ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p>วันที่ 11/12/2551 เวลา 09:00น. โอนทาง Internet จำนวน 300 บาท ครับ</o:p>
    <o:p>โมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ</o:p>
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    กราบขอบพระคุณทุกๆท่านด้วยนะครับที่ได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์เพื่อช่วยสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์ที่กำลังอาพาธอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆที่ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ได้ส่งเงินไปช่วยก็ขอให้ทุกท่านได้ร่วมโมทนาในบุญที่พวกเราได้กระทำกันมาดีแล้วด้วยครับ

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ



    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#000000 cellSpacing=2 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
    ตำนาน พระมหามัยมุนี มัณฑเลย์



    </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=3>
     
  3. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    ขอโมทนากับทุกท่านที่ได้ทำมาดีแล้ว คิดดีแล้ว สาธุ สาธุ
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    คำสอนของหลวงปู่ครูบาอิน
    [​IMG]




    หลวงปู่ครูบาอิน ท่านเป็นพระเถระที่เงียบขรึม พูดน้อย ท่านชอบอยู่สงบเงียบ ไม่ช่างเทศน์ช่างโวหาร แต่ถ้าถามเรื่องวิปัสสนากรรมฐานกับท่านแล้ว ท่านก็จะเมตตาแนะนำวิธีการปฏิบัติให้แก่พระเณรและลูกศิษย์ลูกหาทุกคน ในอดีตหลวงปู่ครูบาอิน ได้เคยเดินทางมาศึกษาวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร พร้อมๆ กับ ครูบาพรหมา พรหมจักโก (พระสุพรหมญาณเถระ วัดพระพุทธบาทตากผ้า) และพระอาจารย์
    ทอง สิริมงฺคโล</PERSONNAME> (พระราชพรหมาจารย์วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร) และ ครูบาปิยะ วัดต้นแหนหน้อย ฯ จนสำเร็จเชี่ยวชาญแล้วจึงได้กลับมาถ่ายทอดให้กับพระเณรในวัด และในละแวกใกล้เคียง ถึงแม้ว่าวัดฟ้าหลั่งและวัดทุ่งปุยจะไม่ได้เป็นสำนักสอนวิปัสสนาธุระ แต่ก็มีผู้ใผ่รู้แวะเวียนมาขอเรียน ขอคำแนะนำจากหลวงปู่ครูบาอินอยู่เนืองๆ
    ประกอบกับวัฒนธรรมของล้านนา ไม่นิยมการเทศน์ประยุกต์ ในงานพิธีต่างๆ จึงเป็นการขึ้นธรรมมาสแสดงพระธรรมเทศนาตามพระคัมภีร์ใบลาน ซึ่งมีทั้งภาษาบาลี และภาษาพื้นเมือง ซึ่งส่วนมากก็เป็นคำสอนให้คนอยู่ในศีลในธรรม ห่างไกลจากบาปกรรมและอกุศล โอกาสที่จะพูดถึงเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานมักจะเป็นของผู้ที่ศึกษาใกล้ชิดเสียเป็นส่วนใหญ่

    คำสอนที่นำมาเสนอ ณ ที่นี้ คาดว่าคุณ
    เนาว์ นรญาณผู้เขียน</PERSONNAME> (และคงจะเป็นผู้ถอดเทป) คงจะได้กราบเรียนขอคำแนะนำจากท่าน จึงได้มีโอกาสรับฟังคำสอนกรรมฐานด้วยภาษาคำเมือง ที่เข้าใจง่ายและสามารถปฏิบัติตามได้ อีกทั้งยังเข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองทุกยุคทุกสมัย
    จึงขออนุญาตเจ้าของบทความนำมาเผยแพร่ต่อไป


    [​IMG]



    เรื่องการปฏิบัติธรรมที่หลวงปู่สั่งสอนไว้ เรื่องการปฏิบัติต่อไปนั้นคือ ปฏิบัติสมถะกรรมฐานก็ได้ ทางวิปัสสนากรรมฐานก็ได้ ความจริงแล้วมันจะต้องปฏิบัติสมถะกรรมฐานไปก่อน เพื่อจะได้ฮู้เรื่องฮู้แนวทางหื้อมันเข้าใจดี เมื่อมันฮู้แนวทางแล้ว เฮาค่อยขึ้นไปปฏิบัติทางวิปัสสนากรรมฐานต่อไป ความจริงแล้วมันจะต้องปฏิบัติศีลห้าของเฮาหื้อมันเสมอก่อน เพราะอันนี้เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ทาน ศีล ภาวนา สามประการนี้ ถือเป็นกำไรชีวิตของคนเฮาที่ได้เกิดมาในชาตินี้ หื้อมีกำไรบุญกุศลคือ ทาน ศีล ภาวนา ทานก็แปลว่าหื้อตาน ศีล แปลว่ารักษาศีล ศีลห้า ศีลอุโบสถ ภาวนานี้ สามประการนี้ เมื่อเฮาปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลายแล้วจำมีกำไรชีวิต กำไรชีวิตนั้นคือ กุศลส่วนบุญที่เฮาปฏิบัติเป็นกำไรชีวิต เมื่อเฮาปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ไม่ว่าเฮาจะนั่งสมาธิภาวนานั้น จะนั่งได้นานหรือนั่งได้สักสิบนาที ซาวนาทีก็ดี สามสิบก็ดี ได้ด้วยขันติ ความอดทน แต่เฮาอย่างว่า อารมณ์ของเฮานี้มันไม่แนบเนียน มันฟุ้งซ่าน นั่งได้ประมาณ 10 นาทีแล้วก็มาเดินจงกรม เดินจงกรมแล้วก็ไปนั่ง นั่งต่อไป คือว่าเดินจงกรมนี้ เป็นว่าเฮาเดินเอาสมาธิหื้อจิตเฮามัแล้วนั่งสมาธิตาม อันนี้จะเกิดสมาธิขึ้น หื้อมันแนบเนียน สิ่งใดก็ดีที่เอานั่งแล้ว ... จิตของเฮายังฟุ้งซ่านอยู่ อารมณ์ของเฮานี้ จิตเฮามันไปตามอารมณ์เฮา ต้องพยายามเอาสติคุมไว้ สติคุมจิตเอาไว้ มันถึงจะมาเข้า มาอยู่กับตั๋วเฮานี้ เมื่อสติเฮายังเฮาเผลอ สติก็บ่ได้เฮาเผลอไป จิตเฮาก็ฟุ้งซ่าน อันนี้ขอแนะนำศรัทธาญาติโยมทั้งหลายตามแนวทางนี้ เพื่อจิตของมันจะแนบเนียนดี
    เมื่อจิตเฮาแนบเนียนแล้ว เฮาค่อยปฏิบัติทางวิปัสสนาตามครูบาอาจารย์ที่เปิ้นเคยปฏิบัติมา ...เปิ้นก็จะได้แนะได้นำวิปัสสนานั่นแหละปฏิบัติดังนี้ ดังนี้ได้บอกแนะนำเฮาก็เอามาปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วจะเกิดจะไดก็ดี มันจะเกิดปิติสมาธิ สิ่งใดสิ่งใดก็ดี นิมิตเกิดขึ้นแล้วเฮาอย่าไปถือยึดมั่น มันเกิดขึ้นไปแล้ว ก็หื้อมันแล้วไป บ่ต้องยึดเอานิมิตนั้น ปล่อยมันไป อันนี้เรียกว่าวิปัสสนานั้นน่ะ เป็นอารมณ์สติปัฏฐานสี่ กายานุปัสนาสติปัฏฐานสี่ที่เอาอะไรเป็นอารมณ์ ก็ขอแนะนำว่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ นี้เรื่องผู้เพิ่งจะปฏิบัติ เมื่อเฮาจะปฏิบัติสมถะกรรมฐานนี้ เวลาจะเดินจงกรมนั้น เวลายกติ๋นนั้น เฮาก็ยกขวา พุท พุทแล้วก็โธข้างซ้าย ว่า พุท-โธ ว่าตามนี้ เปิ้นบ่ว่าพุทโธคำหนึ่ง ต้องว่าพุท แล้วก็โธ พุท-โธ พุท-โธ นี้เรียกว่าปฏิบัติสมถะกรรมฐาน
    หื้อศรัทธาญาติโยมทั้งหลายตั้งอกตั้งใจปฏิบัติกันไป เพราะว่าชีวิตของคนเฮามันบ่ถึงร้อย เฮาปฏิบัติมันก็ดี เฮาปฏิบัติได้ก็ปฏิบัติไป เพราะชีวิตของเฮา กำไรชีวิตของเฮา ขอฝากไว้หื้อศรัทธาญาติโยมทั้งหลายนำไปปฏิบัติดังที่แนะนำมานี้ เกิดมาแล้วอย่าหื้อมันไปขาดทุนชีวิตของเฮา ปฏิบัติไปจะได้มีกำไรชีวิตของเฮา ในเรื่องนี้เป็นเรื่องสมถะกรรมฐานก็ดี วิปัสสนากรรมฐานก็ดี พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนหื้อแต่พระภิกษุสามเณร เปิ้นสอนทั่วไป ตึงญาติโยมหื้อได้ปฏิบัติเหมือนกันทุกคน เปิ้นบ่ได้สอนแต่เฉพาะพระภิกษุสามเณร เปิ้นตึงสอนทั่วๆ ไป เพื่อให้พ้นจากทุกข์ พ้นจากอบายภูมิสี่ ปฏิบัติสม่ำเสมอดีแล้วเวลาเฮาจะหมดลมหายใจ เฮาก็จะได้ไปสู่สุขติ เว้นจากอบายภูมิสี่ ไม่ไปแล้ว อบายภูมิสี่นี่มันตุ๊ก มันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามโลกนี้ คือ โลกมนุษย์เฮานี้เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่เสมอ นี้ก็ขอฝากฝังไว้กับศรัทธาญาติโยมให้พากันพิจารณา พิจารณาโดยตัวของเฮานี้ ปฏิสนธิเกิดในท้องแม่ บางคนตายในท้องแม่ก็มี คลอดออกมาตายก็มี ก็หื้อได้ปฏิบัติอันสมดั่งความมักความปรารถนาของเฮาทุกคน อย่ามัวไปเมาเมายินดีซึ่งโลกเลย เมื่อเฮายินดีซึ่งโลกหย่อนทางธรรม เมื่อเฮายินดีซึ่งธรรมก็หย่อนทางโลก มันก็อ่อนไป อ่อนไป หย่อนทางโลก ธรรมก็เข้มแข็งขึ้นในด้านจิตใจของเฮา อย่าไปปล่อยปละละเลยว่าชีวิตของเฮายังมีอยู่ ทำไปตามอารมณ์ของเฮา มันบ่คิดถึงว่าจะขาดทุนชีวิตของเฮา บางคนมันบ่คิดหา คิดแต่จะได้จะดี จะกินจะอยู่จะเล่นหัวไปทุกอย่าง อันนี้มันไม่ใช่ของปฏิบัติกับชีวิตของเฮา ก็ขอฝากฝังไว้กับศรัทธาญาติโยม
    หื้อผู้ปฏิบัติแก้ไขในร่างกายของเฮานี่ เพราะร่างกายของเฮามันมีกิเลสหลายอย่าง ที่มีกิเลสอย่างละเอียด กิเลสอย่างหยาบก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง พระพุทธเจ้าว่ากิเลสหยาบที่สุด แล้วเฮาจะเอาหยังมาแก้มาไขมัน หื้อมันบรรเทาไป ก็เอาธรรมะภาคปฏิบัติของเฮานี้แหละแก้ไขให้มันเบาลงไป ก็จะได้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม เมื่อเฮาบ่แก้บ่อไข มันก็จะมืดมามืดไป มันมืดมาแล้วก็หื้อมันสว่างไป อย่าหื้อมันมืดมามืดไป อันนี้คือธรรมที่สอนอกสอนใจหื้อแก้หื้อไขที่ในกายของเฮา ในตัวของเฮานี้แหละ กิเลสของเฮามันจะเบาบางลงไป เมื่อมันเบาบางลงไปนี่ มันก็จะสบายอกสบายใจ มันบ่เอาชีวิตเฮาไปยุ่งอันหยังกับไผ อยู่ในศีลในธรรมไปในปัจจุบันนี้ เฮาก็ยังมีปอกินปอตานพอสู้ได้อยู่ ตอนที่ชีวิตเฮาจะหมดไปนี้ ก็ต้องคิดหน้าคิดหลังว่าที่ได้ทำบุญไปทุกวันนี้ บุญกุศลที่จะนำจิตวิญญาณเฮาไปสู่สุคติ เมื่อได้ไปสู่สุคติแล้วมันตึงสบายใจสบายขึ้น อันนี้เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าสอนไว้ พระพุทธเจ้าสอนนี้ เปิ้นมีเงื่อนไขไว้ว่ามีมืดแล้วก็มีสว่าง เฮาอย่าไปมืดมามืดไป ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติศีลธรรมกรรฐาน
    บ้านเมืองของเฮาปัจจุบันนี้มันฮ้อน มันฮ้อน ตังลุ่มตังบนมันฮ้อน ยังใดมันเกิดมีมาหมด อันบ่ควรมีมันมี ที่บ่ควรเกิดมันก็เกิดขึ้น เพื่ออะหยัง เพื่อกิเลส เพื่อความโลภ ทุกวันนี้ที่เปิ้นลงในหนังสือพิมพ์ก็ดี ลงในทีวีก็ดีมันฮ้อน แต่ประเทศไทยเฮานี้ยังเย็นอยู่ ยังมีเย็นอยู่ ถ้าเฮาปฏิบัติธรรมมันก็จะเย็นไปตลอด ถูกตามทำนองคลองธรรมแห่งพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ อยู่สบายอกสบายใจ จะได้อยู่เย็นเป็นสุข นี้ขอแนะนำคณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย หือ้ได้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติไปตามสมควร ตามสติกำลังของเฮาไป ที่ปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้าท่านบ่อได้บังคับ เฮา เวลานั่งสมาธิพระพุทธเจ้าท่านบ่ว่าหื้อนั่งเมินๆ เปิ้นก็บ่ได้สั่งไว้ ตามอุตสาหะของเฮาได้นักได้น้อย ทำไปทุกวัน ทำมาฮอมกันไว้ก็ได้นักขึ้น แล้วก็นักขึ้น อันนี้เป็นธรรมที่แนะนำตักเตือนศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย หื้อได้ตั้งอกตั้งใจ ปฏิบัติธรรมต่อไป มีเพียงเท่าอี๊




    อธิบายคำศัพท์

    เพื่อให้คงอรรถรสในคำเทศนาของหลวงปู่ครูบาอินที่ท่านได้เมตตา ตั้งใจจะให้บรรดาศิษย์ได้รับทราบคำสอนของท่าน ผู้ถอดเทปจึงได้ตั้งใจคงศัพท์ตามเสียงของหลวงปู่ครูบาอินทุกคำพูด และเพื่อความเข้าใจของท่านที่ไม่สันทัดในภาษาพื้นเมืองเหนือ จึงขออธิบายคำศัพท์บางศัพท์เพื่อทราบดังนี้
    ฮู้ = รู้
    หื้อ = ให้
    เฮา = เรา หมายถึงผู้ปฏิบัติ
    ซาว = ยี่สิบ
    ติ๋น = ตีน (เท้า)
    บ่ต้อง = ไม่ต้อง
    เปิ้นบ่ว่า = ท่านไม่ได้บอกว่า
    เปิ้น = ท่าน
    ตึงญาติโยม = ทั้งญาติโยม
    เปิ้นตึงสอนทั่วไป = ท่านก็ได้สอนทั่วไป
    ตุ๊ก = ทุกข์
    ฮ้อน = ร้อน
    ตังลุ่มตังบน = ทั้งข้างล่าง ข้างบน
    ยังใด = อย่างไร
    อะหยัง = อะไร
    เมินๆ = นานๆ
    ฮอม = รวบรวม
    นัก = มาก
    เท่าอี๊ = เท่านี้

    [​IMG]

    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #cc6600 2px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #cc6600 2px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #cc6600 2px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #cc6600 2px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD class=content colSpan=2>
    พระธาตุครูบาอิน วัดทุ่งปุย เชียงใหม่
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=content align="center valign=" width=650 colSpan=2 top?>

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ
    www.phuttawong.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2008
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    หนทางสู่
     
  6. ไพโรจน์1960

    ไพโรจน์1960 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +46
    ผมมีจิตศรัทธาที่จะร่วมทำบุญ ไม่ทราบว่ายังทำได้อยู่หรือเปล่าครับ
     
  7. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285

    ขอตอบแทนคณะกรรมการทุกท่านนะครับ
    ยังสามารถร่วมทำบุญได้เรื่อยๆครับซึ่งทางทุนนิธิฯทำบุญกันทุกๆเดือนตลอดทั้งปีครับเพราะทางทุนนิธิฯตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกที่ก่อตั้ง

    ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร แล้วว่าจะทำงานบุญเพื่อสงเคราะห์พระสงฆ์อาพาธนี้จะทำไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุดครับ
    หากอยู่ใกล้ๆ ขอเชิญมาร่วมทำบุญด้วยตนเองก็ได้ครับที่โรงพยาบาลสงฆ์ ในเดือนนี้ก็จะครบรอบ 1 ปี ของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ซึ่งจะร่วมทำบุญกันในวัน อาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2551


    ขอโมทนาบุญกับจิตที่เป็นกุศลของคุณ ไพโรจน์1960 ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ


    [​IMG]

    สำหรับกิจกรรมและประมาณการค่าใช้จ่ายในเดือน ธันวาคม 2551 นี้ มีรายละเอียดดังนี้


    1. การบริจาคปัจจัยสำหรับสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ


    - รพ.สงฆ์ กทม.
    - ถวายสังฆทานอาหาร สำหรับฉันเช้า 5,000.-
    (พระสงฆ์ประมาณ 200 รูป)
    - ถวายซื้อโลหิต 7,500.-
    - ถวายซื้อเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 7,500.-

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 5,000.-
    - รพ.มหาราช (สวนดอก) จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000.-
    - รพ.50 พรรษามหาวชริราลงกรณ จ.อุบลฯ 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 5,000.-


    2. บริจาคสำหรับการซื้อเครื่องดูดเสมหะ

    - ซื้อเครื่องดูดเสมหะถวายพระสงฆ์อาพาธที่ รพ.ศรีนครินทร์
    จ.ขอนแก่น เป็นการเร่งด่วน คือท่านรองเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ โดยได้ทำ
    การจัดส่งเครื่องไปให้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 4/12/51 จำนวน 1 เครื่อง เป็นเงิน5,000.-

    - ซื้อเครื่องดูดเสมหะถวายท่านหลวงปู่แฟ๊บ เพื่อสำหรับใช้ใน
    การรักษาสงฆ์อาพาธ และประชาชนทั่วไป 2 เครื่อง
    ที่ รพ.นาหว้า จ.นครพนม 10,000.-


    รวมเป็นเงินที่ต้องใช้จากบัญชีตามข้อ 1.และ 2. 65,000.-
    (หกหมื่นห้าพันบาทถ้วน)


    สำหรับยอดเงินคงเหลือในบัญชี จะได้มีการปรับปรุงสมุดบัญชี และจะนำมาแจ้งให้ทราบต่อไป
     
  8. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285

    ประวัติ หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร
    วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

    [​IMG]
    หลวงปู่สงฆ์ เป็นนามที่ ชาวกรุงเทพมหานคร เรียกชื่อท่าน ด้วยความ เคารพ เลื่อมใส ท่านเป็นพระคณาจารย์ สมถวิปัสสนา ที่ชาวจังหวัดชุมพร และชาวกรุงเทพๆ ภูมิใจเป็นหนักหนา
    หลวงปู่ท่าน มีความเมตตาปรานีแก่ทุกๆคน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ถ้าแม้บุคคล ใดไปขอพรจากท่านแล้ว จะได้รับความสมหวังอย่างมั่นคง ด้วยทุกคนเชื่อว่า ท่านหลวงปู่สงฆ์ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
    หลวงปู่สงฆ์ ท่านเป็นคนชาว จังหวัดชุมพร โดยกำเนิด ท่านเกิด ที่หมู่บ้านวิสัยเหนือ อ.สวี จ.ชุมพร เมื่อวันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีขาล พ.ศ.๒๔๓๓
    บิดา ชื่อ นางแดง มารดาชื่อ นางนุ้ย มีอาชีพทำนา-ไร่สวน อายุได้ ๑๘ ปี ท่านได้บรรพชาเป็น สามเณร ที่วัดสวี อันเป็นวัดใกล้ๆบ้านเกิดท่าน
    เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ ๒ ปี จึงได้ลาสึก ออกไปช่วยบิดา มารดา ประกอบอาชีพทำงานท้องนาและไร่สวน
    ครั้นอายุครบอุปสมบท ท่านได้มาฝากตัวแก่พระอุปัชฌาย์ ที่วัดสวี ขอบวชเป็น พระภิกษุสงฆ์ ได้รับความเมตตาจาก พระอาจารย์ชื่น เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ฉายาว่า "จันทสโรภิกขุ"
    หลังจากบวชเป็นพระแล้ว ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดควน อ.สวี จ.ชุมพร ๑ พรรษา ในระหว่างพรรษา ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติม จนพอรู้แนวทางการ ดำเนินชีวิตในเพศพรหมจรรย์
    ออกพรรษาแล้ว ท่านมีความสนใจทางสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน แต่ในจังหวัดชุมพร ไม่มีพระอาจารย์สอนทางด้านนี้เลย ท่านจึงกราบลาพระอุปัชฌาย์ -อาจารย์ ออกจากจังหวัดชุมพร มุ่งหาพระอาจารย์สอนกรรมฐานในถิ่นอื่นๆ
    โดยได้ออกเดินทางไปท่ามกลางป่าเขาอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะท่าน ยังไม่รู้จักคำว่า " เดินธุดงค์" ในสมัยนั้น
    แต่หลวงปู่สงฆ์ มีความแน่ใจว่า การเดินทางอยู่ในป่าดงพงไพรนี้ จะต้องพบกับ พระผู้ปฏิบัติบ้าง เพราะพระกรรมฐานชอบอยู่ป่าดง มากกว่า อยู่วัดวาอาราม
    หลวงปู่สงฆ์ รอดพ้นจากอันตรายรอบด้าน เช่น สัตว์ป่า ไข้ป่าอันดุร้ายไปได้ ก็เพราะแรงใจที่มุ่งปฏิบัติธรรม กับพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อพบก็จะมอบตัวเป็น ศิษย์ ขอฝึกอบรมด้วยเท่านั้น
    หลวงปู่สงฆ์ประสบความสมหวัง เมื่อได้ทราบว่า .... พระอาจารย์รอด วัดโต๊ะแซ หรือตอแซ เป็นพระอาจารย์ที่ทรงฌานสมาบัติสูงองค์หนึ่ง ในจังหวัดภูเก็ต ท่านจึงได้ไป ฝากตัวเป็นศิษย์ ขอฝึกอบรม ปฏิบัติพระกรรมฐาน อยู่กับพระอาจารย์รอด ๒ พรรษา
    หลวงปู่สงฆ์ มีความพากเพียร อย่างคร่ำเคร่ง มีสมาธิแก่กล้า สามารถในทาง ปฏิบัติมากแล้ว ท่านพระอาจารย์รอด ได้ให้ออกเดินธุดงค์ไปอยู่ป่าช้า ตามถ้ำผาป่าดง ต่อไป เพื่อความรุ้แจ้งในจิตใจ และจะได้ปรารภธรรมตามสติปัญญา
    หลวงปู่สงฆ์เดินธุดงคกรรมฐานไปจนถึงชายแดนด้านมาลายู จากนั้นท่านก็ ได้เดินธุดงค์ ย้อนกลับมาจนถึงจังหวัดเพชรบุรี
    หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านมีความชำนาญในเรื่องสมถกรรมฐานและวิปัสสนา กรรมฐานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมัยก่อนโน้น ทางภาคใต้ นับตั้งแต่จังหวัดชุมพรลง ไป ครูบาอาจารย์ต่างๆ มักจะสนใจปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้ว เดินจิตเล่นฤทธิ์ กันเสีย โดยส่วนมาก
    สำนักเรียนวิชาต่างๆ ภายใน(จิต) สำนักเขาอ้อ มีชื่อเสียงมากในเรื่องนี้ แต่ หลวงปู่สงฆ์ ก็ดี หลวงปู่หมุนก็ดี ตามที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านสามารถหัน เข้ามาดำเนินจิตสู่วิปัสสนากรรมฐานเสีย เพราะเป็นหนทางออกจากความยึดมั่น ในอำนาจจิต อำนาจฌานได้อย่างสิ้นเชิง เป็นความจริงดังนี้
    ต่อมาหลวงปู่สงฆ์ ท่านเกิดสติปัญญา มองเห็นภัยในวัฎสงสาร ที่มันเคย แปรปรวน หมุนเวียน ไม่รู้จบ ท่านเกิดเบื่อหน่าย คิดดำเนินชีวิตในป่าดงพงไพร ทำจิต เร่งบำเพ็ญเพียร เพื่อความพ้นทุกข์
    การเดินธุดงคกรรมฐานของครูบาอาจารย์นั้น มิใช่ว่าจะเดินไปในที่แห่งหนึ่ง แล้วไปในที่แห่งหนึ่ง พึงรีบเดินเพื่อให้ถึงเร็วๆนั้น หาไม่ แต่การเดินธุดงค์ก็เหมือนการเดินแบบปกติ หรือเดินจงกรมนั่นเอง
    ท่านเดินอย่างมีสติ .... คือ ขณะที่ก้าวเดินไปนั้น ท่านกำหนดคำบริกรรม หรือพิจารณาธรรมไปเรื่อยๆ โดยไม่นับก้าวแต่อย่างใด
    ท่านเดินด้วยสติ แม้อะไรจะเกิดขึ้นมาในช่วงนั้น ท่านก็รู้ชัด ไม่มีอาการของ จิตแส่ส่ายไปมา เพราะสติเป็นกำลังอันสำคัญขณะทำความเพียร เช่นอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
    หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านได้อาศัยชีวิตอยู่ในป่าดงเป็นเวลาหลายปี อาศัยโคน ไม้ ถ้ำผาต่างๆ เป็นที่พักผ่อน ไม่มีความอาลัยในชีวิตว่าจะสุข หรือทุกข์ ท่านมุ่งปฏิบัติธรรม เพื่อความรู้ธรรม
    เมื่อรู้ธรรมแล้ว ท่านก็นำธรรมะนั้น มาสอนจิตสอนใจตนเอง ขัดเกลา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นสมบัติประจำสันดานมนุษย์ ให้หลุดให้ลอกออกไปจากจิตใจ ชำระจิตใจด้วยธรรม เพื่อความสะอาดหมดจดแห่งชีวิต
    ๗ ปี แห่งการทรมานกิเลส ภายในจิตใจของท่าน ซึ่งไม่เคยออกจากป่าสู่เมือง เลย ทำให้สภาพจิตสดใสแจ่มแจ้งในธรรมะ
    แต่สภาพสังขาร ดูออกจะเป็นฤาษีชีไพร หนวดเครารุงรัง ผมเผ้ายาว จีวร สบง ขาดรุ่งริ่ง นั่งภาวนาในป่าเมืองชุมพร
    คล้ายกับวาสนาท่านจะต้องมาอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จึงมีชาวบ้านป่า เดินตามนกตัวหนึ่ง ที่ร้องเป็นภาษามนุษย์ว่า " หนักก็วางเสีย ! หนักก็วางเสีย " ชาวบ้านป่า เดินตามนก จนพบหลวงปู่สงฆ์ และได้นิมนต์มาอยู่วัดร้างแห่งนั้น
    หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่มีความอดทน ค้นคว้า สัจธรรม ความเป็นจริง ของพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิตเป็นเดิมพัน
    ๑๐ พรรษา ท่ามกลางป่าดง ท่านอาศัยภูเขาลำเนาไพรมาโดยตลอด การบิณฑบาต ท่านโคจรไปในหมู่บ้านชาวป่า ได้บ้างอดบ้าง ตามอัตภาพ จนมีความพอดีแก่จิตใจ ปล่อยวางของหนักได้หมดสิ้นแล้วอย่างมั่นใจ
    ท่านจึงออกจากป่า สู่วัดร้างแห่งหนึ่ง ท่านได้จำพรรษาก่อสร้างวัดร้างแห่งนั้น จนเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบัน โดยขนานนามว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อ.เมือง จ.ชุมพร
    หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ในจังหวัดชุมพร บัดนี้ท่านได้วางแล้วซึ่งขันธ์อันหนักหน่วงของท่าน และได้ทิ้งรากฝากความดีงามให้แก่ชนรุ่นหลังระลึกถึง ณ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

    สิ่งมงคลและยาวิเศษ
    สิ่งอันเป็นมงคลที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร อนุเคราะห์ชาวบ้านที่ได้รับความทุกข์ร้อน โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เมื่อมาหาท่าน ท่านจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือจนหายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยสิ้นเชิง และสิ่งของที่ท่านมอบให้นั้นก็ไม่กี่บาท ขอยกให้เห็นชัดดังนี้
    ที่ข้าง ๆ บันไดกุฏิของท่านจะมีตุ่มใส่น้ำมนต์ตั้งไว้ใบหนึ่ง ท่านจะลงมาจากกุฏิทำน้ำมนต์ ในเวลากลางคืนแล้วนำมาใส่ตุ่มไว้ ตอนเช้ามืดอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะลงมาเทใส่ตุ่มที่หมดทุกวัน ๆ น้ำมนต์ในตุ่มนั้นจะมีผู้ที่รู้แหล่งเข้ามาขอตักไปบูชาหรือดื่มกิน
    น้ำมนต์ของหลวงปู่สงฆ์เป็นสิ่งมงคลที่มีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ สามารถอาราธนาให้เกิดผลในสิ่งที่ตนปรารถนาได้ทุกประการตามแต่คำอธิษฐานจิตของผู้ใช้
    โอ่งน้ำมนต์ของท่านเรียงรายอยู่ตามบันได ทางขึ้นลงกุฏิทั้งด้านซ้ายด้านขวา แท้จริงถ้ามองเผิน ๆ มันจะเป็นโอ่งน้ำล้างเท้า แต่ทว่าไม่ใช่ เพราะคนสมัยนี้สวมรองเท้า ไม่ได้มาเท้าเปล่าแล้วมาล้างเชิงบันได เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าหลวงปู่จะทำน้ำมนต์ มาเทลงในโอ่ง ท่านทำอย่างนี้ทุกวัน
    น้ำมนต์ไล่ผีอย่างเห็นได้ชัด ครั้งหนึ่งมีคนแถวสามแก้วได้พาลูกสาวซึ่งมีอาการเหมือนถูกผีเข้าสิง ดิ้นทุรนทุรายร้องเอะอะเสียงดัง ญาติผู้ชายร่างกายแข็งแรงต้องช่วยกันพามาที่วัด มานั่งรออยู่เชิงบันได เพราะบนกุฏิหลวงปู่นั้น ผู้หญิงขึ้นไม่ได้ แล้วพ่อของเด็กก็ขึ้นไปเล่าอาการให้ฟัง
    เมื่อได้ฟังอาการแล้วหลวงปู่ก็เดินมาที่หน้ากุฏิมองลงมาที่เด็กสาวคนนั้น ชายสองคนจับแขนเอาไว้แน่น ขณะที่เด็กสาวสะบัดจะให้หลุด ปากก็ร้องเสียงดังเอะอะ หลวงปู่มองดูสักครู่ท่านก็ร้องบอก
     
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้เจอกับเพื่อนที่อาสานำเครื่องดูดเสมหะไปถวายหลวงปู่แฟ๊บถึงสกลนคร หลวงปู่ได้มอบ อังสะ รูปขนาดบูชา และ เหรียญ มาให้กับท่านที่ร่วมทำบุญ สัมผัสแรกที่หยิบอังสะที่มีสภาพใช้แล้วจนผ้าบางและนุ่ม รับรู้ได้ถึงพลังที่ท่านอธิษฐานให้ไว้เป็นอย่างดี เห็นแล้วเสียดายไม่อยากตัดอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกแทนองค์หลวงปู่ แต่ก็ต้องทำเพื่อแบ่งเป็นชิ้นพอสมควรให้กับท่านที่ทำบุญมา

    ไว้หลังปีใหม่จะจัดส่งให้พร้อมรูปถ่ายหลวงปู่ครับ
    รูปถ่ายรุ่นนี้ก็ไม่ธรรมดา พี่ใหญ่สัมผัสแล้วถึงกับถามว่ามีกี่รูป พอแบ่งกันไหม ของดีนะ!
     
  10. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]คนไทยล่มจมเพราะไม่รู้จัก “พอเพียง”

    ราษฎรเรานี่ จะรู้จักคำว่าประชาธิปไตยสักกี่คน ๖๐ ล้านคนในเมืองไทยนี่มีคนเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยสักกี่คน เข้าใจแต่เผด็จการหมู่ เผด็จการหมู่นี่เป็นอย่างไร ถ้าไม่ชอบขี้หน้าใคร รวมหัวกันไล่มันออก คนที่จะทำดีกับบ้านกับเมืองนี่ ถูกขับไล่ เขาก็เอาแต่เพื่อนชั่วๆ ของเขาเอาไว้

    การปรับปรุงประเทศไทยจะให้อยู่เย็นเป็นสุข : <DD>ประการแรก ต้องปราบอิทธิพลของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย <DD>สอง ปราบโจรผู้ร้ายให้ราบคาบ ลองคิดดูแต่เพียงแค่ว่ารถยนต์เป็นคันๆ โจรผู้ร้ายมันขับผ่านชายแดนไปขายให้ต่างประเทศได้อย่างไร มาเลเซีย เขมร ลาว ทั้งๆ ที่เรามีทั้งตำรวจ มีทั้งทหารรักษาชายแดน แต่แล้วมันเล็ดลอดออกไปได้อย่างไร <DD>ยาเสพติด เฮโรอีน มันทะลักเข้ามาประเทศไทยได้อย่างไร <DD>อันนี้ปัญหานี่เราจะต้องคิด <DD>ในเมื่อปราบผู้มีอิทธิพล โจรผู้ร้ายราบคาบลง... ปราบราษฎร
    วิธีปราบราษฎรนี่ ใครมีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ให้มันรักษากรรมสิทธิ์เอาไว้ ใครยังไม่มี มีที่ใดพอแจกแบ่งให้มันได้ แจกแบ่งให้มัน บังคับให้มันทำอยู่ทำกิน น้ำไม่มีหาให้มัน ภูเขาสูงๆ อยู่ใกล้แหล่งน้ำ ไปไถยอดเขาให้มันราพณาสูร สร้างถังเก็บน้ำเอาไว้ใหญ่โตมหึมา เวลาฝนทิ้งช่วง ปล่อยลงมาให้ราษฎรทำเกษตรกรรม รัฐบาลเก็บภาษีจากราษฎร มันก็หมุนเวียนเข้ามา หมุนไปเวียนมาอยู่แล้วประเทศชาติมันจะได้เจริญขึ้น
    ทุกวันนี้ จริงอยู่ เราสร้างความเจริญให้แก่บ้านเมือง เราต้องการกระจายทางคมนาคมให้สะดวกไปทุกหนทุกแห่ง ไฟฟ้าเราจะให้มีทุกหมู่บ้าน ดี ... เป็นเจตนาดีของรัฐบาล แต่หาได้นึกไม่ว่าประชาชนเรานี่มีความรู้ความเข้าใจในการใช้สิ่งเหล่านี้เพียงพอหรือไม่ พอสิ่งเหล่านี้เข้าไปปั๊บ ไฟฟ้านอกจากจะทำเพื่อแสงสว่าง เดี๋ยวนี้บ้านนอกนี่ เก็บผักหักฟืนไม่เป็นแล้ว หุงต้มไฟฟ้า แถมมีโทรทัศน์ พัดลม มีมอเตอร์ไซค์ มีรถปิคอัพ มีรถเก๋ง ใครไม่มี ขายไร่ขายนาไปซื้อ
    นี่คือทางหายนะของประเทศไทยอยู่ที่ตรงนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายท่านจะคิดหรือไม่
    สมัยโบราณ ราษฎรคนไทยเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสาน เข็นฝ้ายเป็นทุกคน ทอหูกเป็นทุกคน เดี๋ยวนี้แม้แต่เย็บตะเข็บกางเกงแตก มันยังให้แม่มันเย็บให้ ตัวมันไม่เคยเย็บสักที นี่คือวัฒนธรรมชาวตะวันตก มันทะลักเข้ามาทำลายพลเมืองแห่งประเทศไทย
    แล้วประเทศเรานี่ เราไม่เคยอบรมกันมาก่อนว่าเราจะเอาอะไรเป็นจุดยืน บ้านเมืองเราไม่มีจุดยืน ใครหยิบยื่นอะไรมาให้ เอาหมด ดี! ฝรั่งมันไม่มาตั้งโรงพยาบาลเปลี่ยนอวัยวะให้เป็นอย่างอื่น หลวงพ่ออยากพูดอย่างนี้แหละ ลองเอาไปคิดเป็นการบ้าน ลองดู
    </DD>
    ขอขอบคุณ
    http://www2.se-ed.net/salawan/chapter1.htm
     
  11. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]มิจฉาทิฏฐิพาชาติวิบัติ

    มาสมัยโลกาภิวัตน์ เราไปรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมากลบเกลื่อนวัฒนธรรมอันดีงามของเรา บางทีเราก็ลืมของดีของเราไป ไปนิยมชมชอบของฝรั่ง เอาวัฒนธรรมของชาวฝรั่งมา เมื่อจิตใจของเราหันไปชมชอบวัฒนธรรมของเขา มันก็เอียงไปนิยมชมชอบเครื่องอุปโภคบริโภคของเขา นี่มิจฉาทิฏฐิกำลังเกิดขึ้นแล้ว
    เพราะอาศัยความเข้าใจผิดเห็นผิดว่าของเรานี่มันคร่ำครึ สู้ของฝรั่งไม่ได้ ไปเอาของฝรั่งมา เราไปนิยมของเขาเราก็สั่งซื้อของเขาเข้ามาทีละหลาย ๆ แสนล้าน เงินทองมันก็รั่วไหลออกไปต่างประเทศ ซื้อเข้ามาเท่าไรก็ไม่พอ เมื่อเงินทองมันไหลออกนอกประเทศ เงินคงคลังมันก็น้อยลงจนหมดเกลี้ยง เมื่อมันหมดแล้วเราก็ต้องกู้เงินเขามาลงทุนอีก มันเกิดจากมิจฉาทิฏฐิที่เราหลงไปนิยมชมชอบของเขา ไปทิ้งของดีของเรา ด้วยประการฉะนี้ ประชาชนพลเมืองของไทยเรา จึงตกเป็นลูกหนี้ของต่างประเทศทั้งประเทศ

    ขอขอบคุณ
    http://www2.se-ed.net/salawan/chapter1_2.htm
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE height="95%" width="99%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 30 พฤษภาคม 2551 13:56:32 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๓ | พระอัญญาโกณฑัญญะบวชปุณณมันตานีบุตร
    <!-- Main -->

    พระอัญญาโกณฑัญญะบวชปุณณมันตานีบุตร
    (ลูกน้องสาว) บรรลุอรหันต์

    พระปุณณมันตานีบุตร เป็นบุตรของ นางมันตานีพราหมณี ท่านได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้ว ในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ การที่ท่านได้รับการสถาปนาจากพระบรมศาสดาให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นเลิศกว่าเหล่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้เป็นธรรมกถึก จึงเกิดจากอานิสงค์นั้น

    เมื่อถึงกาล แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ท่านจึงได้บังเกิดเป็น ปุณณะ หลานของพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในบ้านพราหมณ์ ชื่อว่าโทณวัตถุ ไม่ไกลนครกบิลพัสดุ์ ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อเขาว่า ปุณณะ


    ในเวลาแสดงธรรมนั้น เมื่อพระบรมศาสดาประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่เขาตกแต่งไว้ตรงกลาง พระธรรมเสนาบดีนั่ง ณ ข้างพระหัตถ์เบื้องขวา พระโมคคัลลาะนั่ง ณ ข้างพระหัตถ์เบื้องซ้าย ส่วนเบื้องหลังพระสาวกทั้ง ๒ นั้น เขาปูอาสนะไว้สำหรับพระอัญญาโกณฑัญญะ เหล่าภิกษุที่เหลือนั่งแวดล้อมท่าน พระอัครสาวกทั้ง ๒ มีความเคารพในพระเถระ เพราะท่านรู้แจ้งแทงตลอดธรรมอันเลิศ และเป็นพระเถระผู้เฒ่า


    พระอัญญาโกณฑัญญเถระบวชหลานชาย

    พระเถระเห็นพระอัครสาวกทั้งสองกระทำความเคารพนบนอบตน จึงประสงค์จะหลีกไปเสียจากสำนักของพระพุทธเจ้า แต่ก่อนที่ท่านจะไปสู่ป่านั้น ท่านได้พิจารณาเห็นว่า ปุณณมาณพ ผู้เป็นหลานชายของท่านนั้น เมื่อบวชแล้วจักเป็นยอดธรรมกถึกในพระศาสนา ท่านจึงกลับไปตำบลบ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ ซึ่งเป็นชาติภูมิเดิมของท่าน แล้วจึงให้ปุณณมานพหลานชายบรรพชาในสำนักของท่าน

    ครั้นเมื่อปุณณมาณพได้อุปสมบทแล้ว ก็ได้บำเพ็ญซึ่งความเพียร ทำกิจแห่งบรรพชิตทั้งปวงให้ถึงที่สุดแล้ว จึงคิดว่า
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    <CENTER>ธรรมที่นำความฉิบหายมาสู่บุคคล


    [​IMG]
    </CENTER>



    ๑. นักบวชสละเวลาศึกษาสาระทางโลก แทนที่จะสนใจคำสอนของปราชญ์ที่ตนเองตัดสินใจแล้ว ย่อมฉิบหาย

    ๒. คิดปฏิรูปผู้อื่น ย่อมฉิบหาย

    ๓. คิดสั่งสอนธรรมผู้อื่นก่อนตน ย่อมฉิบหาย

    ๔. ผู้ประพฤติธรรมได้สัมผัสธรรมขั้นต้นเพียงเล็กน้อย ชื่นชมยินดีและหยุดอยู่ ไม่เร่งพัฒนาตนต่อไป ย่อมฉิบหาย

    ๕. มีชีวิตอยู่ด้วยความหวังและความกลัวอย่างโลกๆ ย่อมฉิบหาย

    ๖. วางแผนล่วงหน้าในอนาคตราวกับจะสร้างที่อยู่ถาวรในโลกนี้ แทนที่จะอยู่ไปวัน ๆ ราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ย่อมฉิบหาย

    ๗. ผู้เกียจคร้าน ไม่ฉกฉวยโอกาสขณะความเจริญก้าวหน้าทางจิตปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ย่อมฉิบหาย



    <CENTER>ผู้ใดประพฤติธรรมทั้ง ๗ ข้อนี้
    ย่อมประสบกับความฉิบหาย
    มีชีวิตอยู่เหมือนเดือนแรมเสี้ยวเล็กลง...เล็กลง
    และก็มืดในที่สุด
    </CENTER>​




    <CENTER>[​IMG]</CENTER>



    หมายเหตุ :

    * คัดจากหนังสือทำวัตรเช้า-เย็น(แปล)พิมพ์เผยแพร่โดยวัดสนามใน จ.นนทบุรี
    **เจตนาเพียงเพื่อจดจารจารึกเตือนสติตัวเองเท่านั้น
    ***ภาพประกอบเป็นภาพเขียนโดยท่านอาจารย์เขมานันทะ เป็นความชอบส่วนตัวค่ะ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบล็อกแต่อย่างใด



    ขอขอบคุณ

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=maekai&month=08-12-2008&group=2&gblog=41
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ครั้งหนึ่งเมื่อผมขับรถไปตามถนนต่างจังหวัด มองเห็นพระธุดงค์ท่านแบกกลด ถือกาน้ำ พร้อมบริขารต่างๆ เช่นบาตร และย่าม เคยถามตนเองเหมือนกันว่า ทำยังงี้ได้มั๊ย และทำยังงี้เพื่ออะไร พอดีเจอบทความบทนี้ของหลวงปู่ดูลย์เลยนำมาลงให้ผู้ที่เคยขับรถแล้วเจอพระธุดงค์ข้างทางได้เข้าใจบ้าง.....





    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 8 ธันวาคม 2551 20:13:49 น.-->ไปธุดงค์เพื่ออะไร


    <!-- Main -->[SIZE=-1]
    [​IMG]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]พระเณรบางกลุ่มหลังจากออกพรรษาแล้ว นิยมพากันออกเที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่างๆ[/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]มีการตระเตรียมบริขารหรือชุดธุดงค์กันอย่างครบเครื่อง[/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]แต่ในการไปนั้นมีอยู่หลายรูปที่ไปแบบผิดเป้าหมาย [/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]เช่น ทรงเครื่องกัมมัฏฐานไปรถทัวร์ รถไฟบ้าง เที่ยวไปเยี่ยมเพื่อนฝูงตามสำนักต่างๆบ้าง[/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]หลวงปู่จึงกล่าวท่ามกลางคณะกัมมัฏฐานว่า[/FONT]​

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]​
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อยากจะขอขอบคุณผู้ที่บริจาคหลายคนข้างต้น แต่ปุ่มโมทนาหายไปหมด จึงขอรวมโมทนาบุญกุศลไปในคราวเดียวกันครับ เพราะบุญสำเร็จได้ตั้งแต่คิดที่จะบริจาคแล้ว พอเกิดการโอนบริจาคจึงครบถ้วนเพราะเกิดการกระทำที่สมบูร์แล้ว ขอบุญนั้นจงสำเร็จแก่ทุกท่านด้วยเทอญ.




    [​IMG]
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    สัญญาก็คือสัญญา ให้ก็คือให้ เอาไปเก็บไว้บูชา แบ่งกันไป คนละริ้ว คนละเส้นท่านอธิษฐานจิตไว้ให้ทุนนิธิฯ ของเรานี้เป็นพิเศษเนื่องในโอกาสที่มีโอกาสได้ร่วมบุญตามที่ท่านได้ร้องขอผ่านศิษย์มา ยิ่งได้อ่านข้ออรรถข้อธรรมของท่านแล้ว ท่านปฏิบัติธรรมแบบเอาตายเป็นที่ตั้ง ขอแค่บรรลุธรรมในเบื้องปลายเท่านั้น จิตท่านถึงได้กล้าแข็งนัก เอาเก็บไว้ให้ดีครับ หมดแล้วก็หมดเลย ผมคงไม่กล้าขอท่านอีก และอีกอย่างท่านอธิษฐานไว้ว่า โรงพยาบาลเสร็จก็เสร็จกิจสำหรับท่านแล้ว นี่ก็ใกล้สำเร็จแล้ว จวนเจียนเต็มที สังฆัง นะมามิ....อรหันต์ นะมามิ....


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2008
  17. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    อุบายวิธีภาวนาทางลัดที่ผมได้รับจากครูบาอาจารย์รูปหนึ่งครับ
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> อุบายวิธีภาวนาทางลัดที่ผมได้รับจากครูบาอาจารย์รูปหนึ่งครับ
    ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ครับ
    ลองอ่านทำความเข้าใจและลองทำดูนะครับ
    โมทนาบุญด้วยนะครับ
    เอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ธรรมะ 9 ตา (เสฐียรพงษ์ วรรณปก)


    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    [​IMG]

    ธรรมะ 9 ตา
    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


    ท่านพุทธทาสเป็นคนช่างคิดช่างประดิษฐ์ ทั้งประดิษฐ์คำและประดิษฐ์ธรรม ประดิษฐ์คำ หมายถึงคิดคำที่ "ขำ" ไม่ใช่ในความหมายขำขัน แต่ในความหมายคมขำ) เมื่อท่านออกจากวัดปทุมคงคา พระนคร กลับไปตั้งสำนักที่ไชยา ท่านติดใจสถานที่แห่งหนึ่งเป็นป่า มีต้นโมกกับต้นพลาขึ้นอยู่มากมาย จึงตั้งสำนักอยู่ ณ ที่นั้น เมื่อคิดชื่อท่านก็ตั้งว่า โมกขพลาราม (โมกข-พล-อาราม) แปลว่าอาราม (หรือวัด) อันเป็นพลังแห่งการหลุดพ้น

    คมขำดีไหมครับ เมื่อถามว่าทำไมท่านตั้งชื่อได้เหมาะเช่นนี้ ท่านตอบว่า ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งปานนั้น บังเอิญป่าแห่งนี้มีต้นโมกกับตนพลาเยอะจึงเอามา "บวช" เสียเลยว่า "โมกขพล" เติมอารามเข้าไปก็เลยเป็นโมกขพลารามด้วยประการฉะนี้

    ประดิษฐ์ธรรม เช่น หาทางอธิบายธรรมให้เข้าใจง่ายและเป็นที่ยอมรับในคนรุ่นใหม่ เช่นดึงนิพพาน ที่คนส่วนมากนึกว่าเป็นของสูง เป็นสิ่งที่เหลือวิสัยจะพึงได้พึงถึง ถึงขนาดว่าเลยเถิดไปว่า ตายแล้วจึงจะนิพพานได้ ก็ชี้ให้เห็นว่านิพพานได้ในขณะนี้เดี๋ยวนี้ แล้วก็ "ลดเพดาน" ลงมาให้เห็นว่าการทำจิตให้ว่างจากกิเลส ไม่มีตัวกูของกูชั่วขณะก็เท่ากับถึง "นิพพานชั่วคราว"
    ลดเพดานลงขนาดนี้ ก็ทำให้ใครที่คิดว่านิพพานเป็นเรื่องสูงเกินความสามารถ รู้สึกใหม่ว่าไม่สูงเกินกว่าตนจะเข้าถึงได้ ทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติ

    "ตัวกูของกู" ก็เช่นกัน ไม่มีใครกล้าแปลกกล้าใช้เพราะถือว่าเป็นคำหยาบ ไม่เหมาะ แต่หลวงพ่อพุทธทาสเจาะจงใช้ เพราะนอกจากตรงตามความหมายของศัพท์ (อหังการ มมังการ) แล้ว มันกระตุกใจ หรือ "โดนใจ" ไม่เลวทีเดียว

    การบัญญัติ "ภาษาคน ภาษาธรรม" ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้การอธิบายธรรมเป็นที่เข้าใจง่าย แม้ว่าจะมิใช่แนวใหม่ แต่การบัญญัติคำทำให้สื่อสารได้ดี ในคัมภีร์ท่านใช้ บุคลาธิษฐาน-ธรรมาธิษฐาน มันก็ฟังดูเบลอๆ อยู่ ฟังแล้วไม่ "เก็ต"

    นอกจากนี้ยังขยันหาคำคล้ายๆ กันมารวมหมวดไว้ แล้วถือโอกาสบรรยายทีละคำตามลำดับ คำหนึ่งใช้เวลาเป็นปีกว่าจะบรรยายจบ ทำให้นึกถึงพระมหากัจจายนะสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าตรัสชมเชยว่า มีความสามารถขยายบทธรรมสั้นๆ ให้พิสดารได้


    [​IMG]
    ท่านพุทธทาสภิกขุ


    ถ้าหลวงพ่อพุทธทาสเกิดสมัยโน้น จะได้รับคำชมเชยจากพระพุทธองค์ หรือไม่ก็ไม่รู้สิครับ คำที่ท่านใช้เวลาอธิบายปีละคำนั้นเรียกว่า "ธรรมะ 9 ตา" มีดังนี้

    1. อนิจจตา
    2. ทุกขตา
    3. อนัตตตา
    4. อิทัปปัจจยตา
    5. สุญญตา
    6. ธัมมัฏฐิตตา
    7. ธัมมนิยามตา
    8. อตัมมยตา
    9. ตถตา


    อนิจจตา คือความไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ความแปรเปลี่ยน สังขาร (สิ่งผสมทั้งหลาย) ตกอยู่ในสภาพอนิจจตาทั้งสิ้น ไทยเราชอบพูดถึงสภาวะนี้ในความหมายของ "คุณศัพท์" (คืออนิจจังแปลว่าซึ่งไม่แน่นอน)

    ทุกขตา คู่กับอนิจจตา แปลกัน (ตามตัวอักษร) ว่าความทนอยู่ไม่ได้ คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ย่อมแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นเสมอ ผู้รู้ท่านหนึ่งอธิบายอนิจจตากับ ทุกขตาให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่า อนิจจตาหมายถึงความเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏภายนอก (อัชฌัตตา ธัมมา) ทุกขตา หมายถึงความไม่สมบูรณ์บกพร่องอันเป็นเนื้อใน (พหิทธา ธัมมาป โดยอธิบายว่า ความบกพร่องความไม่สมบูรณ์ในตัวนั้นแหละ คือทุกขตา เมื่อบกพร่องไม่สมบูรณ์มันก็ย่อมเปลี่ยนในที่สุด (อนิจจตา)

    อนัตตตา ความไม่มีตัวตน ความมิใช่ตัวตน อนัตตตา มีสองความหมายคือ

    (1) ความไม่มีตัวตนถาวร (อาตมันถาวร) ดังที่ลัทธิฮินดูเชื่อกัน ว่าอาตมันเป็นสิ่งสัมบูรณ์ในตัวเอง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อยู่เป็นนิรันดร ส่วนที่เปลี่ยนคือร่างกาย

    ทฤษฎีตายแล้วไปเกิดใหม่เปรียบเสมือนคนที่ออกจากบ้านเก่าที่ถูกไฟไหม้ไปหาที่อยู่ใหม่ บ้านเป็นบ้านใหม่แต่คนยังคงเป็นคนเดิม ดังที่กฤษณะได้สอนอรชุนผู้ไม่อยากรบกับญาติพี่น้องของตนเพราะเกรงจะมีการฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นบาป กฤษณะสอนว่า "ไม่มีผู้ฆ่าไม่มีผู้ถูกฆ่า" ดุจเอามีดฟันหยวกกล้วย เพราะอาตมันไม่มีใครฆ่าได้ พระพุทธศาสนาปฏิเสธแนวคิดอาตมันถาวรนี้ จึงเรียกว่าอนัตตตา

    (2) ความมิใช่ตัวตน ในความหมายนี้ทรงแสดงไว้ในอนัตตลักขณสูตร ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันประกอบเข้าเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขานี้ มิใช่ตัวตนของใคร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปตามธรรมดาของสังขาร เพราะถ้ามันเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เราสามารถบังคับหรือขอร้องให้มันเป็นอย่างนั้น อย่าไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่นี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ จึงเชื่อว่า เป็นอนัตตตา

    อิทัปปัจจยตา เป็นชื่อหนึ่งปฏิจจสมุปบาท หลักแห่งการเกิดขึ้นอาศัยกันของปัจจัยทั้งหลาย (Dependent Origination) วิธีจะเข้าใจอิทัปปัจจยตาให้ดูฟุตบอล ทีมฟุตบอลสองทีมแข่งกัน 11 คนของแต่ละทีม ต่างเป็น "ปัจจัย" ให้ทีมแพ้หรือชนะ การแพ้ชนะมิได้อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง ทุกคนต่างมีส่วนเสมอๆ กัน สมมติว่าทีม ก.ชนะทีม ข.1-0 ไม่ใช่เพาะเบอร์ 7 (สมมติ) เตะเข้าโกลของฝ่ายตรงข้าม หากเพราะทั้ง 11 คนเป็นปัจจัยช่วยกันและกัน จนเกิดชัยชนะขึ้น

    มองให้ลึกไปกว่านั้น การรับพลาดของโกลของทีม ข.เป็นปัจจัยให้ชนะ หรือทั้ง 11 คน ของทีม ข.เป็นปัจจัยให้ชนะ

    อ้าว ถ้าไม่มีทีม ข. เอ็งจะเล่นกับใคร ใช่เปล่า ? แล้วชัยชนะจะมีได้อย่างไร ?

    สุญญตา ความว่างเปล่า ความศูนย์ คือสูญจากความมีตัวตน เวลาพระท่านพิจารณาสังขารโดยความเป็นสภาพศูนย์ หมายถึงพิจารณาเห็นความเป็นจริงว่า สิ่งที่เรียกว่าตัวตนเราเขา นั้นที่แท้ไม่มี มีเพียงการประกอบเข้าแห่งธาตุสี่ดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่าว่างอย่างนี้แล้ว ท่านก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ดังที่หลวงพ่อพุทธทาสกล่าวว่าว่างจากตัวกูของกู

    ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา คือ การที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับสลายไปเป็นกฎธรรมชาติหรือภาวะที่ยืนตัวเป็นหลักแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็นกฎธรรมดาหรือกำหนดแห่งธรรมดา ไม่ขึ้นอยู่กับผู้สร้างผู้บันดาล

    ไม่ขึ้นอยู่กับการเกิดขึ้นของศาสดาหรือศาสนาใดๆ

    ดังพุทธวจนะว่า "ไม่ว่าตถคตทั้งหลาย (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม กฎธรรมชาติ กฎธรรมดานั้นก็ยังอยู่"

    ตถตา ความเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ท่านคิดอย่างไรกับการที่พลตรีจำลอง ศรีเมือง, ออกมาขับไล่ท่าน ท่านนายกเหลี่ยม เอ๊ยนายกแห่งประเทศไทย กล่าวสั้นๆ ว่า ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง ทำเอาผู้สื่อข่าวงงไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร

    ตถตา เป็นการอธิบายความที่สิ่งทั้งหลายเป็นเหตุปัจจัยแห่งกันและกัน เมื่อมีเหตุปัจจัยมันก็เกิดขึ้นดำรงอยู่และเป็นไปตามกฎธรรมดา เมื่อหมดเหตุปัจจัยมันก็ดับ การที่มันจะเกิด จะคงอยู่หรือจะดับไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดลบันดาลของใคร

    ไม่ขึ้นอยู่กับการขอร้องอ้อนวอน หรือความต้องการของใคร

    เมื่อเหตุปัจจัยมันสุกงอมแล้ว ไม่อยากไปก็จำต้องไป เพราะทุกอย่างเป็นตถตา = มันเป๋นจะอี้เอง แม่นกา ?

    จะยืนยันอย่างไรว่าไม่ไม่
    ช่อกุหลาบกำลังใจหลายหลากสี
    กลางเสียงร้อง...สู้ สู้...อยู่มากมี
    ตถตาชี้...มันเป็นเช่นนั้นเอง



    ...........................................................................

    หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน หน้า 6
    คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
    วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10214
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6605
     
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    คาถาบูชาหลวงปู่สี
    <TABLE class=f12b cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2 height=57>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=boxdot width=605 bgColor=#ffeda4 height=26> </TD><TD width=3> </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2 height=20>คาถาของหลวงปู่สีได้มาจากหลวงพ่อพระครูปลัดบุญรัตน์ ฐานัทโร วัดป่าพุทธญาณ ในปี 2544 ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สี เป็นคาถาเมตตามหานิยมของหลวงปู่สีว่าดังนี้

    " อุ อาอา นะ เมตตา สังฆัง"
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ
    http://www.taradkonruy.com/
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ให้อภัย

    [​IMG]

    ****************************

    มนุษย์ที่มีใจสูงย่อมรู้จักให้อภัย
    ไม่เอาเรื่องกับสิ่งเล็กน้อย


    ****************************

    อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
    ทางที่ถูกควรทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก
    ถ้าเป็นเรื่องเล็กอยู่แล้วก็ไม่ควรเอาเรื่องเสียเลย
    ปล่อยไปเสีย ทำไม่รู้ไม่เห็นเสียบ้าง
    ไม่บอดทำเป็นเหมือนบอด
    ไม่ใบ้ทำเหมือนใบ้
    ไม่หนวกทำเหมือนหนวกเสียบ้าง
    จิตใจของเราจะสบายขึ้น

    ******************************************************

    มีเรื่องแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่งในหมู่มนุษย์
    คือ คนส่วนมากเผชิญกับเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่างกล้าหาญได้
    แต่กลับขาดความอดทนต่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ


    ******************************************************

    ตัวอย่างเช่น ใครมาพูดเสียดสี
    กระทบกระเทียบเปรียบเปรย เขาทนไม่ได้
    แต่กลับทนอยู่ในคุกตารางได้เป็น 20-30 ปี
    และยินดีรับความทุกข์เหล่านั้นไปตลอดเวลา
    ที่ทางราชการกำหนด แม้จะไม่ยินดี ก็เหมือนยินดี
    เพราะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
    ถ้าเขายินดีรับความทุกข์เพียงเล็กน้อยเสียก่อน
    คือ อดทนต่อคำด่าว่าเสียดสี
    หรืออาการทำนองที่เขาคิดว่าเป็นการดูถูกดูแคลน
    เพียงเล็กน้อยเสียก่อน
    ไหนเลยเขาจะต้องมาทนทุกข์ทรมานอันมากมาย
    ยาวนานถึงเพียงนั้น

    *********************************************

    การให้อภัยเป็นคุณธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในมนุษย์

    *********************************************

    คนส่วนมากเมื่อจะทำทาน
    ก็มักนึกถึงวัตถุทาน คือ การให้วัตถุสิ่งของ
    ให้ได้มาก เตรียมการมาก ยุ่งมาก เขายินดีทำ
    แต่ใครมาล่วงเกินอะไรไม่ได้
    ไม่มีการให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น
    ความจริงเขาควรหัดให้อภัยทานบ้าง
    แล้วจะเห็นว่า จิตใจสบาย ขึ้นประณีตขึ้น
    สูงขึ้น เป็นเทวดา
    ดังสุภาษิตอังกฤษบทหนึ่งว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...