ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ที่มา:

You Are Society’s Teacher > Jeshua Channelings


(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

(บางส่วนของข้อความ)

...Take pride in yourselves, you are the carriers of the Christ energy today,
and I want to pass on the torch to you...

...Now look around you, what is the first thing you see?
Do you see other people around you?
There are people around you who want to enjoy and receive your light,
because your torch burns like no other, you are unique.

Sometimes it makes me sad to see how you hide your own torch,
your own light, which is so much needed now on Earth.
I appeal to you today to stand up and show your light to the world.
It will deeply fulfill you to do so, it is your mission, your true path.

Now, when I say to put your light out into the world,
I know it scares some of you, because your dealings with the world
have not been smooth; they have been difficult and painful at times.
Some of you would rather withdraw from the world.
You feel you do not belong there; you do not feel at home there.

...You feel that you can be yourself
only by leaving society behind,
but society is waiting for you.
You have to travel into the dark
to change it from within,
and you do this within yourself...

...I want to encourage you to create circles of your own,
to be together just enjoying each other’s company,
sharing your gifts, and telling your stories.
This truly helps you create new energy.
It will support you...

 

อาการเหนื่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เราเป็นเมื่อปลายปีที่แล้ว...เป็นหนักมาก...
มีทั้งปวดหัว หมดแรง เหมือนจะหมดลมหายใจ เวียนหัว อยากอาเจียร...
ช่วงกลางวัน..ต้องนอนพักแทบทุกวันเลยหล่ะ...ต้องดื่มน้ำเปล่าเยอะกว่าปกติ...
แล้วก้อหลับ...เยอะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ก็ช่วยได้นะ...

ปีนี้...ไม่ค่อยจะเป็น...
มีปวดไมเกรนบ้างนิดหน่อย(น้อยมากเ้มื่อเทียบกับปีที่แล้ว)...
ไม่นอนกลางวันแล้วด้วย...สบาย ๆ ...
อ้อ...แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนร้อนสุด ๆ ตอนนี้ไม่ค่อยร้อนแล้ว...
ดังนั้น...ก็ปล่อยมันไปนะคะ...ถึงช่วงของการปรับเปลี่ยน ก็รับการปรับเปลี่ยนไป

ขอเล่าสักนิด...ช่วงที่เกิดอาการทางร่างกายเยอะ ๆ นั่นกลุ้มเลยนะ...
เพราะต้องกินยาพาราทุกวัน ถ้าปวดจนถึงระดับพาราเอาไม่อยู่ ก็ต้องเป็นยาแก้ไมเกรน
ช่วงนั้นเหมือนกระปุ๊กยาเคลื่อนที่ได้เลย...กินทุก 4 ชั่วโมงยังมีเลยค่ะ...
และนอนเพียบแบบคนไร้ความสามารถ...55555555
ช่วงนั้นยังกังวลนะ...กินยาแบบนี้..ตับฉันคงจะแย่...
ต้องใช้กุศโลบาย...รักสมเด็จเชื่ีอในพลังของพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
จึงขอพลังแห่งองค์พุทธะทั้งหมดทั้งปวง องค์คุณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสากลจักรวาลช่วย...
ผลข้างเคียงและอันตรายใด ๆ อันจะเกิดจากการบริโภคยาทั้งหลาย..
ของพลานุภาพของทุกพระองค์อันศักดิ์สิทธิ์ช่วยสลายพลังงานเหล่านั้นเพื่อรักษาร่างสังขาร ธาตุขันธ์ห้าด้วย...

(แหม...ถ้าจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป...ก็ขอมีสุขภาพดี ๆ เถอะนะ...555)

จากนั้นเราก็กินยา อย่างกะกินขนม...ไม่กังวลว่าจะเป็นไรอีกต่อไป...555
ก็คุณ ๆ ๆ ๆ หลาย ๆ ท่านช่วยกันแปลเรื่องความเชื่อ
การเนรมิตอะไร ๆ ๆ ๆ ให้เป็นจริงดั่งใจไว้ด้วยใช่มัยคะ...
นั่นแหละ...เอามาใช้เข้าไปในชีวิตประจำวัน...กันให้สนุก...
(บอกแล้ว..เราอ่านแล้วเราสนุก..เพราะมีหลายอย่างที่ตรงกัน 555)

พูดถึงเรื่องการยอมรับ
เราก็ได้ยินบ่อยมากกกกกกกก และเราก็พยายาม...ยอมรับ...ถึงแม้ัไม่เข้าใจ...
แต่การยอมรับของเรา...เราขอเรียกใหม่ว่า...."ช่างหัวมัน".....

การช่างหัวมัน = การยอมรับ (สำหรับเรา)

คือเราประสบสภาวะ...หลาย ๆ อย่างในการดำเนินชีวิตที่จำเป็นต้องใช้คำว่า "ช่างหัวมัน"
เช่น...สภาวะเงินขาดมือ สภาวะถูกตำหนิในหน้าที่การงาน สภาวะครอบครัวไม่เข้าใจกันความเห็นไม่ตรงกัน และสภาวะไม่เข้าใจสภาวธรรมของตัวเอง (55555)

ขอขยายความสักนิด...อ่านเอามันส์...เพราะประโยชน์ใด ๆ ก็ไม่มีถ้าคิดตัดสินถูกผิด
ในเมื่อเราชอบช่างหัวมัน...ขอผู้อ่านโปรด...อ่านเอามัน..ก็พอนะ...555

ปีที่แล้ว..สภาวะธรรมที่เราเจอ...มีทั้งไปกราบสมเด็จหลาย ๆ พระองค์ ไปเจอปู่พญานาค ไปกราบพระบาทพ่อหลวง ไปเห็นจักรวาล คุยกับผี ขี่สัตว์ในเทพนิยาย..และอะไรอีกจำไม่ได้แล้ว..
ด้วยประสบการณ์ชีวิตเราที่เคยสะสมไว้...ทำให้เราไม่อาจเชื่อเรื่องเหล่านี้ได้...เราเรียกว่า อวดอุตริ(สักอย่าง) และเราเชื่อว่านั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ และเราเชื่อว่ามีหลายคนที่หลงอยู่กับเรื่องเหล่านี้มากมาย และเราก็คัดค้านกับสิ่งที่เรารับรู้ แต่เราอีกคนก็สนุกดี...
ความขัดแย้งทั้งสองด้านของเรานี้รุนแรงมาก...
จนเราเกิดตัวตนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนที่แตกต่างกัน...
ตัวตนของเรา เค้าคอยขัดแย้งกัน จนเราแทบกระอัก...(อาจทำให้เราปวดหัวนั่นเอง)
แต่...เรามีที่ระบายซึ่งที่ระบายของเรา เค้าเก่งที่ไม่ต่อความยาวสาวความยืด
เค้าไม่ตัดสินถูกผิด ไม่คิดแก้ไข ไม่แนะนำเทคนิคแนวทางใด ๆ
เค้าฟังเราบ่นอย่างเดียว...และยิ้มลูกเดียว..เราจึงจำเป็นต้อง "ช่างหัวมัน..."

แล้วก็ได้ผลค่ะ...
ไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหน...เสียงทะเลาะกัน(ความขัดแย้งของแต่ละตัวตนของเรา) ก็เงียบไป
และนั่นเราจึงเข้าสู่สภาวะ การยอมรับ ที่แท้จริง..ตามประสบการณ์ของเรา..นะ..
และปัจจุบัน..เราช่างหัวมันเก่งมาก...
แบบไม่ต้องคิดก่อน..จะเกิดขึ้นเร็วมาก..แทบจะเรียกได้ว่าเป็นออโต้..

ทำให้ชีวิตเราค่อนข้าง...สงบ สนุก รู้เห็นตามจริงได้โขเลยค่ะ..
เร็ว ๆ นี้เพิ่งคุยกันเรื่องของ "คนบ้า"...ไร้อนาคต...ไร้ความคิด...อยู่เลยค่ะ...
คือเรารู้สึกว่า...เราค่อนข้างจะไร้อนาคต...
เพราะว่า..เราคิดวางแผนการทำงาน การใช้จ่ายเงิน หรือใด ๆ ไม่ได้...เพราะความคิดมันหายไป...มันมานิดเดียว หยุด และยิ่งเค้นให้คิด ยิ่งดับเลย...
เราเลยจำเป็น...ปล่อยไป...และช่างหัวมัน...555555555

คนที่คิดอะไรไม่ออก วางแผนชีวิตไม่ได้ และจำเป็นต้องใช้ชีวิตวันต่อวัน...นี่...คล้ายคนบ้ามัยคะ...555555

ได้มันไปกี่หัวคะ...
มีความสุขกันมาก ๆ นะคะ...
Seize the day

ปล. รูปสวย ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ...และคุณเป็นคนใช้คำสละสลวยมากค่ะ

 

ขอโทษที ขอเพิ่มเติมประโยชน์ซักหน่อยนะครับ
พอดี เมื่อคืนนี้ มีบางจิตเขาไม่ยอม
และได้เตือนให้นึกถึงประโยชน์ของ มนตด.
ซึ่งเป็นเทคนิคนึง ที่เราเคยใช้ประโยชน์ ตอนโน้นนน และลืมไปแล้ว

คือตอนนั้น กำลังติดปัญหาเรื่องกิเลสบางตัว แกะยากแกะเย็นเหลือเกิน
นั่งคิดนอนคิด ค้นหาเทคนิคมาใช้จัดการกับมัน ให้อยู่หมัด
คือเรื่องยึดติดกับอะไรๆ หลายๆ อย่าง ไม่รู้ทำไงถึงจะปล่อยออกได้หมด

มีวันนึง ลองคิดว่าถ้าเราเป็น มนตด.ล่ะ คงจะไม่ให้ความสำคัญกับหลายๆ อย่าง
ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ตอนนั้น (น่าจะเป็นสิบปีแล้วมั้ง ไม่แน่ใจนัก)

(บังเอิญครั้งที่ล้านอีกแล้ว เปิดยูทุบ ดันไปเลือกเพลงม่านบังตา โดนเลย ตอนที่เพลงร้องว่า
ขอเธออย่าลืมเลือนฉัน รึว่ามี มนตด.แฝงอยู่ในตัวเราด้วยน้า เป็นอีกหนึ่งในสิบกว่าท่าน 555)
[ame="http://www.youtube.com/watch?v=pp_xCEY7m1g&list=RD02HObj51jN3JU"]????????? ????? ?????????? - YouTube[/ame]


ต่อนะ ตอนนั้น พอทำจิตว่าเราเป็น มนตด. ก็โยนปัญหาทิ้งได้หลายข้อเลยครับ
เช่นว่า เลิกใส่ใจเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงลาภยศ พี่น้องญาติเพื่อน
ทดลองแก้สมการหลากหลายมาก เปลี่ยนค่าตัวแปรไปเรื่อยๆ เคลียร์ได้แยะเชียว
ได้อีเมล์ thaiufo555 มาก็ตอนนั้นแหละครับ 555 สนุกอยู่นานเลยละครับ

วันนี้ก็คิดอยู่นานนะ ว่าจะตอบดีมั้ยน้า พอดีเห็นคุณยายผู้ถือดวงไฟ ของท่าน อจิตตะ
บวกกับที่ท่านชยุตต์ใส่อนุโมธนาในกระทู้อีก (ให้ทำไมน้า ท่านศาร ด้วยอีกท่าน)
ก็เลย ตอบหน่อยละกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับบางท่าน ลองเอาไปฝึกจิตตัวเองดู
นึกให้ตัวเองเป็น มนตด. ดูนะครับ อาจจะแกะกิเลสโยนทิ้งได้เหมือนผมบ้าง


วิญญานกระต่ายป่า ข้างวัด (ยังไม่ยอม)
.

 

ผมหวังว่าจะเจอยายท่านนั้นเช่นกัน

 

.
ท่าน ๑นะโม

ยินดีต้อนรับสู่สมาคมช่างหัวมันครับท่าน
ถึงแม้รายละเอียดทางเทคนิคจะต่างกันเล็กน้อย

คือ ช่างหัวมันของเรา คือช่างหัวมันจริงๆ ไม่มีอะไรให้ต้องขยายความอีก
ช่างแล้วก็ช่างเลย ไม่ต้องสนใจมันต่อไปอีก โยนทิ้งไปจากจิตได้เลย ทั้งยวง
ต่างกับของท่านนิดนึง ที่ต้องแปลว่า การยอมรับมัน
เอาเหอะ ถึงไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง นะครับ

เออ..หรือว่าช่างหัวมัน อาจจะมีหัวมันหลายสายพันธุ์ก็เป็นได้นะครับ
สำหรับหลายท่าน ที่มีรายละเอียดทางจิต แตกต่างกัน 555


ท่าน อจิตตะ

ฝากขอบคุณคุณยายให้ด้วยนะครับ
หวังว่าจะหาสมาชิกผู้ถือดวงไฟ ได้เพิ่มอีกแยะๆ


ท่าน ชยุตต์

ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
สำหรับข้อมูลและข่าวสาร ที่ท่านเพียรพยายามส่งออก
ตั้งแต่ผีเสื้อสื่อสาร ที่หัวกระทู้นู้นเลย
ผมเก็บใส่กระเป๋าโดเรมอน ไว้แยะเชียว ขอบใจ๊ จริงจริง



ค้างคาวแห่งแสง
.

 

มีความรู้สึกว่า... นักเรียนทั้งหลายกำลังเจอโจทก์ ซึ่งเป็นบททดสอบที่เข้มข้นกันอยู่

นับวัน... โจทก์ก็ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ น่ะ

ฮืมม สอบผ่านทีไร ก็กลายเป็นเรื่องง่าย มั๊ง..

เราเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่มักจะไม่ชอบ ไม่พอใจ ละเลย เพิกเฉย ต่อบางสิ่งบางอย่างในตัวเอง

และช่วงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น ชอบผลุบโผล่ออกมาโชว์กันใหญ่ ...

ใช่... พึ่งเริ่มจะเกทเหมือนกัน ว่ามีทางเดียวที่จะจบ จะยุติ ก็คือ การยอมรับตัวเอง

ยอมให้อาการ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น เปิดเผยออกมาแบบ ให้เกิดเอง เป็นเอง ข้างเดียวโดยที่ไม่ใช้ความพยายามใดใด ที่จะหยุด จะยั้ง จะต่อความยาว สาวความยืดอะไรกับสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป จนกระทั่ง หมดเชื้อไปเอง

อีกอย่าง เมื่อคืนพึ่งฝันร้ายสุด สุด ในชีวิต เข้าใจว่า เป็นเรื่องราวในอดีตชาติ ที่ส่งผลเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน ซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ ความเศร้าหมองทางจิตใจ

ก็เลยกล่าวขอขมากรรม ขออโหสิกรรม เกี่ยวกับประเด็นกรรมทีสรุปได้ว่า เกิดจากกรรมที่เราได้สร้างได้ทำมาไว้นั่นเองแหละ ถึงได้เป็นแบบนี้

ตอนนี้ ทั้งรู้สึกว่า คลี่คลาย ที่ได้ปลดปล่อยไม่ว่า จะทางความฝัน หรือทางความคิด หรือจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ก่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิดอารมณ์

แต่ว่าอีกทางหนึ่งนั้น ค่อนข้างเหนื่อยใจมาก ๆ เลยทีเดียว

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นค่อนข้างกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง

แต่สุดท้ายแล้ว ก็รู้สึกระแคะระคาย + ใกล้ชิด ในรายละเอียดของตัวเองเข้ามาอีก เหมือนว่า สนิทกับตัวเองเพิ่มขึ้น

ขออนุญาตเล่าด้วยคนนะคะ

ด้วยว่า... เราทั้งหลายก็คงกำลังอยู่ในประเด็นที่ว่าด้วยความหลุดพ้นทางใจ

 

สงสัยค่ะ ขอถามหน่อยนะคะ
คือว่าตัวเลขซ้ำ เช่น 11:11 777 หรือแนวๆ นี้
ท่านที่เห็นตัวเลขแนวๆ นี้ เห็นตอนไหนคะ
เห็นก่อนหรือหลังจากอ่านกระทู้นี้และกระทู้สัญญาญของเทพที่ผ่านมาทางตัวเลข

คือสำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็อ่านกระทู้นี้มาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ระยะที่อ่านกระทู้นี้ก็ไม่ได้เห็นตัวเลขเช่นนี้ หรือเห็นแต่ไม่ได้สังเกตุ ไม่ได้จดจำ เพราะไม่ได้ทราบความหมายหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่เมื่อประมาณเดือนที่แล้วหลังจากอ่านกระทู้สัญญาญของเทพที่ผ่านมาทางตัวเลข ก็เห็นตัวเลขซ้ำเช่นนี้บ่อยมาก เกือบทุกวัน อย่างเมื่อวานเห็น 11:11 วันนี้เห็น 12:44

 

ขอแสดงความคิดเห็นครับ
แต่ก่อนเลขพวกนี้เราก็เห็นบ่อย แต่เป็นเพราะเราไม่รู้หรือเราไม่เข้าใจหรือเราคิดเอาว่าเราจะออกแนวต๊องหรือเพี้ยนไป

แต่พอได้เข้ามาอ่านข้อความข้อมูลจากท่านชยุตและท่านอื่นๆ จึงทำให้เราเข้าใจและได้เห็นความเป็นไปของตัวเลขเหล่านี้ ผมจึงมาถึงบางอ้อ ว่าเราไม่ได้เป็นแบบนี้อยู่คนเดียว แต่เรามีเพื่อนในวงการอยู่มากมาย ขอบคุณครับ
ขอบคุณที่ทำให้เริ่มกระจ่าง ขอบคุณครับ

 

มันมีกระทู้ และข้อความที่พวกเราได้โพสต์ไว้นานแล้ว
เกี่ยวกับความหมายของการพบเห็นตัวเลขพวกนี้อยู่หนะครับ

แต่เอาแบบสั้นๆ ก็จะบอกว่า เมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว
และจะต้องถึงเวลาอันสมควรแล้วเท่านั้น
ทวยเทพผู้ที่อยู่กับเรามาตลอด และรวมถึงเบื้องบนทั้งหลาย
ที่เกี่ยวข้องกับเรา และรวมถึงตัวตนที่สูงส่งกว่าของเราเองด้วย
ก็จะส่งสัญญาณมาให้เราได้รับรู้ เป็นระยะๆ เพื่อกระตุ้นเตือนเรา
เพื่อให้เราหันมาใส่ใจกับอะไรบางอย่าง

เวลาอันสมควรที่ว่านี้ ก็คือด้านจิตวิญญาณครับ
ซึ่งขึ้นอยู่กับจังหวะและระดับวิวัฒนาการของเราเองด้วย
ว่าถึงเวลาหรือยังที่จะเริ่มต้นอันนั้น อันนี้
หรือที่จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงตรงนั้นตรงนี้
หรือว่าแม้แต่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับคนนั้นคนนี้ก็ด้วย
ซึ่งท่านเหล่านั้น จะรู้ดีครับ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์สูงสุดด้านวิวัฒนาการ
ทางจิตวิญญาณของตัวเราเองครับ

แต่เมื่อเราใส่ใจจนคุ้นเคยดีแล้ว สัญญาณเหล่านี้
ก็อาจจะซาๆไป หรือเปล่านะ ผมเข้าใจว่าอย่างนั้นนะ
หรือที่ซาๆไป ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราคุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
จนเลิกตื่นเต้น และเลิกสังเกตไปแล้วก็ไม่รู้นะ

ท่านอื่นๆมีความเห็นว่าไงบ้างหละครับ?
..........................................................

 

เดี๋ยวใครที่กำลังอยู่บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณอยู่
และกำลังมีปัญหาด้านการเงินอยู่..
ก็ลองเข้าไปอ่านบทความใหม่
ที่ผมกำลังจะโพสต์ในกระทู้ Inelia หน่อยนะครับ
เผื่อว่าเทคนิกนี้มันจะช่วยท่านได้บ้าง

ในลิงค์นี้นะครับ..

http://palungjit.org/threads/inelia...าร-ascension-ของโลก.293099/page-6#post6618285

.................................................

 

กำลังมีปัญหาเรื่องเงินพอดีเลยไม่ใช่กำลังมีสิมีมานานแล้วตอนแรกก็คิดว่าข้างบนเค้าไม่อยากให้เราได้จับเงินก้อนเยอะๆกลัวเราจะโลภแตกหรือปล่าวก็ไม่รู้ๆแต่ว่าจะไม่มีกินอยู่แล้ว TAT จะลองปฏิบัติดูครับ

 

เห็นเงินเป็นเพื่อน ไม่ใช่เจ้านาย ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่สิ่งสกปรก น่ารังเกียจ หรือน่ากลัว แต่มันคือมิตรภาพ

 

หลายๆ คนอาจจะรออ่านข้อความของฮิลาริออนอยู่ เราขออภัยด้วย หลังจากได้อ่านข้อความของฮิลาริออนของสัปดาห์นี้ เรารู้สึกว่ามันกำกวม ไม่ชัดเจน และแทบจะพูดถึงคนละเรื่องเลยจากสัปดาห์ก่อน เรารู้สึกว่ามันเป็นอีกคนเขียนและมันไม่ใช่ ซึ่งเราอาจจะคิดไปเอง เราเลือกที่จะไม่แปล เพราะยิ่งแปลเท่าไหร่ รู้สึกว่าตัวเองยิ่งฝืนแปลเท่านั้น ซึ่งข้อความสรุปสั้นๆ ได้ว่า ให้มีสติและทำดีต่อไป

ป.ล. จะรอดูว่าข้อความของสัปดาห์หน้าเป็นยังไง

 

สนับสนุนคุณ waterydis ครับ เชื่อความรู้สึกของตนเองดีที่สุด ซึ่งผมคิดว่าตอนนี้ที่ ฝั่งโน้นถูกแทรกแซงแล้ว

 

การสื่อสารทางจิตอาจจะมีปัญหาบ้าง แต่แสงสว่างก็คือแสงสว่าง แสงสว่างไม่เคยถูกแทรกแซงจากความมืดมิด แสงสว่างส่องไปที่มืดที่ไหนก็สว่างตรงนั้น

 

ในบริบทของการแทรกแซงดังที่ท่าน chevasit กล่าวถึง
ในทัศนะของโซ่นะคะ ถ้าเป็น hilarion เอง คงไม่ใช่อย่างแน่นอน
แต่ถ้าเป็นตัวผู้รับสัญญาณไม่ว่าจะเป็นตัวคุณมาร์ลีนเองหรือไม่ หรือตัวผู้แปลเอง อันนี้เป็นไปได้มากกว่า
เพราะทั้งสองมีส่วนของความเป็นมนุษย์บนดาวโลก และแสดงตัวออกมาอยู่ด่านหน้าแล้ว
ยิ่งอยู่ในช่วง cleansing ด้วย ช่วงปรับร่างกายต่างๆในตอนที่พลังงานแสงสว่างกำลังถาโถมลงมาอย่างนี้ด้วย
อันนี้ยิ่งต้องระวัง เหมือนกับที่น้าอจิตตะกล่าวเตือนไว้ค่ะ

สำหรับโซ่จะใช้หาข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของดวงอาทิตย์มาเป็นหลักใหญ่อย่างหนึ่งค่ะ
ถ้ายิ่งเค้ามีปฏิกิริยามาก ปล่อยส่งอะไรต่อมิอะไรมา ตอนไหน อย่างไร เราก็เตรียมรับมือทางพลังงานได้บ้าง
เพราะประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านๆมา มันชัดเจนมากสำหรับเรื่องปฏิกิริยาจากดวงอาทิตย์ต่อความเป็นกายมนุษย์

โดยลำพังแล้ว ก็ใช่ที่ตัวเราอาจจะแกร่งได้ระดับหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากใคร
แต่ช่วงปรับตัว ปรับเปลี่ยน เปลี่ยนผ่าน หรืออะไรทำนองนี้เกี่ยวกับตัวเรา
มันก็มีช่องมีลู่ทางที่อย่างอื่นจะแทรกแซงได้
ถ้าเป็นในลักษณะนี้ ประสบการณ์ของโซ่เอง จะมีสัญญาณตัวเลขมาให้เห็นค่ะ
นั่นคือการบอกแบบอ้อมๆ ไม่ว่าจะมันเป็นเรื่องอะไรยังไง
โซ่ก็จะเตรียมรับมือทางพลังงานไว้ก่อน ไม่ว่าจะเกิดจากภายในเราเองหรือจากภายนอกก็ตาม
และโซ่ก็จะใช้การร้องขอนี่แหล่ะ
ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือทวยเทพหรืออะไรก็ตามที่เป็นแสงสว่างเท่านั้น มาคอยปกป้องคุ้มครองอีกส่วนหนึ่ง
เหมือนเป็นการอุดช่องโหว่ด้านพลังงานของตัวเองค่ะ เพื่อเป็นการไม่ประมาท

ปล.โซ่ก็สะบักสะบอมไม่แพ้ใครเหมือนกันค่ะ -..-

เล่าสู่กันฟังนะคะ *-*



catt14

 

เยี่ยมมากครับ

 

ผมก็อ่านแล้วครับ
แต่ผมไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกตินะครับ

ก็ยังเห็นว่า..คล้ายๆกับข้อความก่อนๆนั่นแหละ
เดี๋ยวผมจะสรุปย่อความสั้นๆให้อ่านกันนะครับ

HILARION 2013 - The Rainbow Scribe

April 7-14, 2013


Beloved Ones,

As the days march on into the new Age of Light and humanity is being cleansed of all old patterns of thought and behavior that no longer serves their higher purpose, the heartbeat of the Earth joins with them. The Earth deeply desires to allow the time necessary for as many of her inhabitants to join her in her ascended state of expansion and so the Cosmic window of opportunity is still wide open to allow this change and transformation to occur. All upon the planet are finding themselves awakening to many truths that were not available for their conscious knowledge before these times that you are now in the midst of.

ยิ่งก้าวเข้ามาสู่ยุคทองมากเท่าไหร่กระบวนการชำระสะสางความคิดและพฤติกรรมที่ไม่ดีของมนุษย์ ก็กำลังเข้มข้นขึ้นมากเท่านั้น และดาวเคราะห์โลก ก็ปราถนาจะให้มีจำนวนมนุษย์โลกมากที่สุด ที่สามารถร่วมทางไปสู่ยุคทองนี้กับเธอได้ และประตูแห่งโอกาสของเอกภพก็ยังเปิดต้อนรับอยู่เสมอด้วย ทุกๆคนที่อยู่บนโลกนี้ กำลังพบว่าตัวเองกำลังตื่นขึ้นมาสู่ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ระดับจิตสำนึกของพวกเขา ต่ำเกินกว่าจะทำให้พวกเขาตื่นขึ้นมาสู่ความจริงแบบนี้ได้

As these truths are revealed more individuals are finding themselves in difficulty, having to struggle to deal with acceptance of how much they have allowed their innate sovereignty as divine beings to be usurped by those they have allowed authority over their lives. The initial reaction is one of uncomfortable rejection of these truths followed by an internal upheaval as they try to process and overcome this requirement for awakening. The good news is that the more who awaken to these truths, the greater the impetus becomes for all to awaken and that is what is occurring in your world in the now moment. All upon the planet are opening their consciousness to the idea that they are much more than they ever dreamed possible and that they have many rights they were not aware of before.

ยิ่งความจริงถูกเปิดเผยออกมามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆที่จะพบว่า ตัวเองกำลังลำบากใจ และยากที่จะยอมรับให้ได้ว่า เคยยินยอมให้ ผู้ที่พวกเขายินยอมให้ขึ้นมามีอำนาจเหนือตัวเอง บุกรุกและแย่งชิงเอา อำนาจสูงสุดที่มีมาแต่กำเนิดของตัวเอง ในฐานะที่เป็นรูปธรรมชีวิตอันศักดิ์สิทธิ ไปมากแค่ไหนแล้ว ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองต่อความจริงนี้ในเบื้องต้น ก็จะคือการปฏิเสธและไม่ยอมรับความจริงนี้ ด้วยความไม่สบายใจ และตามมาด้วยเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากภายใน เพราะว่าพวกเขาพยายามที่จะกำจัดมันออกไป แม้ว่าการยอมรับความจริงพวกนี้ จะคือสิ่งจำเป็นต่อการตื่นรู้ก็ตาม แต่ข่าวดีก็คือ ถ้าใครยิ่งสามารถยอมรับความจริงพวกนี้ได้มากเท่าไหร่ ก็จะมีแรงกระตุ้นในการตื่นรู้มากขึ้นเท่านั้นด้วย และนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับโลกของเราในตอนนี้ ทุกๆคนบนดาวเคราะห์โลกในขณะนี้กำลังเปิดความตระหนักรู้ของพวกเขาเองขึ้น เพื่อมารับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขาสามารถเป็นได้มากกว่าในแบบที่พวกเขาเคยใฝ่ฝันเอาไว้ซะอีก และพวกเขาก็มีสิทธิมากกว่าที่พวกเขาเคยรู้มาซะอีก

These are the end times spoken of by seers and prophets from the days of old. These are the times of tribulation that have been forewarned. What is required of each human soul in the now moment is to make a conscious choice and commitment to align with their own divinity and Source in whatever way is meaningful for them and to nurture that aspect of themselves with full consciousness and motivation. Every soul incarnated upon this planet has a magnificent destiny ahead for them but effort is required to transform former ways of thinking and doing into a new way that is more in unity with their own divine essence and being.

ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาแห่งวันสิ้นยุค ตามที่เหล่าผู้วิเศษและศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย ได้เคยพากันพยากรณ์เอาไว้ นี่คือช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก (หรือกลียุค) ที่ได้เคยถูกพยากรณ์เอาไว้ ดังนั้น สิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์แต่ละคนในตอนนี้ก็คือ การตั้งใจเลือกอย่างมีสติ และการมุ่งมั่นที่จะดำรงอยู่ในความสูงส่งดีงามของตัวเอง ให้สอดคล้องกับความเป็นพระเจ้าและต้นกำเนิดของตัวเอง (พระผู้สร้าง) ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็ตามแต่ และโดยการหล่อเลี้ยงบำรุงแง่มุมอันสูงส่งดีงามเหล่านั้นของตัวเองไว้ ด้วยจิตสำนึกและด้วยแรงกระตุ้นอันเต็มเปี่ยม ทุกๆคนที่มาเกิดบนโลกในยุคนี้ ล้วนมีชะตาชีวิตที่สวยสดงดงามรอคอยอยู่ข้างหน้าด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าพวกเขาจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของตัวเอง ที่เป็นแบบเก่าๆให้ไปเป็นแบบใหม่เสีย ซึ่งก็คือ ในแบบที่มุ่งเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกัน กับแก่นแท้และตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองนั่นเอง

Upon the surface of your planet, seeming chaos is everywhere but all one has to do is become centered within themselves and daily align with their higher essence, to recall and intend to be the greatest vision of themselves and to expect the highest outcomes for all facets of their lives upon the Earth. It also requires each soul to recognize that each is going through their own versions of awakening, acceptance, growth and expansion and that all are united in this great undertaking. All must step up in their comprehension of the bigger picture of the events taking place and make sense of it in a way that will allow the greatest good for all.

สิ่งที่ดูเหมือนว่า เป็นความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่บนโลกในขณะนี้ ทำให้มนุษย์แต่ละคนจำเป็นจะต้องมุ่งมั่นอยู่ในจุดศุนย์กลางของตัวเองให้ได้ (ให้มีสติ) และให้พยายามเชื่อมต่อกับตัวตนแก่นแท้ของตัวเองที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าให้ได้ทุกๆวัน และโดยการเรียกคืน และตั้งใจที่จะกลายไปเป็น เวอร์ชั่นที่สูงที่สุดของตัวเองให้ได้ (เขาพิมพิ์ว่า vision แต่ผมว่าเขาน่าจะพิมพ์ผิด..เพราะน่าจะเป็น version มากกว่า เพราะว่าคำนี้ และรูปแบบการใช้ประโยคแบบนี้ คุ้นเคยกว่า - ผู้แปล) และโดยการคาดหวังถึงแต่ผลลัพธ์ที่สูงส่งดีงามที่สุด สำหรับทุกๆแง่มุม - ทุกๆเรื่อง ของชีวิตของตัวเองบนโลกมนุษย์นี้ และมันก็จำเป็นที่แต่ละคนจะต้องตระหนักรู้ไว้ด้วยว่า แต่ละคนจะมีวิถีการตื่น การยอมรับ การเจริญเติบโต และการขยายตัว เป็นของตัวเอง และทุกคนจะต้องตระหนักรู้ไว้ด้วยว่า ทุกๆคนกำลังร่วมอยู่ในเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้เหมือนๆกันหมด ดังนั้น ทุกๆคนจึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจที่มากขึ้น ในภาพรวมของมัน และจะต้องเข้าใจไว้ด้วยว่า มันจะนำมาซึ่งความสูงส่งดีงามสูงสุด สำหรับทุกผู้ทุกนาม

Through it all, underlying all activities, is the remembrance that these times were chosen by each soul as a tremendous opportunity for soul growth and expansion that is rarely available anywhere else in the Universe. It is up to each and every creator being who is alive and experiencing life upon this planet to bring about the changes that will uplift and nurture all life in a positive and constructive, loving way, for when this happens there will be peace and harmony on Earth. Those in the forefront of this movement are asked to persevere and keep on keeping on, holding your Light and your Love as an anchor upon and within the Earth.

และเบื้องหลังกิจกรรมทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นอยู่นี้ทั้งหมด เราจะต้องไม่ลืมว่า พวกเราแต่ละคน คือผู้ที่เลือกที่จะมาเกิดในช่วงเวลานี้เอง เพราะว่ามันคือช่วงเวลาและโอกาส ที่จะเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณของเราเองอย่างมากมายมหาศาล และก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในจักรวาลแห่งนี้ด้วย ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับพวกเราแต่ละคน ซึ่งอยู่ในฐานะ "พระผู้สร้าง" ที่กำลังมามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในขณะนี้ ที่จะนำพาการเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกนี้ เพื่อให้โลกนี้ดีขึ้น และเอื้ออำนวยต่อการมีชีวิตอยู่ของทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ ในทางบวก และทางสร้างสรรค์ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เพราะว่านี่จะนำพาความสงบสุขและความมีมิตรไมตรีมาสู่โลกมนุษย์

ดังนั้น พวกคุณผู้ที่อยู่ในแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงไปสุ่โลกใหม่นี้ จึงถูกขอร้องให้มุ่งมั่นพยายาม และเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ และประคองแสงสว่าง และความรักของพวกคุณเอาไว้ให้มั่น ให้เหมือนดั่งเป็นสมอเรือที่ทอดอยู่บนและอยุ่ภายในโลกใบนี้

Until next week…

I AM Hilarion

.................................

 

เราก็คิดเหมือนคุณโซ่ว่ามันน่าจะเป็นที่เรามากกว่าและมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ หลังจากตัดสินใจที่จะไม่แปลบทความ มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ตลอดเวลาหลายปีที่เราทำงาน เราเคยแต่คิดว่าใครจะทำอะไรก็เรื่องของเขา ลูกค้าจะกินเหล้ากินเบียร์ สูบบุหรี่เราไม่สนใจ อยู่ด้วยกันแต่คนละมิติ ซึ่งมันกลายเป็นการตัดสินคนอื่นโดยไม่รู้ตัว มันตัดสินคนอื่นโดยการเบื่อนหน้าหนี ไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงที่แสดงให้เห็นมาตลอด สักแต่ว่าอะไรก็ตามที่ไม่รบกวนเราและการทำงาน เราก็จะปล่อยไป เข้าใจไปเองว่ามันเป็นการวางอุเบกขา

จนกระทั้งเมื่อคืน มีลูกค้าคนหนึ่งมาที่ร้าน หน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ กินเบียร์ไปเกือบสิบขวด อยู่จนร้านปิด ขณะที่เขาเดินออกไป จิตมันแว็บถามว่า เขามาทำไม เขาต้องการอะไรกันแน่ เพราะองค์ประกอบทั้งหมดมันดูเหมือนเป็นแค่ฉากที่บังซ่อนอะไรไว้อยู่ เรามีความรู้สึกว่าก้าวผ่านฉากนั้นไป เห็นสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง และสิ่งนั้นคือ ความรัก ซึ่งมันรวมถึงการยอมรับ เข้าใจ เห็นอกเห็นใจ รวมเข้าเป็นหนึ่งลงที่ ความรัก ทุกคนต้องการความรัก ต่างก็ร่ำเรียน ทำงาน เพื่อให้ได้ถึงซึ่งความรักและความสุข ถึงแม้บางทีมันจะแค่ผิวเผิน แต่ก็ร่ำหากันไป ความเข้าใจนี้มันเหมือนกระจกส่องตัวเราเอง เห็นความชั่วที่แฝงอยู่ในใจ แต่ละคนอยู่ในสภาพต่างกัน แล้วการที่เขาทำอะไรอย่างหนึ่งลงไปเพื่อแสวงหาความรักนั้น เราไปมีสิทธิ์อะไรที่จะตัดสินเขา ส่วนผลของการกระทำนั้นๆ จะเป็นอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องของเขาอีก ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในสามวินาที เราถึงกับน้ำตาตกในเพราะปลื้มใจกับความรู้อันนี้และเสียใจกับความชั่วที่ตัวเองทำโดยไม่รู้ตัวมาตลอด

ทุกๆ คนอยากที่จะได้แต่สิ่งดีๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะทางกาย วาจา ใจ แม้ตัวเธอเองก็ต้องการอย่างนั้น ถ้าไม่เริ่มที่เธอโดยการเป็นผู้ให้ก่อน แล้วใครจะมาให้เธอ

ป.ล. พอได้มาอ่านข้อความอีกรอบ สิ่งที่ไม่ใช่คือวิถีความคิดเราเอง ไม่ใช่ที่ข้อความเลย

 

สองวันมานี้ผมกำลังจมอยู่ในพลังงานของชาว Arcturian ครับ
ผมนั่งอ่านข้อความของชาว Arcturian อย่างใจจดใจจ่อ
และไม่รู้สึกเบื่อเลย ใจหนึ่งก็อยากจะให้คนอื่นๆได้รู้และเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อสารมาด้วย
แต่ก็ดูแล้วหละว่า..คงแปลไม่ไหวแน่ๆครับ เพราะมันเยอะมาก
และก็ยาวมากๆด้วย..

ในความรู้สึกของผม ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่คุณ Mr empty
แปลข้อความของชาว Arcturian ให้อ่านนั้น
มันก็รู้สึกว่า "พลังงาน" ในข้อความนี้ ไม่ธรรมดาเลย
เพราะรู้สึกได้มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่สภาวะ
แต่ก็รู้สึกได้ว่า ไม่ธรรมดาเลย

จนกระทั่ง เมื่อเร็วๆนี้ ที่ผมเคยบอกว่า ผมรู้สึกเหมือนพอแล้ว
ในภาคทฤษฎี อยากจะปฏิบัติมากกว่าใช่ไหมครับ
ซึ่งก็จริงตามนั้น ..แต่ว่า..นั่นหนะ..อาจจะหมายถึงทฤษฎีระดับหนึ่งเท่านั้น

เพราะว่าพอมาเจอทฤษฎีระดับ หลากมิติล้วนๆ แบบในข้อความของ
ชาว Arcturian แล้วนี่ โอโฮ..ไม่รู้จะใช้คำพูดไหนดี
พูดได้แต่เพียงว่า เนื้อหาที่เขาถ่ายทอดมานี้ มันสั่นสะเทือนสอดคล้องกัน
กับความคิด-ความเห็น และความต้องการของผมพอเหมาะพอดีเลย
มันเป็นอะไรที่ ไม่มีตรงไหนที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวเอง
และรวมถึงไม่ขัดแย้งกับข้อความจากต่างมิติทั้งหลาย ที่ผมแปลมาแล้วตั้งหลายปีนี้เลย..

เพียงแต่ว่า..ถ้าในเรื่องของ "ความหลากมิติ" หรือ "มิติคู่ขนาน"
หรืออะไรที่เกี่ยวกับ ความเป็นอยู่-ความเป็นไป ในมิติที่สูงๆกว่าแล้ว
ผมว่า..ข้อความของชาว Arcturian นี่ ก็สุดยอดไม่แพ้ของท่านอื่นๆเลยทีเดียว

คือประมาณว่า แต่ละรูปธรรม ที่สื่อสารมา ก็จะมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน
แต่ว่าแต่ละรูปธรรม ก็สุดยอดด้วยกันทั้งนั้น และผมก็ชอบทั้งหมดด้วยนะครับ

แต่มาช่วงนี้ ขอใช้คำว่า "ช่วงนี้" นะครับ เพราะว่า มันขึ้นอยู่กับ
"สภาวะภายใน" ของเราเองเป็นหลักด้วยว่า ช่วงไหนเราจะเหมาะกับพลังงานอะไร
เหมาะกับแรงสั่นสะเทือนระดับไหน
ซึ่งก็หมายถึง ช่วงไหนเราควรจะ เรียน/สอบ/หรือเจอ กับอะไรนั่นเอง..

ผมไม่สามารถที่จะบอกท่านได้ว่า ทุกๆท่านควรจะเข้ามาอ่านนะ
เพราะว่ามันดีมากเลย เป็นประโยชน์มากเลย หรือน่าเชื่อถือมากเลย อะไรแบบนั้น
ผมพูดแบบนี้ไม่ได้จริงๆครับ เพราะว่า อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ
ว่า มันขึ้นอยู่กับสภาวะภายใน ณ.ขณะนั้นๆของแต่ละท่านเองด้วย และเป็นสำคัญ

แต่ผมมีข้อสังเกต ที่อยากขอจะแนะให้ท่านลองสังเกตดูตัวท่านเองหนะนะครับ
ว่า ถ้าช่วงไหน ท่านมีความรู้สึกว่า สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น ท่านพอแล้ว
ท่านเบื่อแล้ว หรือท่านไม่รู้สึกสนุกแล้ว ไม่อยากทำอีกแล้ว
นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่า "เบื้องบน" ของท่านเอง กำลังกระตุ้นให้ท่าน
"เปลี่ยน"อยู่ก็ได้นะครับ เพราะว่ามันอาจจะถึงเวลาแล้ว
ที่ท่านจะต้องเดินเข้าไปสู่บทเรียนบทใหม่ ที่สูงขึ้นกว่าเดิมแล้ว อะไรแบบนั้นก็ได้ ..

ซึ่งความรู้สึกอย่างที่ผมว่ามานี้ มันจะยังคงอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ
จนกว่าท่านจะไปเจอสิ่งที่จะมาเป็นบทเรียนบทใหม่ให้กับท่านแล้ว
เหมือนอย่างที่ผมกำลังจะบอกว่า ผมได้มาเจอข้อความจากชาว Arcturian นี้แล้ว
และในเนื้อหาของข้อความเหล่านี้แหละ
คือสิ่งที่จะเป็นแบบเรียนบทใหม่ของผมหละครับ

ดังนั้น คำแนะนำของผมก็คือ ถ้าใครกำลังรู้สึกแบบนี้อยูุ่
คือเหมือนกับว่า อันเก่าที่ทำอยู่นั้น มันพอแล้วหละ
แต่ก็ยังรู้สึกว่า เหมือนเรากำลังหาอะไรอยู่ เหมือนขาดอะไรอยู่น๊า
แบบนั้นเป็นต้น ก็ให้ลองค้นหาสิ่งที่จะสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆให้กับท่านได้ ดูนะครับ

ซึ่งผมเดาเอาเองว่า ถ้าใครกำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกับผม
และมีก้าวเดินที่พอๆกับก้าวเดินของผมหละก็..ไม่แน่นะครับว่า
บทเรียนบทต่อไปที่ท่านจะต้องไปเจอ อาจจะเป็นบทเรียนบทเดียวกับผมก็ได้นะครับ
นั่นคือ การหาทางผสานรวมกับตัวตนหลากมิติของตัวเอง

ดังนั้น ลองเข้าไปอ่านข้อความของชาว Arcturian ดูบ้างนะครับ ที่นี่ครับ:

Awakening with Suzanne Lie

โดยส่วนตัวผม ผมไล่ย้อนอ่านมาตั้งแต่ข้อความของเดือน มกรคม ปี 2013 นี้
อ่านไปก็อือหือไป อ่านไปก็อยากจะเอามาเล่าต่อไป แต่ก็อย่างที่บอกครับว่า
คงแปลไม่ไหวหรอกนะครับ..ต้องขออภัยจริงๆครับ

............................................................................