ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    [​IMG] นี่คือรูปสมมุติของพระสัพพันยู ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้พบวิธีทางไปสู่การวิวัฒไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด แล้วนำมาสอนมนุษย์

    พ้นไปไกลกว่าพรหมด้วยนะ เหนือวัฏฏะ
     
  2. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    [​IMG]วีธีปฏิบัติเพื่อวิวัฒตนให้พ้นไปจากวัฏฏะ เรียกมรรค8 แต่มันไม่ง่าย
    ไม่ใช่การรอคอยโชคให้เกิดการวิวัฒนาการขึ้นมาเอง การวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเอง
    จะช้า หรือเร็ว จะดีขึ้นหรือเสื่อมลง ก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติของรูปและนามทั้งหลาย

    แต่การปฏิบัติตามคำสอนของพระสัพพันยู ต้องลงมือทำให้เกิดการวิวัฒเหนือวัฏจักรด้วยตนเอง ไม่ใช่การรอให้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    ผู้ที่จะพ้นวัฏจักร พ้นจากรูป นาม อยู่เหนือธรรมชาติได้จึงมีอยู่น้อย
    [​IMG]

    ถ้าทำไม่ได้ ก็รอการวิวัฒแบบกระโดดตามธรรมชาติต่อไป ต่อไป ต่อไป และ ต่อไป
    โชคดี.....
     
  3. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ทำแบบนั้น หรือยิ่งกว่านั้น . . .ทำยิ่งกว่านั้นเลยหรือ ยิ่งกว่าที่มหาบุรุษตรัสรู้มาสอนหนะหรือ มียิ่งกว่านั้นอีกหรือครับ...
     
  4. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ไม่ทราบว่าผมตั้งธงไว้ตรงไหนว่าผิด
    ผมบอกให้คิดถึงความตายกันบ้างนั่น แปลว่าห้ามศึกษาหาความรู้หรืออ่านอะไรนอกเหนือจากที่พระพุทธเจ้าสอนหรือครับ แค่คิดถึงความตายเนี่ยนะ คือการห้ามสนใจหรืออ่านเรื่องของคุณ คิดมากไปใหม
    คิดถึงความตาย แล้วใครอยากอ่าน อยากทำอะไรก็ทำไป ผมไม่มีสิทธิ์ไปห้ามหรอกครับ
    แม้แต่จะบอกให้ลองคิดใครจะคิดหรือไม่คิดก็เรื่องของเขา ผมแค่บอก แปลว่าผมห้ามศึกษาเรื่องของคุณหรือครับ
     
  5. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    แน่ใจหรือครับว่าพระพุทธเจ้าเน้นที่วิธีการเอาตัวรอดจากวัฏสงสารเท่านั้น แน่ใจแล้วหรือ ถ้าคุณแน่ใจอย่างนั้นก็ไม่ว่ากันเพราะคนที่เขารู้ว่าสิ่งพระพุทธเจ้าสอนเป็นมากกว่านั้นมีอยู่

    อยากอ่านอยากเขียนอะไรก็ไม่มีใครบอกว่าห้ามทำหรือทำไม่ได้นี่ แต่เพราะ
    ศาสนาพุทธเราสอนไม่ใช่เหรอครับ ว่าอย่าเพิ่งเชื่อ หรือไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
    ให้พิจารณาไตรตรองด้วยปัญญาดูก่อน แบบนี้ผมจึงนำเสนอเล็กๆให้คิดถึงความตายกันบ้างไง แล้วก็ไตร่ตรองกันเอง ผมได้ไปชี้เอาไว้เมื่อไร ว่าอะไรถูกอะไรผิด นั่นคุณคิดเอาเองตะหาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010
  6. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    คิดถึงความตายกันมากๆหน่อยแล้วจะรู้ว่าตรง สีแดงมันจำเป็นหรือไม่จำเป็นมากน้อยแค่ไหน
    แค่คิดถึงความตายให้มากก็ทำให้เห็นทางเพื่อวิวัฒนาการไปสู่การอยู่เหนือวัฏฏะได้ คือสุดยอดแห่งวิวัฒนาการ
    :cool:ตามสบายนะ ขอตัวเดี๋ยวว่างๆจะมาใหม่นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010
  7. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    คุณ damrong ผู้ปรารถนานิพพานเป็นที่ไปครับ

    จากข้อความของผมที่อ้างไปว่า นั่นคือการแบ่งภาคมาเกิดของ พระนารายณ์ หรือการแบ่ง

    ภาคมาเกิด หรือ การมุ่งกลับเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกับพรหม

    ผมบอกตอนไหนว่าเป็นวิธีที่ ประเสริฐกว่า นิพพาน ของพระพุทธเจ้า

    แต่มันคือการยอมรับว่า การแบ่งภาคมาเกิด การกลับเข้าไปรวมเป็นเนื้อเดียวกับ

    พระพรหม ของศาสนาพราหมณ์ มีอยู่จริง

    และที่สำคัญ พระพุทธเจ้าก็ยอมรับถึงการมีจริง ของพระพรหม ไม่อย่างนั้นท่าน

    จะใส่ รูปพรหม และ อรูปพรหม ไว้ใน ภพภูมิของพระองค์หรือ

    สำหรับผมนะ ถ้าผมได้นิพพานจริงๆ ก็คงจะสุขแบบไม่มีประมาณ

    หรือถ้าได้ไปอยู่ชั้น พรหม ก็ถือว่าสุดยอดมาก เพราะไม่รู้อีกกี่ล้านปี จะไปถึงขั้นนั้น

    ตอนนี้ขอแค่ได้ ไปสวรรค์ ชั้นดุสิต ก็สุดยอดมากแล้ว

    เพราะผมก็เจียมตัวว่า คงอีกหลายกัปป์ หลายกัลป์ ที่จะได้ไปนิพพาน

    และผมก็มองความเกิดตายเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าฝันที่จะไป

    นิพพาน เพราะรู้ตัวเองดีครับ


    ถ้าคุณ damrong สงสัยในเรื่องพรหม ให้กลับไปอ่านในพระไตรปิฎก อัคคัญสูตร

    เรื่องกำเนิดโลก ที่ พระพุทธองค์ ทรงสอนสามเณรสองรูปที่มีครอบครัวนับถือพราหมณ์

    และเป็นที่มาของ หลักกาลามสูตรด้วย


    ก็จะรู้ว่า มนุษย์ยุคแรกๆในกัปป์นี้นั้น จุติมาจาก อาภัสสรพรหม




    ผมก็ชื่นชมที่คุณ damrong มีความปรารถนาในนิพพานอย่างแรงกล้านะครับ

    แต่ตอนนี้ผมยังไม่สามารถไปกับคุณ damrong ได้ เพราะบารมีผมยังไม่ถึงน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2010
  8. ปริยัติ

    ปริยัติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +68
    เขาเรียกว่าคนติดดีครับ..แต่ต้องเป็นความดีตามความเห็นของตนเท่านั้น..กิเลสมันมาเหนือเมฆครับ(อันนี้น่ากลัวครับ)..พระพุทธองค์บรรลุแบบปัญญาธิกะพุทธเจ้าน่ะครับ...
     
  9. ปริยัติ

    ปริยัติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +68
    บังเอิญผมอ่านมาทั้งหมดขออภัยด้วยนะครับ..(กิเลสผมมันบอกให้ตอบโต้และดันแพ้มันอีก)..มรณานุสติ..ก๊าก!!!..5555555..ขอบคุณที่เตือน...นี่แหละครับกิเลสครับเห็นชัดๆยังแพ้มัน...เฮ้อ!!คราวหน้าจะพยายามข่มมันให้ได้ครับ
     
  10. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    รู้สึก รับรู้ ระงับ สามตัวนี้ พอจะมีบ้างในจิต
    แต่ตัดให้ขาดนี่สิ ยากจริงๆ
    ช่วงนี้ได้พอมีเวลา ฟังหลวงพ่อฤษีลิงดำท่าน อธิบายธรรม
    ได้ค้นพบหลายๆอย่าง ในบทธรรม
    ออกตัวก่อนนะครับ ในสายธรรม ผมคงเป้นแค่เด็กอนุบาลครับ
    ยังเพิ่งหัดอ่านออกเสียง ผสมพยัญชนะ
    แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าผมพร้อม จะศึกษา และปฏิบัติก็คือ
    แก้วน้ำผม ยังเป็นแก้วที่เพิ่งได้สัมผัสกับน้ำครับ
    หลายๆ ความคิดเห็น หลายๆ กระทู้ บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของเจ้าของกระทู้
    ผมรู้สึกแปลกใจ และอึดอัดใจพอสมควร ทั้งที่ไม่ควรจะรู้สึก
    กับเรื่องความคิด และความเชื่อที่ไม่ตรงกัน
    ทำไมหนอ เราหวังในสิ่งเดียวกัน จุดสุดท้าย ก็จุดเดียวกัน
    แค่ทางที่จะไป มันคนละสายกัน
    บางคนไปลัดได้ และถูกทาง ไปได้เร็ว โดยอาศัยหลากหลายองค์ประกอบ
    บางคนยังคงวนเวียน หลงทาง ต้องแวะถามทาง ดูป้าย
    บางคน ชอบบุกฝ่าป่าดง ไม่ชอบทางที่คนอื่นสร้างไว้
    หลากหลายเหลือเกิน
    ผมแค่รู้สึกว่า เรา หลายๆท่านในที่นี้ช่างประเสริฐนักแล้ว
    ที่ ตื่น ที่รู้ ว่า เราควรทำยังไงกับชีวิต
    กับจิตดวงนี้
    แอบชื่นชม ปนอิจฉา ในหลายๆท่าน ที่ค้นพบทางลัด และก้าวไปอย่างถูกทาง
    ผมรู้ทางของตัวเอง อยากจะไปให้ถึง อยากๆๆๆๆๆๆๆๆ มานาน
    แต่ก็แค่อยาก
    มาตอนนี้ ผมไม่อยากแล้วครับ
    ผมเริ่มปฎิบัติ วันละนิดละหน่อย
    อยู่กับพุทโธ
    เพราะผมคิดเอาเองว่า คงง่ายสุด และดีที่สุดสำหรับผมแล้ว
    ได้แค่ไหน แค่นั้น ทำไปเรื่อยๆ
    ก็เลยมีความรู้สึกว่า
    ทำไมหนอ ท่านที่มีประสบการณ์ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
    ถึงไม่ค่อยจะแนะนำในสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติ
    ถกกันถึงสิ่งที่ปฏิบัติ ช่วยกันประคับประคอง ให้เราไปถึงจุดหมายเร็วขึ้น
    จะดีกว่า มาถกกันถึงความเชื่อ ดีกว่าไหมครับ
    อย่างน้อย ก็มีคุณประโยชน์ กับ เด็กอนุบาล เช่นผม
    และผมคิดว่า คงมีอีกหลายท่าน คิดแบบเดียวกับผมครับ
    ขอบคุณครับ
     
  11. TheLionSleepsNoMore

    TheLionSleepsNoMore เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +1,211
    :cool: โมทนาบุญด้วยนะครับ (deejai) สาธุ:VO
     
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอบคุณข้อความข้างบนนี้ด้วยใจจริงครับ พูดมาแล้วก็อายตัวเองเหมือนกันหละครับ
    ที่ไปเที่ยวทะเลาะกับคนอื่นเขา เรื่อง "ความเชื่อ" แบบนี้

    เพราะพวกเราก็เห็นกันมานักต่อนักแล้วว่า กระทู้ไหนเป็นแบบนั้น ไม่เคยมีเลยที่จะจบลง
    ด้วยการสรุปความเห็นว่าตรงกัน (หรืออาจจะมีก็ได้นะครับ)
    ผมเห็นแต่ต่างคนก็ต่างดันกันไปคนละทิศละทาง
    เพราะใครๆก็ต้องคิดว่าที่ตัวเองคิด และ เชื่อ อยู่นั้น ถูกต้องที่สุดแล้ว

    ไม่ยกเว้นแม้แต่ภายในศาสนาเดียวกัน ดูเอาเถอะ อย่างคำว่า "ธรรมกาย" นี่
    ก็เป็นคำที่แสลงหู แสลงใจของ "ชาวพุทธบางคน" อย่างมาก
    แล้วฉะนั้นประสาอะไรกับเรื่องนอกศาสนา เรื่องที่ไม่เคยถูกสอนมาก่อนแบบนี้หละครับ

    เราลืมกันไปว่า "ความคิด" และ "ความเชื่อ" ที่พวกเรามีกันอยู่ และยึดมั่นกันว่าถูก
    อยู่ในขณะนี้ มันเป็นแค่ "ณ.ขณะนี้เท่านั้น" แปลว่าอนาคต ถ้าเรารู้มากกว่านี้
    มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น การ "ด่วน" ตัดสินอะไรลงไปเลยนี่ จึงพึงระวัง


    มาเข้าสู่ประเด็นที่จะเป็นประโยชน์ และเป็นแง่คิดอย่างที่ท่านแนะนำกันดีกว่านะครับ
    สำหรับผู้เริ่มต้นปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะครับ คิดว่า "คงได้แง่คิด" ไม่มากก็น้อย

    แรกเริ่มเดิมที ผมเองก็เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่เคร่งครัดในบทบัญญัติทางศาสนาเป็นอันมาก
    หมายถึงตั้งแต่ประมาณ 10 ปีที่แล้ว จนถึงเมื่อไม่กี่ปีมานี้หนะนะครับ
    ทั้งๆที่ผมเอง ก็ยังไม่รู้เหตุผลของสิ่งที่ "ท่าน" บอกให้ทำตาม หรือ "บอกให้เชื่อตาม"
    อะไรสักเท่าไหร่หรอกนะครับ ก็ได้แต่ทำตามไปเรื่อยๆก่อน

    ..แต่เพราะว่ามันมีอยู่หลายประเด็น ที่คำสอนทางศาสนา มิอาจให้คำตอบแบบกระจ่างชัดกับเราได้
    คือมันไม่สามารถทำให้เราหายสงสัยได้

    รวมถึงต่อให้ไม่ข้องใจ หรือไม่สงสัยในคำสอน "บางประเด็น" เหล่านั้น แต่เราก็อยากได้ข้อมูลสนับสนุน
    การกระทำและความเชื่อของเรา เพื่อให้มันแน่นขึ้น เชื่อมั่นมากขึ้น
    ว่าที่เราทำ ที่เราเชื่ออยู่หนะ มันถูกแล้วจริงๆ ซึ่งผมคิดว่าหลายท่านก็คงเป็นเหมือนกัน

    เช่น เพื่อนผมมาถามผมว่า "ทำไมการนั่งสมาธิ จึงจะได้บุญมากกว่าการถือศีล และทำทาน"
    ผมก็ยกคำสอนของผู้ที่ผมไปอ่านเจอในตำหรับตำรามาอธิบาย ว่าท่านกล่าวไว้แบบนี้ๆ

    ทำไมผู้ที่ทำบุญมาตลอดชีวิต แต่ถ้า "จิตสุดท้ายเศร้าหมอ" ก็มีสิทธิไปนรกได้
    เช่นเดียวกับผู้ที่ทำบาปมาตลอด ในทางกลับกัน ซึ่งดูแล้ว ไม่ยุติธรรมเลย

    ทำไมทำบุญด้วยธรรมทาน จึงได้บุญมากกว่าวิหารทาน และวัตถุทาน ตามลำดับ

    และคำถามอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งคำถามข้างบนทั้งหมดนั้น ผมอ่านเจอคำตอบแบบศาสนาๆแล้ว
    แต่ก็อย่างที่บอกนั่นหละครับ ว่าผมไม่เก็จ และไม่กระจ่างใจอยู่ดี
    เพราะผมอยากได้คำอธิบายแบบ ฉะฉาน โช๊ะ โช๊ะ โช๊ะ แบบแย้งไม่ได้ อะไรแบบนั้นหนะครับ
    ที่กล่าวมานี่ ก็เพื่อที่จะบอกเป็นนัยๆกับท่านว่า ไม่ต้องไปคัดลอกข้อความของใคร
    มาตอบคำถามข้างบนนี้ให้ผมหรอกนะครับ เพราะผมคิดว่า ผมน่าจะได้อ่านมาหมดแล้ว

    เพราะฉะนั้น ด้วยความที่จิตของผมมันไม่อยู่นิ่ง มันชอบสงสัย และชอบหาคำตอบ
    มันก็เลยพยายามแสวงหาคำตอบต่อไปจากแหล่งอื่น จากตำราธรรมดา ก็ออกไปสู่ตำราอื่นๆด้วย
    อันนี้ละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับว่า..

    "การปฏิบัติตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้ ก็ยังคงทำอยู่ อย่างต่อเนื่อง"

    รวมถึง ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหน สายไหน ก็แทบจะไปลองมาแล้วเยอะเหมือนกัน
    เพื่อที่จะหาหลักยึดก่อน และหาเหตุหาผล และหาวิธีที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดให้กับตัวเองก่อน
    ซึ่งตอนนี้ก็คิดว่าได้แล้วหละครับ..คือสติปัฏฐาน 4..

    หลายๆประเด็น ที่ผมจะขอยกตัวอย่างให้ผู้ที่อาจจะเป็นเหมือนผม ลองเก็บไปคิดดูก็คือ
    เรื่องคำอธิบายเรื่อง "โลก และจักรวาล" ของทางพุทธเรา อันนี้ 10 ปี ก็ 10 ปีเถอะ
    อ่านที่ไรมันก็ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย..ท่านลองอ่านกันดูบ้างหรือยังหละครับ..

    คือทำไมมันถึงไม่สอดคล้องกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เลย ถึงแม้ว่าเราจะตระหนักรู้อยู่ว่า
    วิทยาศาสตร์บางอย่างก็ล้าหลังกว่าคำสอนของพุทธเรามากมายนัก ก็ตาม

    เพราะว่า "ความกว้างของขอบเขตของจักรวาลที่อธิบายไว้" มันไม่กว้างเท่า
    ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ด้วยซ้ำไป แล้วอย่างนี้ มันจะไปบรรจุดวงดาวอื่นๆไว้ได้หมดได้อย่างไร

    (อ้างอิง: โพสต์แรก และโพสต์ที่ 13 และ 15 ของกระทู้ข้างล่างนี้ครับ)

    http://palungjit.org/threads/ความลับของจักวาล-ในพระไตรปิฏก.146930/

    รวมถึง ไม่มีข้อความไหนบอกเลยว่า โลกและดวงดาวต่างๆเป็นรูปทรงกลมหรือใกล้เคียงทรงกลม

    นี่จึงเป็นเหตุให้เริ่มค้นหาข้อมูลสนับสนุน เพื่อที่จะตอบคำถามคาใจของตนเองให้ได้
    เพื่อที่จะได้มั่นใจว่า "ของเรา" นั่นหนะ 1 ไม่มีสอง "ทุกๆแง่ทุกๆมุม"

    เพราะว่ามันมีศาสนาทั่วโลกมากมายเหลือเกิน แล้วทำไม๊ ทำไม มันจึงมีเพียงของเรา
    เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่บอกว่า "ไม่มีพระเจ้า" เพราะศาสนาอื่นๆล้วนบอกในทางตรงข้ามหมด
    แม้ว่าจะไม่ได้ใช้คำว่า "พระเจ้า" ก็ตาม แต่นัยยะมันเป็นแบบนั้น เช่นคำว่า "เต๋า"
    "ปรมาตมันต์" หรือ "ต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง" หรืออะไรก็ตาม
    เพราะฉะนั้น มันต้องมีคนถูกคนผิดหละงานนี้

    เพราะว่าตามความคิดของผมนะครับ ผมคิดว่า

    "ถ้าอะไรที่มันเป็นสัจธรรมในระดับจักรวาล หรือในระดับความจริงที่จริงแท้แล้ว
    ใครที่เข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ต้องพูดออกมาในทำนองเดียวกันหมด"


    ยกเว้นแต่จะยังเข้าไม่ถึง (ศาสนาอื่นๆเหล่านั้น)..หรือมีอะไรบิดเบือน หรือมีอะไรผิดพลาดไปเท่านั้น..
    เพราะมันต้องมีเหตุสิหน่า มันถึงได้มีผลแบบนี้ได้..

    นี่จึงเป็นที่มาของกระทู้ทั้งหลายที่ผมตั้งขึ้น เพราะว่าเมื่อผมไปเจออะไรที่น่าสนใจ
    ที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับ "คำตอบ" ของคำถามของตนเองแล้ว
    ผมก็จะนำมาแบ่งปันให้ท่านๆได้อ่านด้วย ก็เท่านั้นเองครับ

    สติและปัญญามีอยู่กับพวกท่านพร้อมมูลแล้ว..เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ห่วงอะไรมากนัก
    และอีกอย่างหนึ่ง เนื้อหาของกระทู้ มันก็ได้คัดกรองผู้อ่านของมันเองไปในตัวแล้วด้วย

    ผมไม่เคยมีนโยบายที่จะชักชวนให้ท่านมาสนใจ มาเชื่อ หรือมาอะไรเกี่ยวกับคำว่า "พระเจ้า" เลยแม้แต่น้อย
    แต่เพราะว่า เนื้อหาที่มันดูเหมือนจะ หรืออาจจะ "เป็น" คำตอบที่แท้จริงของคำถามทั้งหลายของผม
    มันมาจากนอกโลก ซึ่งก็แปลกประหลาดเหลือเกิน ที่ 100% ของพวกเรา พูดเป็นเสียงเดียวกันหมด..ว่า..

    มันมีผู้สร้างนะ จักรวาลหนะ มันมีพระเจ้าด้วยนะ มันมีมิติต่างๆที่มนุษย์ไม่เคยตระหนักรู้อยู่อีกมากมายเลยนะ
    ซึ่งตอนแรกๆผมก็กะจะตัดคำนี้ทิ้ง หรือเปลี่ยนเป็นคำอื่นๆที่จะถูกใจชาวพุทธเรามากกว่านี้หน่อย
    แต่พอมาคิดๆดูใหม่แล้ว ผมจะทำเช่นนั้นไปทำไม ผมจะไปบิดเบือนข้อความของพวกเขาไปทำไม
    ผมจะเอาความเชื่อส่วนตัว อัคติส่วนตัวของผม ไปยัดเยียดให้ผู้อ่านทำไม ..ผมก็เลยแปลไปตามนั้นเลยหนะครับ

    พวกเขาบอกว่า..กาลเวลามันไม่ได้เป็นเส้นตรงเหมือนอย่างที่มนุษย์เข้าใจหรอกนะ เพราะในมิติที่สูงๆแล้ว
    มันมีแต่ "ปัจจุบันขณะ" นี้เท่านั้น

    ดาวเคราะห์โลกและดวงดาวอื่นๆ ก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเหมือนกันนะ เพียงแต่เป็นรูปแบบที่เรามิอาจเข้าใจได้

    ทุกสรรพสิ่งล้วนมีแหล่งกำเนิดมาจากที่เดียวกันหมดนะ เพราะว่าทุกสรรพสิ่ง มันมีแก่นแท้เป็นพลังงาน
    และพลังงานนั้นก็มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว มนุษย์ทุกคน
    รวมถึงต้นไม้ทุกต้น สัตว์ทุกตัว และอื่นๆ ก็คือพี่น้องกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น มันจึงไม่มีเลย
    ที่ใครจะมีคุณค่ามากกว่าใครเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น จงรักและเคารพในคุณค่าของชีวิตของกันและกัน

    กระแสจิตหรือกระแสความคิดของมนุษย์เรานี่ มันไม่ได้จิ๊บจ้อยอย่างที่มนุษย์เข้าใจกันหรอกนะ
    เพราะว่า "มันไม่มีเลยที่กระแสความคิดใดความคิดหนึ่ง จะไม่ส่งผลกระทบกับอะไรหรือกับใครเลย"
    มันเป็นเหมือน "ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก" หรือ "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว"
    เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงพึงสำรวมระวังความคิดของตนเองให้ดี พึงคิด พูด ทำ แต่สิ่งดีๆ เพื่อผลดีๆมันจะได้ตามมา

    และอื่นๆอีกมากมาย สาธยายไม่หมดง่ายๆหรอกนะครับ
    แต่ทั้งหมดนั้น ก็มีอยู่ในเนื้อหาของกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นมาทั้งหลายแล้ว

    ประกอบกับ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ของวิชากลศาสตร์ควันตัม มันก็มาสนับสนุนเรื่องกาลเวลาที่ไม่เป็นเส้นตรง
    กับเรื่องกระแสความคิดของเรา ที่ไปมีผลกระทบต่อวัตถุธาตุได้ด้วย ทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อนได้ด้วย
    และมันยังบอกอีกว่า "อนุภาคระดับควันตัมทั้งหลาย มันมีความคิดและความรู้เป็นของมันเองด้วย"

    ซึ่งนี่แหละที่ทำให้ผมได้คำตอบว่า อ้อ..ทำไมเวลาเราคิดในแง่ลบ เราจึงพบแต่ประสบการณ์ลบๆ
    อย่างที่ "กฎแห่งการดึงดูด" กล่าวไว้ ส่วนหนึ่งเพราะว่าอนุภาคเหล่านี้ มันสามารถ "สื่อ" กับจิตของเราได้นั่นเอง
    เพราะว่าทั้งพลังความคิดของเรา และของมัน และตัวมันเองด้วย ต่างก็เป็น "พลังงาน" ด้วยกันทั้งสิ้น
    เพราะฉะนั้น ผมก็เลยถึงบางอ้อว่า..อ๋อมิน่าหละ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านถึงสามารถทำ"วัตถุมงคล" ขึ้นมาได้
    และก็ได้ผลจริงๆ เพราะอนุภาคที่อยู่ในวัตถุพวกนั้น มันสามารถเก็บ "รหัส" ของคำสั่งจากจิตเราได้

    และถึงแม้ว่า จะไม่ใช่ครูบาอาจารย์ก็เถอะ มนุษย์ทุกคน ก็บรรจุ "รหัส" แห่งความคิดของตนเอง
    ใส่ในวัตถุ ใส่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองเกี่ยวข้องสัมผัสด้วย อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
    เพราะฉะนั้น ถ้าโยงตรงนี้ไปสู่ "คำหมากซักคำ" หรือ "เกศาสักเส้น" ของครูบาอาจารย์
    หรือ "กระดูกที่กลายเป็นพระธาตุของพระอริยเจ้าทั้งหลายแล้ว" มันจึงทำให้เข้าใจกลไกของมันได้

    นอกจากนี้ "เซลทุกเซลในร่างกายของคนเรา" ก็อย่าลืมว่ามันประกอบขึ้นจาก "โมเลกุล" และ
    บรรดาโมเลกุลเหล่านี้ก็ประกอบขึ้นจาก "อะตอม" ซึ่งอะตอมทั้งหลาย
    ก็ประกอบไปด้วยอนุภาคระดับ "ควันตัม" อีกต่อหนึ่งด้วย

    เพราะฉะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเรา "นึกถึงความตาย" และ "เจริญอสุภกรรมฐาน"
    แบบไม่ถูกต้องเข้า (ไม่รวมถึงวิธีที่ถูกต้องหนะนะครับ)

    เราก็จะไปเกลียดชังร่างกายของเราเอง ว่ามันน่ารังเกียจเหลือเกิน ว่ามันช่างชั่วร้ายเหลือเกิน
    ที่ทำให้เราต้องมาอยู่ในร่างนี้ อยากจะไปให้พ้นๆมันซะเหลือเกิน แล้วเป็นไงหละครับ
    สมัยพุทธกาลมีพระภิกษุมากรูปถึงกับฆ่าตัวตาย รวมถึงในสมัยนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมหลายคน
    อายุไม่ยืน ร่างกายอ่อนแอ ขี้โรคมากมาย เจอแต่เรื่องเศร้าๆและเลวร้ายในชีวิต

    ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า นั่นเพราะพวกเขาใกล้จะหมดกรรมแล้ว เลยใช้กรรมไปมากกว่าคนอื่นหน่อย
    หรือว่าเป็นเพราะ "กฎแห่งแรงดึงดูด" ที่พวกเขาไปสะกดจิตตัวเองทุกวันๆก็ไม่รู้นะครับ
    ..อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ..ก็สงสัยอยู่เหมือนกันครับ..

    และเพียงเพราะว่าจิตเราคิดว่า "เราอยากไปให้พ้นจากมัน" มันก็เลยสนองความต้องการของเรา
    ตามคำสั่งของเราเท่านั้นเอง แทนที่เรา ซึ่งเป็นผู้ฝึกสมาธิ-กรรมฐาน จะเป็นผู้ที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง
    แต่ทำไมมันกลับไม่เป็นเช่นนั้นหละครับ ทั้งที่หลวงพ่อจรัญท่านก็พิสูจน์ให้เห็นมาตลอดว่ามันเป็นเช่นนั้น
    แม้ป่วยไข้ไม่สบาย..ก็ยังหายได้เลยมิใช่หรือครับ..

    มาถึงตรงนี้ ผมก็ถึงบางอ้ออีกว่า..เราจะไปเกลียดมันทำไม ร่างกายเนี่ย มันไม่ได้ทำอะไรผิด
    เราต่างหากที่ผิด เพราะฉะนั้น ต้องขอบคุณมันด้วยซ้ำที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้สร้างบารมีต่อไป

    แต่ประเด็นของการไม่ยึดติดกับร่างกาย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปเกลียดมัน หรือไปสกดจิตตัวเองทุกวัน
    ให้เกลียดมันนี่ครับ เราเพียงรับรู้และเข้าใจว่า มันไม่ใช่ของๆเรา มันไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้
    เพราะมันเป็นแค่ภาชนะบรรจุดวงจิตของเราไว้..ก็เท่านั้น

    สำหรับผมแล้ว ผมจะเรียกร่างกายของผมว่า "พวกเขา" เพราะว่า "พวกเขาคือกลุ่มของอนุภาคควันตัม"
    จำนวนมากมายมหาศาล และพวกเขาก็มีชีวิตจิตใจ และมีความรู้สึกของพวกเขาเองด้วย
    เพราะฉะนั้น ตื่นมาตอนเช้าสิ่งแรกที่ผมต้องทำคือ กำหนดสติรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วจินตนาการถึงแสงสว่างจากจักระที่สี่
    ส่งความรักความขอบคุณไปถึงพวกเขาทุกเซล เพราะว่าพวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้เราได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้อีกวันหนึ่ง

    ก้อนหินสักก้อน ต้นไม้สักต้น และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในธรรมชาติ สำหรับผมแล้ว มันเป็นกลุ่มของ "ชีวิต" ทั้งนั้น
    เวลาเดินผ่าน "พวกเขา" บางทีผมก็นึกทักทายพูดคุยกับพวกเขาในใจ ส่งกระแสความรักไปให้พวกเขาด้วย
    ขอบคุณพวกเขาที่ทำหน้าที่ของตนเองได้ดีแล้ว

    ผักสักใบที่ผมจะกินเป็นอาหาร ผมก็จะรู้ว่าพวกเขามีชีวิตด้วย และพวกเขาก็กำลังจะทำหน้าที่กลายมาเป็นอาหารให้กับผม
    เพราะฉะนั้น ไม่มีเหตุผลใดที่ผมจะต้องไปนึกขยะแขยง และรังเกียจเดียดฉันอะไรพวกเขาเลย
    พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา ถ้าจะยึดติดกับรสชาติของอาหาร ก็ไม่ได้แปลว่ามันเกิดจากพวกเขานี่นา
    มันเป็นเราเองต่างหากที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรเป็นอะไร

    หลักการต่างๆในการปฏิบัติ มันควรจะนำไปสู่ความรัก ความเมตตา และสันติสุข และความสงบสุขภายใน
    ไม่ใช่นำไปสู่ความเป็นทุกข์ ความป่วยไข้ และการมองโลกในแง่ร้าย เกลียดไปหมด รังเกียจไปหมดซะทุกอย่าง
    รู้จักเบื่อหน่าย ท้อแท้ สิ้นหวัง จิตใจหดหู่ และจิตตก..

    หลายครั้งก็นึกดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นด้วย หาว่าเขาไม่ฉลาดที่จะหันมาสนใจฝึกจิตบ้าง ถือศีลน้อยกว่าเราบ้าง
    ปฏิบัติไม่ถูกทางเหมือนเราบ้าง ก็มี..

    ปล.อาการแย่ๆด้านลบที่กล่าวมาทั้งหมดข้างบนนั้น..ก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนหรอกครับ
    ผมนี่แหละก็เคยเป็น..เกือบทั้งหมดนั่นแหละ..จึงได้มานั่งใคร่ครวญดูว่า..
    นี่มันต้องมีอะไรที่ผิดพลาดเกิดขึ้นกับเราเป็นแน่..ไม่มากก็น้อย..


    ..สิ่งเหล่านี้หรือคือสิ่งที่น่าจะเป็นผลจากการ "ฝึกจิต" ของเรา..

    สิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับนักปฏิบัติ และมนุษย์ทุกคน ก็คือการ "จิตตก" เพราะนั่นจิตจะไร้พลัง
    และถูก "แทรก" ได้ง่าย จากพลังฝ่ายมืด หรือจากสิ่งที่ทางพุทธเราเรียกว่า "มาร" ก็ตามแต่
    เพราะว่าพวกเขามีอยู่จริงๆ..รวมถึง เมื่อจิตเราตกอยู่ในสภาวะ "มืด" แล้ว "ความสว่าง" มันจะมาจากไหนเล่า
    แล้ว "ปาก" เราก็ยังจะกล้าพูดอยู่อีกหรือ ว่า "เราหวังมรรคผลนิพพาน"

    เพราะว่าแม้เพียงผลลัพธ์พื้นฐานเล็กๆน้อยๆจากการปฏิบัติ เรายังไม่เคยได้ลิ้มรสเลย นั่นก็คือ
    มีความรัก ความเมตตา ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายมากขึ้น โกรธน้อยลง อัตตาตัวตนน้อยลง
    เที่ยวไปตัดสินผู้อื่นน้อยลง หันมาวิเคราะห์ข้อบกพร่องของตัวเองมากขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น
    และเข้าใจ "ความเป็นเช่นนั้นเอง" และ "ความแตกต่าง" ได้มากขึ้น ซึ่งนั่นแปลว่า
    ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่ได้หมายความว่า "เขาจะต้องอยู่กับเราไม่ได้"
    พวกเขาจะต้องหันมานับถือและปฏิบัติ ตามสายการปฏิบัติ, ตามลัทธิ, ตามนิกาย
    และตามศาสนาที่เรานับถืออยู่เท่านั้น...เพียงแค่นี้หากเรายังไม่เคยลิ้มลองเลยแม้สักครั้งในชีวิต
    เรายังกล้ากล่าวอีกหรือ ว่าเราหวังหลุดพ้นไปในขั้นสูงกว่านั้น..บันไดที่ไหนที่ไม่มี "ขั้นต่ำ" บ้าง


    สาธยายมาซะยืดยาว คราวนี้เราคงพอจะนึกกันออกแล้วใช่ไหมครับ ว่าประโยชน์อะไรบ้าง
    ที่เราจะได้จากการอ่านข้อความพวกนี้ และเห็นไหมว่าผมไม่ได้บอกสักคำเลยนะว่าให้มาเชื่อเรื่องพระเจ้านะ

    มันเป็นเช่นนั้นเองหละครับ..สำหรับผม..ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้ครับ..

    โมทนาครับ


    .........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  13. dewvader

    dewvader Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +88
    พ่อบอกว่าหลังอวตวรแล้ว ลูกที่เกิดมาทั้งหลายเสียนิสัย เลยไม่สามารถกลับไปรวมได้กับพ่อได้ พ่อผิดเองที่ไม่ได้สอนลูก
     
  14. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    ปิดวาจา วิปัสสนา เข้าหาตน
     
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฟังดูเข้าที แต่หากจะแสวงหา ความรู้นอกข่ายพุทธศาสนา ผมขออนุญาติ หยิบ
    ความเล้กน้อยมาจากคำสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล มาให้พิจารณาเรื่องจักรวาล
    เสียหน่อย

    เท้าความเดิม จิดนึง หลวงปู่ดูลย์ เดิมท่านบำเพ็ญมาเป็นปัจเจกพุทธเจ้า จึงไม่ใช่
    สาวกธรรมดาๆที่เอาแค่สิ้นตัณหาก็ถือว่าจบงาน หลวงปู่ท่านเล็งเห็นใครสักคนแถวๆนี้
    ว่าจะเกิดความฝุ้งซ่านไปมาก อันเนื่องจากปล่อยปัญญาให้ลำหน้าแวะเวียนไปในโลก
    ของข่าวสารความรู้ ท่านจึงดำริที่จะกล่าวถึงสิ่งที่ยิ่งกว่า การอยู่จบพรหมจรรย์แบบเดิมๆ

    ท่านกล่าวว่า มีสรรพสิ่งอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในท่ามกลางจักรวาลโดยเกิดจากสุขุมรูป5สิ่ง
    มาชนกันแล้วเหนี่ยวนำกันเป็นรูป ซึ่งก็ยังมีอยู่มากมายที่มันยังเกิด เกิดแล้วก็สลายหาย
    ไป แต่ไอ้ที่เกิดใหม่ชนกันมากๆเข้าก็เกิดเป็นความชั่วหยาบรักษารูปนั้นไว้ได้ เกิดารสืบ
    เนื่องในการคงรูปเหนี่ยวนำแน่นขึ้น ก่อตัวได้นานขึ้น ก็เริ่มเรียกว่า มันมีวิญญาณเข้าไป
    ครอง หลังจากนั้น จิต จึงเกิดขึ้นโดยอาศัยสุขุมรูปที่ก่อตัวนั้นๆและการมีวิญญาณเข้าไป
    ครองดังกล่าว ทำให้สุขุมรูปนั้นแปรปรวนขึ้นมาเป็นสิ่งที่เรียกว่าจิต ทั้งหมดไม่ได้เกิดจาก
    การดลบันดาลของใคร เพราะไอ้สิ่งที่เราเรียกว่ามันทำหน้าที่ดลบันดาลอะไรๆได้ หรือที่
    คุณเรียกมันว่า พระเจ้า ผู้สร้าง มันก็ต่างเกิดมาจากกระบวนการที่หลวงปู่ดูลย์ได้ฝาก
    เอาไว้

    ตรงนี้ ยกขึ้นเพื่อแสดงว่า ความรู้อันเกินกว่า แสดงแม้เหตุที่มาของ พวกพระเจ้าเหล่านั้น
    พระในบวรพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงไว้แล้ว ละเอียดปราณีตกว่า ควอนตัม เพราะ
    ควอนตัมเป็นเพียงปรมณูธาตุที่เป็นเศษส่วยย่อยของสิ่งที่หลวงปู่ดูลย์กว่าถึง

    * * * * *

    ประเด็นที่ว่า ความคิดของคนๆหนึ่งกระเทือนถึงดวงดาว แล้วคุณยกขึ้นว่ามันมี
    อิทธิพลต่อรูปอื่นๆ ตรงนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า พระพุทธองค์ทำไมไม่ใช้ความคิด
    ส่งมากระเทือนให้รูปทั้งหลายเห็นความคิด บรรจุ อัดความรู้เรื่องนิพพานให้เสมอ
    เสมือนกันทุกคนได้หละ นี่แสดงว่า ความคิดที่ว่าส่งเข้าไปกระเทือนได้นั้นมันกระ
    เทือนได้แค้ส่วนเปลือกที่ห้อหุ้ม ไม่อาจกระเทือนเข้าไปถึงในสุขุมรูปดังกล่าวได้

    หากคาดหวัง ระวังระไว พึ่งพาความคิด การอัดสิ่งเหนียวนำ ว่ามันจะนำสิ่งใด
    มาให้นั้นก็แปลว่า คุณกำลังพึ่งพิงสิ่งที่หยาบกว่า สิ่งที่ปราณีต ธาตุบริสุทธิ ซึ่ง
    ไม่ควรเลย

    การทำอสุภะกรรมฐาน ไม่ใช่การอัดพลังเข้าไปที่อนุของธาตุเพื่อให้มันสลัดกายหยาบ
    ทิ้ง แต่จริงๆมันลึกและปราณีตกว่านั้น แต่หากไม่สลัดความเหนียวแน่นในการสำคัญ
    ในกายหยาบนั้นก็ไม่อาจสวนกระแสไปเห็นสิ่งที่เหนียวแน่นอันเป็นฉากหลัง และการ
    ประพฤติธรรมตามสติปัฏฐาน4 ก็ไม่ใช่แกค่การสลัดกายเท่านั้น แต่จะนำไปสู่การสลัด
    "จิต"(กล่าวถึงวิธีการเกิดไว้แล้วข้างต้น) ที่เป็นรูปหยาบๆอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้เข้าไปเห็น
    สุขุมรูปทั้ง5ดังกล่าว และทราบในกระบวนการเกิด ก่อตัวเป็นจิตเกิดดับเพราะความ
    สำคัญผิด แสวงหาหนทางเข้าถงสัจจความจริงผิด แถมยังดูเบาความรู้อันเกิดแต่ใน
    พระพุทธศาสนา

    อย่างไรก็ดี หากประสงค์จะเข้าไปเห็นเองด้วยตาใน ไม่ใช่ลำพังแค่ตา กับหู และ
    หนึ่งสมองอันเกิดจากกายหยาบที่รอวันสลาย ไม่อาจจะวางใจได้ว่ามันจะคงความรู้
    และ ไม่อาจจะวางใจได้ในการอัดคลื่นสัญญาณให้คงอยู่ใน จิต(อันเป็นปรมณูหยาบ
    เกิดดับตลอดเวลา) คุณจะเห็นควรอย่างไรในการหาวิธีเข้าหาความจริงนั้นๆ

    ไล่หาบทความนอกประเทศต่อไปเรื่อยๆ ล้นออกไปนอกโลกเรื่อยๆ หรือว่า เพียงหัน
    มาสดับคนที่คล่องภาษาอีสานสักท่าน พอนึกออกได้ไหมว่าประโยชน์อะไรบ้าง
    ที่เราจะได้จากพระคนเดินดินถิ่นอีสานที่กล่าวถึงเหตุของการเกิดเป็นพระเจ้าหนะ

    มันก็มีเท่านี้แหละครับ สำหรับผม ยิ่งโพสยิ่งให้ครับ

    สนใจอ่านบทความของหลวงปู่่ดูลย์เพิ่มเติม คลิกอ่านในกระทู้นี้
    http://palungjit.org/threads/จิตนี้มากไหน.247259/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010
  16. SpecDum

    SpecDum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +489


    ทำไมหนอ ท่านที่มีประสบการณ์ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
    ถึงไม่ค่อยจะแนะนำในสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติ
    ถกกันถึงสิ่งที่ปฏิบัติ ช่วยกันประคับประคอง ให้เราไปถึงจุดหมายเร็วขึ้น
    จะดีกว่า มาถกกันถึงความเชื่อ ดีกว่าไหมครับ
    อย่างน้อย ก็มีคุณประโยชน์ กับ เด็กอนุบาล เช่นผม
    และผมคิดว่า คงมีอีกหลายท่าน คิดแบบเดียวกับผมครับ
    ขอบคุณครับ
     
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    นั่นสิครับ วิธีการเข้าหาความจริง
    ระดับปุถุชน คนธรรมดาทั่วไป
    ธรรมที่ง่าย สะกิดใจ โดนจริตของคนทั่วไป

    ปิดวาจา วิปัสนา เข้าหาตน (axzon47)

    รวบรัด เข้าใจง่ายดีจัง

    เห็นจะจริงครับ แค่พุทโธ หายใจเข้าออก
    ก็ทำให้ผมสำรวม พูดน้อยลงเยอะ

    รู้สึก ฟ้าแจ้งขึ้นเยอะเลย
    บารมีธรรมไปถึงไหน ก็ร่มเย็นที่นั่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2010
  18. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    มีเรื่อยๆนะคะ ;) มาจุดประเด็นเรื่องความเชื่อกันเนี่ยะ

    แสดงหนังเรื่อง Agora ศึกมหาศรัทธากุมชะตาโลก กันอยู่เหรอคะ
    แซวเล่นนะ :p

    อ่านที่คุณเล่าปังสาธยายมา ก็ดูน่าสนใจดีค่ะ ดูเหมือนคุณจะ รู้และเข้าใจ เทียบเท่าหลวงปู่ดุลย์ เลยนะคะ
    หลวงปู่กล่าวอะไร สอนอะไร รู้ซึ้งไปซะหมดเชียว นับถือค่ะ นับถือ

    แต่อ่านตรงนี้ของคุณเล่าปังแล้ว ข้องใจอย่างนึงค่ะ ช่วยสงเคราะห์ด้วยนะคะ

    หลวงปู่ดุลย์ใช้ "อะไร" ในการมองเห็นสุมขุมรูปทั้ง 5 คะ
    แล้ว "อะไร" นั้น เราจะหาได้จากไหน ทำอย่างไรคะ
    แล้วมันมีอยู่ได้ยังไงคะ รอคำตอบจากท่านเล่าปังนะคะ

    ได้คำตอบแล้ว อาจมีคำถามต่อ ถือว่าเป็นวิทยาทานให้ดิชั้นด้วยนะคะ



     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    สำหรับ ประเด็นของคุณ ชยุตผู้ปราถนาเป็นโพธิสัตว์ได้ปรักปรำโคตรเง้า
    ของการเป็นโพธิสัตว์ซึ่งคือนิพพานด้วยคำว่า "เป็นการหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว"

    ผมขอเสนออย่างนี้

    คุณต้องเข้าใจให้ท่องแท้ก่อนว่า การที่คนใดคนหนึ่งเขาจะเข้าถึงความจริงใดๆ
    ที่ออกจากปากของคุณเขาไม่ได้อาศัยเชื่อ แต่คนเหล่านั้นจะต้องฟังแล้วเข้าไป
    ปฏิบัติให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริง ไม่ใช่คิดเอา หรือ แค่ท่องเน็ตไปเรื่อยๆ

    ก็ในเมื่อเขาเหล่านั้น จะต้องอาศัยการปฏิบัติไปให้เห็นจริงเท่านั้น ไม่ได้อาศัย
    เชื่อ แล้วคุณคิดว่า อันบรรดาความรู้ใดๆในมหาจักวาลที่คุณจะไปขนมาเก็บ
    อัดไว้ในจิตที่เกิดดับแตกสลายเสื่อมได้ตลอดเวลานั้น เขาจะทำได้เลิศอย่างคุณแค่
    ไหน หรือว่า คุณเผลอเห็นไปเสียแล้วว่า เขาจะอาศัยเชื่อ ท่องเน็ต มาเจอ
    บทความของคุณอันกล่าวถึงมหาจักรวาลได้ครบถ้วนแล้วเข้าถึงความจริงทั้งหมด
    นั้นด้วยการเชื่อเอาในบัดดล

    สรุปคือ พวกเข้านิพพานไม่ใช่พวกเอาตัวรอดหลอก เพียงแต่ เขารู้ชัดแก่ใจ
    ว่าใครจะเข้าถึงความรู้ใดๆนั้น ต้องเกิดจากการปฏิบัติของตนเท่านั้น ทีนี้
    ระหว่าง การคะยั้นคะยอพูดให้เชื่อตามมันก็ยากเอาการอยู่แล้ว แล้วการพูดๆ
    เพื่อคะยั้นคะยอให้คนปฏิบัติตามมันยากยิ่งกว่าอีกหลายเท่า ต่อให้คุณชะยุต
    สำเร็จซึ่งอภิมหาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คงไม่มีทางไปคะยั้ยคะยอให้ใครเขาปฏิบัติ
    ตามได้หมด....คุณก็พูดอยู่เองว่า เขามีอิสระทางการคิด และการกระทำ
    หากเขาเลือกที่จะโง่ มากกว่า จะฉลาดอย่างคุณ ถึงวันที่คุณหมดอายุขัย
    ตอนนั้นคุณจะนั่งปริวิตกอีกหรือเปล่าว่า "ว้า...เราหนีเข้านิพพานไปซะแล้ว"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772

    ขอกราบอนุโมทนากับข้อความนี้ครับ

    แต่ข้อความตอนที่พูดถึงนิพพาน นั้นท่านลืมอ่านว่า
    มันเป็นความต้องการของผมเพียงคนเดียวเท่านั้น
    ผมไม่ได้ประสงค์จะพูดถึงใครเลยแม้แต่น้อย

    แต่อย่างไรก็ตาม เพียงเพราะว่าผมเองก็ยังเป็นนักเรียนคนหนึ่งอยู่ในวัฏฏสงสารแห่งนี้
    จึงไม่มีคำแนะนำใดที่ผมจะไม่เก็บมาคิดด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเช่นนั้นก็คงไม่ใช่นักเรียนที่ดีเป็นแน่

    แต่อย่างไรก็ตามอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่แจ้งกระจ่างแก่ใจ เห็นเอง รู้เอง ได้แล้ว ก็คงยังมิสิ้นสงสัย
    แม้พระพุทธองค์ยังทรงสรรเสริญผู้ที่ฟังพระองค์เทศนาแล้ว มิด่วนเชื่อในทันที
    ต้องพิจารณาและปฏิบัติให้รู้เห็นเองซะก่อน แล้วค่อยเชื่อ..มิใช่เหรอครับ

    เพราะฉะนั้น มันไม่มีสิ่งใดเลย ที่ท่านต้องมาแปลกใจกับความคิด "ณ.ขณะนี้" ของผม
    มันไม่ได้นอกเหนือความคาดหมายอะไรของท่านเลย ว่า..ก็ในเมื่อยังไม่รู้แจ้งโลกและจักรวาล
    จะเอาอะไรเป็นสาระได้มากแค่ไหนกับ "ความเชื่อ" ณ.ขณะใดๆของปุถุชนเล่า

    ข้อมูลที่นำเสนอมาทั้งหมด..แน่นอนว่าผมเคยย้ำไปแล้ว และย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า
    ท่านต้องใช้สติ และปัญญาของท่านเอง พิจารณาเอาเองนะครับ

    แต่ว่าก็ว่าเถอะ..ผมเห็นมาตลอด..และผมก็ไม่ค่อยปลื้มเลย
    กับผู้ที่บอกว่า

    "อย่าไปรู้มันเลย..อย่าไปศึกษามันเลย มันเสียเวลาเปล่าๆ
    สู้เอาเวลามาปฏิบัติดีกว่า..ฯลฯ"

    ผมว่าผมผ่านตามาหลายคนเหมือนกันนะครับที่บ่นเหมือนกับผม


    เอาหละนะครับ..ไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็ขอจบการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวไว้เพียงเท่านี้ดีกว่านะครับ

    เดี๋ยวจะออกนอกขอบข่ายของเรื่องนี้ไปซะก่อน

    โมทนากับทุกท่านด้วยนะครับ
    และก็ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยนะครับ

    .............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...