันเหมือนคนมาช่วยหน่อย

    อย่าไปหวง

    ช่วยให้เหมือนคนอื่นที่ช่วยคุณไว้ให้รอดจากผมได้ ไง

    สืบต่อความดีให้มัน ชัดเจน สิเนาะ
     
  20. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    แหะๆ ผมช่วยตัวผมเองครับพี่
    ไม่ไปช่วยใครที่ไหนหรอก
    คุณกล้วยก็คุณกล้วย
    บางทีที่ผมช่วยตัวเอง อาจจะเป็นระฆัง หมดยก ก็ได้นิ
    ถึงผมจะเห็น ก็เห็นได้แค่ตัวเองเท่านั้นล่ะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...