ข้อความจากต่างมิติ - ข้อมูลเกี่ยวกับมิติต่างๆ และ โลกคู่ขนาน-มิติคู่ขนาน และอื่นๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 29 เมษายน 2013.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ขออภัยครับ ที่เข้ามาทำให้เสียบรรยากาศ แต่อย่างไรก็เชื่อตรงกันอย่างหนึ่งว่า โลกยุคใหม่ที่สดใสสวยงาม กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2013
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ก็..คอยดูกันไปนะครับ ว่า.."โลกแห่งความเป็นจริง" เวอร์ชั่นนี้
    มันจะถูกทำให้ปรากฎออกมาสู่ชีวิตของพวกเราได้หรือเปล่า
    เพราะว่าอนาคต "ไม่ใช่" และ "ไม่เคย" เป็นสิ่งที่
    ถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วแต่อย่างใดเลย

    อนาคตแบบใดแบบหนึ่ง เป็นแต่เพียง
    "ศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ เส้นทางหนึ่ง"
    ในบรรดาศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ที่มีอยู่นับอนันต์
    ของ "เหตุ" ที่กำลังเกิดอยู่ใน "ปัจจุบันขณะนั้นๆ" เท่านั้นเอง

    ดังนั้น ถ้าระดับพลังงานของศักยภาพแห่งความเป็นไปได้
    บนเส้นทางใดมีมากกว่า..เส้นทางนั้น ก็มีโอกาส
    ที่จะกลายไปเป็นเหตุการณ์ในอนาคตได้มากกว่าด้วย เช่นเดียวกัน

    แล้วพลังงานที่ว่านี้ จะมาจากไหนหละ..
    ก็มาจาก "กระแสจิตมวลรวมของคนทั้งโลก" นั่นเอง
    ที่จะทำให้มันเป็นไปแบบใดก็ได้
    เพราะว่ารูปธรรมชีวิตจากต่างมิติทั้งหลาย
    พูดไว้ตรงกันทั้ง 100% ว่า
    ความคิด, อารมณ์ความรู้สึก และเจตจำนงของเรา
    คือผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงขึ้นมาให้กับเรา

    ปล. ปีที่แล้ว ปี 2012 และรวมถึงปีอื่นๆด้วย
    ที่มีผู้คนมากมายทั่วโลกรวมถึงเกจิอาจารย์
    รวมถึงนักวิชาการ ด็อกเตอร์ และผู้ทรงเกียรติ
    ผู้ทรงธรรม ทั้งหลาย ได้พยากรณ์เกี่ยวกับวันสิ้นโลก
    และภัยพิบัติครั้งใหญ่เอาไว้

    มีใครเคยทำข้อสรุปเอาไว้ไหมครับว่า
    ในจำนวนคำพยากรณ์เหล่านั้นหนะ
    ในแต่ละปี มีกี่ % ที่กลายมาเป็นความจริง?

    เพราะฉะนั้นแล้ว ผมจึงอยากจะให้ท่านถามตัวท่านเองว่า
    ถ้าสมมุติว่า คำกล่าวที่ผมยกมากล่าวข้างบนนั้น
    เกี่ยวกับเรื่องของ "อนาคต" มันเป็นอย่างนั้นจริงๆหละ
    อะไรจะเกิดขึ้น จากการที่เที่ยวเผยแพร่
    แต่ข่าวร้ายๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้?

    เพราะการที่เราเผยแพร่ข่าวพวกนี้ออกไป
    หรือไปพยากรณ์แต่ข่าวแบบนี้ออกมา
    นั่นก็แสดงว่า อย่างน้อยที่สุด ตัวเราเอง
    ก็มีความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้ว ถูกไหมครับ
    ดังนั้น เราจึงใช้คำว่า "ไม่ประมาทจะดีที่สุด"

    ซึ่งนั่นก็แสดงว่า "ตัวเราเอง" เห็นด้วย
    และยินยอมพร้อมใจไปอย่างน้อยก้ครึ่งหนึ่งแล้วหละ
    ที่จะให้ "โลกแห่งความเป็นจริงเวอร์ชั่นนั้น" มันเกิดขึ้นมาจริงๆ
    คือเวอร์ชั่นที่เกิดภัยพิบัติขึ้นหนะนะครับ

    เพราะว่าอย่าลืมว่า..ตามนัยยะนี้..จิตสำนึกมวลรวมของมนุษย์
    คือผู้ที่ก่อให้เกิดความเป็นไปในรูปแบบต่างๆขึ้น
    ดังนั้น ถ้าตัวเราเอง ก็คือผู้หนึ่งหละ
    ที่มีส่วนไปเติมพลังงานให้กับเหตุการณ์ด้านลบที่ว่านั้น
    ด้วย "ความเชื่อ" ของเรา...ดังนั้น..

    แล้วแบบนี้ มันเป็นการหวังดี หรือ หวังร้ายต่อโลกกันแน่?
    แล้วแบบนี้หนะ เราคือ "ฝ่ายมืด" หรือ "ฝ่ายสว่าง" กันแน่?

    ย้ำอีกครั้งนะครับว่า อันนี้..ผมสมมุติขึ้นตามนัยยะที่ว่า
    ถ้าความเป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องของ "อนาคต" มันเป็นดังที่ผมว่ามานี้จริงๆ

    แต่ถ้ามันไม่เป็นจริงตามนี้ ก็แล้วไป..ซึ่งก็เป็นไปได้เหมือนกัน
    เพราะว่าผมเองก็ไม่สามารถที่จะยืนยันหรือชี้ขาดให้กับท่านได้
    แต่ตัวผมเอง ผม "เลือก" ที่จะเชื่อแบบที่ผมว่ามานี้แหละครับ
    ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

    และเพราะฉะนั้นแล้ว ผมก็จะทำสุดความสามารถของผมต่อไป
    ในอันที่จะ "สร้าง" หือ "โน้มน้าว" หรือ "เหนี่ยวนำ"
    ให้กระแสจิตมวลรวมของคนจำนวนมากที่สุด
    เท่าที่ผมจะทำได้ หันมา "จดจ่อ" อยู่กับโลกเวอร์ชั่นที่ดีกว่า
    หันมามีความหวัง และ กำัลังใจ
    หันมาเชื่อใน "พลังอำนาจ" ที่อยู่ภายในตนเอง
    หันมาเชื่อว่า "อนาคตที่ดีกว่า" จะรออยู่ข้างหน้า
    ถ้าเราทำวันนี้ของเราให้เป็นเหตุเกื้อกูลไปในทางนั้น

    ซึ่งอุปสรรคใหญ่ของกระแสจิตด้านบวก ก็คือ "ความกลัว"
    ดังนั้น อะไรก็ตามแต่ที่เป็นสิ่งที่จะปลุกเร้า
    ให้จิตใจของผู้คนหันไป "จดจ่อ" อยู่กับมันด้วยความกลัวหละก็
    ผมก็จะออกมาโพสต์ทำนองนี้แหละครับ
    ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก แม้ว่าใครๆจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

    เพราะว่า ผมเชื่อว่า "ผมกำลังทำดีที่สุดอยู่"
    ซึ่งก็คงเป็นความเชื่อเดียวกันกับของทุกๆท่านกระมังครับ
    ที่เชื่อว่า "ตัวท่านเอง ก็กำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดอยู่"
    เช่นเดียวกัน ใช่ไหมหละครับ?

    .................................................................
    แล้วก็..พอดีว่า ผมมีข้อความหนึ่ง ที่น่าจะเข้ากันได้พอดี
    กับโพสต์ของพี่เกษมหนะนะครับ..ผมอ่านมาถึงนี่พอดี
    ก็เลยว่าจะขอโพสต์เอาไว้ซะหน่อยนะครับ

    ข้างล่างนี้นะครับ

    .........................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2013
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความจากชาว Arcturian
    เรื่อง: ผสานรวมความเป็นขั้วเข้าด้วยกัน ตอนที่ 1
    (Blending Polarities-1)


    ที่มา: http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ...คราวนี้ เมื่อแสงสว่างจากมิติที่สูงๆกว่า ได้บูรณาการเข้ากับพวกคุณ
    และได้ยกระดับความสั่นสะเทือนของพวกคุณขึ้นมาแล้ว
    พวกคุณก็จะสามารถรับรู้ ถึงโลกแห่งความเป็นจริงต่างๆ
    ได้หลากหลายโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น
    ซึ่งครั้งหนึ่งนั้น พวกมันเคยถูกกั้นกรองเอาไว้
    ไม่ให้ความตระหนักรู้ของสติสัมปชัญญะของพวกคุณ สามารถรับรู้ได้

    แต่เมื่อพวกคุณปรับตั้ง (calibrate) จักระแต่ละจักระของตัวเองใหม่ได้แล้ว
    ความสามารถในการเข้าถึงโลกแห่งความเป็นจริง
    ที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลายของพวกคุณ
    ก็จะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว “เท่าความเร็วแสง” เลยทีเดียว
    และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณ
    ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามไปด้วย
    จนบ่อยครั้งพวกคุณจะรู้สึกว่า พวกคุณ ”ตามตัวเองไม่ค่อยทัน”


    แต่ถ้านั่นยังไม่เพียงพอหละก็ ความกลัวก็จะมาคุกคามพวกคุณอยู่ตลอดเวลา
    เพื่อให้พวกคุณหวนกลับไปอยู่ในที่ๆพวกคุณเคยคิดว่ามันเป็นที่ๆปลอดภัย


    แต่โชคยังดีที่ พวกคุณได้เคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้แล้ว
    ว่าพวกคุณจะเชื่อมต่อพลังงานของตัวเองไว้กับดาวเคราะห์โลก
    และจะทำให้ชีวิตที่พวกคุณรู้ว่าพวกคุณคู่ควรที่จะมีชีวิตแบบนั้น เริ่มต้นขึ้น
    และเพราะว่าคำมั่นสัญญานี้เอง นักรบภายในที่อยู่ในจักระที่ 1 ของพวกคุณ
    จึงกระตุ้นให้พวกคุณเดินหน้าต่อไป


    และในขณะที่พวกคุณกำลังทำตามคำมั่นสัญญาอยู่นี้
    มันก็จะกลายเป็นว่า มีหลายสิ่งหลายอย่าง
    ที่พวกคุณไม่อาจที่จะอดทนกับมันได้อีกต่อไปแล้ว
    แต่ก็ไม่ใช่เพราะว่าพวกคุณไปตัดสินชี้ถูกผิดให้กับพวกมันหรอกนะ
    แต่เป็นเพราะว่า พวกมันไม่ได้อยู่กับพวกคุณอีกต่อไปแล้ว
    เพราะว่า “พวกมันไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณอีกต่อไปแล้ว”

    พวกคุณจะรู้สึกได้ว่า มีอะไรบางอย่าง
    กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ลึกๆภายในตัวพวกคุณ
    เพราะว่า แม้ว่าโลกตามปกติ ก็ยังคงเป็นไปตามปกติของมันอยู่ก็ตาม
    แต่ว่าพวกคุณก็จะไม่กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของมันอีกต่อไปแล้ว
    และแม้ว่าพวกคุณจะยังคงอยู่ในโลกใบนี้อยู่
    แต่ว่าพวกคุณก็จะไม่มีความเชื่อมต่ออยู่กับมันอีกต่อไปแล้ว
    เพราะว่าแทนที่จะเชื่อมต่ออยู่กับโลกแบบเก่า ที่กำลังจะสิ้นสุดลง
    พวกคุณก็จะเลือกที่จะไปรวมพลัง
    กับโลกที่กำลังเริ่มต้นขึ้นใหม่อยู่นี้แทน

    ดังนั้น “โลกใบเก่า” มันก็จะเหมือนกับเป็น
    “โลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนาน” ไป
    ที่กำลังดำเนินไปเรื่อยๆตามปกติของมัน อยู่รอบๆตัวพวกคุณ
    พวกคุณมองเห็นมันอยู่ และมันก็มองเห็นพวกคุณได้ด้วย
    แต่ว่าโลกของพวกคุณก็จะแตกต่างไปจากมันอย่างมาก

    ดังนั้น แม้ว่าพวกคุณจะยังอยู่ในโลกทั้งสองโลกนี้ก็ตาม
    แต่มันก็จะเหมือนกับว่า พวกคุณมองเห็นโลกเก่าใบนั้น
    ผ่านทางกระจกมืดอย่างนั้นแหละ

    มันจะเหมือนกับว่าคลื่นความสั่นสะเทือนของพวกคุณ
    อยู่เหนือกว่าคลื่นความสั่นสะเทือนของโลกเก่าใบนั้น
    อยู่ครึ่งอ็อกเต็ปอย่างนั้นแหละ
    ด้วยเหตุนี้ พวกคุณจึงไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเชื่อมโยงอยู่กับมัน
    ดังนั้น พวกคุณจึงรู้สึกเฉยๆกับมันโดยสิ้นเชิง
    โดยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆคล้อยตามไปกับมันเลย

    ที่พวกคุณรู้สึกแบบนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นความจริง
    เพราะว่าระดับความสั่นสะเทือนของพวกคุณ กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆอยู่
    และดังนั้น ความสนใจของพวกคุณ จึงไปอยู่ที่โลกแห่งความเป็นจริงทั้งหลาย
    ที่มีระดับความสั่นสะเทือน สูงขึ้นกว่าระนาบของโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพนี้แทน

    ตอนนี้พวกคุณก็รู้แล้วว่า อารมณ์ความรู้สึก
    สามารถที่จะ “จับ” พวกคุณ
    เอาไว้ในโลกแห่งความเป็นจริงต่างๆได้อย่างไร
    ดังนั้น เมื่อใดที่พวกคุณ
    “ตัดขาดการเชื่อมต่อทางอารมณ์” กับมัน
    มันก็จะเหมือนกับว่า พวกคุณไม่ได้อยู่
    ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นๆอีกต่อไปแล้ว
    แต่พวกคุณจะกลายเป็น “ผู้สังเกตการณ์”
    ดูโลกแห่งความเป็นจริงอันนั้นแทน...

    ..............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2013
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความจากไกอา

    ที่มา: http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ...จงรับฟังสัญญาณจากร่างกายเนื้อของคุณเอง
    ว่ามันต้องการให้คุณทำอะไร หรือเปลี่ยนแปลงอะไร
    เพื่อที่มันจะได้บำบัดรักษา และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้

    จงมีสติรับรู้ถึงความคิดของตนเอง
    เพื่อที่จะสามารถกำหนดโลกแห่งความเป็นจริง
    ให้กับความคิดเหล่านั้น ที่กำลังจะสร้างแมทริกซ์
    ของโลกแห่งความเป็นจริงต่างๆขึ้นมาใหม่
    หรือขึ้นมาซ้ำอีกครั้งหนึ่งอยู่ได้

    จงรู้สึกถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของตัวคุณเอง
    แต่จงอย่าไปตัดสินชี้ถูกผิดมัน
    หรือไปขยายความเข้มข้นของมันขึ้นมา
    ให้แค่รับรู้เฉยๆ และพูดว่า
    “โอ..ตอนนี้ฉันกำลังปลดปล่อยอารมณ์...อยู่นี่นา”
    เท่านั้นก็พอ

    จงเฝ้าสังเกตดูว่า จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณ
    มีการขยายตัวและหดตัวอย่างไรบ้าง

    และจงเฝ้าสังเกตดูว่าพฤติกรรมของคุณ
    มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
    เมื่อจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณเปลี่ยนไป

    อีกครั้งหนึ่ง..จงอย่าไปตัดสินชี้ถูกผิด
    ให้กับพฤติกรรมของตัวคุณเอง
    เพราะว่านั่นจะยิ่งทำให้มันมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น
    จนเกินกว่าที่จะมองเห็นมันได้อย่างมีสติ

    ดังนั้น แทนที่จะทำแบบนั้น ก็ให้เอาการจดจ่ออันนั้นของคุณ
    ขึ้นไปให้กับตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวคุณเองทำแทน
    เพื่อที่คุณจะได้สามารถสังเกตการณ์
    ดูพฤติกรรมต่างๆของตัวคุณเองได้
    อย่างมี “ความเมตตากรุณาและด้วยอุเบกขา”
    (Detached Compassion)

    แล้วจากนั้นก็ให้
    “ยอมรับตัวตนของคุณในขณะนั้นๆอย่างไม่มีเงื่อนไข”
    และก็จง "ให้อภัย" และ "รัก"
    ตัวตนที่อยู่ภาคพื้นดินตัวตนนี้ของคุณ
    อย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย
    เพราะว่ามันกำลังอยู่ในกระบวนการ
    แห่งการเปลี่ยนรูปแบบครั้งใหญ่อยู่

    และด้วยการเปลี่ยนรูปแบบของแต่ละจักระนี้
    สภาวะแวดล้อมของพวกคุณ ก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
    ทีละเล็กละน้อย เพราะว่าความเป็นขั้ว แบบสุดขั้ว
    ของโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 นี้ของคุณ
    ได้เริ่มผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
    กับโลกที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลายแล้ว...


    .......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2013
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    โพสต์ที่ 44 ผมมีแก้ไขเพิ่มเติมนิดหน่อยนะครับ

    ....................................................
     
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ตรงนี้ผมลอกเขามาแปะให้อ่านครับ
    เพราะว่าโดนใจพอดีเลย..


    ที่มา:
    http://palungjit.org/posts/7897471

    แปลโดยคุณ: with love and light


    ...พวกเราขอวิงวอนเธอ อย่าติดในความเป็นอยู่แบบใดๆ
    หรือแบบแผนปฏิบัติใดๆ หรือปรัชญาใดๆที่แคบและตายตัวเกินไป
    หรือเข้าไปในข้อตกลงใดๆ ที่ให้อำนาจแก่ใครบางคน
    ที่ไม่ใช่ตัวตนภายในของเธอ

    ตัดสินใจดีๆ ตัดสินใจดีๆ ตัดสินใจดีๆ
    เรื่องนี้พวกเราย้ำเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ
    เพราะเมื่อความจริงอันเด่นชัดได้ปรากฏตรงหน้าของเธอ
    และเธอนำมันเข้ามาร่วมอยู่ในระบบความเชื่อของเธอ
    มันอาจถูกแทนที่ด้วยความจริง ที่เหนือกว่า
    หรือด้วยหลักการที่ใหม่กว่าก็เป็นได้

    เมื่อมองย้อนกลับไป เธอไม่เห็นหรือว่า
    ความรู้ที่เธอยอมรับว่าจริงในปัจจุบัน
    เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเลยเมื่อ 10 ปีก่อน
    หรือแม้แต่เมื่อ 6 เดือนก่อน

    จงระวังว่า ทุกอย่างที่เธอเห็นว่าแน่นอนในวันนี้
    จะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีข้อกังขา
    ..ในวันพรุ่งนี้ หรือในอนาคตอันใกล้นี้...

    ......................................
     
  7. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เมื่อก่อนตอนที่ไม่ได้ทำความรู้จักกับข้อความต่างมิติต่างๆ ที่หลายๆแหล่งข้อมูลออกมาอธิบายเรื่องของ อดีต ปัจุบัน อนาคต นั้นมีอยู่เป็น ปัจุบันขณะ โดยส่วนตัวนั้นก็เชื่อเรื่องภัยพิบัตใหญ่ที่คาดกันว่าน่าจะเกิดกัน ทั้งข้อมูลทางอ้อมที่ผ่านสื่อ หรือข้อมูลทางตรงที่รับได้จากสมาธิ-ฝัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนตัวนั้นก็ได้ทำความเข้าใจกับปัจจัยต่างๆ นั่งพิจารณารอบคอบแล้ว ก็สรุปเป็นการส่วนตัวเราไม่จำเป็นจะต้องไปวิตกกังวล จดจ่อในเรื่องภัยพิบัติต่างๆ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการยืนยันให้มันเกิดขึ้นนะครับ

    ไม่ปรารถนาให้เกิดแต่เพียรจดจ่อให้มันเกิดโดยไม่รู้ตัว ไม่ตั้งใจ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆก็จะได้เจอกับตัวนะครับ ในรูปแบบส่วนบุคคลหรือหมู่คณะก็แล้วแต่ปัจจัย



    ในโอกาสก้าวปีแรกของยุคทอง ขอให้โลกนี้สงบสุขครับ อิอิอิ
     
  8. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    คำว่า "ไม่ประมาท" นี่แหละครับ คือตัวอย่างชัดๆ ของการจดจ่อกับสิ่งที่ไม่ประสงค์ให้มันเกิด แต่ดันไปเพิ่มความเป็นไปได้ให้มันเกิดเสียเอง

    เพราะ " ไม่ประมาท " เกิดมาจากการยอมรับที่จะให้เหตุการณ์นั้นๆมันเกิดขึ้นไงละครับ มีความกลัวเป็นพื้นฐาน และไปตัดสินว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี (มันมีความเข้าใจหลายอย่างที่พ่วงกันเป็นลูกโซ่อยู่) อธิบายยากจัง อิอิ

    ขอบคุณ คุณชยุตที่เข้ามาอธิบายโดยละเอียด
     
  9. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    อะไรลูกโซ่ๆเหรออออออ....เหมือนถูกจุดธูปเรียกมา 5555+

    เอ...ทำไมได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับกระจกๆบ่อยจัง
    มาลองส่องกระจกบานนี้กันดูบ้างมั๊ยจ๊ะ...อิอิ


    <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/sYZSAmbdPCU" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    เอ๊ะ...คิดเล่นๆว่า แล้วถ้าเราเป็นโฟรโด้ ที่ไม่ใช่ ring bearer นะ แต่เป็น match bearer น่ะ
    แล้วเราจะปล่อยให้บ้านโลกเหลือแต่ความมืดมนกันมั๊ยจ๊ะพี่น้องทั้งหลาย...
    เอ่อ...แต่ match ใช้จุด Light นะ ไม่ใช่จุด fire เอาไปเผาโลก ... อิอิ

    (มาแซวเล่นยามดึก คลายเครียดนิดๆหน่อยๆนะคะ *-*)
     
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางท่านอาจจะไม่ได้นำเอาข้อความจากต่างมิติพวกนี้
    มาเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองเท่าที่ควรหนะนะครับ
    ก็เลย..อาจจะต่อไม่ติดซักเท่าไหร่ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเองนั้น
    มันมีที่มาที่ไปอย่างไร..

    อันนี้ไม่นับกรณีที่ท่าน "เลือก" ที่จะเชื่อแบบนั้นๆเองหนะนะครับ
    ดังนั้น ผมเลยว่าจะขออนุญาตต่อจิ๊กซอให้ท่านดูซะหน่อย

    สมมุติว่า "ความเป็นจริง"
    มันเป็นอย่างที่ข้อความจากต่างมิติทั้งหลายกล่าวไว้จริงๆ
    ซึ่งนั่นก็คือ "กำลังมีกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น" เกิดขึ้นอยู่จริงๆ
    บนโลกของเราใบนี้ และทั้งจิตสำนึกและร่างกายเนื้อของเรา
    ก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่จริงๆอีกด้วย..

    ด้วยเหตุนี้..
    ชาวโลกหลายคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ที่ได้ฝึกจิต
    หรือปฏิบัติจิต/ปฏิบัติธรรม มาพอสมควรแล้ว
    ซึ่งเรียกรวมๆว่า ได้ชำระสะสางตัวเองมาพอสมควรแล้ว
    ดังนั้น เมื่อถึงวันเวลานี้แล้ว "ความตระหนักรู้/จิตสำนึก"
    จึงขยายตัวออกมามากขึ้น ใช้คำว่า "ขยายตัว" นะครับ
    เพราะว่ามันหมายความว่า "ขยายกว้างขึ้น" ทั้งขึ้นบนและลงล่าง

    ดังนั้น การที่จะไปรู้ ไปเห็น ไปได้ยิน ความเป็นไปของมิติอื่นๆ
    และของโลกแห่งความเป็นจริงอื่นๆ มันก็เลยมีมากขึ้นตามไปด้วย
    ไม่ว่าจะเป็นในสมาธิ หรือ ในฝัน หรือ ในเวลาที่จิตสงบ
    เช่น ตอนที่นั่งอยู่เงียบๆคนเดียว หรือตอนเคลิ้มๆอยู่ก็ตาม

    ซึ่งการเข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เรื่องราวความเป็นไปของมิติอื่นๆ
    อย่างที่ว่ามานี้ ข้อความจากต่างมิติพูดมาตลอด บอกเอาไว้ตลอด
    ว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่ กับมนุษย์โลกจำนวนมากมายในขณะนี้

    แต่สิ่งที่มนุษย์โลกจะต้องเข้าใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    เรื่องราวของมิติ และ โลกแห่งความเป็นจริงทั้งหลาย
    รวมถึงเรื่องราวของ "กาลเวลา" ด้วย ว่ามัน "ไม่ได้เป็นเส้นตรง"

    ว่า..โลกแห่งความเป็นจริงหนะ มันไม่ได้มีอยู่โลกเดียว!!
    ว่า..สิ่งที่ท่านไปเห็นมาหนะ มันเป็นหนึ่งในเวอร์ชั่น
    ที่มีอยู่จำนวนนับอนันต์ ของเวอร์ชั่นที่เป็นไปได้ทั้งหมด
    ของโลกแห่งความเป็นจริงนั้นๆเท่านั้นเอง!!

    ถ้าท่านงงตรงจุดนี้ ผมอยากขอให้ท่านกลับไปอ่านทบทวนเรื่อง
    "โลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนาน" และ "โลกฯบนเส้นทางเลือกอื่น" ใหม่
    เพื่อที่ท่านจะได้รู้ว่า มันยังมีโลกฯเวอร์ชั่นอื่นๆ
    ที่กำลังดำเนินไปพร้อมๆกับโลกของเราอยู่ในขณะนี้
    อีกจำนวนมากมายก่ายกอง จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว..

    ดังนั้น หนึ่งในเวอร์ชั่นที่ท่านเป็นเห็นมานั้น มันก็มีอยู่จริง ในแบบของมัน
    แต่ว่า มันจะถูกดึงเข้ามาสู่โลกฯเวอร์ชั่นที่เรากำลังอยู่นี้หรือไม่
    ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราด้วยว่า..จะยินยอมหรือไม่..
    ว่าจะเออออห่อหมกไปกับมันด้วยหรือไม่..
    ว่าจะเอาพลังงานความคิดของเรา
    ไปจดจ่ออยู่กับมันมากน้อยแค่ไหน..ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

    ยิ่งจดจ่อมาก เช่น กลัวว่ามันจะเกิดมาก มันก็จะยิ่งมีโอกาสเกิดมาก
    และเกิดเร็ว ตามไปด้วยมากเท่านั้นด้วย
    เพราะว่าพลังงานหนะ มันไม่รู้หรอกว่า อันไหนเราชอบ อันไหนเราไม่ชอบ
    มันรู้แต่ว่า ใส่พลังงานไปเยอะ
    มันก็จะมีโอกาสเกิดเยอะตามไปด้วยเท่านั้นเอง

    ดังนั้น ผมจึงอยากจะบอกว่า การที่เราสามารถไปรู้ไปเห็น
    ความเป็นไปของโลกฯอื่นๆ ของมิติอื่นๆได้นั้น
    มันกำลังจะกลายเป็นปรากฎการณ์ตามปกติของคนยุคนี้
    มันเป็นไปเพราะว่าระดับพลังงานของโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
    มันเป็นเพราะว่าจิตสำนึกของเรากำลังขยายตัวอยู่
    มันเป็นเพราะว่าจิตวิญญาณของเรา กำลังค่อยๆลงมารวมกับเราอยู่
    มันเป็นเพราะว่าร่างกายเนื้อของเรากำลังถูกปรับปรุงอยู่
    ในทุกๆด้านของมัน ซึ่งลึกลงไปจนถึงระดับ DNA เลยทีเดียว
    มันเป็นเพราะว่า "ม่านพราง" ระหว่างมิติกำลังบางลงเรื่อยๆอยู่

    มันไม่ใช่เพราะว่า..เราเป็นผู้วิเศษวิโสแต่อย่างใดเลย!!

    เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อเราไปรู้ไปเห็นอะไรมา
    ก็อย่าเพิ่งคิดไปว่า นั่นหนะ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจริงๆ
    เพราะว่าเรื่องของอนาคตของโลกนั้น มันขึ้นอยู่กับคนทั้งโลก
    มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "การรู้-การเห็น" ของท่านเพียงคนเดียว!!...

    ปล..

    แต่ว่า..การที่จะให้โลกในอนาคต เป็นไปในแบบที่เราต้องการนั้น
    เคล็ดลับก็คือ..

    "ให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราต้องการ..
    อย่าไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราไม่ต้องการ"


    คุ้นๆไหมครับ..สำหรับผู้ที่ติดตามข้อความจากต่างมิติมาโดยตลอด
    เพราะว่าประโยคนี้หนะ พวกเขาเน้นมาตลอด พูดอยู่เสมอ
    จนกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเราไปแล้ว

    แต่ว่าสำหรับผู้ที่ไม่เคยอ่านข้อความต่างมิติมาก่อนเลย
    ก็อาจจะไม่รู้ ดังนั้น ก็เลยเป็นหน้าที่ของพวกเรานี่แหละครับ
    ที่จะต้องค่อยๆอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะรับฟัง

    และผมก็เข้าใจอยู่ว่า..หลายท่านอาจจะคิดว่า
    เพราะว่าชาวโลกส่วนใหญ่ กำลังยังคงหลับไหลอยู่เลย
    ยังไม่ตื่นขึ้นมาชำระสะสางตัวเองเลย
    ยังไม่รู้จักหันมาใส่ใจเรื่องของจิตวิญญาณของตัวเองเลย

    ดังนั้น ถ้าเรานำข่าวภัยพิบัติเหล่านี้ไปบอกพวกเขา
    บางทีพวกเขาอาจจะตื่นขึ้นมาบ้างก็ได้
    เพราะว่าพวกเขาจะได้ตระหนักรู้ว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง
    ซึ่งถ้าพวกเขายังไม่ได้เริ่มหันมาทำความดีเลย
    และถ้าภัยพิบัติเกิดขึ้นจริงๆหละก็
    พวกเขาก็อาจจะไปสู่ทุกขคติภูมิก็ได้

    นี่คือวิธีการ "ปลุกให้ตื่น" อีกแบบหนึ่ง คือโดยการทำให้กลัว
    โดยการชี้ให้เห็นความจริงที่ว่า "ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง"

    พูดตามตรงเลยนะครับ..ผมก็เคยเห็นด้วยกับแนวคิดนี้
    แต่ว่า..มันก็จะมีผลร้าย และ ผลดี ปนๆกันอยู่
    ดังนั้น ผมจึงคิดว่า เราน่าจะมีวิธีการปลุกที่ดีกว่านี้
    โดยที่ไม่ต้องไปอาศัยความกลัวเป็นเครื่องมือแต่อย่างใดเลย


    เมื่อวานนี้ ผมก็เพิ่งอ่านข้อความจากต่างมิติข้อความหนึ่งไป
    พวกเขาก็บอกไว้เหมือนกันนะครับว่า เราไม่ควรปฏิเสธความกลัว
    เพราะว่าความกลัวนั้น มาจาก ego ของเรา
    และเพราะว่า ego ของเรา ทำหน้าที่ปกป้องเราจากอันตรายอยู่
    ดังนั้น เราจึงไม่ควรที่จะปฏิเสธมัน
    เพราะว่ามันก็สามารถที่จะช่วยให้เรา
    หันกลับมาสู่โลกภายในของเราได้ด้วยเช่นกัน

    แต่ว่า..มันก็มีวิธีที่จะ "รับมือกับความกลัว" ที่ถูกต้องอยู่
    ซึ่งมันไม่ใช่ด้วยวิธีที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยกันแต่อย่างใดเลย
    เพราะว่า "พลังงานของความกลัว" ไม่อาจที่จะดำรงอยู่ได้
    ในโลกยุคพลังงานใหม่ ซึ่งจะเป็นโลกที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงขึ้น
    และเป็นโลกที่จะมีแต่ความรัก มิตรไมตรี และสันติสุขเท่านั้น

    ดังนั้น ใครก็ตามที่ยังคงเล่นสนุกอยู่กับพลังงานของ "ความกลัว" อยู่หละก็
    นั่นก็หมายความว่า..ท่านกำลังเดินสวนทาง
    กับความเป็นไปของโลกยุคใหม่อยู่แล้วหละครับ

    ซึ่งเดี๋ยว ผมจะค่อยๆหาเวลาเอามาโพสต์ให้อ่านหนะนะครับ



    ................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2013
  11. pitcha_nate

    pitcha_nate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +1,369
    เมื่อคืนฝัน...

    มีใครบางคน..กำลัง..ประกาศ..บางอย่างที่สำคัญ...
    มีใครอีกคน..กำลัง..ทำบางอย่าง..เพื่อให้เสียงประกาศนั้น..ถูกรบกวน..
    เราเอง..พยายามเข้าไปขัดขวาง..เพราะต้องการฟังประกาศ..แต่ไม่สำเร็จ..

    สุดท้าย..เราก็กอดเจ้าคนก่อกวนนั้น..ด้วยความรู้สึกที่เสียใจเต็มเปี่ยม
    ถามเค้าว่า.."เรา รัก นะ..ไม่เข้าใจหรือ.."
    และนั่น..ทำให้เค้า งง ปน ประหลาดใจ..จะกอดเราตอบก็ไม่เข้าท่า..จะผลักเราออกก็ทำไม่ได้..5555555555

    คนก่อกวนนั้น..คือพ่อเราเอง..แต่เอ..หน้าพ่อเราไม่เป็นอย่างนั้น..
    ก็แล้วทำไม เรารู้สึก รัก เป็นห่วง เสียใจ และไม่อาจทิ้งไปได้หล่ะ..

    และไม่เสียดายเลยที่ไม่ได้รับฟังการประกาศนั้นแต่อย่างไร
    แต่เสียใจ..กับคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเรา..ที่ดูท่าแล้ว..เค้าไม่เข้าใจ!!!

    มีข้อความ มีสัญญาณ มีอะไรต่อมิอะไร มากมายเหลือเกินที่พยายามสื่อสารกับพวกเราทั้งหลาย..และเป็นที่น่าเสียดาย..ที่เราไม่เคยได้ยิน..เพราะตัวก่อกวน..
    อย่ามองไปไกลจากตัวเอง..เพราะไอ้ที่กวนไม่เลิก..ก็ตัวเราเองนั่นแหล่ะ..
    คงมีทางเดียวที่จะทำให้เสียงก่อกวนเงียบลงได้..อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยรักจากหัวใจ..
    แล้วระหว่างที่เค้างุนงง...เราก็คงได้ยินเสียงประกาศ...ได้เอง...

    55555555
    ดื้อจริง ไรจริง!!
     
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความจากชาว Arcturian
    เรื่อง: ความกลัว (Fear)


    ที่มา: http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html

    ….

    อา..ใช่แล้ว..”ความกลัว” เป็นสิ่งที่ตายยากมากที่สุด
    ความกลัวเป็นสภาวะที่มีอยู่ตลอดเวลาในประสบการณ์ของโลกในมิติที่ 3 ของพวกคุณ
    เพราะว่ามันครอบงำอยู่ในทุกๆความคิด ทุกๆอารมณ์ความรู้สึก ทุกๆการกระทำ
    และทุกๆเซลในร่างกายของพวกคุณ

    แต่อย่างไรก็ตาม ที่รักทั้งหลาย จงจำไว้ว่า “ความกลัว” ถูกออกแบบมา
    เพื่อปกป้องพวกคุณจากโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย โลกที่ๆเป้าหมายหลักในชีวิตของพวกคุณ
    คือ “การอยู่รอด” ส่วน “ความสุข” นั้น คือผลข้างเคียงเล็กๆน้อยๆที่พอจะเป็นไปได้

    ดังนั้น ความกลัว จึงได้ถูกนำมาใส่ไว้ในตาข่ายแห่งคลื่นความถี่ของไกอา ที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้
    และได้ถูกนำมาใส่ไว้ในในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ตั้งแต่ตอนแรกเริ่ม
    ของเกมในมิติที่ 3 นี้ ตั้งแต่ครั้งกระโน้น

    ความกลัวคือขอบอีกด้านหนึ่งที่ทำให้เกมมันแตกต่างออกไปจากห้วงเอกภพที่พวกคุณจากมา
    แต่ว่าตอนนี้ ความกลัว ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนุกอีกต่อไปแล้ว ใช่หรือไม่?

    ในช่วงเวลาแห่ง “การเปลี่ยนแปลงสภาพ” แบบทั่วทั้งโลก ของพวกคุณในครั้งนี้
    พวกคุณสามารถที่จะ “ตัด” ความกลัวให้ออกไปจากแมทริกซ์ของมิติที่ 3 ได้
    เพราะว่าเมื่อใดที่มนุษย์โลกสามารถผสานรวมเอาจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวเอง
    ให้เข้ากับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของดาวเคราะห์โลกได้แล้ว พวกคุณทุกๆคน
    ก็จะสามารถเขียนโปรแกรมใหม่ให้กับเกมในมิติที่ 3 นี้ของตัวเองได้

    แต่โชคไม่ดีนัก ที่ยังมีชาวโลกมากมาย ที่ยังอยากจะเล่นเกมแห่งมิติที่ 3 นี้ต่อไปอยู่
    และพวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะขจัดความกลัวให้หมดไปแต่อย่างใดด้วย

    อันที่จริงแล้ว พวกเขายังคงพยายามที่จะใส่เพิ่มความกลัวเข้าไปใน
    “จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก” และของ “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก”
    อยู่อย่างไม่ลดละ และมากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้อยู่
    พวกเขารู้ว่า “ช่วงเวลาแห่งการตื่นขึ้น” ก็คือ “ช่วงเวลานี้” นั่นเอง
    ดังนั้น พวกเขาจึงตั้งใจที่จะทำลายมันเสีย

    พวกคุณสามารถเลือกที่จะเล่นไปตามเกมเวอร์ชั่นของพวกเขาก็ได้
    หรือว่าจะเลือกที่จะ “ปฏิเสธที่จะเล่น” เกมของพวกเขาก็ได้ด้วย
    แล้วพวกคุณจะสามารถปฏิเสธที่จะเล่นเกมของพวกเขาได้อย่างไร?
    ก็ด้วยการไม่ยอมให้ความกลัวมาเกาะติดอยู่หนะสิ

    ด้วยการสังเกตการณ์ดูความกลัว
    และด้วยการรับรู้ถึง “ความรู้สึกกลัว” อันนั้น
    โดยไม่ไปวิพากวิจารณ์อะไรมันเลย
    จากนั้นก็ให้ปลดปล่อยมันไป
    โดยไม่วิพากวิจารณ์อะไรมันเลยเช่นเดียวกัน

    ความกลัวคือวัสดุเหลือทิ้งของมิติที่ 3 ความกลัวก็คือสิ่งๆหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนกับที่
    “ขยะ” ก็เป็นสิ่งๆหนึ่งด้วยนั่นแหละ และทั้งความกลัวและขยะ ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไรเลย
    พวกมันก็แค่เป็น “วัสดุเหลือทิ้ง” เท่านั้นเอง เพราะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไปแล้ว

    เมื่อใดที่พวกคุณจดจ่อความตระหนักรู้เอาไว้ในมิติที่ 5 และ 6 แล้ว
    ความกลัวที่เคยแอบซ่อนอยู่ใน “จิตใต้สำนึก” ของพวกคุณ
    ก็จะโผล่ออกมาสู่ความตระหนักรู้ของพวกคุณ เพื่อที่จะได้ถูกปลดปล่อยออกไป

    จากความตระหนักรู้ของมิติที่ 5 และ 6 นั้น พวกคุณจะรับรู้ว่า
    ความกลัวเป็นอันตรายคุกคามต่อจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่อยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่าของพวกคุณอย่างมาก
    มากเกินกว่าที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่อยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่าเหล่านั้นจะรับรู้ได้ด้วยสติสัมปชัญญะ

    จงเผชิญหน้ากับความกลัว ด้วยจิตใจที่สงบ
    จงปลดปล่อยมันไปจากกายแห่งอารมณ์ (Emotional Body) ของพวกคุณเสีย
    แล้วจงผลักมันเข้าไปในกายแห่งจิตใจ (Mental Body) ของพวกคุณเอง
    เพื่อที่พวกคุณจะได้มีโอกาสคิดทบทวนเกี่ยวกับมันได้
    แล้วจากนั้นก็จงยินยอมให้กายแห่งเหตุและผล (Causal Body) ของพวกคุณ
    มองเห็นเหตุและผลของมัน แล้วจากนั้น ก็ปล่อยให้กายแห่งจิตวิญญาณ
    (Spiritual Body) ของพวกคุณ ทำให้มันสูญสลายไป
    ด้วยพลังงานแห่งความรักแบบไม่มีเงื่อนไข

    จงเรียนรู้ที่จะสัมผัสกับ “ความรู้สึก” ของความกลัวเฉยๆ
    แต่จงอย่าไป “ผูกติด” มันเอาไว้กับสิ่งใด
    ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของภายนอกหรือภายในก็ตาม


    จงเรียนรู้ที่จะปล่อยให้ความกลัวเป็นไปอย่างที่มันเป็นอยู่อย่างนั้นเฉยๆ
    เหมือนตัวเห็บ เหมือนงู หรือเหมือนพระอาทิตย์ตก ความกลัวก็ให้มันเป็นแค่ความกลัว!

    เพราะว่าถ้ามันไม่มีอะไรไปผูกติดกับมันแล้ว
    มันก็จะไหลผ่านพวกคุณไปเฉยๆ
    ถ้าเมื่อใดที่ความกลัวเป็นแค่ความกลัว
    และพวกคุณก็ไม่ไปให้ความสนใจกับมันแล้ว
    สนามพลังงานของความกลัว ก็จะค่อยๆเสื่อมสลายไปเอง


    “ความกลัว” คือ “กระแสจิต หรือ กระแสความคิด” (thought-form) ที่มีประจุสูงชนิดหนึ่ง
    มันปราถนาที่จะมีประสบการณ์กับชีวิตทางกายภาพ โดยอาศัยการไปเกาะติดกับมนุษย์เอาไว้
    “กระแสจิต” หรือ “กระแสความคิด” ที่ว่านี้ ก็คือ “ความคิด” (thought) จากโลกในมิติที่ 3
    ที่ไป “มีชีวิต” จริงๆขึ้นมาในมิติที่ 4

    เพราะว่าทุกๆ “ความคิด” ที่ถูกชาร์จด้วย "อารมณ์"
    จะกลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาขึ้นมาทันทีในมิติที่ 4
    ที่เรียกว่า “กระแสจิต หรือ กระแสความคิด” (thought-form)


    ดังนั้น ถ้าพวกคุณให้อาหารเจ้า “กระแสจิต” เหล่านี้
    ด้วยการไปให้ความสนใจกับมัน
    ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามแต่ มันก็จะไปยึดเกาะกับสสาร
    แล้วจากนั้นมันก็จะมีชีวิตขึ้นมาในโลกแห่งมิติที่ 3 นี้


    นี่แหละคือสาเหตุที่ว่าทำไม พวกคุณถึงไม่ควรที่จะไปให้อาหารกับความกลัว
    เพราะว่ากระแสจิตแห่งความกลัวเหล่านี้ มันก็เหมือนกับแมวข้างบ้านนั่นแหละ
    ที่จะมาร้องขออาหารอยู่หน้าประตูบ้านของพวกคุณ และถ้าพวกคุณรู้ว่า
    จะต้องไม่ไปให้อาหารมันแล้ว มันก็จะไปเอง ไม่เช่นนั้นแล้ว
    มันก็จะเริ่มเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของพวกคุณแทน

    ทุกๆความคิดในมิติที่ 3 นี้ จะมีความเป็นขั้วติดอยู่ด้วย จึงทำให้เกิดการแบ่งแยกกัน
    ของสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกันเกิดขึ้นด้วย เช่น ดี/ชั่ว, แสงสว่าง/ความมืด, รัก/กลัว เป็นต้น
    แต่ในมิติที่ 5 ขึ้นไป ความรักและความกลัว จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    พวกเรารู้ดีว่าแนวความคิดนี้ เป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าที่ตัวตนภาคพื้นดินของพวกคุณ
    จะสามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ก็จงปล่อยให้แนวความคิดนี้ มันดิ่งจมลงไป
    เป็นจินตนาการของความคิดที่อยู่ในมิติที่ 5 ของพวกคุณก็พอ แล้วพวกคุณก็จะเข้าใจ
    หรือจดจำมันได้ในที่สุด

    ด้วยความเป็นขั้วของ “ความรัก” และ “ความกลัว” นี้
    ขั้วที่เป็นความกลัว มักจะชอบพุ่งลงมาสู่ที่ต่ำกว่า
    คือจากการเป็นกระแสจิต (thought-form) ที่อยู่ในมิติที่ 4
    ก็จะอยากลงมาอยู่ในมิติที่ 3 แทน

    แต่ในทางตรงกันข้ามกัน ขั้วที่เป็นความรักนั้น
    ก็จะอยากที่จะเลื่อนระดับขึ้นไปให้สูงขึ้น
    คือจากการเป็นกระแสจิตที่อยู่ในมิติที่ 4 หรือ 3
    ก็จะอยากที่จะกลายไปเป็น “กายแห่งแสงสว่าง”
    ที่อยู่ในมิติที่ 5 แทน


    ความกลัวคือพลังแห่งการทำลายล้าง ส่วนความรักคือพลังแห่งการสร้างสรรค์
    ความกลัวจะมุ่งไปสู่การหดตัวของรูปกาย และมุ่งไปสู่ข้อจำกัดของการแบ่งแยกจากวิญญาณ
    ในขณะที่ความรักจะมุ่งไปสู่การขยายตัว และมุ่งไปสู่อิสระภาพของความเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณ

    แต่แน่นอนว่า ความรักในที่นี้พวกเราหมายถึง “ความรักอันศักดิ์สิทธิ์” (Divine Love) เท่านั้น
    เพราะว่าความรักแบบมนุษย์นั้น มักจะผูกติดอยู่กับความกลัวซะมากกว่า
    จนทำให้มันสูญเสียพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งการมีอิสระภาพของมันไปจนหมดสิ้น

    แต่อย่างไรก็ตาม..ความกลัว..ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแต่อย่างใดเลย
    เพราะมันแค่ทำหน้าที่ของมันอยู่เท่านั้นเอง ซึ่งหน้าที่ที่ว่านี้ก็คือ “การทำลายล้าง”
    และการทำลายล้างที่ว่านี้ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีในมิติที่ 3 ด้วย
    เช่น “ความตาย” ที่จะต้องมี เพื่อที่จะทำให้มี ”การเกิด” ขึ้นได้
    ดังนั้น กระบวนการนับตั้งแต่ปฏิสนธิ, การตั้งครรภ์, การเกิด, การเจริญเติบโต,
    การเป็นวัยเต็มตัว, การแก่ และ การตาย จึงเป็นกระบวนการที่ทุกสรรพชีวิตจะต้องเจอะเจอ
    เมื่อเข้ามาอยู่ในแมทริกซ์ของมิติที่ 3 นี้

    “ความรัก” คือพลังแห่งการสร้างสรรค์
    เพราะว่าสนามพลังงานของมัน
    จะปราถนาที่จะขยายตัวอยู่ตลอดเวลา


    เปรียบเสมือนกับ “น้ำ/อารมณ์/จิตสำนึก” ที่เมื่อใดมันหดตัวลง มันก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง
    ซึ่งเปรียบเสมือนความกลัว แต่เมื่อใดที่มันขยายตัวจนกลายเป็นไอน้ำแล้ว
    มันก็จะกลายเป็นความรัก น้ำจะไหลลงมาสู่พื้นดิน ส่วนไอน้ำก็จะพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า...


    ...เมื่อใดก็ตามที่พวกคุณเที่ยวไปค้นหา สิ่งที่จะสามารถพบได้เฉพาะ
    จาก “ภายใน” เท่านั้น จากภายนอก ระดับจิตสำนึกของพวกคุณก็จะต่ำลง
    เพราะว่าพวกคุณกำลังมุ่งไปสู่ความเป็นมายาการ, ความแบ่งแยก, การมีข้อจำกัด
    และ ความกลัวอยู่ แน่นอนว่า มันก็จะต้องมีอะไรดีๆอยู่ “ข้างนอก” นั่นด้วย
    แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกคุณ “เชื่อว่า” สิ่งต่างๆล้วนอยู่ภายนอกตัวพวกคุณทั้งสิ้นแล้ว
    นั่นก็แสดงว่า พวกคุณได้เลือกที่จะมีชีวิตอยู่ในมายาการแห่งการแบ่งแยกของมิติที่ 3 แล้วหละ
    แทนที่จะมีชีวิตอยู่ในความเป็นหนึ่งเดียวของมิติที่ 5

    วิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้อยู่ห่างจากการยึดติดก็คือ
    การตระหนักรู้ หรือ การจดจำให้ได้ว่า
    “มิติที่ 3 นี้ คือการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น”


    และเมื่อใดที่ความกลัวคืบคลานเข้ามาหาพวกคุณ
    พร้อมกับพลังแห่งการหดตัวของมัน
    พวกคุณก็จงขยายความเป็นตัวตนของพวกคุณเองขึ้น
    และจงปล่อยให้ความกลัวไหลผ่านตัวพวกคุณไป

    จงปล่อยให้จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ
    ขยายตัวออกไปมากๆ มากจนกระทั่ง
    พวกคุณสามารถมองเห็นช่องว่าง
    ที่อยู่ระหว่างอนุภาคของสสารได้

    คราวนี้..จงมองให้เห็นไอระเหยของความกลัว
    ที่กำลังลอยเข้ามาหาพวกคุณอยู่
    จากนั้นก็จงสังเกตการณ์ดูพวกมันเฉยๆ
    ในขณะที่พวกมัน กำลังเคลื่อนที่ผ่านทะลุ
    ช่องว่างภายในตัวพวกคุณไป อย่าไปยึดเกาะมันไว้
    จงปล่อยให้มันไหลผ่านไปเฉยๆ
    เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว
    เมื่อใดที่พวกคุณรู้สึกถึงความกลัวขึ้นมา
    นั่นก็แสดงว่ามันกำลังไหลผ่านพวกคุณไปอยู่
    มันไม่ได้กำลังยึดติดอยู่กับพวกคุณแต่อย่างใดเลย


    ตลอดวันทั้งวัน ให้เฝ้าค้นหาความรู้สึกกลัวของตัวเอง
    ถ้าพบแล้วก็ให้รับรู้ถึงมันเฉยๆ แล้วก็ปลดปล่อยมันไป
    ให้สังเกตดูว่า ความกลัวอันนั้น
    มันผุดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกของพวกคุณเองใช่หรือไม่
    เพื่อที่มันจะได้ถูกปลดปล่อยไป ถ้าใช่ ก็ให้รับรู้ถึงมัน
    แล้วก็ปลดปล่อยมันไปเสีย

    ให้สังเกตดูว่าความคิดของคุณ
    เป็นผู้สร้างความกลัวให้เกิดขึ้นมาเองใช่หรือไม่
    ถ้าใช่ก็ให้ค้นหาว่าความคิดนั้นคือความคิดอันไหน
    แล้วก็ปลดปล่อยมันไปเสีย


    แล้วในที่สุด ความกลัวก็จะหมดสิ้นอำนาจที่จะควบคุมพวกคุณ
    แต่ว่าความกลัวก็จะยังเป็นความกลัวอยู่ แต่ความกลัว จะไม่ใช่คุณ!!...


    …เมื่อใดที่พวกคุณสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกกลัว
    ว่ามันเป็นแค่ความสั่นสะเทือนอย่างหนึ่งเท่านั้นได้แล้ว
    ไม่ใช่ความเป็นจริง พวกคุณก็จะสามารถ
    วางอุเบกขากับมันได้มากขึ้น


    ซึ่งการวางอุเบกขาที่ว่านี้ จะทำได้ดีที่สุด
    ก็ต่อเมื่อความคิดของเราเป็นกลาง
    ซึ่งนั่นก็คือ เมื่อความคิดของเราปราศจากการตัดสินชี้ถูกผิด

    ความคิดที่ปราศจากการตัดสินชี้ถูกผิด ก็คือการยอมรับ, การเห็นอกเห็นใจ,
    การให้ความสนใจ อย่างมีอุเบกขา

    จงให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับความคิดของตัวเอง
    จงพยายามทำให้วันทั้งวัน ผ่านพ้นไป
    ด้วยปราศจากความคิดที่มีการตัดสินชี้ถูกผิดใดๆทั้งสิ้น
    แม้แต่ความคิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินชี้ถูกผิด
    ในแง่บวกหรือในแง่ลบก็ตาม


    การตัดสินชี้ถูกผิด ก็คือการใส่อารมณ์เข้าไปนั่นเอง
    ซึ่งอารมณ์ ก็คือสิ่งที่ช่วยบำรุงรักษา
    แมทริกซ์ของมิติที่ 3 นี้เอาไว้นั่นเอง

    แต่ในทางกลับกัน พวกคุณก็สามารถที่จะมีความคิดที่ประกอบด้วยอารมณ์ได้ด้วย
    ถ้ามันเป็นอารมณ์แบบไม่มีเงื่อนไข เช่น การให้อภัยแบบไม่มีเงื่อนไข,
    การยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข และการรักแบบไม่มีเงื่อนไข เป็นต้น

    ความคิดเหล่านี้ เป็นความคิดที่ไม่มีขั้ว และปราศจากการตัดสินชี้ถูกผิด
    เพราะว่าพวกมันเป็นความคิดของมิติที่ 5 โดยธรรมชาติ
    และพวกมันก็เกิดขึ้นมาจาก “ความเมตตากรุณาแบบมีอุเบกขา” ด้วย
    ดังนั้น ความคิดเหล่านี้ จึงเต็มเปี่ยมไปด้วย “ความรักอันศักดิ์สิทธิ์”
    และจะช่วยให้พวกคุณ สามารถดาวน์โหลดเอาตัวตนในมิติที่ 5 ของตัวเอง
    มาสู่ตัวตนในมิติที่ 3 ได้อย่างมาก

    และการที่จะทำให้สามารถให้อภัย, ยอมรับ และ รัก แบบไม่มีเงื่อนไขได้นั้น
    พวกคุณก็จะต้องยอมจำนนต่อจิตวิญญาณของตัวคุณเองอย่างสมบูรณ์แบบ
    ซึ่งการยอมจำนนอย่างสมบูรณ์แบบนี้ จะช่วยให้พวกคุณสามารถหยุดเล่นเกมของมิติที่ 3 ได้ด้วย

    และในระหว่างที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กระแสของการยอมจำนนนี้
    พวกคุณก็จะไม่อยากเล่นเกมของมิติที่ 3 อีกต่อไปแล้ว
    แต่พวกคุณจะอยากที่จะสร้างโลกแห่งความเป็นจริงที่ปราศจากเกม
    ปราศจากมายาการ และมีแต่ “ความจริง” เท่านั้น ขึ้นมาแทน

    และความจริงที่ว่านั้นก็คือ:
    ความกลัวคือข้อเท็จจริงในมิติที่ 3 ,
    พวกคุณคือรูปธรรมชีวิตหลากมิติ,
    ตัวตนของพวกคุณ ส่วนที่กำลังเล่นเกมของมิติที่ 3 อยู่นี้
    เป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของตัวตนรวมทั้งหมดของพวกคุณเองเท่านั้น,
    มันยังมีตัวตนส่วนอื่นๆของพวกคุณเองอยู่อีกมากมายก่ายกอง
    ที่กระจายอยู่ทั่วทั้ง “อนันตจักรวาล” นี้


    ความจริงก็คือ:
    ยิ่งพวกคุณสามารถกำจัดมายาการออกไปได้มากเท่าไหร่
    ตัวตนส่วนอื่นๆของพวกคุณ ก็จะยิ่งสามารถเข้ามาหา และเข้ามาสู่
    พวกคุณได้มากเท่านั้น ทีละตัวตน ทีละตัวตน...

    .......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2013
  13. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    ความเห็นส่วนตัวนะคะ...และอยู่ในบริบทของการเป็นผู้สังเกตการณ์กันได้แล้วบนเส้นทางแห่งการแสวงหาความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์
    ไม่ว่าทำได้ช้าเร็วแค่ไหน อยู่ในแบบไหนระดับไหน แต่ก็หมายถึงทำการสังเกตเป็นแล้วอ่ะนะ

    ความกลัวที่เห็นชัดมากที่สุด มันก็คือ ความกลัวเป็นคนไม่ดี กลัวจะทำไม่ดี กลัวดีไม่พอ กลัวไม่ดีแบบเพอร์เฟคเดี๋ยวนิพพานไม่ได้ เป็นต้น
    เหล่านี้มาจากการตัดสินชี้ถูกผิดทั้งนั้น นั่นคือ การตัดสินตัวเองไปเสียแล้ว

    แล้วทีนี้จิตสำนึกมันจะทำการพัฒนา เพื่อขยายตัวออกไปได้ยังไงกันล่ะ ต่อให้มีภูมิรู้มากแค่ไหน ปฏิบัติมามากแค่ไหนก็เถอะ
    จะขยายๆ ก็หดอีก จะขยายๆซะหน่อย ก็หดอีกแระ ..... (555+)

    ในบริบทตรงนี้ โซ่ให้เครดิตสำคัญไปที่ การยอมรับตัวเอง อย่างตรงไปตรงมาที่สุดค่ะ
    จำได้ว่า มีท่านนึงเน้นเรื่อง การยอมรับ ไปแล้ว ขอแสดงความนับถือเน้อ *-*

    ยอมรับตัวเองให้ได้อย่างตรงไปตรงมาเสียก่อน หลังจากที่เราตามรู้ตามสังเกตสิ่งต่างๆได้แล้ว เห็นจริงอย่างที่มันเป็นได้แล้ว ในฐานะ ผู้สังเกตการณ์

    แน่นอนว่า อารมณ์ความรู้สึกย่อมมี มันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก เพราะมันคือ layer หนึ่งของความเป็นเรา
    ทางพุทธยังใช้คำว่าอารมณ์เลย เช่น ต้องคงอารมณ์นั้นให้อยู่...อะไรเทือกนี้



    ฉะนั้น ก็ให้ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ยอมรับนะไม่ใช่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่ใช่การเอาชนะ
    คำว่า "ยอมจำนน" ในที่นี้ก็คือนัยยะของ "การยอมรับแบบไม่ต้องไปฝืนหรือขัดขืนใดๆ ก็คือ แบบไร้เงื่อนไข นั่นเอง"
    แล้วมันอาจจะเกิดอะไรที่แปลกๆไปจากอะไรๆที่เราเคยๆมา ...ก็เป็นได้นะ :boo:
    ซึ่งก็คือ การปล่อยผ่านและวางได้ อย่างที่ไม่ต้องไปกะเกณฑ์หรือบังคับตัวเอง



    อ้อ แล้วที่พี่ชยุตแปลไปไม่นานมานี้ ถึงสิ่งอันเป็นเหตุแห่งการหดตัวของจิตสำนึกอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ "ความละอายใจ(shame)" นั่นเอง
    เราๆมักจะติดดีกันซะจน...พอตามรู้ตามดูทันกันแล้วก็มาละอายใจว่า...เราไม่น่าจะแบบนั้นเลย แบบนี้เลยกันอยู่นั่นแหล่ะนะ
    ก็ ยอมรับอย่างไร้เงื่อนไข ซะซิ




    ปล. ทุกอย่างที่กล่าวมานี่ ยืนอยู่ในบริบทที่บอกไว้นะคะ...
    พูดไปมันก็ดูง่ายเน๊อะ แต่ยากชะมัด อิอิ

    ขอเป็นน้องห่าน...ริฮานน่า...เสียหน่อย...(มุขเล็กๆ)
    (ฮัมเพลง..."เฉมไบร้ ไหล่กะได๊มอน ....เฉมไบร้ ไหล่กะได๊มอน ....เฉมไบร้ ไหล่กะได๊มอน
    เอ้ย ไม่ใช่สิ มันต้อง ... ฉ่ายไบร้ ไหล่กะได๊มอน...ฉ่ายไบร้ ไหล่กะได๊มอน...ฉ่ายไบร้ ไหล่กะได๊มอน")

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2013
  14. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842



    ท่านชยุตต์ซำบายใจได้เลยครับ ไม่มีอะไรร้ายแรงแน่ๆ
    เราไม่ยอมหรอก โลกเบี้ยวๆ ใบนี้เป็นของเรา
    "ใครจะทำอะไรโลกใบนี้ ถามเรารึยัง ๕5ฮ่าห้า"


    ขอบคุณสำหรับข้อความชวนปวดหัวนะครับท่าน
    อ่านไม่จบซะทีเฮ้อ..ไม่รู้ทำไมไม่อ่านให้จบนะท่าน

    ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เรื่อง: ความกลัว (Fear)

    ที่มา: http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    สัวสดี ฉันคือตัวตนในอนาคตของคุณ

    ที่ฉันท่องกาลเวลาย้อนกลับมา ก็เพื่อที่จะย้ำเตือนให้คุณรู้ว่า คุณ/ฉัน/พวกเรา
    ได้สร้างให้เกิดการเลื่อนระดับขึ้น ในกาลเวลาที่เป็นอนาคตของคุณ
    แต่เป็นกาลเวลาในปัจจุบันของฉัน ได้อย่างไร..

    ซึ่งความลับมันก็คือ;

    “การจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณต้องการ
    ไม่ไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณกลัว!”


    เพราะว่าถ้าคุณจดจ่อความสนใจไปที่สิ่งใด ก็จะทำให้แสงสว่างพุ่งตรงไปที่สิ่งนั้นทันที
    เพื่อไปสร้างโฮโลแกรมที่คุณกำลังอาศัยอยู่นั้นขึ้นมา

    ดังนั้น การจดจ่อของคุณจึงเป็นเหมือนเลนส์ของกล้องถ่ายรูป ที่มันจะเลือกรูปภาพต่างๆ
    ซึ่งหมายถึงโฮโลแกรมจำนวนมากมายมหาศาลขึ้นมา เพื่อเอามาประกอบขึ้นเป็นชีวิตของคุณเอง

    ชีวิตบนโลกที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของคุณ จะคล้ายๆกับภาพเคลื่อนไหวบนจอภาพยนตร์
    ที่เกิดจากการฉายภาพนิ่งจำนวนหลายๆเฟรมที่เรียงต่อติดกันอยู่

    เพียงแต่ว่า เครื่องฉายภาพยนตร์ของคุณ
    ไม่ใช่เฉพาะดวงตาของคุณเท่านั้น
    แต่ยังรวมถึง “ทางเลือก” ของคุณอีกด้วย


    ดังนั้น อะไรก็ตามที่คุณยินยอมให้มันคงอยู่ในการรับรู้,
    ในความคิด และ ในอารมณ์ของคุณได้
    สิ่งนั้นก็จะไปสร้างโฮโลแกรมของชีวิตของคุณขึ้นมาให้กับคุณ

    มันมีภาพหลายภาพมากที่สามารถส่งผลกระทบต่อจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณได้
    ทั้งในยามหลับและยามตื่น แต่คุณก็ยังมีพลังอำนาจที่จะเลือกอยู่ว่า จะให้ภาพไหน,
    ความคิดไหน, อารมณ์ไหน, สัญลักษณ์ไหน, และเสียงไหน อยู่ในความสนใจของคุณได้บ้าง

    การให้ความสนใจ ก็คือการไปยึดเกาะมันไว้
    เพราะว่าเมื่อใด ที่คุณไปให้ความสนใจกับ “สิ่งที่ได้รับรู้มา” ใดๆแล้ว
    นั่นก็เท่ากับว่าคุณได้ทำให้มัน “มีความตระหนักรู้” ขึ้นมาแล้วหละ
    คุณได้นำมันเข้ามาในชีวิตของคุณเองแล้วหละ
    คุณได้นำมันเข้ามาใส่ในเครื่องฉายภาพยนตร์ของคุณแล้วหละ
    เพื่อที่จะฉายมันออกไปสู่ “จอภาพยนตร์” ของคุณเองต่อไป

    แต่สิ่งกระตุ้นบางอย่าง ก็อยู่ต่ำกว่าระดับที่คุณจะสามารถรับรู้ได้
    และพวกมันก็จะก่อกวนอยู่ในความรู้สึกของคุณ ซึ่งความรู้สึกนี้มันจะน่ารำคาญ
    และก็สามารถที่จะทำให้เกิดความไม่สบายขึ้นมาได้ ในจิตสำนึกและในร่างกายเนื้อของคุณ
    ดังนั้น คุณจึงจำเป็นจะต้องให้ความสนใจกับมันนานเป็นพิเศษ จนเพียงพอที่จะสามารถ
    นำมันขึ้นมาสู่การจดจ่อของคุณได้ คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้แผ่นกรอง หรือ firewall
    กับเลนส์กล้องของคุณด้วยซ้ำไป เพื่อป้องกันตัวคุณเองจากสิ่งที่กำลังทำให้คุณ
    เกิดความไม่สะดวกสบายขึ้นอยู่นี้

    และเมื่อใดที่คุณจดจ่อกับมันได้แล้ว คุณก็จะเลือกได้ว่า อยากจะฉายภาพๆนี้
    ออกไปสู่โลกภายนอกหรือไม่ หรืออยากจะผนวกรวมมันเข้ามาในโลกภายในของคุณเองหรือไม่
    หรือว่าจะขับไล่ไสส่งให้มันออกไปจากโลกแห่งความเป็นจริงของคุณก็ได้

    ซึ่งถ้าคุณเลือกที่จะให้ฉากๆนี้
    มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคุณหละก็
    ก็แค่ใส่ความสนใจของคุณเข้าไปให้กับมันเท่านั้นเอง

    แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะให้ฉากๆนี้
    มีอยู่ในภาพยนตร์ชีวิตของคุณ ก็จงปลดปล่อยมันออกไป
    จากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณโดยทันที

    แต่ถ้าฉากๆนี้กำลังถูกสร้างขึ้น หรือได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว
    จากความกลัว คุณก็จะต้องใช้ยาต้านพิษหรือยาถอนพิษ
    ซึ่งก็คือ “ความรัก” มาปลดปล่อยมันไป ไม่ให้เหลือหลอ

    ความกลัวคือ คืออารมณ์ที่เหนียวแน่นชนิดหนึ่ง และมันก็สามารถสร้างตัวมันเอง
    ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วมากซะด้วย ถ้าเมื่อใดที่ความกลัวเข้ามาครอบงำการจดจ่อของคุณ
    คุณก็จะต้องใช้ยาต้านพิษทันที เพื่อที่คุณจะสามารถวินิจฉัยมันได้อย่างปลอดภัยว่า
    ความกลัวอันนี้ มันเป็นยาพิษ หรือว่ามันเป็นการเตือน ถ้ามันเป็นยาพิษ ก็จงหุ้มห่อมันไว้
    ด้วยพลังแห่งความรักของคุณ แล้วบอกกับมันว่า

    “ฉันเลือกที่จะตัดเอาความกลัวออกไปจากบทภาพยนตร์ชีวิตของฉันแล้ว”

    ในทางกลับกัน ถ้าความกลัวที่ว่านี้ คือ “การเตือนภัย” (จาก ego ของเราเอง – ผู้แปล) หละก็
    ก็จงโอบกอดมันด้วยความรักอีกเช่นกัน แล้วก็พูดว่า

    “ขอบใจนะที่บอก ฉันรับรู้ถึงสิ่งที่เธอเตือนฉันแล้วหละ
    และฉันก็จะนำมันไปพิจารณาดูอย่างมีสติสัมปชัญญะ”

    แล้วจากนั้น ก็จง “ตัด” ความกลัวนี้ทิ้งไปเสียเช่นเดียวกัน
    เพราะว่า “การเตือนภัยนี้ จะกลายมาเป็น
    โลกแห่งความเป็นจริงของคุณอย่างแน่นอน
    ถ้าคุณเลือกที่จะจดจ่ออยู่กับมันอยู่”

    เพราะว่า กระบวนการ “สร้างสรรค์”
    โลกแห่งความเป็นจริงของคุณ
    อันที่จริงแล้ว มันก็คือกระบวนการ
    “เลือก” โลกแห่งความเป็นจริงของคุณ นั่นเอง

    เพราะว่าโลกแห่งความเป็นจริง คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
    ในความเป็นจริงแล้ว โลกแห่งความเป็นจริงจำนวนมากมายมหาศาล
    ได้ถูกสร้างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ในขณะที่ไกอากำลังเลื่อนระดับขึ้นอยู่นี้
    และในขณะที่พวกคุณกำลัง upgrade ร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่นี้
    คุณรู้ว่าคุณไม่เพียงแต่ จำเป็นจะต้องเลือกว่า จะไปอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงโลกไหนเท่านั้น
    แต่คุณยังจะต้องเลือกอีกว่า คุณจะไปอยู่ในมิติไหนอีกด้วย

    เพราะว่ามันมีเรื่องราวของการเลื่อนระดับขึ้นอยู่มากมายหลายเวอร์ชั่น
    พอๆกับที่มีการเลื่อนระดับขึ้นไปสู่มิติต่างๆที่แตกต่างกันมากมายหลายมิตินั่นแหละ
    พวกคุณบางคนจะเลือกที่จะไปพักผ่อนในมิติที่ 4 ในขณะที่คนอื่นๆอาจจะกระตือรือล้น
    ที่จะเข้าไปอยู่ในมิติที่ 5 และ 6 หรือมิติที่สูงกว่านั้นก็ได้

    เพราะว่าในช่วงปิดฉากของเกมในมิติที่ 3 นั้น
    มันจะไม่มีข้อจำกัดใดๆสำหรับทางเลือกของพวกคุณเลย

    แต่คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วผู้ที่เลือกที่จะเล่นเกมของมิติที่ 3 อยู่ต่อไปหละ
    พวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จำเป็นจะต้องไปหา “จอภาพยนตร์” จออื่น
    เพื่อเอามาฉายภาพยนตร์ชีวิตของพวกเขาแทนหนะสิ
    เพราะว่าโรงภาพยนตร์ที่ชื่อว่าดาวเคราะห์โลกนี้กำลังจะปิดแล้ว

    โอ..แต่ว่าพวกคุณจะยังไม่จบหรอกนะ

    เพราะว่าพวกคุณคือรูปธรรมชีวิตหลากมิติ ผู้เป็นนิรันดร์ ที่ได้เลือกที่จะมามีประสบการณ์
    กับโลกแห่งความเป็นจริงอันจำกัดนี้เท่านั้น ซึ่งในตอนที่คุณเลือกทางเลือกนี้นั้น
    คุณจำเป็นจะต้องเคลื่อนความตระหนักรู้/จิตสำนึกของคุณ หรือแก่นแท้ของคุณ
    ผ่านปริซึ่มแห่งแสงสว่าง (light prism) อันหนึ่งไป แล้วรัศมีของคุณก็ถูกแบ่งแยกออกมา
    เป็นส่วนย่อยๆจำนวนมากมาย ดังนั้น ตัวตนของคุณจึงไม่ใช่แค่ที่อยู่ในร่างกายเนื้อนี้เท่านั้น

    แต่อย่างไรก็ตาม เพราะว่าคุณคือผู้ที่มีแนวโน้มว่า จะมีจิตสำนึกสูงมากพอ
    ที่จะเลือกว่าจะเลื่อนระดับขึ้น แล้วกลับไปสู่ความเป็นทั้งหมดของตัวตนของตัวคุณเองอีกครั้งหนึ่ง
    แล้วร่างกายเนื้อร่างอื่นๆ ที่คุณอาศัยอยู่นั้น ก็จะบูรณาการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคุณ
    ผู้ที่กำลังเลื่อนระดับขึ้นอยู่นี้อีกต่อหนึ่งด้วย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม ฉันจึงกำลังสื่อสารกับคุณอยู่
    เพราะว่าฉันเชื่อว่า คุณคือผู้ที่ลงมาเกิด ที่น่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุด
    ซึ่งหมายถึง ประสบความสำเร็จในการเลื่อนระดับขึ้นนั่นเอง

    กาลเวลาเป็นเพียงมายาการของโฮโลแกรมในมิติที่ 3 นี้เท่านั้น
    อันที่จริงแล้วกาลเวลามีลักษณะเป็นวงกลม เหมือนกับล้อรถจักรยาน
    ซึ่งซี่แต่ละซี่ของล้ออันนั้น ก็คือ “คุณ” ในกาลเวลาอื่นๆนั่นเอง
    และอันที่จริงแล้ว มันก็ยังมี “คุณ” อีกมากมายหลายคน ที่กำลังอยู่ร่วมกับคุณในกาลเวลานี้อีกด้วยนะ

    ซึ่งถ้าอยากจะออกจากวงล้อ 3 มิตินี้ไปให้ได้หละก็ คุณจะต้องหา “ดุมล้อ” ให้เจอซะก่อน
    ซึ่งดุมล้อที่ว่านี้ ที่จริงแล้วก็คือประตูสู่การเลื่อนระดับขึ้นของคุณนั่นแหละ

    จากดุมล้ออันนี้ คุณจะสามารถมองเข้าไปในชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 3 ของตัวคุณเองได้ ทุกๆภพชาติ
    ทั่วทั้งวัฎจักรของกาลเวลานี้ และก็สามารถที่จะยินยอมให้พวกเขาดาวน์โหลดเข้ามาสู่คุณได้ด้วย
    พวกคุณในฐานะของทีมแห่งการเลื่อนระดับขึ้นของดาวเคราะห์โลก (the Planetary Ascension Team)
    ซึ่งตัวตนแต่ละตัวตนของคุณเองเหล่านี้ ก็จะเหมือนกับ "นมที่หกกระจายของคุณเอง"
    ที่คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ในการเช็ดถูทำความสะอาดเสียให้เรียบร้อย
    เพื่อที่ตัวตนที่อยู่ในทุกๆภพชาติของคุณ จะได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น
    ของดาวเคราะห์โลกในครั้งนี้กับคุณด้วยได้

    ฉันได้เช็คอินเข้ามาในตัวคุณ ตั้งแต่ตอนที่คุณยังเป็นเด็กอยู่เลย ฉันมาทำหน้าที่
    เป็น “เทพผู้พิทักษ์” ให้กับคุณ ฉันยังจำตอนที่ “ฉัน” เป็น “คุณ” ได้
    ฉันยังจำได้อยู่ว่าตอนนั้นฉันคิดถึงบ้าน และคิดถึงมิติที่สูงๆกว่ามากเพียงใด

    ในตอนที่พวกเราผ่านปริซึมของมิติที่ 3 ออกมานั้น พวกเราหลงลืมหลายสิ่งหลายอย่างไป
    รวมถึงหลงลืมตัวเราเองด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้คุณสามารถรับรู้ถึงฉันได้แล้ว
    เพราะว่าคุณได้ตื่นขึ้นมาแล้ว นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม ฉันถึงเชื่อว่าคุณคือตัวตนในอดีตของฉัน
    ผู้ที่จะเลือกที่จะช่วยเหลือไกอาในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นของเธอ

    ฉันจะยังอยู่ในสนามพลังออร่าของคุณ และจะคอยเตือนให้คุณรู้ว่า พวกเราได้เลื่อนระดับขึ้นไปแล้ว
    ฉันจะคอยเตือนคุณว่า “กาลเวลา” เป็นเพียงมายาการของเกมในมิติที่ 3 นี้เท่านั้น
    และตอนนี้เกมๆนี้ก็กำลังจะปิดฉากลงแล้ว และคุณ/ฉัน/เรา ก็กำลังสร้างภาพเคลื่อนไหว
    ของ “บ้าน” ของเราอยู่ ไม่ว่าพวกเราจะท่องเที่ยวไปที่ไหนก็ตาม

    ตัวตนในอนาคตของคุณ

    ………………………..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2013
  16. snakejoke

    snakejoke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +699
    เยอะแหะจะครอยๆตามอ่านจริงๆแล้วถ้าจะพูดกันถงเรื่องมิติในจักรวาลตั้งแต่ระดับดวงดาว ระบบสุริยะ จักรวาล กาแล็คซี่ อจินไตยดาราศิดารา อนันตะดารา จิตตะดารา และสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงอินฟินิตี้ มันมีหลายมิติมากตั้งแต่มิติที่1-มิติที่อินฟินิตี้ แต่ไม่เคยมีใครกล่าวถึง เพราะพวกเขาไม่เคยสัมผัส มิติต่างๆที่สูงขึ้นไป ก็คือที่อยู่ที่เป็นทิพย์ของกลุ่มบุคคลที่สร้างบุญบารมีที่แตกต่างกัน มันมีมากและหลากหลายนับไม่ได้จ
    นเรียกมิติอินฟินิตี้ ธรรมชาติที่เกิดมา1ธรรมชาติก็ยังมีระดับของวิญญานนับไม่ได้เป็นอนันต์และยังมีอีกนับล้านธรรมชาติและมีสูงขึ้นไปอีก อย่างว่าพระพุทธเจ้าไม่สอนอจินไตยเพราะคนน้อยคนนักจะเข้าถึง แต่ในเบื้องต้นพวกเราควรจะรับรู้บ้างว่ามันมีอะไรเป็นยังเกิดอย่างไร เพราะในโลกมนุดคือศูนย์กลางสนามปฎิบัติธรรมที่ใหญ่ที่สุดในธรรมชาตินี้(ถ้าเทียบเวลกำเนิดดวงดาวกับสิ่งมีชีวิตที่เกิดและมาสร้างบารมี)คือในสนามสร้างบารมีมีมากมายในธรรมชาติ ที่ที่มีวิวัฒนาการสูงกว่าโลกก้อเป็นสนามสร้างบุญบารมี แต่อาจมีความต่างเรื่องคาบเวลาการเกิดที่ที่เหมาะสมที่สุดในกาลเวลานี้คือโลก แต่ก็ไม่แน่ในอนาคตอาจมีดาวดวงใหม่ที่สมบูรณ์กว่าโลกเราก็เป็นได้ ดังนั้นมนุดโชคดีเป็นที่สุดแล้ว จงมั่นสร้างบุญบารมีช่วยเหลือผู้คนตระหนักรู้และปฎิบัติตามแบบพุทธะหรือตามศาสนาใดก็แล้วแต่ท่านจะได้เป็นทิพย์กันตามความประสงค์ของธรรมชาติที่จะสร้าสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบให้ได้คาบเวลาที่จะทำคือ1ล้านปีนับจากนี้ครับ

    นี่ไม่ใช้นิยายที่แต่งขึ้นแต่เป็นจิตรู้ที่สัมผัสได้ครับ
     
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    โพสต์ต่อๆไป ผมจะโพสต์เรื่อง
    การบูรณาการรวมเข้ากับตัวตนหลากมิติของเรา

    ซึ่งเนื้อหาของมันจะค่อนข้างยาว และต่อเนื่อง
    จนบางทีผมก็ไม่รู้ว่าควรจะแยกออกไปเป็นอีกกระทู้หนึ่งหรือเปล่า
    แต่พอนึกดูอีกที มันต้องอาศัยความรู้พื้นฐานเรื่องมิติต่างๆ
    ที่ได้เกริ่นไปแล้วในกระทู้นี้ก่อน มันถึงจะเข้าใจเนื้อหาที่ว่านั้นได้

    ดังนั้น ผมก็เลยว่าจะโพสต์ในกระทู้นี้เลย

    และพอดีว่า ในเนื้อหาที่ผมจะยกมาโพสต์ให้อ่านเร็วๆนี้
    มันมีหลายจุดที่ทำให้ "อึ้ง" หนะนะครับ
    ก็เลยว่าจะขอยกตัวอย่างมาสักตัวอย่างหนึ่งซะหน่อย

    คือเรื่องของการเลื่อนระดับขึ้น ชาว Arcturian และต่างมิติรูปธรรมอื่นๆ
    บอกประมาณว่า พวกเราหลายคน ที่ตอนนี้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่นี้
    ก็คือสมาชิกของพวกเขา ที่อาสาลงมาเกิด เพื่อให้ความช่วยเหลือไกอา
    ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นนี้

    ซึ่งการลงมาเกิดที่ว่านี้ ก็จะกระจายไปอยู่ใน timeline ที่แตกต่างกัน
    เช่น ไปเกิดในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้าง มาเกิดในยุคนี้บ้าง
    และมาเกิดในยุคหลังจากนี้บ้าง เป็นต้น ทั้งทีก็เพื่อปูทาง เพื่อดำเนินการ
    เพื่อสานต่องาน และเพื่อรับช่วงต่อซึ่งกันและกันเป็นทอดๆ เพื่อให้งานสำเร็จ

    ประเด็นที่ผมติดใจก็คือ ผมเชื่อว่าพวกเราหลายคน อยากจะรีบทำรีบเสร็จไวๆ
    และกลับไปสู่บ้านเก่าของตัวเองไวๆ หรือไม่ก็รีบเข้านิพพานให้ไวๆ
    ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ใช่ไหมหละครับ..

    ..แต่เสียใจด้วยนะครับ..

    เพราะว่าพวกท่านจะต้อง "ก้าวเดินไปพร้อมจังหวะการก้าวเดินของไกอา" ครับ
    เพราะว่าถ้าท่านก้าวเร็วกว่าไกอา ระดับความสั่นสะเทือนของท่าน
    ก็จะสูงกว่าไกอา แล้วท่านก็จะต้อง "เลื่อนระดับขึ้น" ไปก่อนไกอา
    ซึ่งนั่นหมายความว่า ท่านจะต้องตายไปก่อนที่จะทำภาระหน้าที่สำเร็จนั่นเอง
    แต่ถ้าท่านก้าวช้ากว่าไกอา ท่านก็จะพลาดรถบัสไปสู่มิติที่ 5 และ 6
    อะไรแบบนั้นหนะครับ

    และยิ่งผู้ที่เป็น "หัวหน้าทีม" ของแต่ละทีมด้วยแล้ว ท่านก็ยิ่งจะต้องอดทน
    และรอคอยให้ลูกทีมของท่าน เดินตามมาทันท่านทั้งหมดซะก่อน
    ท่านถึงจะไปไหนต่อได้ คือประมาณว่า หัวหน้าทีม คือคนที่จะต้องอยู่รั้งท้ายทีม
    ซะด้วยซ้ำไป ฮิฮิ..หมดเลย..

    ดังนั้น ถ้าใครกำลังรู้สึกกังวลใจว่าทำไมตัวเองถึงปฏิบัติไม่ก้าวหน้าดังใจซะที
    บางที ก็อาจจะเป็นเพราะว่า จิตวิญญาณของท่าน กำลังรั้งท่านไว้อยู่
    เพื่อให้จังหวะการก้าวเดินของท่าน มันสมดุลกับของไกอา และของลูกทีมคนอื่นๆ
    ของท่านก็เป็นได้นะครับ..อันนี้ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ..

    เพราะฉะนั้นแล้ว..สิ่งที่ท่านจะต้องมองหาก็คือ มองหาวิธีการให้ความช่วยเหลือคนอื่นๆ
    แต่จะต้องเป็นการให้ความช่วยเหลือโดยไม่ไปบังคับเขา ไม่ไปยัดเยียดให้เขานะครับ
    ซึ่งถ้าจะให้ดีก็คือ รอให้เขามาขอความช่วยเหลือจากท่านเองโน่นแหละ

    สรุปว่า "ต้องอดทน" นะครับ


    ..........................................................
     
  18. snakejoke

    snakejoke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +699
    แหมม่มิน่า สิทที่ผมเปิดพลังให้ยังไม่ถึงเวลาที่มันจะนำพลังมาใช้ เราพร่ำสอนทุกวัน ให้ไปรักษาคน เปลี่ยนจิตผู้นำให้คิดดีทำดี ดูจิตตัวเองและครอบครัวญาติพี่น้อง เพื่อนพ้อง กลับไม่ต่อยมีใครมีจิตอาสาที่จะทำ คงต้องอดทนรอ ทำไปคนเดียวก่อนปูพื้นให้ทุกคนมีความสามารถที่จะช่วยโลกและจักรวาลได้ เหอๆแอบน้อยใจที่ตรูเหนื่อยอยู่คนเดียวมีสิทนับร้อยทำตามไม่ถึงสิบ เห้ย อดทนๆๆๆ
     
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    สรุปว่า เปลี่ยนใจแล้วครับ
    ขอแยกไปตั้งกระทู้ใหม่ดีกว่านะครับ
    เพราะว่าเนื้อหามันยาวเกิน และ ในวันข้างหน้า
    ถ้าใครจะมาค้นหาเนื้อหาเฉพาะเรื่องนั้นๆ
    ก็จะได้ค้นหาจากชื่อกระทู้ได้ด้วย..

    ในลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ

    "ข้อความจากต่างมิติ-การดาวน์โหลด-และ-การผสานรวมเข้ากับตัวตนหลากมิติของตัวเราเอง"

    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...านรวมเข้ากับตัวตนหลากมิติของตัวเราเอง.495876/


    ...............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2014
  20. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    อันนี้ ดี ... ทำได้จักสุดยอดการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ จักติดตามดู ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...