@ คชสีห์/เทพพระพิฆเนศ อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ งาแกะ เรื่มเปิดที่เบาๆ @

ในห้อง 'ร้องเรียนและปัญหา' ตั้งกระทู้โดย พลังชาตรี 13, 7 พฤศจิกายน 2010.

  1. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ลูกอมชานหมากหลวงพ่อทบ วัดชนแดน เพชรบูรณ์

    ลูกอมชานหมากหลวงพ่อทบ วัดชนแดน เพชรบูรณ์

    ลูกอมชานหมากหลวงพ่อทบ วัดชนแดน เพชรบูรณ์
    ชาน หมากของหลวงพ่อทบ นับว่าเป็นยอดวัตถุอาถรรพ์ อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์ และผู้ที่เคารพนับถือท่านต่างก็มีความต้องการมาก เพราะพวกเขาถือว่าขณะที่หลวงพ่อท่านกำลังเคี้ยวหมากพร้อมกับหลับตาอยู่นั้น หลวงพ่อกำลังเข้าฌาณและบริกรรมพระเวทย์ไปด้วย ทำให้ชานหมากที่ท่านกำลังเคี้ยวอยู่นั้นพลอยศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ด้วยเหตุนี้ชานหมากจึงเป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก แต่อย่างว่าของดีมีน้อย ใครก็ตามที่ได้รับชานหมากและสีผึ้งจากมือของหลวงพ่อพร้อมกันทั้งสองอย่างนี้ นับได้ว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่มีบุญและวาสนาจริงๆ ส่วนมากแล้วชานหมากนี่ถ้าไม่ขอ ท่านก็จะกลืนหมดเพราะฉนั้นเวลาที่ท่านกำลังเคี้ยวหมาก ลูกศิษย์จึงจ้องดูให้ดีเรียกว่าตาไม่กระพริบกันเลยทีเดียว ถ้าหากว่าท่านคายชานหมากลงในกระโถน รับรองได้เลยว่าลูกศิษย์ต้องเข้าแย่งชานหมากกันจนกระโถนกระจายเป็นแน่ ชานหมากที่ท่านเคี้ยวอยู่นั้นบางทีท่านก็จะไม่กลืน ถ้าหากว่าท่านฉันในเวลาตอนกลางคืน หรือเวลาดึก ท่านก็จะคายออกมาโดยวางไว้ข้างฝา พอหลายๆวันเข้ามีจำนวนมากหน่อย ท่านก็จะเรียกลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด เช่นท่านอาจารย์เพ็ง หรือ พระอาจารย์สุรชัย ได้นำเอาชานหมากเหล่านี้ไปถัก เพื่อที่จะเอาไว้แจกกับลูกศิษย์ ที่เดินทางมากราบท่านจากที่ไกลๆ ต่อมาชานหมากของท่านได้สร้างปาฏิหาริย์ไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มหาอุด เมตตามหานิยม ผู้คนจึงเล่าลือแตกตื่นเสาะแสวงหากันจ้าละหวั่น ใครที่เดินทางมากราบท่านก็มักจะขอกันแต่ชานหมากของท่านแทบทุกคน ทีนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีกว่าชานหมากจริงๆนั้นมีน้อยเพราะหลวงพ่อท่านฉัน เพียงองค์เดียว แต่ความต้องการของผู้ที่ศรัทธาท่านนั้นมีจำนวนมากกว่าหลายสิบเท่า ทำอย่างไรดีถึงจะให้ญาติโยม ผู้ที่เคารพนับถือหลวงพ่อได้ไว้บูชากันทุกคน เพราะบางคน บางคณะเดินทางมาจากที่ไกลๆ วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะมาขอชานหมากของหลวงพ่อโดยเฉพาะ ทางวัดจึงได้หาวิธีการมาใช้เพื่อฉลองศรัทธาของญาติโยมที่เดินทางมากราบ และขอชานหมากของหลวงพ่อจะไม่ต้องผิดหวังกลับไป โดยการนำเอาวัสดุที่ใช้ในการเคี้ยวหมากทั้งหมดได้แก่ หมาก พลู ปูน ยาฉุน ฯลฯ นำมารวมกันไว้ในถาดจากนั้นก็ได้นำไปให้หลวงพ่อทบปลุกเสกเป็นปฐมเสียก่อน แล้วจึงนำมารวมกันในครกขนาดใหญ่ให้พระและเณรช่วยกันตำ เมื่อตำจนวัสดุต่างๆแหลกละเอียดเข้ากันดีแล้วจึงนำออกมาจากครกเอาใส่พานที่ ปูผ้าขาวรองไว้ เสร็จแล้วจึงนำไปให้หลวงพ่อทบปลุกเสกเป็นครั้งที่สอง จนท่านแน่ใจว่าเข้มขลังดีแล้ว ท่านจึงเรียกให้ลูกศิษย์นำเอาออกมาถักเชือกหุ้มไว้เพื่อให้คงทนถาวร และนำติดตัวไปไหนได้สะดวก เมื่อถักชานหมาก(ความจริงน่าจะเรียกว่าหมากคำ) เสร็จแล้วก็ได้นำชานหมากทั้งหมดกลับไปให้หลวงพ่อปลุกเสกซ้ำอีกเป็นครั้งที่ สาม จากนั้นจึงนำออกแจกญาติโยมได้ ทีนี้มาถึงการถักชานหมากของหลวงพ่อ แต่เดิมนั้นถ้าผู้ใดได้รับชานหมากของท่านไปแล้ว บางคนก็นำไปตากแดดให้แห้งเสร็จแล้วก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อติดกระเป๋าเสื้อไปไหน ต่อไหนด้วย ถ้าวันไหนลืมเอาออกจากกระเป๋าเสื้อตอนซักผ้าก็จะต้องซักชานหมากไปด้วย บางคนที่ได้รับชานหมากมาก็จะเจาะหวายให้เป็นรูแล้วเอาชานหมากเก็บไว้ข้างใน จากนั้นก็อุดรูด้วยครั่ง หรือ เทียน หรือ ยางไม้ แล้วนำไปเลี่ยมเงินเลี่ยมทองตามแต่ฐานะของแต่ละคน บองคนเมื่อได้รับชานหมากมาก็ปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ จากนั้นจึงเอาครั่งไปลนไฟให้อ่อน เสร็จแล้วจึงนำมา ห่อหุ้มชานหมากไว้ให้สนิทโดยไม่มีรูให้น้ำหรือแมลงเข้าไปได้ แล้วจึงนำไปถัก ต่อมาครั่งขาดแคลนและหายากขึ้นทางวัดจึงใช้ขี้ผึ้งบริสุทธิ์ วัสดุที่ใช้ในการหุงสีผึ้งแทน โดยนำขี้ผึ้งไปลนไฟให้อ่อน จากนั้นจึงได้นำเอามาห่อหุ้มชานหมากให้สนิทแล้วจึงถัก มาตอนหลังๆนี่ครั่งหมด ขี้ผึ้งที่ใช้หุงสีผึ้งก็หมด ทางวัดก็แก้ปัญหาโดยการนำเอาชานหมากของหลวงพ่อมาปั้นให้เป็นก้อนๆ จากนั้นก็จะนำด้ายมาถักหุ้มให้เรียบร้อย เมื่อถักได้เป็นจำนวนพอสมควรแล้ว ศิษย์ก็จะนำเอาเทียนไขและเทียนขี้ผึ้งใส่กะทะแล้วเอาไปตั้งไฟบนเตา พอเทียนละลายหมดแล้วจึงยกกะทะลงมาจากเตา เอาชานหมากที่ถักไว้แล้วจุ่มลงไปในน้ำเทียน ทีละก้อนๆ จนกว่าจะหมด น้ำเทียนก็จะเข้าไปห่อหุ้มชานหมากรวมทั้งด้ายที่ถักไม่ให้แมลงและน้ำเข้าได้



    บูชาที่ 1700 บาท หายากมาส่วนมากจะศูนย์หาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    โชว์ ของรัก ของอาจารย์นำ วัดดอนศาลา สายเขาอ้อ

    [​IMG]


    ประวัติ พระอาจารย์นำ ชินวโร วัดดอนศาลา(นำ แก้วจันทร์)
    พระอาจารย์นำ ชินวโร เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือนเก้า (สิงหาคม) พ.ศ.2434 ที่บ้านดอนนูด ตำบลปันแต (บ้านดอนนูดมีอาณาเขาติดต่อกับ 3 ตำบล คือ ตำบลปันแต ตำบลควนขนุน ตำบลมะกอกเหนือ) เป็นบุตรของนายเกลี้ยง นางเอียด แก้วจันทร์ มารดาได้เสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเล็กอยู่ (หลังจากคลอดบุตรหญิงคนสุดท้อง) บิดาเป็นอาจารย์ที่เก่งกล้าทางไสยศาสตร์ ดังนั้นพระอาจารย์นำ จึงได้มีโอกาสศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์เบื้องต้นแต่เยาว์วัย นอกจากนั้น บิดายังได้นำไปฝากให้ศึกษาวิชาเวทมนตร์คาถากับพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมากสมัยนั้น

    พระอาจารย์นำ อุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปี ณ วัดดอนศาลา มีพระครูอินทรโมฬี วัดปรางหมู่นอก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูดิษฐ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ อยู่ศึกษาวิชาทางธรรมและเวทมนตร์ ฝึกฝนวิปัสสนากับพระครูสิทธยาภิรัตในระหว่างอุปสมบทได้ 6 พรรษา จึงลาสิกขาแล้วได้สมรสกับนางสาวพุ่ม มีบุตรชาย หญิง ด้วยกัน 4 คนจนกระทั่ง พ.ศ.2506 พระอาจารย์นำ ได้ป่วยหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ได้มีลูกศิษย์ของท่านประทับทรงหลวงพ่อที่วัดเขาอ้อ (บ้างก็ว่าท่านฝันเห็นพระอาจารย์ทองเฒ่า) บอกว่าหากจะให้หายป่วยจะต้องบวช ซึ่งท่าน"อาจารย์นำ"ก็รับว่าถ้าหายป่วยแล้วจะบวชทันที ปรากฏว่าอาการป่วยของท่านก็หายเป็นปกติ ดังนั้น"พระอาจารย์นำ"จึงได้อุปสมบทอีกครั้งหนึ่งที่วัดดอนศาลา เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และได้อยู่ในเพศบรรพชิตตลอดมาจนถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2519 รวมอายุได้ 85 ปี ต่อมาในปี 2520 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2520

    พระอาจารย์นำ เป็นผู้มีจิตเมตตา กรุณา มีอุเบกขา ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ที่พบเห็น ท่านได้ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อสังคมโดยส่วนรวมมากมาย และยังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ องค์ปัจจุบัน ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ ดังจะเห็นได้จาก เมื่อพระอาจารย์นำยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จและทรงเยี่ยมอาการป่วยของท่าน โปรดประทับอยู่ในกุฏินานถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พระอาจารย์นำเป็นอย่างยิ่ง


    โชว์ ของรัก อาจารย์นำ ดอนศาลา สายเขาอ้อ

    เรื่องของพุทธคุณและประสบการณ์นั้นผมว่าเล่ากันทั้งวันและทั้งคืนคงไม่หมดครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2010
  3. นักธรรมตรี

    นักธรรมตรี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +9
    แจ้งการโอนเงิน 18.51 วันนี้ครับ 43000 บาท เสมาหลวงปู่ทิมครับ ขอบคุณครับ (รุ่ง)
     
  4. SomeO

    SomeO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +1,476
    ขอบคุณครับ
     
  5. kim9

    kim9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +2,179
    หลวงปู่ดู่ - กับผงพรายกุมารลป.ทิม

    เมื่อประมาณปี ๒๕๒๐ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายเย็นหลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ออกมานั่งคุยกับศิษย์ที่บริเวณระเบียงกุฏิของท่าน เมื่อนั่งคุยกันชั่วครู่ใหญ่ หลวงปู่ดู่และศิษย์เห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งเข้า มาในวัดแล้วจอดมีชาย ๔ คนลงจากรถ และเดินตรงมาที่กุฏิของท่าน

    "เอ๊ะ..อ้ายพวกนี้มาแปลก..." หลวงปู่ดู่อุทาน "มันเอาผีมาด้วย"
    บรรดา ศิษย์ของหลวงปู่ดู่ เมื่อได้ยินหลวงปู่พูดถึงผีก็พากันชะเง้อดูคนทั้งสี่

    "เอ...ผมมองไม่เห็นผี"ศิษย์คนหนึ่งบอกกับหลวงปู่
    "ผมไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีอะไรหรือครับหลวงปู่..."

    หลวงปู่ดู่หัวเราะกับศิษย์ และพูดกับศิษย์ว่า..

    "ฉันเห็นผีมันล้อมรอบพวกสี่คนที่กำลังเดินมาเต็มไปหมด"
    คนทั้งสี่ เมื่อเดินมาถึงหน้าบันได้กุฏิ ก็พากันถอดรองเท้า
    แล้วพากันขึ้นบนกุฏิ คลานเข้ามากราบหลวงปู่ดู่..

    "นี่...พวกเธอมาหาฉัน ทำไมจึงเอาผีมาด้วย"

    หลวงปู่ดู่ถามชายทั้งสี่ พร้อมกับหัวเราะด้วยอารมณ์ดี คนทั้งสี่มองหน้ากัน ตีหน้าเลิ่กลั่ก เมื่อได้ยินหลวงปู่ดู่บอกว่า พวกตนที่มาหา...พาผีมาด้วย

    "ผีที่ไหนครับหลวงปู่"

    นาย เบิ้ม พบร่มเย็น (ต้นฉบับเดิมเขียนไว้อย่างนี้แต่จริงๆแล้วคือท่านอ.สุวัฒน์ พบร่มเย็นครับ) หนึ่งในสี่คนที่มาหาหลวงปู่ ถามขึ้นด้วยความสงสัย

    "ยังไม่รู้อีกเรอะ"

    หลวงปู่ดู่หัวเราะด้วยอารมณ์ดี

    "ผีมันออกมาจากพระที่แขวนอยู่ที่คอน่ะสิ"

    ทั้ง สี่คนที่มาหาหลวงปู่ถึงบาง "อ้อ" คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่ป็นศิษย์ของ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยองและทุกคนมีพระเครื่องที่หลวงปู่ทิมสร้าง แขวนอยู่บนคอเช่น พระพรายเพชร พรายบัว (พระสององค์ติดกัน)พระพิมพ์สี่เหลี่ยมหัวโต

    ...หรือพระเล็กๆ แบบสามเหลี่ยมเรียกนางพญา และพระขุนแผนเล็กและใหญ่บรรดาพระเครื่องที่เอ่ยนาม มานี้นอกจากจะมีผงพระพุทธคุณแล้วยังผสม

    "ผงผีพรายกุมาร" ที่ได้มาจากเด็กที่ตายทั้งกลม....คนทั้งสี่นำสร้อยคอที่แขวนพระที่มีส่วนผสม ของผงพรายกุมารให้หลวงปู่ดู หลวงปู่นั่งหลับตาชั่วครู่ใหญ่บอกว่า

    "ของเขาแรงใช้ได้ดีทีเดียว แต่ดูเหมือนผู้สร้าง..ได้เสีย..เสียแล้ว"

    "ครับ...เป็น พระเครื่องของท่านหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ที่ได้สร้างขึ้นและหลวงปู่ทิมได้มรณภาพมากว่า ๒ ปีแล้ว..."

    นายเบิ้ม พบร่มเย็น บอกแก่หลวงปู่ดู่...คนทั้งสี่อัศจรรย์ใจที่หลวงปู่ดู่ท่านรู้ว่าที่คอของพวก ตน มีพระเครื่องที่ท่านหลวงปู่ทิมใช้ผงพระพุทธคุณ และผงพรายกุมารผสมป่นลงไปแล้วปลุกเสกสร้างเป็นองค์พระขึ้น คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่ จึงเคารพหลวงปู่ดู่ยิ่งทั้งสี่คนนั่งคุยกับหลวงปู่ดู่ครู่ใหญ่



    คุณชินพร ศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ถามหลวงปู่ดู่ว่า...

    ท่าน หลวงปู่ทิม อาจารย์ของผมเป็นพระเถระที่ยึดมั่นพระธรรม และพระวินัยของพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัดไม่ยินดียินร้ายในรูป รส กลิ่น เสียง และถือสันโดษเป็นพระภิกษุที่มีศีลาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส หลวงปู่ทิมได้สร้างพระเครื่อง โดยมีผงพรายกุมารที่ท่านทำมาจากเด็กตายทั้งกลม จากท้องมารดาการกระทำของหลวงปู่ทิม จะเป็นบาปหรือไม่ ?

    หลวงปู่ดู่

    "ไม่บาป การที่ไม่บาปเป็นเพราะว่า
    เด็ก ที่อยู่ในท้องแม่ยังไม่เกิดเป็นตัวตนคือยังไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ยังไม่มีวิญญาณและแม่เด็กก็ได้ตายไปแล้วซึ่งแม่เด็กและเด็ก ก็จะกลับสู่สภาพเดิมคือ เป็นผงธุลีไป "หลวงปู่หยุดเล็กน้อย"

    การที่ถามว่า เอาหัวกระโหลกเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาทำของจะบาป ไหม...เรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน เด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมนั้น อยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะไปเกิด สภาพของเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมจึง เหมือนกับก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง และถ้านำเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลม มาปลุกเสกด้วยอาคมและปลุกเสกด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟก็จะอยู่ในลักษณะหนึ่งที่ทางไสยศาสตร์เรียกว่า
    " ภูติ หรือ มหาภูติ "

    และ ถ้าเราเอาตัว ภูติ ที่ปลุกเสกด้วยอาคม และธาตุทั้งสี่มาทำของของนั้นก็จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่ง.."

    คำ อธิบายของหลวงปู่ดู่ทำให้คุณชินพร และพวกหายข้องใจในเรื่องที่นำเด็กในท้อง ของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสก แล้วป่นทำเป็นผงนำไปผสมกับผงพระพุทธคุณแล้วนำ ไปสร้างพระ...หรืออุดผงนี้ลงที่ด้ามมีดหมอหรือนำผงนี้อุดที่องค์พระที่สร้าง ขึ้นบรรดาคนทั่วไป มักจะเรียกผงนี้ว่า ผงพรายกุมาร
     
  6. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ขอบพระคุณมากครับ คุณ kim9 ที่กรุณาในข้อมูล

    ขอบพระคุณมากครับ คุณ kim9 ที่กรุณาในข้อมูล
     
  7. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ผ้ายันต์หลวงพ่อกวย พิมพ์สิวลียุคแรก สวยๆ ตราวัดประทับ

    ผ้ายันต์หลวงพ่อกวย พิมพ์สิวลียุคแรก สวย มีตราวัดประทับ
    ซึ่งหายากมากๆ ผ้ายันต์สิวลี ยุดต้น ตั้งแต่หาของหลวงพ่อกวยมาพบไม่น้อยมากครับ

    สนใจสอบถามรายละเอียดได้ครับ ขอบคุณครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ongvip

    ongvip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,511
    ค่าพลัง:
    +2,216
    จอง..........................................
     
  9. ongvip

    ongvip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,511
    ค่าพลัง:
    +2,216
    ติดต่อพี่ไม่ได้ส่งมาได้เลยครับ (ราคาห้ามดุกับผมนะ)

    ด้วยความเคารพ
    อ๋อง
     
  10. นักธรรมตรี

    นักธรรมตรี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +9
    มาไม่ทัน พี่ครับขอราคา 1.ตะกรุดหลวงปู่สี 2.ชานหมากหลวงพ่อทบ ครับ
     
  11. kim9

    kim9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +2,179
    ๑๗ อภิญญาสมาบัติ ทิพย์แห่งจิต หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ตอนที่ ๕

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <ins style="display: inline-table; border: medium none; height: 250px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 300px;"><ins id="google_ads_frame1_anchor" style="display: block; border: medium none; height: 250px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 300px;"></ins></ins>
    [​IMG]
    พุทธนิมิต-ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๑


    คำ ว่าภูตนี้ มักใช้กับพวกภูตผีปีศาจ ตามที่โบราณบอกไว้ว่า เมื่อคนเราตายลงไป ก็จะมีภูติเกิดขึ้นคือ ภูตดิน ภูตน้ำ ภูตลม และภูตไฟ คนที่ไปเจอผี หลวงปู่บอกว่า บางทีก็ไปเจอภูตเหล่านี้

    ตามความเห็นของผู้เขียน ภูตนี้หมายถึง พลังงานที่ยังหลงเหลืออยู่ของปุถุชนทั่วไป เสมือนไปที่เราก่อไว้ แม้ดับลงไปแล้ว เมื่อเราเอามือไปจับ จะรู้สึกว่ายังมีความร้อนสะสมอยู่ แล้วจะค่อยๆ เย็นตัวลงเป็นลำดับ แต่สำหรับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ พลังงานของท่านเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ ซึ่งท่านอธิษฐานไว้ เพื่อช่วยเหลือพระพุทธศาสนา

    อันเปรียบเสมือนตัวแทนของพระองค์ท่าน แม้จะทิ้งสังขารไปแล้ว สิ่งที่เราเรียกว่ารูปธรรมนั้น ก็น่าจะเป็นรูปธรรมละเอียด หรือจะเป็นนามธรรมก็ได้ เพราะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถสัมผัสหรือรู้ได้ โดยลักษณาการทางจิตที่ปฏิบัติได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ


    การ ปฏิบัติให้จิตพ้นทุกข์นั้นมีหลายวิธีการ บางท่านก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่โลดโผน บางท่านมีนิสัยวาสนาในด้านความลึกลับ ซึ่งไปตามอัธยาศัยหรือความชอบ แต่จุดมุ่งหมายใหญ่คือ ความพ้นทุกข์ เพื่อให้ได้เข้าถึงธรรมคือ พระนิพพาน ที่กล่าวกันว่า
    "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต" ถ้าเรามาตีความหมายในขั้นละเอียด คืออะไรเป็นตัวเห็น ตอบว่าจิต หมายถึงจิตเห็นเสมือนตาเห็นรูป เพราะไม่มีอำนาจใดจะเท่ากับอำนาจของจิตได้

    ผู้ที่นั่งสมาธิและเห็นพระก็เช่นเดียวกัน แต่อยู่ในระดับที่ยังเอาพระเป็นที่พึ่งไม่ได้ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    แต่การเห็นเหล่านี้ ก็อยู่ในขั้นที่เราได้สัมผัส กับพลังงานของพระที่มีอยู่ ทำให้ไม่สงสัยว่าจะมีจริงหรือไม่ ทางพุทธศาสนาเรียกว่าเป็น พุทธนิมิต ธัมมนิมิต สังฆนิมิต


    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๒


    แรง บันดาลใจที่ทำให้หลวงปู่ดู่ต้องการมาศึกษาเรื่องนี้ คือว่ามีชาวบ้านอยู่คนหนึ่ง กลืนพระวัดตระไกรลงไปในท้อง แล้วมาปรึกษาท่านว่า ควรจะทำอย่างไร ท่านก็บอกว่า ให้ลองเอาผ้าขาวปูเวลานอนหลับ พอตอนเช้าพระก็ออกมาที่ผ้าขาว

    ซึ่งหลวงปู่ก็คิดว่า การที่พระออกมาที่ผ้าขาวได้นั้น แสดงว่าพระจะต้องมีพลัง พลังอันนี้ก็คือ ภูตพระพุทธเจ้า ในเรื่องของการเคลื่อนที่ของพระยังมีอีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อใจ วัดเสด็จ ตะกรุดที่ท่านทำเขาเรียก
    "ตะกรุดโลกธาตุ" บางคนที่เผลอกลืนเข้าไป ท่านจะสั่งให้เอาผ้าขาวปู พอตอนกลางคืนเขาก็พยายามที่จะไปดูว่า ตะกรุดจะออกมาตอนไหน จนกระทั่งม่อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาปรากฎว่า ตะกรุดออกมาอยู่ที่ผ้าขาวแล้ว นี่แสดงถึงพลังงานของพระที่ยังมีอยู่

    หลวงปู่จึงต้องการจะศึกษาว่า พลังงานของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้ว ก็ยังมีพลังงานเหล่านี้อยู่ ส่วนในเรื่องข้อขัดแย้งระหว่างหลวงปู่กับอาจารย์เฮง (ไพรวัลย์) ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่สี วัดสะแก

    อาจารย์เฮงจะทำในด้านเกี่ยวกับพรหม คือจะเชื่อว่าพรหมยังมี แต่ในขณะเดียวกันจะถือว่า พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์พอเข้านิพพานแล้วก็สูญ ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีพลังเหลือ หลวงปู่จึงถามท่านว่า อาจารย์เคยไปพระปฐมเจดีย์แล้วเห็นพระธาตุเสด็จหรือเปล่า ท่านก็บอกว่า อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย

    คือ สมัยที่เป็นเสือป่าตามเสด็จรัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระบรมโอรสาธิราช ในคืนนั้น พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ได้เสด็จออกจากพระปฐมเจดีย์ ระยะ หนึ่งแล้วก็กลับมาโดยมีรัศมีสีเขียวเป็นลูกกลมเท่าผลส้มเกลี้ยง ซึ่งในการเห็นครั้งนี้ รัชกาลที่ ๖ พร้อมทั้งข้าราชบริพารที่ตามเสด็จก็เห็นโดยทั่วกัน

    พระองค์จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงพระราชบิดา หรือพระพุทธเจ้าหลวง โดยทรงอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า
    "อาจจะเกิดจากสารเรืองแสง แต่ทรงมีข้อสงสัยว่า น่าจะต้องเกิดขึ้นหลังจากที่ฝนตก แต่การเสด็จของพระธาตุนั้น เกิดขึ้นในขณะที่ฟ้าโปร่ง รัชกาลที่ ๕ ได้มีพระราชหัตถเลขาตอบมาว่า "ไม่ ต้องสงสัยในเรื่องนี้ เพราะพระองค์พร้อมทั้ง ข้าราชบริพารได้เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของ พระพุทธานุภาพคือ เป็นบารมีของพระบรมสารีริกธาตุ นั่นเอง"

    ตรงนี้อาจารย์เฮงก็บอกว่า ตนเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น หลวงปู่จึงได้บอกว่า
    "ถ้า พระธาตุ หรือพระบรมสารีริกธาตุ เคลื่อนที่ไปได้ก็แปลว่า จะต้องมีพลังงานในการขับเคลื่อน ซึ่งพลังและบารมีนี้ก็แสดงว่าไม่ได้สูญหายไปไหน"

    หลวงปู่ยังกล่าวอีกว่า "กระดูกคนตายหลายร้อยหลายพันราย เห็นทิ้งกันให้เกลื่อนกลาดดาษดื่น ถ้าภูตพระพุทธเจ้าหมดไปแล้ว พระบรมธาตุจะเสด็จไปได้อย่างไร" อาจารย์เฮงเลยนั่งเงียบ ไม่สามารถจะหาข้อมาโต้แย้งกับท่านได้ เพราะการที่พระธาตุเสด็จ ก็เสด็จไปด้วยอำนาจของภูตเหล่านี้


    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๓


    เมื่อหลวงปู่กล่าวจบ ท่านได้เล่าความฝันให้ฟังต่อว่า มีพระองค์หนึ่งเป็นพระสงฆ์มีรูปร่างใหญ่ผิวดำมาบอกว่า
    "ถ้าท่านต้องการของดี ทำไมท่านไม่หา ภูตพระพุทธเจ้า ให้พบ" แล้วพระองค์เดียวกันนั้น ท่านได้มาเขียนคาถาใส่ธง ๓ ธง ขณะที่เขียน ท่านเอียงข้างเขียน

    จึงมองไม่เห็นว่าท่านเขียนอะไร เสร็จแล้วท่านเอามือตบที่ธง ๓ ครั้ง ธงก็ลอยขึ้นไปพะเยิบพะยาบ หลวงปู่จึงตื่นขึ้น อีกครั้งหลวงปู่ฝันเห็นพระองค์ท่าน แบกใบลานเข้ามาบอกว่าจะเอามาให้กิน หลวงปู่บอกว่าผมจะกินเข้าไปได้ยังไง ใบลานตั้งแบก ท่านบอกว่ากินได้ ประเดี๋ยวท่านจะทำให้ ท่านก็เผาใบลาน

    พอดีหนูเจ้ากรรมกระโดดตกลงมาบนบาตร เลยตกใจตื่นไม่ทันได้กิน ซึ่งแสดงถึงว่าท่านต้องเคยได้มาแล้วในอดีต เมื่อเคยได้มาแล้วในอดีต ก็เกิดแรงบันดาลใจเกี่ยวกับความฝัน จึงทำให้หลวงปู่คิดจะค้นคว้าว่า ภูตพระพุทธเจ้า หรือพลังงานของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน มีจริงหรือไม่

    สำหรับ พระสงฆ์องค์ที่หลวงปู่พบในฝัน ก็คือหลวงปู่ทวด นั่น เอง แสดงถึงบุญบารมีเก่าที่เคยสร้างมา ทำให้หลวงปู่จึงมาเกิดในนิมิตในเรื่องนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ พระภิกษุชาวอินเดียยุคหลังพระพุทธเจ้านิพพานประมาณ ๑ พันปี ได้เขียนไว้ในอรรถกถาธรรมบท ขุททกนิกาย ภาค ๖ เรื่องว่าด้วยตอนพระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ เสด็จขึ้นไปแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดายังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาติดต่อกันตลอด ๑ พรรษา ตามท้องเรื่องก็ว่า พระพุทธมารดาทรงฟังธรรมพระพุทธเจ้าอย่างต่อเนื่องตลอด ๑ พรรษา เวลาใดพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาต

    เวลานั้นพระพุทธเจ้าจะทรงเนรมิตสิ่งที่เรียกว่า "พระพุทธนิมิต" ซึ่งเสมือนพระพุทธเจ้าทุกประการ ทำหน้าที่แสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา โดยพระพุทธเจ้าองค์จริงทรงแสดงธรรมถึงไหนแล้ว หยุดไว้ตรงใด เพราะต้องเสด็จไปบิณฑบาต พระพุทธนิมิตก็เข้าทำหน้าที่แสดงต่อจากตรงนั้นไป

    ครั้นพระพุทธเจ้าทรงฉันอาหารเสร็จแล้ว เสด็จมาแสดงธรรมต่อ ก็ทรงแสดงต่อจากพระพุทธนิมิตได้แสดงไว้ ส่วนพระพุทธนิมิตก็หายไปเป็นอย่างนี้ตลอดพรรษา ๓ เดือน


    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๔


    ภูต พระพุทธเจ้า จึงมีความหมายถึง พลังงานหรือความดีของพระที่ยังคงอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน มีผู้ไปเรียนถามหลวงปู่บุดดา ถาวโร ว่า การที่มีผู้ได้มโนมยิทธิ ในสายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือแม้แต่ในสายของหลวงปู่ดู่ก็ดี จะสามารถไปนมัสการพระจุฬามณี และไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริงหรือไม่

    ในเรื่องนี้หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า
    "สิ่งเหล่า นี้ เป็นพุทธนิมิตของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีศาสนาสิ่งเหล่านี้ก็สิ้นไป แม้แต่ในศาสนาพราหมณ์ ก็ยังมีการปฏิบัติจิต สามารถที่จะพบกับพระพรหม หรือเทวดาในศาสนาของตัวเองได้ หรือแม้แต่ในศาสนาอื่น ก็ยังมีการปฏิบัติทางจิต เช่น ศาสนาคริสต์ แล้วทำไมพุทธศาสนาซึ่งว่าด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติก็น่าที่จะไปพบพระพุทธเจ้าได้

    " การที่ไปพบพระพุทธเจ้าได้นั้น ก็แสดงว่าพลังงานและพลังจิตไม่ได้สูญหายไปไหน ยังคงมีอยู่ ท่านอธิษฐานไว้ถึง ๕,๐๐๐ ปี "

    แม้ในปัจจุบันจากหนังสือ ที่พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เขียนถึงเรื่องพระอาจารย์มั่น ว่า แม้แต่พระอาจารย์มั่นก็ยังพบกับพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนเชิงวิจารณ์ในเรื่องนี้ โดยอ้างตามบาลีว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เมื่อนิพพานแล้วย่อมมีสภาพสูญ แต่สูญในที่นี้หมายถึง สูญจากกิเลส ตัณหา อุปทาน ดังนั้น

    การที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พบนั้นก็คือ พุทธนิมิตที่พระพุทธองค์ หรือสังฆนิมิต ที่พระอรหันต์มาแสดงให้เห็น แม้แต่เมื่อพระอาจารย์มั่นนิพพานไปแล้ว ลูกศิษย์ของท่านอีกหลายองค์ เช่น หลวงปู่ขาวก็ดี หลวงปู่แหวนก็ดี เมื่อปฏิบัติถึงจุดหนึ่งแล้ว พระอาจารย์มั่น ก็จะมาโปรดในนิมิต ซึ่งแสดงว่าพระอาจารย์มั่นมิได้สูญหายหรือสูญเปล่าไป


    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๕


    การ เสด็จโปรดสัตว์โลก ซึ่งเป็นพุทธกิจของพระพุทธเจ้า ปกติท่านจะเสด็จด้วยพระองค์เอง แต่บางโอกาสก็จะเสด็จโดยพุทธนิมิตในภาวนาก็ได้ ตามพระธรรมทัฏฐกถา กล่าวไว้หลานต่อหลายครั้งว่า พระสาวกของพระองค์กำลังพิจารณาธรรมอยู่ เกิดขัดข้องในการพิจารณาธรรม อันเป็นช่วงสำคัญด้วยประการใดก็ตาม
    พระพุทธเจ้าระหว่างประทับอยู่ในพระคันธกุฏิ จะทรงเปล่งพระโอภาส แสดงพุทธนิมิตปรากฎพระองค์ อยู่ต่อหน้าพระสาวกองค์นั้นๆ ด้วยพระเมตตาธรรม

    ทรงตรัสแนะ ทรงเฉลยธรรม และเมื่อพระสาวกองค์นั้นพิจารณาตามไป ก็สามารถบรรลุมรรคผล อรหัตผลได้โดยไม่ยาก


    พุทธนิมิตจึงมิได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพาะ สมัยนี้ หากแต่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว ผู้รู้ท่านกล่าวว่าเกิดจากกระแสพระเมตตาธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแผ่สู่เวไนยสัตว์เป็นอัปปมาโณพุทโธ คือ ไม่มีประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่สรรเสริญคุณความดีของพระพุทธเจ้านั้น จึงเปรียบเสมือนนกบินไปมาในอากาศ ผู้ที่เข้าถึงธรรมดังพระอริยสาวก จะเป็นผู้เข้าถึงพุทธนิมิต ธัมมนิมิต สังฆนิมิต ตามภูมิจิตภูมิธรรมของตน

    หลวงปู่เคยเล่าว่า แต่ครั้งพุทธกาล พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ที่มาประชุมกันในวันมาฆบูชา เพ็ญเดือน ๓ นั้น ท่านได้ภูตพระพุทธเจ้าหรือพุทธนิมิตนี้ ท่านจึงมีใจตรงกันที่จะมานมัสการพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าได้ประทาน
    "โอวาทปาฏิโมกข์" ซึ่งถือเป็นต้นบัญญัติในการเผยแพร่พระพทธศาสนาในครั้งนั้นว่า

    ขันติ ปะระมัง ตะโป ตีติกะขา

    ความอดทน คือความทนทาน เป็นตะบะอย่างยิ่ง


    นิพพานัง ปะระมัง ทันติ พุทธา

    ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมกล่าว พระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม

    นหิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาติ

    บรรพชิต ผู้ฆ่าสัตว์อื่น เบียดเบียนสัตว์อื่น

    สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐยันโต

    ไม่ชื่อว่าสมณะเลย

    สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง

    การไม่ทำบาปทั้งปวง

    กุสสะละสู ปะสัมปะทา

    การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม

    สะจิตตัง ปริโยทะปะนัง

    การทำจิตของตน ให้บริสุทธิ์แจ่มใส

    เอตัง พุทธานะ สาสะนัง

    สามอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    อนูปวาโทความไม่เข้าไปว่าร้ายกันด้วย

    อนูปฆาโต
    ความไม่เข้าไปล้างผลาญกันด้วย

    ปฏิโมกเข จะ สังวโร

    ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ด้วย

    มัตตะญะญุตา จะ ภัตตสังสะมิง

    ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหารด้วย

    ปันตัญจะ สะยะนาสนัง

    ที่นอนที่นั่งอันสงัดด้วย

    อธิจิตเต จะ อาโยโค

    ประกอบความเพียรในอธิจิตด้วย

    เอตัง พุทธานะ สาสะนัง

    นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า
    ช่วงที่ ๖

    ใน สมัยปัจจุบันท่านธัมมวิตักโก (เจ้าคุณนรรัตน์) ท่านก็ยังเคยส่งกายทิพย์ไปรักษาฝรั่งที่สหรัฐอเมริกา ตามข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อมีคนไปเรียนถาม ท่านได้อธิบายว่า "
    พลังจิตเปรียบเสมือนคลื่นวิทยุ สามารถรับได้ทุกแห่งที่ส่งไป แต่การส่งมีมาแต่แหล่งใหญ่เพียงที่เดียว"

    ผู้เขียนเคยเรียนถามหลวงปู่อินทร์ วัดไทรงามเหนือ จังหวัดกำแพงเพชร เกี่ยวกับเรื่องนิพพานสูญ ท่านตอบสรุปได้ว่า "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง สุญ คือ สูญจากกิเลสโลภ โกรธ หลง แต่ไม่ใช่สูญไปหมด เหลือแต่จิตอันบริสุทธิ์"

    ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านอธิบายว่าเป็นลักษณะของ จิตที่เข้าสู่สุญญตา หรือความว่างของจักรวาลเดิม ทำให้จิตหมดความคิดปรุงแต่ง

    ดังที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง ท่านใช้คำว่า "ใจ" นั่นเอง หรืออย่างกับคำกล่าวของหลวงปู่เกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ที่ว่า "ความเห็นเป็นต้นเหตุแห่งความคิด ความคิดเป็นต้นเหตุแห่งความเห็น คิดดีก็เป็นทางเย็น คิดไม่เป็นก็เย็นสบาย"

    ดัง นั้น คำว่า ภูตพระพุทธเจ้า ที่หลวงปู่กล่าวถึง ก็คือพลังงานบริสุทธิ์ที่ยังคงอยู่ ไม่ได้เสื่อมสูญหายไปไหน ขอให้นักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ได้โปรดเข้าใจ สิ่งใดก็ตาม ที่ทางโลกไม่รู้ไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือยังพิสูจน์ไม่ได้ เขาจะพูดว่าไม่มี

    แต่สำหรับทางธรรมนั้น การเรียนรู้ถึงกิเลส เป็นสิ่งละเอียดเกินกว่าทางโลกจะเข้าไปสัมผัสได้ถึง จึงมิควรที่จะกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มี เหมือนกับเรามองไม่เห็นเชื้อจุลินทรีย์ได้ด้วยตาเปล่า แต่ถ้าใช้กล้องจุลทรรศน์ซึ่งทางโลกประดิษฐ์ขึ้น ก็สามารถจะรู้ได้เป็นลำดับ จนปัจจุบันมีการประดิษฐ์กล้องอิเล็กตรอน ทำให้เรามองเชื้อโรคเป็นสิ่งไม่ลึกลับอีกต่อไป


    ส่วนธรรมะของพระ พุทธองค์นั้น มีอยู่สิ่งเดียวที่เราจะเข้าถึงได้คือ การเรียนรู้ถึงเรื่องของจิตใจ อันเป็นสิ่งที่ต้องประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง เรียกว่า
    "ปัจจัตตัง" ทำให้เราเป็นคนฉลาด คือมีกุศลกรรมบังเกิดขึ้น และจะไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการสบประมาทต่อสิ่ง ที่เราคิดว่าไม่มี เพื่อไม่ให้เกิดผลกรรมที่ตัวเองเป็นผู้กระทำโดยไม่ตั้งใจ


    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๗


    กล่าว โดยสรุป เมื่อประมาณปี ๒๕๒๘ ที่วัดสะแก ได้เกิด พุทธ นิมิตขึ้น คือ เกิดขึ้นที่พระพุทธรูป แก้วน้ำ หรือสิ่งต่างๆ ซึ่งการเกิดนี้มีลักษณะที่เป็นพระพุทธรูป เป็นวิมานแก้ว หรือเป็นรูปหลวงปู่เองก็ดี รูปพระสงฆ์องค์อื่นก็ดี มีพุทธศาสนิกชนมาดูกันมากมาย แล้วก็วิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ ว่าจะเป็นการสะท้อนของแสงหรือไม่ แต่เมื่อพิสูจน์กันอย่างจริงจังแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นภาพลวงตา

    หรือแม้แต่ภาพถ่ายซึ่งมีอยู่ปีหนึ่งถ่ายรูปหลวงปู่ในงานถวายกระทง รูปหลวงปู่ก็เกิดมีเส้นแสงของพลังเกิดขึ้น พลังนี้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะหลวงปู่องค์เดียว หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ก็ดี หรือหลวงพ่ออีกหลายๆ องค์ก็ดี

    อย่างเช่น พระอาจารย์จวน ก็เกิดแสงสว่างแบบนี้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นตัวชี้ว่า พลังงาน พลังจิตนั้นเป็นของมีจริง และในเหตุการณ์ปัจจุบันที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ ในงานหล่อพระที่วัดพุทไธสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ เป็นพระพุทธรูปปางอู่ทอง ที่จะนำไปประดิษฐานที่ สำนักสงฆ์พุทธพรหมปัญโญ ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้สร้างให้หลวงปู่เป็นอนุสรณ์ ในเทปวิดีโอที่ปรากฎขึ้นมานั้นก็มี ลักษณะของวิมานแก้ว และลักษณะของพลังรัศมี ๖ ประการ เกิดขึ้น

    ในขณะที่กำลังเททองหล่อพระพุทธรูปองค์นี้ หรือแม้แต่ในถ้ำเมืองนะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์พุทธพรหมปัญโญ ก็ยังมีลักษณะของเส้นแสงเกิดขึ้นเช่นกัน


    ที่วัดพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี มีรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฎอยู่บนหน้าผา ซึ่งรูปนี้มีประชาชนไปเคารพสักการะมาก หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เคยเดินธุดงค์ไปแล้ว ได้อธิษฐานและนั่งสมาธิ ท่านก็รับรองพระพุทธฉายนั้นเป็นของจริง มีจริง สำเร็จได้ด้วยพระพุทธบารมี หมายถึงพระพุทธองค์ถ่ายรูปเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้ บารมีของพระพุทธองค์นั้น เป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ย่อมสามารถที่จะแสดงสิ่งที่เหนือมนุษย์ได้ สิ่งเหล่านี้ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า
    "อภิญญา"

    คือ ความรู้ยิ่ง ดังนั้นในเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธนิมิต สิ่งที่จะเป็นตัวเสริมว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงนั้น ก็ต้องอยู่ที่จะต้องมีการประพฤติปฏิบัติ เพราะบุคคลที่จะประพฤติปฏิบัติแล้วไปพบพระพุทธเจ้า พบหลวงปู่ดู่ พบหลวงปู่ทวดได้ ก็จะเป็นเครื่องเจริญศรัทธา จะมีความก้าวหน้า เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

    สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว การได้มานมัสการก็ดี ได้ชมพุทธนิมิตด้วยตนเองก็ดี จะเป็นภาพติดตาติดใจ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานอีกด้วย ดังคำหลวงปู่ที่ว่า


    ดูแล้วให้จำ จำแล้วเอาไปทำ (ปฏิบัติ) ที่บ้าน

    ถ้าเราทำเป็น ทำที่บ้านเราก็เห็น ไม่ต้องมาวัดหรอก
     
  12. kim9

    kim9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +2,179
    เอามาลงเผื่อคนจะไม่เข้าใจครับ
     
  13. นักธรรมตรี

    นักธรรมตรี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +9
    ยอดเยี่ยมมากครับ ได้ความรู้ อะไรหลายๆอย่างในบทความนี้เลย
     
  14. จิ๊กซอ

    จิ๊กซอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,062
    ค่าพลัง:
    +2,356
    มาชมเครื่องราง อ.นำ ครับ ผมมีแต่ตะกรุดโน 5 นิ้ว....
     
  15. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ขอบพระคุณมากๆครับที่มาเยี่ยมชม

    ตะกรุดโทน 5 นิ้ว เยี่ยมมากๆครับแต่ก่อนผมมีอยู่ครับไม่มากเท่าเหรียญ ลาแตก รุ่นแรก ผมมีเป็นถุงเลยครับตอนออกใหม่ๆแจกเขาไปทั่วจนตัวเองไม่เหลือครับ

    ไม่ทราบทันใดจะได้สังเกตุใหมครับว่าเส้นผมอาจารย์นำทำไม่ยาวจัง ถ้าท่านใดชั่งสังเกตุก็ต้องคิดอยู่ในใจบ้างใช่ไหมครับ ผมตอบให้เลยครับเป็นเส้นผมตอนที่อาจารย์นำปลงผมบวชครับ(อาจารย์นำท่านบวชครั้งที่ 2 ตอนอายุมากแล้ว)ชุดที่ได้มาท่านอาจารย์นำมอบมาให้คุณพ่อในช่วงปี 14/16 อันนี้จำปีไม่ได้ครับ
    ยังมีอีกหลายๆชิ้นแล้วจะลง โชว์ ให้ชมกันครัีบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2010
  16. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    เม็ดเนระภูษี หลวงพ่อชำนาญ ฝังตะกรุดทอง

    เม็ดเนระภูษี หลวงพ่อชำนาญ ฝังตะกรุดทอง

    หลวงพ่อชำนาญ เม็ดเนระภูษี วิธีกรรมในการทำนั้นถือว่ายากยิ่งครับ หลวงพ่อท่ายตั้งใจทำออกมาให้ดีทางด้าน ติดต่อค้าขาย นั้นคือทางเมตตามหานิยมครับ

    บูชาเบาๆที่ 750 บาทครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ตะกรุดหลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง ท่านผู้เข้มขลังอาคม จนทหารไทยได้ชื่อว่า "ทหารผี"

    ตะกรุดหลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง ท่านผู้เข้มขลังพุทธคุณยิ่ง

    ตะกรุดหลวงพ่อจง ส่วนมากสร้างเพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารที่ไปร่วมรบใน สงครามอินโดจีน จนทหารไทยได้ฉายาจากชาวต่างชาติว่า ?กองพันปีศาจ หรือ ทหารผี เนื่องจากเกิดอภินิหารหลายต่อหลายครั้งที่ทหารไทยถูกยิงแต่กระสุนไม่ระคายผิว ล้มแล้วลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีก และเรื่องประสบการณ์ต่างๆอีกมากครับที่เกิดขึ้นสำหรับชาวอยุธยาที่ได้รับจากท่านช่วงแรกๆนั้นถือได้ว่าสุดที่จะหวงแหนเป็นที่สุด

    ตะกรุดดอกนี้ถ้าจับกล้องส่องดูลึกๆจะเห็นเลขยันต์หลวงพ่อจงครับ
    ทองแดงตะกรุดดอกนี้ดูง่าย จากผิวทองแดงกลับเป็น สำริด และเนื้อทองแดงจะมี การย่น บางจุดครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2010
  18. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    ขอบพระคุณท่านนักธรรมตรี ครับผมจัดส่งให้แล้วครับเมื่อวันเสาร์น่าถึงจันทร์เช้าครับ ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ
     
  19. ongvip

    ongvip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,511
    ค่าพลัง:
    +2,216

    ส่งมาได้เลยครับพี่

    ด้วยความเคารพ

    อ๋อง
     
  20. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,443
    ค่าพลัง:
    +1,851
    มีหลายๆท่านได้สอบถามถึงพระคาถาบูชามีดหมอหลวงพ่อรุ่ง มาครับ

    นะโม 3จบ

    "สักกัสสะวิชิราวุทธัง เวสสุวัณณะสะคธาวุทธังยะมะ สะนัยนาวุทธัง นารายะสะจักราวุทธัง ปัญจะอาวุทธานัง ภัคะภัคคาวิจุนนัง วิจุนนาโลมังมาเมนะพุทธสันติ คัยฉะอะมุมหิโอกาเสติถํหิ"

    ถ่องแล้วระลึกถึงถึงหลวงพ่อท่านจะสัมฤทธิ์ผลทุกประการ
     

แชร์หน้านี้

Loading...