จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=WTyBnxnT7PY]บทสรรเสริญพระพุทธ คาราโอเกะ - YouTube[/ame]​
    พยายามเน้นที่ "จิต"
    ให้เบาสบาย แต่ละวัน
    โดยเฉพาะจิตบุญ ที่ยังนิ่งไม่พอ
    เพราะจิตยังต้องเดินทางอีกยาวไกล
    ทั้งยังมีลมหายใจและไม่มีลมหายใจ
    ได้โปรดรักษากาย รักษาจิต
    แต่บางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ อาจจะคนดูแลเป็นอย่างดี
    แต่..แต่เมื่อใดท่านหมดลมหายใจไปแล้ว ท่านเจ้าของจิตนั้นจะต้องดูแลตนเองแล้วนะ
    เพราะฉะนั้น วันนี้ ตราบใดยังมีลมหายใจกันอยู่ ก็อย่าได้ประมาท
    ได้โปรดรักษา โดยเฉพาะดูแลหรือสนใจดูจิตตนเองให้มากๆ
    เพราะเมื่อสิ้นลมหายใจไปแล้ว นั่นก็หมายความว่า หยุดหมด หยุดทุกสิ่งทุกอย่าง
    หมดโอกาสทำความดี ความชั่ว หมดสร้างบุญบารมีของตนแล้ว
    ท่านจะไปเรียกร้องกับใครๆไม่ได้อีกแล้ว เพราะเวลายังมีชีวิตอยู่นั้น
    มัวแต่ทำอะไรกันอยู่
    เมื่อสิ้นลมหายใจไปแล้ว ไม่มีใครช่วยกันได้เลย พูดกับพ่อแม่พี่น้องญาติๆก็ไม่ได้ ติดต่อใครไม่ได้
    โทรศัพท์ เครื่องมือที่เคยสื่อสาร ก็ใช้ไม่ได้แล้วในโลกทิพย์ หรือ โลกหลังความตาย

    วันนี้พี่ภูมาเตือนกัน
    เพื่อความหวังดี ไม่อยากเห็นผู้คนที่กำลังมีความสุขกันในวันนี้
    และไม่รู้หรอกนะว่า ความทุกข์นั้นกำลังรอท่านอยู่ในวันหน้า อย่างแน่นอน
    เพราะความสุขที่แท้จริงในโลกใบนี้ ไม่มีจริง มีแต่สุขชั่วคราว
    แต่สุขจริงๆนั้น อยู่ที่สุขภายใน หรือ ภายในจิตตนเอง
    แต่ถ้าผู้ใด ตายในขณะที่จิตไม่ไปยึดติดกับสิ่งใดก็ดีไป ไปสุคติแน่
    แต่ถ้าตรงกันข้ามหล่ะ ไปทุคติภูมิแน่ๆ
    แต่ผู้ที่จะไปทุคติภูมินี่มีเบอะกว่า ไปสุคติภูมิแน่นอน
    และไม่มีผู้ใดไปทุคติภูมิกันหรอก แต่เผลอไปมาก หรือประมาทมากไปหน่อย

    วันนี้จิตเกาะพระ
    สอนให้เรารู้จักตนเองมากกว่าผู้อื่น
    สอนให้ออกจากความทุกข์ตนเอง สอนให้ออกจากเวียนว่ายตายเกิด
    สอนเดินทางลัด-ตัด-ตรง เข้าสู่พระนิพพานได้โดยง่ายๆ
    สอนเดินตามรอยอริยมรรคทุกอย่าง ไม่บิดเบือน
    ฝีมือของผู้ปฎิบัติโดยตรง ไม่ต้องจับสลากหรือชิงโชค ไม่มีเด็กเส้น
    ไม่นำควายไป พระนิพพาน
    สอนจิตปุถุชนให้เป็นจิตอริยบุคคล
    สอนให้มีจุดหมายปลายทางดวงจิตตนชัดเจน เช่น มรรค ผล นิพพาน เป็นต้น
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    อยู่คนเดียวให้ระวังอารมณ์จิต อยู่หลายคนให้ระวังวาจา

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

    ๑. รักษาอารมณ์ของจิตให้ดีๆ อยู่หลายคนให้ระวังวาจา และพยายามทำตนให้เหมือนอยู่คนเดียว

    ๒. ทุกคนไม่ช้าไม่นาน ก็ต้องพรากจากกันไปหมดคือ มีความตายเป็นที่สุด อย่าถือเขาถือเราให้มันมากนัก ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ ที่ประชุมกันขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น มีความทุกข์เป็นพื้นฐาน มีความแปรปรวนในท่ามกลาง และมีความตายไปในที่สุด

    ๓. บุคคลผู้ยังเกาะติดร่างกาย ต่างก็เป็นผู้น่าสงสาร เพราะหลงวนอยู่ในความทุกข์

    ๔. การมีอารมณ์ไม่พอใจหรือพอใจเขา นั่นคือการพอใจหรือไม่พอใจในร่างกาย หรือติดอยู่ในสักกายทิฎฐินั่นเอง

    ๕. จงเห็นตามความเป็นจริงว่า คนทุกคน สัตว์ทุกตัว รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน แม้แต่ตัวเจ้าเองก็เป็นอยู่ เพราะฉะนั้นจงอย่าตำหนิใครว่าเลว ให้เห็นใจซึ่งกันและกัน และอย่าแบกเอากรรมของใคร ๆ มาเป็นที่หนักใจ แค่กรรมของเจ้าเองก็หนักโขอยู่แล้ว

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ธันวาคม 2012
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เคยได้ยินบทสวดมหากรุณาธารณีสูตร
    ผ่านหูบ่อยๆ วันนี้ไปเห็นคำแปลมีความลึกซึ้งมากเลยนำมาฝากค่ะ (จะ post ต่อจากนี้)


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=tRfYbDfwAKk]梵唱大悲咒 มหากรุณาธารณีสูตร ธิเบต - YouTube[/ame]

    พระสูตรที่แสดงถึงความเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระศรีศากยะมุนีพุทธเจ้า แสดงผ่านพระอวโลกิเตศวร

    มหากรุณาคือจิตเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาล ธารณีคือมนตร์คาถาหรือคำระหัสแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้าที่ได้จากฌานสมา มหากรุณาธารณีจึงเป็นธรรมมูลฐานที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้ด้วยมหาเมตตา ผู้ตั้งใจสวดท่องจึงได้รับผลสนองตอบอันยิ่งใหญ่ ด้วยว่าในขณะสวดท่องธารณีนี้จะปรากฏพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์เจ้า เทพธรรมบาล 84 พระองค์คอยให้ความช่วยเหลือคุ้มครองและนำพาให้บรรลุธรรม

    ฉบับแปลภาษาทิเบต

    นโม.ระตะนะ.ตรา.ยา.ยะ./ นา.มา.อา.รยา./ อ.วา.โล.กิ.เต.โซ.รา.ยา./โบ.ธิ.สัต.โต.ยา./ ม.หา.สัต.โต.ยา./ ม.หา.กา.รุ.ณิ.กา.ยะ./ โอม**สา.วา.ลา.วา.ติ /ศุ.ดา.นา.ตา.เซ. น.โม.สกา.ตวา.นิ.มัม.อา.รยา./ อ.วา.โล.กิ.เต.โซว์.รา.ลัม.ตา.บา./ น.โม.นี.ลา.เกน.ถา./ ศรี.ม.หา.ปา.ตา.ศา.มิ./ สวา.โต.ตา.ศุ.บัม./ อะ.ศี.ยัม./ สวา.สัต.โต.นะ.โม.ปา.สัต.โต.นา.มา.บา.คา./ มา.บา.เต.ตุ /ตา ยา.ถา./ โอม**อ.วา.โล.กา./ โล.กา.เต./ กา.ลา.ติ./ อี.ศี.รี./ ม.หา.โบ.ธิ.สัต.โต./ สา.โบ.สา.โบ./ มา.รา.มา.รา./ มา.ศิ.มา.ศิ.ริ.ดา.ยุ./ คู.รู.คู.รู.คา.มัม./ ตู.รู.ตู.รู.บา.ศี.ยา.ติ ./ ม.หา.บา.ศี.ยา.ติ./ ดา.รา.ดา.รา./ ดิ.ริ .ณี. /โซว์.รา.ยา./ จา.ลา.จา.ลา./ มา.มา.บา.มา.รา./ มุ.ดิ.ลิ. / เอ.ฮา.ยา.เฮ./ ศิ.นา.ศิ.นา./ อา.ลา.ศิน.บา.ลา.ศา.รี. /บา.ศา.บา.ศิน. /บา.รา.ศา.ยา./ ฮู.ลู.ฮู.ลู.มา.รา./ ฮู. รู. ฮู. รู. ศรี./ สา.รา.สา.รา./ สิ. รี. สิ. รี./ สุ. รู. สุ. รู. /บุด.ดา.ยะ.บุด.ดา.ยะ./ โบ.ดา.ยะ.โบ.ดา.ยะ./ ไม.ตรี.เย./ นี.ลา.เกน.ถา./ ตริ.ศา.รา.นา./ บา.ยา.มา.นา./ โซ. ฮา./ สิ.ตา.ยา./ โซ. ฮา./ ม.หา.สิ.ตา.ยา./ โซ. ฮา/สิ.ตา.ยา.เย./ โซว์.รา.ยา./ โซ. ฮา./ นี.ลา.เกน.ถา./ โซ. ฮา./ นี.ลา.กัน.เถ.ปัน.ตะ.ลา.ยะ./ โซ. ฮา./ โม.โบ.ลี.ศังกะ.รา.ยะ./ โซ. ฮา./ น.โม.ระตะนะ.ตรา.ยา.ยะ./ นะ.มา.อา.รยา./ อ. วา.โล.กิ.เต./ โซว์.รา.ยะ./ โซ. ฮา./ โอม**สิท.ธริน.ตุ./ มัน.ตา.รา./ ปา.ตา.เย./ โซ. ฮา//***

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ฉบับภาษาจีน

    • นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เหย่ เย • นำ มอ ออ ลี เย • ผ่อ ลู กิด ตี ซอ ปอ ลา เย • ผู่ ที สัต ตอ พอ เย • หม่อ ฮอ สัต ตอ พอ เย • หม่อ ฮอ เกีย ลู นี เกีย เย • งัน• สัต พัน ลา ฮัว อี • ซู ตัน นอ ตัน เซ • นำ มอ สิด กิด ลี ตอ อี หม่ง ออ ลี เย • ผ่อ ลู กิด ตี สิด ฮู ลา เลง ถ่อ พอ • นำ มอ นอ ลา กิน ซี • ซี ลี หม่อ ฮอ พัน ตอ ซา เม • สะ พอ ออ ทอ เตา ซี พง • ออ ซี เย็น • สะ พอ สะ ตอ นอ มอ พอ สะ ตอ นะ มอ พอ เค • มอ ฮัว เตอ เตา • ตัน จิต ทอ • งัน ออ พอ ลู ซี • ลู เกีย ตี • เกีย ลอ ตี • อี ซี ลี • หม่อ ฮอ ผู่ ที สัต ตอ • สัต พอ สัต พอ • มอ ลา มอ ลา • มอ ซี มอ ซี ลี ทอ ยิน • กี ลู กี ลู กิด มง • ตู ลู ตู ลู ฟา เซ เย ตี • หม่อ ฮอ ฮัว เซ เย ตี • ทอ ลา ทอ ลา • ตี ลี นี • สิด ฮู ลา เย • เจ ลา เจ ลา • มอ มอ ฮัว มอ ลา • หมก ตี ลี • อี ซี อี ซี • สิด นอ สิด นอ • ออ ลา ซัน ฮู ลา เซ ลี • ฮัว ซอ ฮัว ซัน • ฮู ลา เซ เย • ฮู ลู ฮู ลู มอ ลา • ฮู ลู ฮู ลู ซี ลี • ซอ ลา ซอ ลา • สิด ลี สิด ลี • ซู ลู ซู ลู • ผู่ ถี่ เย ผู่ ถี่ เย • ผู่ ถ่อ เย ผู่ ถ่อ เย • มี ตี ลี เย • นอ ลา กิน ซี • ตี ลี สิด นี นอ • ผ่อ เย มอ นอ • ซอ ผ่อ ฮอ • สิด ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ • หม่อ ฮอ สิด ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ • สิด ทอ ยี อี • สิด พัน ลา เย • ซอ ผ่อ ฮอ • นอ ลา กิน ซี • ซอ ผ่อ ฮอ • มอ ลา นอ ลา • ซอ ผ่อ ฮอ • สิด ลา เซง ออ หมก เค เย • ซอ ผ่อ ฮอ • ซอ ผ่อ หม่อ ฮอ ออ สิด ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ • เจ กิด ลา ออ สิด ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ • ปอ ทอ มอ กิด สิด ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ • นอ ลา กิน ซี พัน เค ลา เย • ซอ ผ่อ ฮอ • มอ พอ ลี เซง กิด ลา เย • ซอ ผ่อ ฮอ • นำ มอ ห่อ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย • นำ มอ ออ ลี เย • ผ่อ ลู กิต ตี • ชอ พัน ลา เย • ซอ ผ่อ ฮอ • งัน สิด ติน ตู • มัน ตอ ลา • ปัด ถ่อ เย • ซอ ผ่อ ฮอ


    ที่มาบทสวดมนต์ธิเบต..มหากรุณาธารณีสูตร (หญิง+ชาย) - PUBLIC HOT COMMUNITY
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2012
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุค่ะ คุณภู พี่มาลินี จิตบุญ 104 U.K ค่ะ ขอแชร์ ข้อแรกนะคะ จากเมื่อ

    ก่อนเป็นที่ใจร้อน หวู่ วาม ทำอะไรไม่คิดรอบครอมก่อนทำ จะทำอะไร อยาก

    ได้อะไรต้องเอาให้ได้เป็นต้น. หลังปฏิบัติใช้เวลานานพอสมควรจิตใจและความ

    รู้สึกก็เปลี่ยนไป จากคนใจร้อน เปลี่ยนเป็นคนใจเย็น ทำอะไรคิดก่อนทำ

    ความที่เป็นคนขี้โมโห ก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นความเมตตา สงสารเข้าใจ ไม่มี

    โมโห กับกายเป็นคนที่เข้าใจเขา อยากช่วยเขา ยิ่งมาอยู่ต่างถิ่น จะเจอผู้คน

    หลายแบบ ไม่ว่าเขาจะมาแบบใหนก็รับได้หมด แถมยังไม่พอเห็นเขาทำอะไร

    ไม่ถูก ไม่ดีก็สงสารไปสอนและเตือนเขา บางครั้งก็โดนเขาตอบกลับมาไม่ดี

    แต่ใจผู้ที่ปฏิบัติกายเป็นธรรมะสอนตัวเอง แต่ถ้าไปคุยกับคนที่เขาปฏิบัติเขา

    ก็จะบอกว่าสาธุขอบคุณค่ะ ถ้าจะให้เอ๋ยถึง ก่อนปฏิบัติ และหลังปฏิบัตินั้นมี

    เหตุการที่เจอกับตัวเองนั้นมีเย้อะเลยที่เจอ ยกตัวอย่างที่ง่ายๆ คือ ตัวเองเป็น

    คนชอบทำบุญ ก็อยากให้คนอื่นเขาได้ทำบุญด้วย และได้บุญด้วยโดนเขาว่ามา

    เห็นหน้าก็มีแต่บอกบุญ. ก็บอกเขาไปในทางดีว่าไม่ทำก็ไม่เป็นไร เอาบุญมา

    ให้สาธุเอาก็ได้แล้ว พอครั้งต่อไปก็ไม่ไปบอกเขา แต่เขากับถามเราว่าไม่เห็น

    มาบอกบุญ อยากทำบุญกับป้ามาลินีค่ะ สิ่ิงที่เห็นได้จากการปฏิบัติ คือ เห็นได้

    ได้จากคนไกล้ชิด คือ สามีฝรั่งค่ะ คือเมื่อเริ่มมาอังกฤษใหม่ๆ ดิฉันก็จะพยายาม

    หาและถามเขาว่ามีวัดไทยไหม? อยู่ที่ใหน? เขาก็จะพระยายามถามและหาให้

    นั่นเมื่อยี่สิบสามปีก่อนนะซึ่งวัดไทยหายากมากแต่เขาก็พยายามหาจนเจอ แล้ว

    พาเราไปที่นั่นก็คือวัดสันติวงษ์สารามอยู่เบอรมิ่งแฮม ซึ่งใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง

    ครึ่งถ้ารถไม่ติด ที่หลังปฏิบัติแล้วเห็นผลจากเขาคือเขาเห็นความเปลี่ยนแปลง

    จากเราหลายๆอย่าง จะไม่ขอเอ๋ยถึง เพราะที่พูดถึงอาจทำให้ผู้อ่านเบื่อ ขอสรุป

    ผลหลังการปฏิบัติ คือสามีจะมีความสุขไปกับเรา และไม่เคยขัดถ้าเราจะไปทำ

    บุญหรือจะทำอะไรเกี่ยวกับการทำบุญ. ขอขบพระคุณ คุณภูนะคะที่เอาธรรมะ

    ก่อนปฏิบัติ และหลังปฏิบัตินี้ออกมา เมื่อคืนคิดว่าวันนี้คงไม่มีอะไรจะเอามา จิ้ม

    ดีดพ์ลง เช้านี้อ่านธรรมะดีๆของแต่ละท่าน ปัญญาก็เกิด ต้องมาจิ้มดีดพ์อีก

    ถ้าิจิ้มดีดพ์ผิดพาดก็ขออภัยนะคะ ขอบพระคุณท่านผู้อ่านค่ะ และขอน้อมรับ

    ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงตา ครูบา อาจารย์ ที่ให้ปัญญา

    กับลูก ขอกราบขอบพระคุณองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงตา ครู

    อาจารย์ พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ที่ได้อบรมณ์สั่งสอนมาด้วยเศียรเกล้า.

    เจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2012
  5. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำแปลมหากรุณาธารณีสูตร

    ๑. นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เหย่ เย
    นำ มอ - ความนอบน้อม
    ฮอ ลา ตันนอ - ความเป็นรัตนะ
    ตอ ลา เหย่ - 3
    เย - นมัสการ
    ขอนอบน้อมนมัสการพระไตรรัตน์ทั้งสาม
    หมายถึง..การน้อมเอาพระไตรสรณคมน์, พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก
    ผู้ต้องการปฏิบัติให้ถึงพระองค์จะต้องสาธยายมนตราด้วยความมีเมตตากรุณา และเปี่ยมด้วยศรัทธา ไม่ควรสวดด้วยเสียงอันดัง เกรี้ยวกราด และเร่งร้อน

    ๒. นำ มอ ออ ลี เย

    นำ มอ - ความนอบน้อม
    ออ ลี - องค์อริยะ
    เย - นมัสการ
    ขอนอบน้อมนมัสการแด่องค์พระอริยะ ผู้ห่างไกลจากบาปอกุศล
    วัตถุประสงค์แห่งบทนี้... พระโพธิสัตว์ทรงสั่งสอนชาวโลกให้ปฏิบัติทางจิตเป็นมูลฐาน พระสัทธรรมทั้งหลายล้วนกำเนิดมาแต่จิต
    เหตุนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความชัดแจ้งแห่งจิต และมองเห็นสภาวะแห่งตน จึงจะสามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
    เมื่อไม่แจ้งชัดในจิตก็ไม่สามารถเห็นสภาวะแห่งตน หากแต่จิตเป็นอจล มีความมั่นคง ก็สามารถเดินทางสู่พระนฤพานได้
    ๓. ผ่อ ลู กิด ตี ซอ ปอ ลา เย
    ผ่อ ลู กิด ตี - การเพ่ง พิจารณา อีกนัยหนึ่งคือความสว่าง
    ซอ ปอ ลา - เสียงของโลกอันเป็นอิสระ
    เย - นอบน้อมนมัสการ
    ขอนอบน้อมคารวะแด่องค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้เพ่งเสียงแห่งสรรพสัตว์ผู้ยาก
    พระโพธิสัตว์ผู้สงสารชีวิตแห่งสรรพสัตว์ผู้ตกอยู่ในกองทุกข์ เขาเหล่านั้นล้วนมีความทุกข์อันเกิดจากการหลงลืมสภาวะเดิมของตน จำต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ พระองค์พิจารณาตามนี้ จึงเกิดเมตตาจิตที่จะโปรดสัตว์

    ๔. ผู่ ที สัต ตอ พอ เย
    ผู่ ที (โพธิ) - ตรัสรู้
    สัต ตอ (สัตว์) - การมีชีวิต อารมณ์
    พอเย - น้อมคารวะ
    ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้ให้ความตรัสรู้แก่ทุกชีวิต
    ...หากตั้งใจในธรรม นอบน้อมต่อความแจ้งในสภาวะเดิม ก็จะถึงความหลุดพ้น...

    ๕. หม่อ ฮอ สัต ตอ พอ เย
    หม่อ ฮอ - ใหญ่มาก
    สัต ตอ - สัตว์โลก หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึง ผู้กล้าหาญ
    พอ เย - น้อมคารวะ
    เมื่อน้อมคารวะผู้กล้าหาญก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้น มวลสรรพสัตว์ในโลกอันไพศาล ถ้ารู้สึกตัวแล้วลงมือปฏิบัติ ล้วนถึงความหลุดพ้นได้

    ๖. หม่อ ฮอ เกีย ลู นี เกีย เย
    หม่อ ฮอ -ใหญ่มาก
    เกีย ลู - กรุณา
    นี เกีย - จิต
    เย - คารวะ
    ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้มีมหากรุณาจิต

    ๗. งัน
    งัน (โอม) - นอบน้อม
    ขอนอบน้อม บูชาถวาย
    ... พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีความเมตตากรุณาไม่มีประมาณ นำสัทธรรมอันเป็นความดับสูญโดยแท้จริง ปลุกให้มนุษย์ฟื้นคืนสภาวะเดิมที่มีอยู่ เข้าถึงสัทธรรมอันบริสุทธิ์

    ๘. สัต พัน ลา ฮัว อี
    สัต พัน ลา - อิสระ
    ฮัว อี - อริยะ
    องค์อริยะผู้อิสระ ผู้มีกายใจอันบริสุทธิ์สะอาด
    ...กาย ใจ จะบริสุทธิ์ได้ ต้องตั้งอยู่ในสัจธรรม ปฏิบัติตนอยู่ในศีล

    ๙. ซู ตัน นอ ตัน เซ
    การปฏิบัติธรรมต้องถือความสัจเป็นพื้นฐาน ใช้ความเพียรเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุสู่อริยสัจ
    ...หากการปฏิบัติธรรมไม่ประกอบด้วยความสัจ ก็จะไม่พบหนทางสู่ความสำเร็จ เนื่องจากความสัจนั้นเป็นธรรมที่ปราศจากการหลอกลวง จิตจึงรวมเป็นหนึ่งได้
    เมื่อมีความสัจ ก็จะมีความเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็จะมองเห็นความปลอดโปร่ง เมื่อปลอดโปร่งก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง และกลับกลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

    ๑๐. นำ มอ สิด กิด ลี ตอ อี หม่ง ออ ลี เย
    นำ มอ - นอบน้อม
    สิด กิด ลี ตอ อี หม่ง - ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมได้รับความคุ้มครองจากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์
    ออ ลี เย - การปฏิบัติธรรมจะรีบร้อนให้ได้ผลในทันทีย่อมเป็นไปไม่ได้
    ...ผู้ที่จะน้อบน้อมเข้าถึงองค์อริยะ จำต้องปฏิบัติธรรมโดยมานะพากเพียร มีจิตใจมั่นคงเป็นหนึ่ง จะกระทำโดยเร่งรีบไม่ได้ ต้องทำใจให้ว่างเข้าถึงองค์แห่งพระธรรมคัมภีร์ หมั่นในการปฏิบัติตามหลักธรรม มีความคิดดำริมั่นที่จะก้าวข้ามห้วงแห่งโอฆะ คิดจะกระทำประโยชน์แก่สรรพชีวิต

    ๑๑. ผ่อ ลู กิด ตี สิด ฮู ลา เลง ถ่อ พอ
    ผ่อ ลู กิด ตี - จิตต้องกับธรรม
    สิด ฮู ลา - ท่องเที่ยวไปอย่างอิสระ
    เลง ถ่อ พอ - เนื่องด้วยสำเร็จในมรรคผล
    ...ผู้ปฏิบัติต้องจงใจมุ่งไปข้างหน้า ฝึกฝนให้กายและจิตรวมเป็นหนึ่ง (เอกัคคตา)

    ๑๒. นำ มอ นอ ลา กิน ซี
    นำ มอ - นอบน้อม
    นอ ลา กิน ซี - การคุ้มครองคนดี นักปราชญ์ นักปฏิบัติ
    ..ด้วยความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ ทรงย้ำเตือนให้ยึดถือพระไตรสรณาคมน์ ต้องปฏิบัติตนอยู่ในมนุษยธรรม ทำตนเป็นตัวอย่างเพื่อให้สาธุชนรุ่นหลังได้รับรู้เป็นแบบอย่างและเจริญรอยตาม
    สาธุชนผู้ปฏิบัติตามพระพุทธองค์และพระธรรมยิ่งต้องมีความเมตตากรุณาจิตและโพธิจิตเพื่อโปรดสัตว์ รักษาพระธรรมยิ่งกว่าชีวิตและเผื่อแผ่ทั่วไปไม่มีประมาณ

    ๑๓. ซี ลี หม่อ ฮอ พัน ตอ ซา เม
    ซี ลี หม่อ ฮอ - ความเมตตากรุณาอันไพศาล สามารถบำบัดทุกข์บำรุงสุขได้
    พัน ตอ ซา เม - ผู้มีบุญวาสนาจะได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้า มารทั้งหลายไม่สามารถมารบกวนได้
    ...พระโพธิสัตว์เล็งเห็นว่าชาวโลกถือเอาความรวย, มีชื่อเสียง, ศักดินา เป็นที่นิยมศรัทธา อันเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์
    พระองค์จึงเตือนจิตให้มนุษย์ จงผ่อนใจในทางโลก โน้มน้าวจิตใจมาในทางมรรคผล เมื่อจิตว่างแล้ว พระสัทธรรมอันพิสุทธิ์ก็จะเจริญขึ้น

    ๑๔. สะ พอ ออ ทอ เตา ซี พง
    สะ - การได้เห็น
    พอ - เสมอภาค
    ออ - พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์
    ทอ เตา ซี พง - ธรรมไม่มีขอบเขต
    ...ทุกคนที่ปฏิบัติสามารถรู้ได้เห็นได้ และบรรลุสู่พระพุทธภูมิได้โดยเสมอกัน

    ๑๕. ออ ซี เย็น
    ผู้ที่ทำความดีย่อมได้รับการชมเชย ผู้ทำบาปจะต้องสำนึกและขอขมาโทษ

    ๑๖. สะ พอ สะ ตอ นอ มอ พอ สะ ตอ นะ มอ พอ เค
    สะ พอ สะ ตอ - พุทธธรรมอันไม่มีขอบเขตสิ้นสุด สรรพสัตว์ในโลกนี้ล้วนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้
    นอ มอ พอ สะ ตอ - พุทธธรรมเป็นความเสมอภาค มิได้แบ่งแยกเป็นสูงหรือต่ำ
    นะ มอ พอ เค - พุทธธรรมมีความไพศาล ผู้ปฏิบัติตามจะสามารถระงับภยันตรายทุกสิ่ง
    ...ไม่ว่านักปราชญ์หรือผู้โง่เขลา เบาปัญญา คนหรือสัตว์ ล้วนสามารถหลุดพ้นได้ ถ้าเขาเหล่านั้นปฏิบัติธรรมด้วยความสัจ

    ๑๗. มอ ฮัว เตอ เตา
    ผู้ปฏิบัติต้องถือพระสัทธรรมเป็นสูญ ไม่ข้องแวะ ไม่ติดในรูป ไม่ยึดในจิต ถือเอาสัจธรรมเป็นใหญ่ และต้องละความวิตกกังวล กำจัดความโกรธ ความโลภ ความหลง โดยใช้หลักแห่งปัญญาดับกิเลสให้จิตสงบ เป็นอยู่ในโลกนี้โดยสันติสุข

    ๑๘. ตัน จิต ทอ
    ความศรัทธาจริงอันต่อเนื่องกัน จิตต้องตรงกับพระธรรม ห้ามมิให้มีความคิดทางโลกเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด
    ทั้งนี้ เนื่องจากว่าหากปล่อยให้ความคิดทางโลก เกิดขึ้นในจิต กาย ใจ ก็จะไม่บริสุทธิ์ ทำให้เกิดการขัดแย้งกับพระธรรม ไม่อาจจะพบความสันติสุขได้

    ๑๙. งัน ออ พอ ลู ซี
    งัน - นอบน้อม เป็นบทนำ
    ออ พอ ลู ซี - เป็นพระโพธิสัตว์ หมายถึงพระธรรมคือความสะอาดจิตสะอาดสดใสไร้ราคะ
    ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวต่อการก่อกวนของเหล่ามาร(กามกิเลส) หากสามารถตั้งจิตข่มจิตสำรวมกาย วาจา และจิต ละทิ้งโลกาวิสัยทั้งหมดก็จะเข้าถึงพุทธสภาวะที่มีอยู่เดิม
    .. ถ้าทำให้จิตมีความสงบนิ่งอยู่ทุกขณะ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะมีความสำเร็จในธรรมโดยมิรู้ตัว
    ..พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมทั้งพระโพธิสัตว์เจ้าได้หลุดพ้นในขณะที่อยู่ในโลกอันมากล้นไปด้วยกิเลสนี้

    ๒๐. ลู เกีย ตี
    เป็นโลกนาถ มีความเป็นอิสระ
    ...มีกุศลจิตสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มัวหมอง มีรัศมีสว่างรอบกาย และสามารถร่วมกับดินฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    รักษาความมีกุศลจิต อย่าทำลายตนเอง อย่าหลงผิดเป็นชอบ
    สิ่งสำคัญ...ต้องรักษาจิตให้บริสุทธิ์

    ๒๑. เกีย ลอ ตี

    ผู้มีความกรุณา ผู้ปลดปล่อยทุกข์ เป็นผู้มีจิตในทางธรรม ดำรงมรรคมั่นคง มีสติปัญญาเฉียบแหลมยิ่งใหญ่
    ...เมื่อจิตมีความสงบก็สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งชั่วร้ายให้กลับกลายเป็นดี

    ๒๒. อี ซี ลี

    กระทำตามโอวาท อย่ามีจิตหลงผิด

    ๒๓. หม่อ ฮอ ผู่ ที สัต ตอ

    หม่อ ฮอ - ความไพศาลของพุทธธรรม ทุกคนน้อมนำไปปฏิบัติได้
    ผู่ที - เห็นโลกนี้เป็นสูญ
    สัต ตอ - การเน้นปฏิบัติอนัตตธรรม มองเห็นสรรพธรรมเป็นสูญ
    มองความรุ่งเรืองแห่งลาภยศ สรรเสริญเป็นสูญ มองให้เห็นเป็นเงาลวง ทำจิตใจร่างกายให้หมดจด

    ๒๔. สัต พอ สัต พอ

    พุทธธรรมมีความเสมอภาค อีกทั้งยังอำนวยประโยชน์สุขแก่สัตว์โลก ผู้ที่มีปัจจัยแห่งบุญย่อมได้รับความสุข

    ๒๕. มอ ลา มอ ลา

    ผู้ปฏิบัติจะได้มีมโนรถแก้วมณี แก้วมณีนี้แจ่มใสไม่มีอะไรขัดข้อง
    ...ความคิดคำนึงเกิดมาแต่จิต จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธานแห่งบุญและบาป ผู้ปฏิบัติต้องกำจัดความคิดอันเป็นอกุศล ความคิดฟุ้งซ่าน ระงับความวิตกกังวล เพียรพยายามเสาะหาสัจธรรม ชำระล้างอายตนะภายในให้สะอาดพิสุทธิ์ ละความห่วงใยใดๆให้สิ้นเชิง

    ๒๖. มอ ซี มอ ซี ลี ทอ ยิน

    มอ ซี - ความมีอิสระทันที ผู้ปฏิบัติไม่มีเวลาใดที่ไม่เป็นอิสระคือมีอิสระทุกเมื่อ
    ลี ทอ ยิน - การปฏิบัติกระทั่งสำเร็จวิชชาธรรมกาย มีอาสน์ดอกบัวรองรับ
    โดยปกติแล้วผู้ที่มีจิตว่างก็จะมีความสะอาดทั้งกายและจิต เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ และก็จะตั้งอยู่เช่นนั้น ไม่มีวันเสื่อมถอย

    ๒๗. กี ลู กี ลู กิด มง

    กี ลู - การเกิดความคิดปฎิบัติธรรมสามารถบันดาลให้เทพเจ้ามาปกปักรักษา
    กิด มง - ผู้ปฏิบัติจะต้องสร้างสมบุญบารมีเพื่อเป็นพื้นฐานในการบรรลุสู่มหามรรค (มรรคผล-นิพพาน)

    ๒๘. ตู ลู ตู ลู ฟา เซ เย ตี

    ตู ลู - ผู้ปฏิบัติจะต้องยืนให้มั่นตั้งใจปฏิบัติ ไม่หลุ่มหลงด้วยพวกเดียรถี มีความแน่วแน่ มีสมาธิ มีความสงบ
    ฟา เซ เย ตี - มีความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่สามารถข้ามพ้นสังสารวัฏได้

    ๒๙. หม่อ ฮอ ฮัว เซ เย ตี

    พระสัทธรรมอันไพศาล สามารถระงับความเกิดดับแห่งกิเลสได้ ภัยพิบัติต่างๆไม่แผ้วพาน ทุกคนสามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้เหมือนหัน
    ...กำจัดความหลงผิด ความเห็นแก่ตัว ปล่อยวางปัจจัยทางโลก

    ๓๐. ทอ ลา ทอ ลา

    เมื่อปฏิบัติจิตให้มีสภาพเหมือนอากาศอันโปร่งใส ไร้ละอองธุลีแม้แต่น้อย ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นพรหมได้

    ๓๑. ตี ลี นี

    ตี - โลก
    ลี - สัตว์ทั้งหลายล้วนสามารถรับการโปรดได้
    นี - พรหมจาริณีที่ปฏิบัติธรรมอยู่

    ๓๒. สิด ฮู ลา เย

    เมื่อปฏิบัติธรรมเข้าถึงความสมบูรณ์แห่งสภาวะเดิมแล้ว จะมีความสว่างปรากฏในกายของตน

    ๓๓. เจ ลา เจ ลา

    ความโกรธ ดุ สุรเสียงที่เปล่งออกมาดุจเสียงคำรามของฟ้า กระหึ่มไปทั่วสารทิศ
    ...ธรรมเหมือนดังฟ้าร้องคำรามไปทุกสารทิศ เป็นเสียงแห่งพรหมเมื่อเหล่ามารได้ยินศัพท์สำเนียงนี้ ก็จะเกิดความสะดุ้งกลัว

    ๓๔. มอ มอ ฮัว มอ ลา

    มอ มอ - การกระทำดี สามารถทำลายความกังวลแห่งภยันตรายได้
    ฮัว มอ ลา - ธรรมะเป็นสิ่งลึกซึ้ง เข้าใขยาก และมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถประมาณ หรือคาดคิดได้ เป็นประโยชน์ที่ไม่มีสิ่งใดทัดเทียม

    ๓๕. หมก ตี ลี

    หลุดพ้น
    ...ผู้ปฏิบัติได้เช่นนี้ ย่อมบรรลุสู่ภูมิแห่งพุทธ

    ๓๖. อี ซี อี ซี

    การชักชวนตามพระศาสนา ทุกสรรพสิ่งให้ดำเนินไปตามธรรมชาติ
    ...ทุกสิ่งปล่อยให้ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง อย่าฝืนกระทำตามใจชอบ

    ๓๗. สิด นอ สิด นอ

    เป็นมหาสติ มีจิตใจมั่นคงสามารถเข้าสู่มหาปัญญา
    ..ผู้ปฏิบัติธรรม มีความสว่างแห่งสติปัญญาอยู่ ถ้าใช้จิตนี้เป็นฐานใช้ธรรมให้เป็นประโยชน์ ก็จะได้รับฐานธาตุที่สดชื่น
    แต่หากไม่มีจิตใจมั่นคงกำจัดกิเลสในตนไม่หมด ก็ไม่มีทางที่จะให้ความว่างแห่งสติปัญญาที่มีอยู่ดั้งเดิมปรากฏออกมาได้เลย.

    ๓๘. ออ ลา ซัน ฮู ลา เซ ลี

    ออ ลา ซัน - ความผ่านธรรมไปถึงธรรมราชา มีความอิสระในธรรม
    ฮู ลา เซ ลี - การได้พระธรรมกายอันบริสุทธิ์ ได้ดวงแก้วแห่งพระรัตนะ

    ๓๙. ฮัว ซอ ฮัว ซัน

    ฮัว ซอ - ผู้ที่มีธรรม ตั้งอยู่ในขันติธรรม
    ฮัว ซัน - ผู้บรรลุธรรม มีความสุขอันแท้จริงยากจะบรรยาย
    เป็นการอนุโมทนาตามเหตุตามปัจจัย
    ...ความสุขที่แท้จริง จะต้องได้จากการปฏิบัติที่ยากลำบาก ถ้าสามารถอดทนต่อความยากลำบากก็จะเข้าถึงความสุขอันยิ่งได้

    ๔๐. ฮู ลา เซ เย

    จะต้องมีความรู้ด้วยตนเอง ผู้จะบรรลุธรรมหากสามารถละการยึดเกี่ยวเข้าถึงสภาวะดั้งเดิม ก็จะพบพระพุทธเจ้าได้ทุกพระองค์

    ๔๑. ฮู ลู ฮู ลู มอ ลา

    การประกอบพิธีตามปรารถนา ประกอบพิธีกรรมไม่ละจากตัวตน

    ๔๒. ฮู ลู ฮู ลู ซี ลี

    การประกอบธรรม โดยปราศจากความคิดคำนึงมีความเป็นอิสระสูง

    ๔๓. ซอ ลา ซอ ลา

    ผู้ปฏิบัติเพียงแต่มีความมุ่งมั่น มีความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่อง มีจิตอันเป็นหนึ่งเดียว ก็จะได้เห็นองค์พระโพธิสัตว์

    ๔๔. สิด ลี สิด ลี

    ความเป็นมหามงคลอันสูงสุด สามารถอำนวยประโยชน์ และคุ้มครองสรรพสัตว์โดยไม่ละทิ้ง

    ๔๕. ซู ลู ซู ลู

    น้ำอมฤตทานสามารถอำนวยประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งปวง

    ๔๖. ผู่ ถี่ เย ผู่ ถี่ เย

    การตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ถึงภูมิจิต ผู้ที่ปฏิบัติจะต้องมีความวิริยะพากเพียรอย่างแรงกล้า ปฏิบัติทุกวันทุกคืนเสมอต้นเสมอปลายไม่ท้อถอย

    ๔๗. ผู่ ถ่อ เย ผู่ ถ่อ เย

    เป็นการรู้ในธรรม รู้ในจิต ผู้ปฏิบัติจะต้องถือ “ตัวเขา-ตัวเรา” เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่เพียงแต่ไม่เห็นลักษณะตัวเขาตัวเรา แม้สรรพสัตว์ในทุคติ ก็ต้องถือว่าเท่าเทียมกับเรา

    ๔๘. มี ตี ลี เย

    มหากรุณา ให้ผู้ปฏิบัติต้องเจริญเมตตากรุณาจิต เพื่อให้สรรพสัตว์เข้าถึงโพธิมรรค
    ...รักในตนเองเท่าใด ก็ให้รักผู้อื่นเท่านั้น

    ๔๙. นอ ลา กิน ซี

    นักปราชญ์ผู้รักษาตนเองได้ มีมหากรุณาจิต
    ...ผู้ปฏิบัติจะต้องเคารพนักปราชญ์ เห็นผู้ทำดีจะต้องช่วยกันรักษา ผู้ที่เกิดความท้อถอยก็ต้องส่งเสริมให้กำลังใจ

    ๕๐. ตี ลี สิด นี นอ

    ความคมของวัชระ ให้คนเรามีความมั่นคงในการปฏิบัติธรรม

    ๕๑. ผ่อ เย มอ นอ

    สุรเสียงก้องไปสิบทิศ เป็นสุรเสียงแห่งความปิติยินดี

    ๕๒. ซอ ผ่อ ฮอ

    ความสำเร็จผล มงคล นิพพาน ระงับภัยเพิ่มพูลประโยชน์ พระสัทธรรมไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาวะอันสงบมาแต่เดิม

    ๕๓. สิด ถ่อ เย

    ความสำเร็จในธรรมทั้งหลาย เข้าถึงพระวิสุทธิมรรคปราศจากขอบเขตอันจำกัด สรรพสัตว์เพียงแต่ละวางจากลาภยศชื่อเสียง ก็จะเข้าถึงความหลุดพ้นได้

    ๕๔. ซอ ผ่อ ฮอ

    ผู้ปฏิบัติถ้าเห็นแจ้งในพระสัจธรรมและความหลอกลวง(ไม่แท้) ก็จะสำเร็จได้ง่าย

    ๕๕. หม่อ ฮอ สิด ถ่อ เย

    ความไพศาลของพระพุทธธรรม ผู้ใดน้อมนำไปปฏิบัติจะสำเร็จในพระพุทธผล

    ๕๖. ซอ ผ่อ ฮอ

    เน้นย้ำประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม

    ๕๗. สิด ทอ ยี อี

    สิด ทอ - ความสำเร็จ
    ยี อี - ความว่างเปล่า
    ทวยเทพเจ้าต่างได้รับความสำเร็จอันเป็นความว่างเปล่า (สุญญตาธรรม)

    ๕๘. สิด พัน ลา เย

    เป็นความอิสระสมบูรณ์ เป็นการกล่าวถึงบรรดาเทพีที่ต่างสำเร็จในอิสระธรรม

    ๕๙. ซอ ผ่อ ฮอ

    อสังสกฤตธรรมนั้น เป็นสภาวธรรมที่สมบูรณ์โดยอิสระ เป็นการประกาศมหามรรคที่ยิ่งใหญ่มีผลที่ลึกซึ้ง

    ๖๐. นอ ลา กิน ซี

    ความสำเร็จด้วยความรัก ความเมตตากรุณา การปกปักษ์รักษา

    ๖๑. ซอ ผ่อ ฮอ

    แสดงถึงความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์

    ๖๒. มอ ลา นอ ลา

    มอ ลา - มโนรถ ความหวัง ความประสงค์
    นอ ลา - อนุตตรธรรม
    การปฏิบัติอนุตตรธรรมสมดังประสงค์

    ๖๓. ซอ ผ่อ ฮอ

    พระโพธิสัตว์มุ่งเน้นให้คนปฏิบัติธรรม อีกทั้งยังเปิดเผยหัวใจอันลึกซึ้งของมหามรรคนี้

    ๖๔. สิด ลา เซง ออ หมก เค เย

    เป็นการแสดงความรักของพระโพธิสัตว์ต่อหมู่ชน

    ๖๕. ซอ ผ่อ ฮอ

    (ต่อเนื่องกับบทก่อน) คนเรานั้นมีโรคทางจิตเป็นภัยคุกคาม พระธรรมโอสถเท่านั้นที่สามารถรักษาให้หายได้

    ๖๖. ซอ ผ่อ หม่อ ฮอ ออ สิด ถ่อ เย

    ซอ ผ่อ หม่อ ฮอ - สัตว์ทุกประเภทมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิได้เหมือนกัน
    ออ สิด ถ่อ เย - สรรพสัตว์มีโอกาสร่วมรับความสุขสบายทั่วถึงกัน
    บุคคลมีขันติธรรมก็จะเข้าถึงธรรมได้ด้วยดี สามารถสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ไม่จำกัด

    ๖๗. ซอ ผ่อ ฮอ

    (ต่อเนื่องกับบทก่อน) ความเมตตาอันสูงสุด

    ๖๘. เจ กิด ลา ออ สิด ถ่อ เย

    เจ กิด ลา - การใช้วชิรจักรปราบเหล่ามาร
    ออ สิด ถ่อ เย - ความสำเร็จอันไม่มีสิ่งใดเทียบได้
    การใช้วชิรธรรมจักร ปราบเหล่ามารศัตรูได้รับความสำเร็จ

    ๖๙. ซอ ผ่อ ฮอ

    (ต่อเนื่องกับบทก่อน) สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนสำเร็จในความบริสุทธิ์ได้ จึงไม่ควรประกอบอกุศลกรรมทั้งหลาย

    ๗๐. ปอ ทอ มอ กิด สิด ถ่อ เย

    ปอ ทอ มอ กิด - พุทธธรรมเป็นธรรมที่ไม่มีขอบเขต จะต้องปฏิบัติเพื่อได้รับความสุขร่วมกัน
    สิด ถ่อ เย - ย้ำเตือนให้ผู้ปฏิบัติจะต้องประกอบด้วยสติปัญญาเพื่อการหลุดพ้น ละจากกิเลส

    ๗๑. ซอ ผ่อ ฮอ

    (ต่อเนื่องกับบทก่อน) ผู้ปฏิบัติไม่ยึดในทางใดทางหนึ่ง ปฏิบัติโดยการพิจารณา พร้อมทั้งมีหิริโอตตัปปะ
    ..มรรคผลนั้นสำเร็จได้ด้วยตนเอง สำเร็จได้ด้วยการพิจารณา
    ในทุกขณะจะต้องพิจารณาจิตของตน รักษาไว้ในทุกเหตุปัจจัยไม่ให้วิตกจิตเกิดขึ้นได้

    ๗๒. นอ ลา กิน ซี พัน เค ลา เย

    นอ ลา กิน ซี - รักษาไว้ด้วยความเป็นภัทร
    พัน เค ลา เย - เถระเพ่งโดยอิสระ
    เป็นที่รักของผู้เจริญ เป็นที่รักของพระอริยะ

    ๗๓. ซอ ผ่อ ฮอ

    (ต่อเนื่องกับบทก่อน) การปฏิบัติให้ถือเอาสัมมาจิต และความมีสัจเป็นหลัก

    ๗๔. มอ พอ ลี เซง กิด ลา เย

    มอ พอ ลี เซง - ผู้กล้า
    กิด ลา เย - สภาวะเดิม
    คุณธรรมจะสำเร็จได้ ด้วยสภาวะแห่งเมตตาธรรม หากจิตตั้งอยู่ในอกุศลก็ย่อมเป็นการยากที่จะสำเร็จพระอนุตตรธรรม

    ๗๕. ซอ ผ่อ ฮอ

    เป็นการรวมเอาพระคาถาทั้งหมดแห่งมหากรุณาธารณีสูตรมาไว้ในประโยคนี้ มีนัยบ่งบอกถึงความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ เพื่อโปรดเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวงให้ได้รับหิตานุหิตประโยขน์ มีพระสัมมาสัมโพธิเป็นหลักชัย

    ๗๖. นำ มอ ห่อ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย

    เน้นย้ำให้พยายามควบคุมกายใจไม่ให้ลื่นไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบ โน้มนำเอาฌานสมาธิเพ่งการเกิดการดับ

    ๗๗. นำ มอ ออ ลี เย

    เป็นการสาธยายมนต์สรรเสริญพระอริยะ และกล่าวย้ำถึงการปฏิบัติธรรม ต้องละความเป็นตัวตน, บุคคล, เรา-เขา จึงสามารถไม่ให้เกิดความคิดนึกอันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ได้
    ...ความนึกคิดติดยึดไม่เกิด ความเข้าใจถึงธรรมก็จะเป็นที่หวังได้

    ๗๘. ผ่อ ลู กิต ตี

    พระสัทธรรมไม่มีความสิ้นสุด บรรดาผู้ปฏิบัติธรรมย่อมมีความบริสุทธิ์เป็นเครื่องอยู่ นำทางสู่แดนสุขาวดี
    ...มีการเกิดย่อมต้องมีการตาย มีความชนะย่อมต้องมีความพ่ายแพ้...
    แต่ชาวโลกผู้ตกอยู่ภายใต้อวิชชากลับยินดีต่อการเกิดเกลียดชังความตาย ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่นั่นเอง
    ฉะนั้นหากต้องการรอดพ้นจากความตาย จะต้องค้นหาความเป็นในความตายให้ได้เสียก่อน

    ๗๙. ชอ พัน ลา เย

    ผู้ปฏิบัติต้องสำรวมตาเห็นรูป ไม่ปรุงแต่งไปตามรูปที่มองเห็น

    ๘๐. ซอ ผ่อ ฮอ

    (ต่อเนื่อง) สำรวมหูฟังเสียง ไม่ปรุงแต่งไปตามเสียงที่ได้ยิน

    ๘๑. งัน สิด ติน ตู

    สำรวมจมูกดมกลิ่น ไม่ปรุงแต่งไปตามกลิ่นที่จมูกดม

    ๘๒. มัน ตอ ลา

    สำรวมลิ้นรับรส ไม่ปรุงแต่งไปตามรสที่ลิ้นรับ

    ๘๓. ปัด ถ่อ เย

    สำรวมกายถูกต้องสัมผัส ไม่ปรุงแต่งไปตามที่ร่างกายถูกต้องสัมผัส

    ๘๔. ซอ ผ่อ ฮอ

    สุดท้ายสำรวมใจรับรู้อารมณ์ ไม่ปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ใดๆที่ใจรับรู้
    รวมเรียกว่าสำรวมอินทรีย์ ๖ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บรรลุเป็นโพธิสัตว์อันบริสุทธิ์

    ที่มาบทสวดมนต์ธิเบต..มหากรุณาธารณีสูตร (หญิง+ชาย) - PUBLIC HOT COMMUNITY
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    รูปร่างของคนเราก็ยัง มีสูง มีต่ำ
    ศีลก็เหมือนกัน มีทั้งหยาบ กลาง ละเอียด
    ธรรมก็เหมือนกัน มีทั้งหยาบ กลาง ละเอียด
    จิตของคนเราก็เหมือนกัน มีทั้งหยาบ มีทั้งละเอียด
    ส่วนศีลและธรรมจะหลายหรือละเอียด ก็ขึ้นอยู่ที่จิตของผู้นั้นว่า หยาบหรือละเอียด

    สำหรับผู้แสดงธรรมนั้น ก็มีหลายระดับเช่นกัน
    แต่ถ้าผู้ฟังหรือผู้อ่านที่มีภูมิธรรมหรือภูมิปัญญาต่ำกว่า ผู้ที่แสดงธรรม
    พวกเขาเหล่านั้น ก็รับไม่ได้ จึงหมดโอกาสจากธรรมาทานนั้นทันที
    ก็ไม่เป็นไร
    เพราะฉะนั้นพี่ภูจึงไม่ค่อยนำธรรมะมาจากผู้อื่น ก็เพราะด้วยเหตุนี้
    จึงมีธรรมะแบบชาวบ้านๆ หรือธรรมะที่ผุดออกจากจิตปัจจุบันจะดีกว่า
    เพราะสามารถอ่านและเข้าใจได้เลยทุกผู้ที่มีภูมิธรรมภูมิปัญญา
    พี่ภูไม่ได้เป็นห่วงผู้ที่มีภูมิธรรม ภูมิปัญญาสูงอยู่แล้ว
    แต่เป็นห่วงผู้ที่มีน้อย

    แค่อ่าน แค่ฟังธรรม แค่สวดมนต์ไหว้พระ ส่วนผู้ใดจะรับ จะทำได้แค่ไหน ก็ไม่เป็นไร
    ขอให้พวกท่านจงรู้ไว้ว่า นั่นท่านกำลังทำจิตให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่แล้ว
    นั่นแสดงว่า ท่านกำลังสร้างบุญบารมีโดยมิรู้ตัวแล้ว และเพื่อจะนำจิตไปสู่ที่จะอยากปฎิบัติธรรมได้เหมือนคนอื่นใครเขาแล้ว

    แต่ถ้าท่านอยากรู้ เข้าใจและปฎิบัติตามธรรมะได้ทันที
    ท่านจะต้องนำจิตตนเองมาเดินตามอริยมรรคเอง
    โดยการมาทำจิตเกาะพระนี้ ท่านถึงจะมองเห็นการพัฒนาของจิตตนเองได้ไว
     
  7. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825

    อนุโมทนาสาธุค่ะท่าน(ปู่ทวด)ลูกพลัง...ศิษย์ขอน้อมรับด้วยจิตคารวะนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง...ขอบพระคุณในทุกๆธรรมะที่สื่อสั่งสอนด้วยนะค่ะ _/\_

    ปล. วิสัยของผู้ชอบให้นี่ ขอไป 1 ท่านส่งมาให้ 100 ทุกที หน้ากระดาษA4 เลย..ฮ่าๆๆ >o<

    พร่ำบ่นออกมาจากจิตแบบนี้เยอะๆค่ะ ศิษย์จะตาม HACK ให้ได้ ลูกศิษย์จะได้แข็งแกร่งกันทั่วหน้า...สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2012
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอน้อมรับ โดยไม่ประมาท ทุกๆคำสั่งสอน เพื่อเพิ่ม สติและปัญญา เพื่อ

    การปฏิบัติของเราจะได้ถึงเป้าหมาย.ใช้สติ ใช้ปัญญา ถามตนเองตลอดเวลา

    ลมหายใจเข้า และลมหายใจ

    ออก ให้นิ่ง และเฉย รู้เฉย รู้เฉย รู้เฉย อยู่อย่างนี้

    หลวงปู่สังวาล เขมโก ท่านสอนไว้ว่าเมื่อรู้เฉยแล้ว ดูแต่ตัวเราเอง เราจะเห็นเรา

    และตอบคำถามตัวเองได้ ไม่ต้องไปมองคนอื่น เอาตนเอง เป็นเครื่องวัดใจเจ้าของ
    ู้
    ทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ เดี๋ยวมันจะเกิดความเคยชินขึ้นกับตนเองและถึงเป้าหมายปลายทาง

    ของผู้ปฏิบัติ ตามกำลังบุญ และความศัทธา ตามเจตนาของแต่ละท่าน.

    ขอร่วมเป็นกำลังใจให้กับทุกๆท่าน ขอให้ทุกท่านผ่านเป้าหมายนั้นๆด้วย

    ความสว่างจ้า ในผลบุญที่ท่านได้ปฏิบัติมา ขอเป็นกำลังใจให้กับจิตบุญทุกๆ

    ดวงค่ะขออนุโมทนาค่ะสาธุ






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2012
  9. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745

    ห้อง 4 ห้อง...จิต 4 ดวง(ของฝากสำหรับผู้ฝึกจิตจ๊ะ)
    ห้องที่1. มีผู้คนหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้าออกอยู่ตลอดเวลา หานายเฝ้าประตู
    หรือยามไม่เจอ ไม่รู้อยู่ไหน บางครั้งห้องนี้จัดปาร์ตี้กันวุ่นวายไปหมด ผลคือ
    ห้องรกรุงรังหาความสะอาดไม่เจอ สกปรก ซกมก ยิ่งกว่าใดๆ
    ห้องที่2. ห้องนี้ค่อยยังชั่ว มีนายประตู หรือยาม แต่บ้าเจงๆ ชอบนั่งหลับ
    ไม่สนใจใครจะเข้าออกประตู บางครั้งเห็นแล้ว ขี้เกียจไปตามออกมาก็ปล่อย
    ไม่เข้มงวด บางครั้งก็ดี วิ่งตามคนหลงเข้าไปในประตู ตามเขาออกมาได้
    ผลคือ ห้องมีคนเข้าออกบ้าง ทำให้เกิดความซกมกบ้าง เพราะถูกรบกวน
    บางครั้งครา
    ห้องที่3. นายประตูเข้มงวดชะมัด ใครเข้าไปในห้องก็ไม่ได้ ใครเดินเข้าไป
    หลบนายประตูได้ สุดท้ายก็ถูกตามตัวออกมาจนได้ นายประตูหรือ ยามเก่ง
    ผลคือ ห้องสะอาด ไม่มีใครมารบกวน ว่างดี
    ห้องที่4. นายประตูยืนขวางประตู จนไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ประตู
    ผลคือ จำเป็นต้องจบห้องและนายประตู เลิกจ้าง
    ไม่มีงานให้ทำ ปิดตายห้องรื้อทิ้ง ไม่มีทั้งห้องและนายประตู
    จิตดวงที่๑ ไม่เคยฝึกจิตและสติ
    จิตดวงที่๒ เริ่มเข้ามาฝึกจิตและสติ
    จิตดวงที่๓ จิตยกแต่ยังไม่เสถียร
    จิตดวงที่๔ จิตยกเสถียร
    ..............
    จิต คือ ห้อง
    สติ คือ นายประตู
    ผู้คน คือ กิเลส เช่น รัก โลภ โกรธ หลง ฯลฯ
    เลือกเอาจะเป็นจิตดวงไหน
    โมทนาสาธุ




     
  10. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    วันนี้ ขอยก เรื่อง อินทรีย์ ๕ ที่เป็นไปในทางของกิเลส นํายื่นแย่งแข่งกันนําออกใช้ โดยเราไม่รู้ตัว เพราะกิเลส ก็ทํางาน สวนทางกับทางธรรม จึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกั้น ไม่ให้ไหลไปตามทางของมัน แต่ตอน กิเลสออกทํางานเราไม่รู้จึงไหลลื่นไปกับมันได้ง่าย อย่าง เช่น ศรัทธา ที่กิเลสมันใช้ทํางาน แต่เราก็จะชอบพอใจที่จะทําไม่รู้จักเบื่อหน่ายเลย และทําได้ง่าย โดยเราก็ไม่รู้นั้นคือ ทางของ กิเลส อย่างเช่น การดูหนัง ฟังเพลง หรือ ชอปปิ้ง หรือ เชื่อมงคลตื่นข่าว และสติ ก็คิดแต่ทางโลก ที่มันติดแนบมาโดยเราไม่รู้ไม่เห็น จึงต้องได้นําธรรมออกมาใช้จึงจะเข้าใจ และอย่างคนที่ทําความชั่วนั้น ก็ไม่ใช่คนบ้า คนเสียสติ แต่นําสติไปใช้ในด้าน "มิจฉา" เพราะพวกนี้ ก็จะคิดว่าจะทําอย่างไร?จึงจะได้สิ่งที่ตนปรารถนามา ก็มีการวางแผน อย่างพวกโจร ก็ไม่ได้โง่ และใช้ปัญญาในทาง "มิจฉา" นี้ที่จะได้สิ่งทีตนอยากได้ เพราะทางธรรม ก็จะเรียกว่า "สัมมาทิฏฐิ" แต่ทางธรรมเราจะเห็นผู้ปฏิบัติกว่าจะผ่านได้ก็แทบล้มแทบตาย กว่าจะเห็นธรรมแต่ ถ้าไปทางกิเลสนี้ ไปได้แบบ สบาย สบาย เลย ก็อินทรีย์ของกิเลสมันแก่กล้า อย่างมาก จนเราไม่สามารถจะมองเห็นได้ต้องมีทางเดียวก็คือ การปฏิบัติ แล้วเอา อินทรีย์ ที่เป็นฝ่ายดีออกใช้ วันนี้จึง เอาทั้งด้าน บวก และลบ ของอินทรีย์ ๕ มาลงเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้ว่า มันมีฝ่ายดีที่เป็นคุณ และฝ่ายชั่วที่ทําให้โลกเดือดร้อน เพราะมันได้นําอินทรีย์ ออกทํางานในด้านทําความชั่ว และสิ่งนี้ก็ทําได้ง่ายเพราะมันได้ติดตามเรามาแล้วหลายภพ หลายชาติ ก็เหมือนนํ้าฝนที่ตกลงมาบนพื้นดิน ก็จะไหลลงแต่ที่ทางตํ่าฉันนั้น กิเลส ก็ชอบไหลลงแต่ที่ตํ่า เช่นกัน ฉันนั้น จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริญในธรรมยิ่งๆขื้นด้วยเทอญ.จดจํามาจาก เทปธรรมะขององค์หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน. ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยความเคารพ ด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอฝากข้อคิดดีๆ ให้ได้อ่านค่ะ ธรรมดา -ธรรมชาติ- ธรรมดล.
    กฎแห่งกรรมโลกนี้ชี้แน่ชัด. เกิดแก่ พลัด เจ็บไข้อาลัยหา ที่สร้างบุญสุขทวีมีตามมา
    บาปชั่วพาปัญหามากทุกข์ยากจน เร่งขวนขวายค้นธรรมนำรำลึก เปิดปัญญาพาตรองตรึกถึงมรรคผล ธรรมดา ธรรมชาติ ธรรมดล เกิดเป็นคนชั่วหรือดีมีกติกา สุดแต่ว่าปัญญาใครเข้าใจมาก ยอมรับเกิด แก่ เจ็บพรากโทษโทสา รู้ยอมรับวิบากกรรมที่นำมา ธรรมดาชีวิตคนมีผลกรรม ธรรมชาติตรองให้ดีมีข้อคิด ธรรมดลผลให้จิตดับทุกข์ขันธ์
    บำเพ็ญเพียรบ่มฌานทุกวารวัน บุญย่อมพลันพานิพพานไม่นานเอย.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ธรรมะจาก หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ. ครูอาจารย์ดีๆมีอยู่มากจริง แต่สำคัญที่เราต้องปฏิบัติจริง สอนตัวเองให้มากนั่นแหล่ะจึงจะดี...
    การปฏิบัติก็เหมือนการปลูกต้นไม้ ศีลคือดิน สมาธิคือลำต้น ปัญญาคือดอกผล เราต้อง
    การให้ต้นไม้เจริญงอกงามต้องหมั่นรดน้ำ พรวนดินและต้องคอยระมัดระวัง มิให้ตัวหนอน คือ โลภ โกรธ หลง มากัดกิน.
    การปฏิบัติถ้าอยากให้เป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็นหรือไม่อยากให้มันเป็น มันก็ประมาทเสีย
    เลยไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจ
    ให้แน่วแน่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้ ภาวนาเรื่อยไปเหมือนเรากินข้าวไม่อยากให้มันอิ่มค่อยๆกิน
    ไปมันก็อิ่มเอง การภาวนากก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราก็คือภาวนาไปก็จะถึงของดีของวิเศษภายในตัว ให้หมั่นทำนะลูกหลาน.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ..เรื่อง..

    หลวงพ่อท่านเป็นผู้ปูพื้นฐานไว้เพื่อรับ "อภิญญาหก"




    พวกลาพุทธภูมินี่ พวกพุทธภูมิใกล้เต็มนี่ลาอีกเยอะ วันนั้นพบกันแล้ว เลยถามท่านว่า

    "พระพุทธศาสนาอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี มันจะอยู่กันได้ยังไง? ก็ตั้งระยะไว้ยาว"

    ท่านบอกว่า "ที่ตั้งระยะไว้ยาวนี่เพราะพุทธภูมิยังต้องลาอีกหลายช่วง เป็นช่วง ๆ "

    แต่พวกลานี่พวกเต็มทั้งนั้นนะ พวกลานี่หมายความว่าชาตินี้เขาเต็ม แต่ว่ามันเหลืออีกนิดเดียว แต่นี่เราตัดเฉย ๆ จะไม่เอาล่ะ ก็เพราะว่าถ้าพวกไม่ใกล้เต็ม ไม่ใกล้เต็มนี่ไม่ไหว ดันไม่ไหว มันแบบจะทำปริญญาอีกสองเดือนลาออกใช่ไหม แบบพวกนั้นน่ะ ไอ้อะไรมันก็หมดแล้วเหลือแต่ทำวิทยานิพนธ์ใช่ไหม โดยมากต้องเป็นพวกนี้ ท่านบอก ถามท่าน ทำไม ท่านบอกไม่งั้นกำลังสู้ไม่ได้ กำลังที่เข้าไปต่อต้านนี่นะ เข้าไปช่วยหักล้าง ไอ้ความรอบ ๆ มันไม่พอ ถามท่าน ก็สงสัยเห็นสั่งสร้างตำรานี่ ตำรานี่สร้างไม่หมด จะเรียนกันไม่หวัดไม่ไหว ท่านก็บอก สร้างไปตามขั้นตามกำลังของคนในสมัยของเรา

    ทีแรกก็ตอนต้นเตาะแตะ ๆ หนักเข้า ๆ ก็มากขึ้นถึงที่สุด คือ เวลานี้ตำราถึงที่สุดแล้ว พอตำราถึงที่สุดก็มาเริ่มฝึกมโนมยิทธิปูพื้นฐานไว้รับ "อภิญญาหก" ไอ้อภิญญาหกนี่ไม่ใช่สมัยของเราฝึกนะ ต้องไปอีกรุ่นหนึ่ง พวกรุ่นโน้นเขามาฝึกกัน "พวกเรานี่" ทัน! ถ้าแกยังไม่ตาย ทัน! เวลาฝึกไม่ใช่ฉันฝึก ฉันแค่ปูพื้นฐานไว้เพื่อรับ "อภิญญาหก" นักเรียนเตรียม "มโนมยิทธิ" นี่นักเรียนเตรียม "อภิญญาหก"

    กำลังใจคนมันเข้าไม่ถึงนี่ แค่สุกขวิปัสสโกก็ส่ายหน้าด๊อกแด๊ก ๆ ไปขั้นเตวิชโชเมื่อก่อนก็สอนใครไม่ได้ใช่ไหม นี่กำลังใจมันต้องดีไปตามลำดับ "อภิญญาหก" นี่ต้องเข้มแข็งจริง ๆ ถ้าไม่เข้มแข็งจริง ๆ อย่าไปเอาเลย พังหมดไม่ได้อะไรเลย คือ ไม่ได้อะไรเลยจริง ๆ นะ เพราะว่า หนึ่ง กสิณ ๑๐ ต้องได้ฌาน ๔ หมด ว่าได้ฌาน ๔ ไม่ใช่ฌานทิ้งอย่างที่ทำ ๆ กันนี่ นี่มันเรียกฌานทิ้ง กสิณ ๑๐ นี่ต้องคล่อง นึกจะเข้าเมื่อไรได้ทันที จะต้องไม่เสียเวลาแม้ถึงวินาที นึกปั๊บเข้าฌานได้ตาม มันไม่ใช่ไป ๑ , ๒ , ๓ , หนึ่ง สอง สาม นี่มันไม่ยาก ว่า ๑ , ๔ , ๓ อะไรนี่ เข้าฌานตามลำดับฌาน ตามลำดับกสิณ เข้าฌาน ๑ , ๒ , ๓ , ๔ เข้าฌานตามลำดับฌาน ตามลำดับกสิณ ว่าเรื่อยกสิณกองเข้า ๑ , ๒ , ๓ , ๔ ไปไล่แล้วก็ย้อน ๔ , ๓ ,๒ , ๑ ก็ว่าขึ้น ๆ ลง ๆ สนุก! ต้องคล่องจี๋ฌาน หลังจากนั้นก็เข้าฌานสลับฌานสลับกสิณ เลยหลับเลย ไม่ใช่สลับ มันหลับ ( หัวเราะ ) อย่างนี้มั้นต้องอาศัยความเข้มแข็ง ตอนสลับฌานสลับกสิณนี่ ยุ่งเลย! ต้องคล่องจี๋ทุกขณะ ไม่ใช่ว่าหนึ่งปั๊บจับสัก ๕ นาทีได้ เขี่ยตก ต้องปึ๊บได้! ปวดท้องขี้เต็มที่เข้าฌานได้ อันนั้นจริง ๆ น่ะ วิ่งไปเดินไปนี่จิตเป็นฌานทันที แล้วนี่ก็ต้องทำเป็นปกติ เป็นปกติอย่างนั้นแล้วจึงหันมาจับอภิญญาอีกที อันนี้มันยังไม่เป็นอภิญญานะ ต้องหันมาจับอภิญญาอีกทีหนึ่งเสร็จ แค่หนวดหงอกไม่เป็น ฟันงอกฟันหักหมดแล้วงอกออกมาใหม่

    ความจริงอภิญญหาห้านี่น่าจะฝึกบ้างนะ สำคัญตอนได้วาโยกสิณน่ะซิ เหาะลิ่ว ๆ เอ๊ะ! ไปนึกถึงปฐวีกสิณแล้วแข็งตื้อลงไม่ได้แล้ว ( หัวเราะ ) เมื่อก่อนยังนั่งนึก ๆ เอ๊ะ! พระท่านเข้ากสิณนี้ออกกสิณนั้น ถ้าจะเหาะใช้วาโยกสิณ ถ้าจะยืนอยู่บนอากาศใช้ปฐวีกสิณ มันคงยุ่งบรรลัย ไอ้นี่เขาทำได้จริง ๆ มันนึกเอาเฉย ๆ นึกปั๊บมันขึ้นทันทีเป็นทันที ไอ้จิตพอนึกปั๊บมันติดฌาน ๔ ทันที มันก็เป็นทันที สมัยนี้ใครทำได้ สบาย ไปหากินสนามหลวง ( หัวเราะ ) ใช่ไหม เอ้า! เก็บคนละสิบบาทถ้าไม่ให้มือยาวล้วงกระเป๋าเลย ( หัวเราะ ) ใช่ไหม หากินเท่านี้ก็พอ หากินด้านล้วงกระเป๋า ทำมือยาว ๆ ใครไม่สนใจล้วงกระเป๋า ฮึ! หรือเสกเองดีกว่านะ เสกเองก็เป็นแบงก์ครึ่งใบสิ!

    ถ้าหากว่าถ้าเขาใช้อภิญญาจะไปต้องทำอะไร จะไปหาทรัพย์สินทำไม ไม่ได้เกิดประโยชน์ เพราะอะไร ต้องการอะไรก็มีจะหาสตังค์ทำไม ใช่ไหม ต้องการมีบ้านโตขนาดไหนก็สำเร็จ อยากจะมีบ้านแก้วก็ได้ อย่างพวกไอ้เบื้อกที่อยู่ชายป่านี่ ที่เขาอยู่กันน่ะ มีบ้านมีช่องที่ไหน ฝนตกก็ไม่เปียก อยากจะให้มีบ้านมันก็มี ไม่อยากให้มีบ้านมันก็ไม่ต้อง ฝนตกไม่ให้เปียกมันก็ไม่เปบียก เอ้า! ฝนอยากตกมา ฉันเดินเฉย ๆ ตกก็ตกสิวะ ไม่ใช่เปียกมันก็ไม่เปียกใช่ไหม และเขาก็อยู่กันอย่างเป็นสุข ก็เลยไม่ต้องทำอะไร ดีไม่ดีเดี๋ยวญวนมาตี เอาไฟล้อมส่งใช้เตโชกสิณใช้ไฟล้อมใช่ไหม ไอ้พวกนั้นอดข้าวตาย ตกนรกอีกแล้ว ( หัวเราะ ) อ้อ..ให้มันกินไฟได้ หิวมาให้ไฟเป็นเนื้อก้อน กินได้

    นี่ถ้าหากนี่เขาทำได้นะ ถ้าเขาทำได้มันไม่บาปเขาทำแน่ แต่ก็ทำไม่ได้ หากเขาทำได้ช่วยกันได้แบบนั้น สมัยพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องช่วยไว้เยอะ ใช่ไหม แต่กฎของกรรมมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างพวกศากยะ ที่ถูกฆ่านี่ท่านก็ต้องปล่อยไปตามกำลังของกรรม ไม่ใช่คิดว่าจะไปดักไอ้ ๒๐ มันก็เขาไม่เกี่ยว

    เพราะพวกอภิญญาหกเขาต้องมาอีกพวกหนึ่ง พวกสอนอภิญญาหกน่ะเขาจะมาอีกชุดต่างหาก พวกเราพวกปูพื้นฐาน พวกสอนนักเรียนเตรียม โน่น! อภิญญาหกเขาต้องหนุ่ม ไม่งั้นมันเล่นไม่ไหวหรอก จะมาจากพวกไหน พวก "พุทธภูมิ" ทั้งนั้นแหล่ะ! ก็ต้องเป็นพวก "พุทธภูมิ" ที่มีอารมณ์เข้ม!!...

    ไอ้นี่มันพัง พุทธพัง ( หัวเราะ ) คือว่า พุทธภูมิที่มีอารมณ์เข้ม อย่างพุทธภูมิที่เต็มในชาตินี้ตัดปลายนิดเดียวแต่ว่าพุทธภูมิเขาช่วยกันได้ และพวกเรียนต่อนี้ต้องเป็นพุทธภูมิหมด แต่หัวหน้าต้องเข้มแข็ง หัวหน้าที่ฝึกอภิญญามันต้องคล่องอภิญญา ไม่คล่องฝึกเขาไง อภิญญาน่าสนุกดีนะ! เล่นกลสนุก! ถ้าฝึกอภิญญาหกนี่ต้องบ้า ๆ บวม ๆ อภิญญาห้า หลวงน้า! คนดีทำไม่ได้ต้องคนบ้า ก็ทุกอย่างทำแล้วก็ต้องพลาด ดีไม่ดีก็หล่นตุ๊บตั๊บ ๆ ไปตามเรื่องตามราว ก็เรียกว่าทุกอย่างทู้ซี้ทุกอย่าง ถ้าพวกอภิญญาห้าเข้ามานี่ พวกหนังสือพิมพ์โจมดีว่าบ้าอีกหลายเดือน เอ้า! พวกนี้บ้า ๆ บวม ๆ เขาทำเหมือนบ้าน่ะใช่ไหม ทำในสิ่งที่เขามันทำไม่ได้ และทำในสิ่งที่ชาวบ้านเขาไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ คือว่าทำสิ่งที่เขาทำไม่ได้ เขาก็หาว่าบ้า ๆ บวม ๆ ก็มีเรื่องเสียอยู่เรื่อง ถ้าพระได้น่ะมันวงแคบ มันช่วยเขาได้ยาก เรื่องบ้านเมืองน่ะ มันช่วยได้นิดเดียว ถ้าฆราวาสเขาได้นี่ดี แต่ว่าได้อยู่ในช่วงฌานโลกีย์นะ

    "สงคราม" มานี่ แกเข้าเตโชกสิณ เอาไฟล้อมเท่านั้นแหละ ไม่งั้นก็เข้านีลกสิณเดินไม่เห็นอะไร มืดตื้อ .. เดินชนกันตายเลย

    "หลวงพ่อคะ ตอนนั้นยังต้องใช้ผู้มีฝีมือช่วยบ้านเมือง บ้านเมืองไม่เจริญถึงช่วย.."

    เปล่า ๆ พูดถึงว่าถ้าจะช่วยบ้านเมืองในด้าน "สงคราม" มันใช้ได้ยาก คือ พระนี่ต้องอยู่ในขอบเขตเพื่อการ "ตัดกิเลส" เท่านั้น ถ้าจะเอา "อภิญญา" ไปช่วยก็ช่วยในการเจริญ "ศรัทธา" ให้เขาเกิดความเชื่อมั่น คือว่าทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ให้เห็นเป็นอัศจรรย์ และศรัทธามันก็เกิดได้เท่านั้นเอง

    ฉะนั้น สมัยนี้ไม่มีความจำเป็น อย่างสมัยโน้น พระโมคคัลลาน์ นี่ พาหุงสหัสฯ พระโมคคัลลาน์รบกันต้องหลายเรื่องในบท พาหุงฯ ไอ้นั่นเป็นนาคนี่เป็นครุฑตีกัน ไม่รู้พระโมคคัลลาน์นี่ก็ฟังเรื่องแล้วก็เหมือนเรื่องโกหกอีกนั่นแหละ พระทำไมไปรับกับเขายังงั้น แต่ว่าไม่ได้ไปรบให้ตาย พอสู้ไม่ได้ก็เกิดศรัทธา เกิดสงครามใหญ่ ก็หลวงน้า! ที่พระพุทธเจ้าเป็นพระธรรมาธิราชน่ะ นี่สงครามใหญ่ล่ะ แม่ทัพใหญ่เล่นเองเลย รบกับ พระยาชมภูบดี น่ะ รบกับพระยาชมภูบดี ฑูตคนแรกที่ส่งไปก็คือ พระอินทร์ เป็นราชฑูต

    "พระยาชมภูบดีนี่เป็นมนุษย์ใช่ไหมคะ?"

    เป็นมนุษย์ เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ท่านเก่งคล้าย ๆ พระเจ้าจักรพรรดิราช แต่ไม่ถึงมีเกือกแก้ว มีพระขรรค์แก้วเหมือนกัน แต่ไม่ถึงพระเจ้าจักรพรรดิราช เหาะไปเหาะมาเห็นปราสาทพระเจ้าพิมพิสารสวย เอ๊ะ! ปราสาทของใครสวยกว่าปราสาทกู ไม่ชอบใจเสียแล้ว ลงมาพระขรรค์ฟันยอดปราสาท ฉับเข้าให้! ด้วยอำนาจพระพุทธานุภาพ พระขรรค์บิ่น ( หัวเราะ ) พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันนี่ พระขรรค์บิ่นทำไง โมโหยกเท้ากระทืบยอดปราสาท ยอดปราสาทตำรองเท้าทะลุไปอีก เลยกลับไปบ้าน เอาอวิตาศร แผลงมา "จงไปร้อยหูพระเจ้าพิมพิสาร" ไอ้อวิตาศรยันเข้ามาก็ร้องผิ่ง ๆ กูจะร้อยหูมึง ๆ

    พระเจ้าพิมพิสารเห็นท่าไม่ได้การณ์ พระพุทธเจ้าบอกไม่เป็นไร ทำวาโยกสิณหอบศรไป ท่านเข้าวาโยกสิณไม่ต้องไปตั้งท่า พอนึกปั๊บลมหอบศรไป และทราบว่าพระเจ้าชมภูบดีจะเป็นพระอรหันต์ เชิญพระอินทร์มา สั่งให้ไปเชิญพระเจ้าชมภูบดีมา และทางนี้ก็เนรมิตหมด เป็นเมืองแก้วแพรวพราว สวยมีกำแพงเจ็ดชั้น ตั้งแต่กำแพงทองแดงไปถึงกำแพงแก้วเจ็ดประการ ไอ้ถนนทั้งหมดก็เป็นแก้วทั้งหมด แพรวพราว มีอัครมหาเสนาบดี โอ้! ไม่มีพระเลย หาพระไม่มีพระ แต่งตัวแพรวพราวระยิบระยับ

    พระอินทร์ไปแปลงเป็นมนุษย์ไปเชิญพระยาชมภูบดี ไปก็ไม่นั่ง เทวดานี่ ก็เล่นเต๊ะต๊ะ ๆ ๆ หนักเข้าแกก็ไม่ยอมมา ไม่ยอมมาพระอินทร์ขว้างจักร จักรลากขามาลงจากแท่น ( หัวเราะ ) โอ้ย ๆ ๆ กลัวแล้ว ๆ ๆ ยอม..จะไป ไป ๆ เอาจักรออกสิ! แกไม่เอาจักรออก ออกไม่ได้ พอจักรออกก็ไม่ไป นี่ถึงจะแน่! ( หัวเราะ ) กูไม่ไปกูไม่กลัว อีตอนเทศน์ตอนนี้สนุก! ถ้าเทศน์ ๓ ธรรมาสน์น่ะ ถ้าหากว่าคอถูก ๆ คอน่ะ ลิเกอย่ามาปะทะเลย ไม่อยู่

    เดี๋ยวพอมานั่งแท่น กูไม่ไป! ไม่ไปพระอินทร์เอาใหม่ ขว้างพึ๊บไฟไหม้ปราสาทหมด เอาจักรลากขามานอกปราสาท เผาปราสาทอีก เอ๊ะ! แกเผาบ้านเผาเมือง ฑูตไหนว่ะ? ผลที่สุดหนัก ๆ เข้าก็ไม่ไหวต้องไป แกไม่ตามไปเสียศักดิ์ศรี เสียศักดิ์ศรีทำไง ก็เวลาไปด้วยกำลังจตุรเสนายศใหญ่ พระอินทร์ก็ยอมไป กลับไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าส่งเณรมาองค์เดียว เณรอนาคามีได้อภิญญา เอามารับเป็นทหาร เป็นพลทหารแน่ะ! แต่งตัวเป็นพลทหารยืนรับ แกเข้าไปยศใหญ่ ไอ้เมืองนี้ แหม..ส่งไอ้พลทหารมารับไม่สมศักดิ์ศรี

    ทหารไปรับบอกว่า "ท่านต้องลงมาก่อน..เมืองพระเจ้าธรรมาธิราชอย่าขี่ช้างเข้ามาไม่ได้ เป็นเมืองที่มีบุญญาธิการศักดิ์ศรีใหญ่ ท่านเป็นราชาคนจน"

    "ไม่ลง!..ไม่ลงซะอย่างจะว่าไง?" นั่งช้างทำท่าเก๊ก กระชากลงจากคอช้าง แหม..ไอ้ทหารเมืองนี้มันไม่มีมารยาท ( หัวเราะ ) สู้ไม่ได้น่ะ สู้ก็สู้ไม่ได้ ไอ้ทหารเมืองนี้ไม่มีมารยาท ( หัวเราะ ) "แกเป็นทหารชั้นไหน?" บอก "พลทหารครับ!" ถาม "ทำไมเมืองนี้ ข้าเป็นพระราชาจึงส่งพลทหารมา" บอก "แค่พลทหารนี่ ท่านก็ยังมีกำลังยังสู้ไม่ได้ ถ้าเอานายสิบมาท่านตาย.." เอาละสิ! เอ้า! เดินไปทางนี้ แกก็ไปแกก็บ่นพึมพำ ๆ เดินไปพอเข้าเขตถนน ขัดเขมรแล้วสิ พลทหารถาม "ขัดเขมรทำไม?" บอก "แม่น้ำต้องลุยน้ำ" บอก "ไม่ใช่ ถนน!" ค้าน "ถนนห่าอะไร? แม่น้ำ!" บอก "ถนนแก้ว!" โอ้โฮ!! ไอ้เมืองบ้านี่ เอาแก้วมาทำเป็นถนน ( หัวเราะ )

    พอถึงร้านแล้วก็มีเมียพระอินทร์ พวกนางฟ้าเขามาตั้งขายของ แกก็เป็นนางฟ้าเสียจริง ๆ พวกนั้น แกก็ทำเนื้อหนาหน่อยน่ะ เอ้าแล้วเข้าไปจีบแม่ค้า ยังไม่ได้จีบเข้าไปทีแรก ไปเห็นเมียพระอินทร์นี่ซิสวย...

    ถามทหาร "นี่พระมเหสีพระเจ้าธรรมาธิราชใช่ไหม?" ( หัวเราะ ) บอก "ไม่ใช่ แม่ค้าแผงลอย.." ( หัวเราะ ) แม่ค้าแผงลอยจริง ๆ น่ะ คนนั้นก็ร้อง คนนี้ก็ร้อง พระราชาคนจน นี่เจ้าค่ะ! นั่นเจ้าค่ะ! แหม..เดินไป พอเข้าถึงประตูแรกปั๊บมีพระอรหันต์แต่งตัวเป็นนายประตู สวยกว่าแกมาก ทำท่าจะเข้าไปกราบ นึกว่าพระเจ้าธรรมาธิราช พลทหารบอก "ไม่ใช่ นายประตูนายทหารเฝ้ายาม.." ( หัวเราะ ) แหม..แย่เรื่อย เข้าไปถึงประตูทองแดง ประตูทองคำ ประตูแก้ว เข้าไปก็แพรวพราวไปหมด ท่านก็มอง แหม..วิจิตรพิศดาร

    แกก็เข้าไปถึงกลุ่มใหญ่ปั๊บ มีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร มีเป็นพระมหาอำมาตย์น่ะ มีใครต่อใคร ไม่มีพระเลยหาพระไม่ได้ พระเจ้าธรรมาธิราชทรงสง่า คนนำบอก "นี่พระเจ้าธรรมาธิราช" พอเห็นพระเจ้าธรรมาธิราชก็เกิดขัตติยมานะ ถือว่าตัวมีฤทธิ์มาก ก็ตั้งท่าจะสู้ เดินองอาจเข้าไป แกบอกว่าเอ้า! นั่งลงกราบถวายบังคม

    บอก "เราเป็นพระราชาเอกในโลก ไม่มีใครมีอานุภาพเท่า คำว่าไหว้ไม่มีในที่นี้"

    แหม..เต๊ะท่าเสียแล้ว คำว่าไม่มีมันเล่นก็ไม่ยาก พระโมคคัลลาน์ดีดมือทีเดียวหมอบเลย ( หัวเราะ ) ไม่ใช่หมอบ ฟุบ! ไอ้เมืองห่านี่ แหม..มีลมวูบ ( หัวเราะ ) แกนั่งด่าตลอด เจี๊ยวจ๊าว ๆ ผลที่สุดก็ถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ว่าทำไมถึงไม่มา แกก็ว่าอะไรต่ออะไรป้วนเปี้ยนไปตามเรื่องตามราว ผลที่สุดก็เอางี้ซิ จะให้เรากลัวก็ต้องแสดงฤทธิ์ให้ดูก่อน

    พระพุทธเจ้าบอกก็ดี จะได้รู้ว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง ท่านมีอะไรว่ามาเลย เขาขว้างจักร ขว้างจักรไปผลุบเข้ากระบอกไปเลย ( หัวเราะ ) แผลงศร! พอแผลงศร พระพุทธเจ้าท่านก็เอาด้วย แกก็แผลงบ้าง หนักเข้า ๆ ๆ ก็สิ้น ศรสู้กันตีมาตีไปตีไปตีมา ไอ้ศรของพระยาชมภูบดีสู้ไม่ได้ หลบเข้ากระบอก หลบเข้าก็ตีกระบอกพัง ( หัวเราะ ) วิ่งไปทางไหนก็ตีซะหักหมดเลย ป่นปี้หมดเลย และแกก็ทำทุกอย่าง แกเล่นจนแกหมดอาวุธนะ แผลงศร! ใช้พระขรรค์ควงให้เกิดไฟ เกิดลม! มันก็ด้านหมด หนักเข้า ๆ ๆ หมดท่า...

    อ้ะ! ท่านเอามั่ง บอกท่านเอามั่ง เราหมดแล้ว พระพุทธเจ้าเข้าเตโชกสิณล้อม ไฟใกล้เข้า ๆ ๆ ก็ร้องเจี๊ยก ( หัวเราะ ) ร้องเจี๊ยกกลัวแล้ว ๆ ถามกลัวแน่หรือ บอกกลัวแน่ กลัวแน่ก็ไฟหาย เอ๊ะ! ไฟหายเป็นไง บอกที่นี่เขาจุดง่าย บอกที่นี่ไฟจุดง่ายดับง่าย ถ้าหากว่าอวดทะนงต่อไป ทีนี้ไฟจะไหม้ไปครึ่งตัว ไม่ไหม้หมดซะด้วย ไหม้ครึ่งตัว พูดไปพูดมาพระพุทธเจ้าท่านก็พูดดี ก็ชักเลื่อมใส เลื่อมใสว่าเชิญมาทำไม ตอนนั้นเลยบอกว่เห็นว่าเป็นคนดี เราต้องการความเป็นมิตร ไม่ต้องการความเป็นศัตรู ไอ้เมืองของท่านน่ะเราจะยึดเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแค่ทหารเลวคนเดียวก็ยึดได้ เราส่งพลทหารชั้นเลวไปคนเดียวท่านก็ต่อต้านไม่ได้ ท่านจะมาสู้อะไรกับใคร ท่านมีฤทธิ์อำนาจจริง ๆ แต่ว่ามีสภาพเหมือนพระราชาคนง่อย ดูทหารของเราทุกคน กองทัพของท่านทั้งทัพมีจตุรงคเสนา ทหารของเราคนเดียวเท่านั้นจะสังหารได้ จะเอากับใครล่ะ!

    แหม..ท่านท้ารบ! ชักไม่กล้าสู้ คุยไปคุยมาคุยมาคุยไป นี่พระพุทธเจ้าท่านใช้ธรรมะ ตอนนี้ท่านเล่นธรรมะแล้ว เลื่อมใสถามว่าไอ้ฤทธิ์อำนาจอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะสามารถทำได้ไหม พระพุทธเจ้าท่านบอก นี่เราพร้อมจะให้อยู่แล้วที่ไปเชิญมานี่ ความจริงต้องการจะให้ฤทธิ์ให้อำนาจแบบนี้ ถามให้แน่นะ ท่านบอกแน่ แน่แล้วจะขอศึกษา บอกได้เลย แต่ว่าการศึกษานี่เราจะต้องแต่งตัวเหมือนกันนะ ท่านก็เป็นอันว่าตกลง ตกลงศึกษา พอตกลงแน่นอนปั๊บ! เมืองหายหมด..กลายเป็นป่า พระเจ้าธรรมาธิราชนี่ห่มจีวรเสียแล้ว

    เอ๊ะ! นี่มันเป็นยังไงกันแน่! ท่านก็เลยบอก ถ้าจะศึกษาต้องแต่งตัวแบบนี้ ผลที่สุดท่านก็เลยบวช เอหิภิกขุไง ก็ให้การศึกษาจบเดียวเป็นอรหันต์ไปเลย ( หัวเราะ ) นี่ก็ทำได้แล้วแต่ว่าถ้าเทศน์มันยาว ถ้าเทศน์มันต้องไปรับอีตอนที่พระอินทร์ไปเป็นฑูตก็ฟัดกัน ฮากันไม่ไหวแล้ว นี่กลับมาขึ้นช้างโด่เด่ ตอนนี้สิอีตอนชมตลาด โอ้โฮ! ยังงี้ต้องแสดงหนัง ฮึ!..สวัสดี*

    ******************************************************
    หลวงพ่อเล่าว่า ...อ่านแล้วเลยนํามาอ่านกันสนุกๆค่ะ กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อเจ้าค่ะ
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พี่มาลินี ขออนุโมทนา กับคุณภูที่มีเมตตา เป็นห่วงทุกคน พยายามที่
    จะให้ทุกคนเข้าใจในข้อที่จะนำไปปฏิบัติง่ายขึ้นคือสอนแบบทางลัดเลย และพี่ก็เข้าใจดีว่า การฟังธรรมะนั้น บางครั้ง บางคนฟังแล้วไม่เข้าใจก็มีเย้อะ แต่ของคุณภูที่นำมาเป็นธรรมทาน ที่นำออกมาสอนนั้นออกจาก สติ และปัญญาของคุณภู ทุก
    ถ้อยทุกคำนั้นขอน้อมรับโดยไม่สงสัยเลย ในความเมตตาของคุณภูที่ให้และเป็นห่วงพวกเรา. ขอให้ย้อนกลับไปให้คุณภูมีปัญญาเพิ่มพูนขึ้น
    เพื่อจะได้นำสั่งสอนพวกเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงขออนุโมทนาค่ะ. สาธุ สาธุ สาธุ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  15. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932

    อัน"ดาบสองคม"นี้แล.. น่ากลัวยิ่งนัก! โดนกิเลสหลอกใช้อินทรีย์5ไปกระทำเรื่อง"มิจฉาทิฏฐิ"
    จึงมีแต่เพียงสติ(หรือมหาสติ)+ปัญญาของตนเองเท่านั้น ที่จะสังเกตุเห็นกิเลสละเอียดได้
    และหยุดยั้งมันได้ ไม่ไหลตามไปกับมัน

    เราขอยกธรรมะของครูวิทย์มาที่ท่านว่า
    "กิเลสมันก็เปรียบเหมือน หินก้อนใหญ่หลายๆก้อน
    ครั้นเรา(เดินมรรคพื้นฐาน)บดขยี้มันแล้ว มันก็แตกละเอียดเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยหรือเป็นฝุ่นผงไป
    แต่ว่ามันก็ยังเป็นกิเลสอยู่ดี เพียงแต่ว่ามันละเอียดมากยิ่งๆขึ้น"
    หากว่าเราไม่สังเกตุมันให้ดีๆนะ เราก็มิอาจทราบได้เลยว่านั่นมันก็คือ"กิเลสอันละเอียด"
    ตราบเท่าที่เรายังครองขันธ์5นี้อยู่ ฝุ่นผงนี้มันก็ยังอยู่คู่ฟ้าดินกับเราตลอดเวลา
    "จึงมีแต่เพียงสติ ที่จะคอยหมั่นสังเกตุจิตตนเองและนำมาพิจารณาด้วยปัญญาอยู่บ่อยๆเท่านั้น(การเดินมรรคขั้นสูง)" ที่จะ"เอาอยู่!.."

    โมทนาสาธุกับคุณเพ็ญ2ด้วยครับที่ได้ยกธรรมะของหลวงตามาแบ่งปันกัน.. สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะคือ ธรรมชาติ
    ธรรมชาติคือ ธรรมดา
    ธรรมดาคือ ธรรมะ..นี่เอง


    เพราะฉะนั้นแล้ว
    ผู้ที่จะพูดหรือบอกธรรมะได้นั้น ก็คือผู้ที่เข้าถึงธรรมดาหรือธรรมชาติแห่งจิต
    ธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาติ หมายถึง ไม่ฝืนธรรมชาติ
    แต่ถ้าจะคิด พูด ทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติ นั่นก็แสดงว่า ไม่ใช่ธรรมะ นั่นเอง

    ผลของผู้ที่ฝืนธรรมชาติ ก็หมายความว่า ฝืนใจตนเอง
    เมื่อเราฝืนมากๆเข้า เราเองก็จะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ รู้สึกแน่นหรือหนักขึ้นมาทันที
    ที่พูดตรงนี้ มิได้ไปหมายถึงผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงการปฎิบัติ หรือเป็นผู้ที่กำลังบ้าทำบุญภายนอก
    (ขออภัยที่กล่าวเช่นนี้ มิได้มีเจตนาล่วงเกินจิตผู้ใด)

    เพราะฉะนั้น
    ผู้ที่ปฎิบัติธรรมที่มาถูกทางแล้ว
    ขอให้ดูที่จิตของผู้ปฎิบัติเองเป็นหลัก หรือ ผลของการปฎิบัตตนเอง(ปฎิเวธ)
    ว่าจิตของตนเองนั้น
    เยือกเย็นไหม? มับเบาสบายไหม? ทุกข์ยังมีเหมือนเดิมไหม?(ออกจากทุกข์ตนเองได้)
    แต่ถ้าท่านตอบว่า..เยือกเย็น เบาสบาย ไม่รู้สึกว่าทุกข์หรือสุขแล้ว
    อันนี้ก็หมายความว่า ท่านปฎิบัติได้ถูกทางดีแล้ว คือ ปฎิบัติต้องเป็นไปตามธรรมชาติ หรือ ไม่ฝืนธรรมชาติ
    เมื่อผู้ปฎิบัติสามารถเข้าถึงธรรมชาติแห่งจิตตน จิตก็เห็นธรรมดาได้

    นี่แหล่ะ! จิตที่ถึงธรรมะ ที่แท้จริง

    ไม่ต้องไปดูที่ไหน ดูที่จิตใจตนเอง นี่แหล่ะ!

    คนที่เข้าถึงธรรมะ ก็คือคนธรรมดาๆ นี่เอง
    แต่ถ้าใครเห็นธรรมะไม่ธรรมดา คือคนไม่ธรรมดา
    พวกเราจงไปให้ไกลๆ อย่าไปอยู่ใกล้ เพราะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว
    เพราะอาจจะเสียทั้งทรัพย์ เสียทั้งกาย เสียทั้งใจได้(เจ็บใจ)

    เพราะฉะนั้น
    เรียนธรรมะต้องนำจิตมาเดินตามรอยอริยมรรคเอง จึงจะเข้าถึงแก่นธรรม
    แก่นในที่นี้หมายถึง จิต
    ถึงกระแสจิตก่อน ค่อยถึงกระแสธรรมภายหลัง
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติยังไม่หยุดแค่นั้น ก็สามารถไปถึง จิตพุทธะ ในกาลข้างหน้า
    โดยเฉพาะผู้ที่ปฎิบัติใหม่ๆ ควรปฎิบัติให้มากๆ มากกว่าปริยัติ(ท่องจำมาจากตำรา)
    เพราะคนที่กำลังเรียนปริยัติมากๆนั้น ท่านกำลังเอาสมองเรียนแทนจิตตนเอง
    เรียนธรรม บรรลุธรรม มิใช่เอาสมองไปเรียน สมองบรรลุธรรมไม่ได้ เห็นมีแต่จิตเท่านั้น ที่จะบรรลุธรรม
    (ปริยัติเขามีไว้เทียบผลของการปฎิบัตตนเองว่..ที่เราปฎิบัติมาตั้งนานนั้น ถูกทางไหม๊)
    เพราะการเรียนรู้จากสมองนั้น ที่ได้มาจากการจำ เรียนธรรมจะไม่เหมือนในทางโลก(ตามโรงเรียน ตามมหา'ลัย)
    ทางธรรมนั้น ต้องนำจิตไปเรียนรู้เอง(เดินตามมรรคา)
    ความอัศจรรย์แห่งจิตของคนเราก็คือ เมื่อจิตรู้แล้ว เข้าใจแล้ว จิตเขาจะจดจำไปตลอดกาล
    เรียกได้ว่า จำข้ามภพ ข้ามชาติเลยทีเดียว
    ไม่มีวันเสื่อม(ดูจากกรรมที่ติดตามดวงจิตมาหลายภพชาติ) แต่สมองคนเราจะเริ่มเสื่อมไปเรื่อยๆ ไปตามอายุขัย
    แต่เมื่อมีจุดเด่น ก็ต้องมีจุดอ่อน คือจุดด้อยของจิตก็คือ จิตจะรู้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถแยกแยะความผิด-ถูกได้
    แต่ตัวที่พอจะแยกแยะได้ก็คือ สติ
    เมื่อสติรวมกับจิตเป็นหนึ่งได้ ก็เท่ากับจิตปัญญา(ตัวผู้รู้=จิตคือผู้ดูเฉยๆ)

     
  17. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อุบาสกนิรนาม

    บันทึก(ไม่)ลับอุบาสกนิรนาม

    (ผู้เขียนได้ปรับปรุงจากต้นฉบับเรื่องประสบการณ์ภาวนาซึ่งเคยส่งไปลงพิมพ์ในหนังสือโลกทิพย์ ในนามสันตินันทอุบาสก)
    ผมลังเลใจอยู่นานที่จะเล่าถึงการปฏิบัติธรรมของตนเองเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าใครตั้งใจปฏิบัติก็ทำกันได้ แต่ด้วยความเคารพในคำสั่งของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน ที่ท่านสั่งให้เขียนเรื่องนี้ออกเผยแพร่ ผมจึงต้องปฏิบัติตาม โดยเขียนเรื่องนี้ให้ท่านอ่าน
    ผมเป็นคนวาสนาน้อย ไม่เคยรู้เรื่องพระธุดงคกรรมฐานอย่างจริงจังมาก่อน จนแทบจะละทิ้งพระพุทธศาสนาไปแล้ว เพราะเกิดตื่นเต้นกับลัทธิวัตถุนิยม แต่แล้ววันหนึ่ง ผมได้พบข้อธรรมสั้นๆ บทหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ มีสาระสำคัญว่า
    "จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ"
    ผมเกิดความซาบซึ้งจับจิตจับใจ และเห็นจริงตามว่า ถ้าจิตไม่ออกไปรับความทุกข์แล้ว ใครกันล่ะที่จะเป็นผู้ทุกข์ จิตใจของผมมันยอมรับนับถือหลวงปู่ดูลย์เป็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่นั้น
    ต่อมาในต้นปี พ.ศ. 2525 ผมมีโอกาสด้นดั้นไปนมัสการหลวงปู่ดูลย์ที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อไปถึงวัดของท่านแล้ว เกิดความรู้สึกกลัวเกรงเป็นที่สุด เพราะท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ และไม่เคยรู้จักอัธยาศัยของท่านมาก่อน ประกอบกับผมไม่คุ้นเคยที่จะพบปะพูดจากับพระผู้ใหญ่มาก่อนด้วย จึงรีรออยู่ห่างๆ นอกกุฏิของท่าน
    ขณะที่รีรออยู่ครู่หนึ่งนั้น หลวงปู่ดูลย์เดินออกมาจากกุฏิของท่าน มาชะโงกมองดูผม ผมจึงรวบรวมความกล้าเข้าไปกราบท่านซึ่งถอยกลับไปนั่งเก้าอี้โยกที่หน้าประตูกุฏิ แล้วเรียนท่านว่า "ผมอยากภาวนาครับหลวงปู่"
    หลวงปู่หลับตานิ่งเงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอลืมตาท่านก็แสดงธรรมทันทีว่า การภาวนานั้นไม่ยาก แต่มันก็ยากสำหรับผู้ไม่ภาวนา ขั้นแรกให้ภาวนา "พุทโธ" จนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตผู้รู้ไป จะรู้อริยสัจจ์ 4 เอง (หลวงปู่ท่านสอนศิษย์แต่ละคนด้วยวิธีที่แตกต่างกันตามจริตนิสัย นับว่าท่านมีอนุสาสนีปาฏิหารย์อย่างสูง) แล้วท่านถามว่าเข้าใจไหม ก็กราบเรียนว่าเข้าใจ ท่านก็บอกให้กลับไปทำเอา
    พอขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพเกิดเฉลียวใจขึ้นว่า ท่านให้เราดูจิตนั้นจะดูอย่างไร จิตมันเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนและจะเอาอะไรไปดู ตอนนั้นชักจะกลุ้มใจไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ก็ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆจนจิตสงบลง แล้วพิจารณาว่าจิตจะต้องอยู่ในกายนี้แน่ หากแยกแยะเข้าไปในขันธ์ 5 ถึงอย่างไรก็ต้องเจอจิต จึงพิจารณาเข้าไปที่รูปว่าไม่ใช่จิต รูปก็แยกออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น หันมามองเวทนาแล้วแยกออกเป็นอีกส่วนหนึ่ง ตัวสัญญาก็แยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่ง โดยนึกถึงบทสวดมนต์ เห็นความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้น และเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผู้รู้ขึ้นมาได้
    หลังจากนั้น ผมได้ตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้ว่า ขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นและรู้ทัน กิเลสมันก็ดับไปเอง เหลือแต่จิตผู้รู้ ซึ่งรู้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆอย่างเป็นอิสระจากกิเลส และอารมณ์ต่างๆ ต่อมาภายหลังผมได้หาหนังสือธรรมะมาอ่าน จึงรู้ว่าในทางปริยัติธรรมจัดเป็นการจำแนกรูปนาม จัดเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่ในเวลาปฏิบัตินั้น จิตไม่ได้กังวลสนใจว่าเป็นวิปัสสนาญาณขั้นใด
    ปฏิบัติอยู่ 3 เดือน จึงไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ว่า "ผมหาจิตเจอแล้ว จะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป"
    คราวนี้ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมอันลึกซึ้งมากมาย เกี่ยวกับการถอดถอนทำลายอุปาทานในขันธ์ 5 ท่านสอนถึงกำเนิดและการทำงานของจิตวิญญาณ จนถึงการเจริญอริยมรรค จนมีญาณเห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป
    ท่านสอนอีกว่า เมื่อเราดูจิต คือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไปนั้น สิ่งปรุงแต่งจะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่าง
    แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่คือวิญญาณ ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก แล้วจิตจริงแท้หรือพุทธะ(หลวงปู่เทสก์เรียกว่าใจ) จึงปรากฎออกมา

    คำสอนครั้งนี้ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนฝนตกทั่วฟ้า แต่ภูมิปัญญาของผมมีจำกัด จึงรองน้ำฝนไว้ได้เพียงถ้วยเดียว คือได้เรียนถามท่านว่า "ที่หลวงปู่สอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติด้วยการดูจิตไปเรื่อยๆจะพอไหม"
    หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า "การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ก็รวมลงที่จิตตัวเดียวนี้เอง
    หลังจากนั้นผมก็เพียรดูจิตเรื่อยๆ มา มีสติเมื่อใดดูเมื่อนั้น ขาดสติแล้วก็แล้วกันไป นึกขึ้นได้ก็ดูใหม่ เวลาทำงานก็ทำไป พอเหนื่อยหรือเครียดก็ย้อนดูจิต เลิกงานแล้วแม้มีเวลาเล็กน้อยก็ดูจิต ดูอยู่นั่นแหละ ไม่นานก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
    วันหนึ่งของอีก 4 เดือนต่อมา ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นปลายเดือนกันยายน 2525 ได้เกิดพายุพัดหนัก ผมออกจากที่ทำงานเปียกฝนไปทั้งตัว และได้เข้าไปหลบฝนอยู่ในกุฏิพระหลังหนึ่งในวัดใกล้ๆ ที่ทำงาน ได้นั่งกอดเข่ากับพื้นห้องเพราะไม่กล้านั่งตามสบายเนื่องจากตัวเราเปียกมากกลัวกุฏิพระจะเลอะมาก พอนั่งลงก็เกิดเป็นห่วงร่างกายว่า ร่างกายเราไม่แข็งแรง คราวนี้คงไม่สบายแน่
    สักครู่ก็ตัดใจว่า ถ้าจะป่วยมันก็ต้องป่วย นี่กายยังไม่ทันป่วยใจกลับป่วยเสียก่อนแล้วด้วยความกังวล พอรู้ตัวว่าจิตกังวลผมก็ดูจิตทันที เพราะเคยฝึกดูจนเป็นนิสัยแล้ว
    ขณะนั้นนั่งกอดเข่าลืมตาอยู่แท้ๆ แต่ประสาทสัมผัสทางกายดับหายไปหมด โลกทั้งโลก เสียงฝน เสียงพายุหายไปหมด เหลือแต่สติที่ละเอียดอ่อนประคองรู้อยู่เท่านั้น (ไม่รู้ว่ารู้อะไรเพราะไม่มีสัญญา)
    ต่อมามันมีสิ่งละเอียดๆ ผ่านมาสู่ความรับรู้ของจิตเป็นระยะๆแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะจิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายใดๆ
    ต่อมาจิตมีอาการไหวดับวูบลง สิ่งที่ผ่านมาให้รู้ดับไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ชัดเหมือนตาเห็นว่า ความว่างที่เหลืออยู่นั้น ถูกแหวกพรวดอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลออกไปอีก กลายเป็นความว่างที่บริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง
    ในความว่างนั้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วได้อุทานขึ้นว่า "เอ๊ะ จิต ไม่ใช่เรานี่"
    จากนั้นจิตได้มีอาการปิติยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น พร้อมๆ กับเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง จากนั้นจิตจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่งแล้วถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรับรู้ต่างๆ กลับมาสู่ตัวแล้ว ถึงกับอุทานในใจ(จิตไม่ได้อุทานอย่างทีแรก)ว่า "อ้อ ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง เมื่อจิตไม่ใช่ตัวเราเสียแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เป็นตัวเราอีกต่อไป"
    เมื่อผมไปกราบหลวงปู่ดูลย์ และเล่าเรื่องนี้ให้ท่านทราบ พอเล่าว่าสติละเอียดเหมือนเคลิ้มๆ ไป ท่านก็อธิบายว่า จิตผ่านฌานทั้ง 8
    ผมได้แย้งท่านตามประสาคนโง่ว่า ผมไม่ได้หัดเข้าฌาน และไม่ได้ตั้งใจจะเข้าฌานด้วย
    หลวงปู่ดูลย์อธิบายว่า ถ้าตั้งใจก็ไม่ใช่ฌาน และขณะที่จิตผ่านฌานอย่างรวดเร็วนั้น จิตจะไม่มานั่งนับว่ากำลังผ่านฌานอะไรอยู่ การดูจิตนั้นจะได้ฌานโดยอัตโนมัติ (หลวงปู่ไม่ชอบสอนเรื่องฌาน เพราะเห็นเป็นของธรรมดาที่จะต้องผ่านไปเอง หากสอนเรื่องนี้ ศิษย์จะมัวสนใจฌานทำให้เสียเวลาปฏิบัติ)
    พอผมเล่าว่าจิตอุทานได้เอง หลวงปู่ก็บอกอาการต่างๆ ที่ผมยังเล่าไม่ถึงออกมาตรงกับที่ผมผ่านมาแล้วทุกอย่าง แล้วท่านก็สรุปยิ้มๆว่า จิตยิ้มแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ถึงพระรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาอาตมาอีก
    แล้วท่านแสดงธรรมเรื่อง จิตเหนือเหตุ หรือ อเหตุกจิต ให้ฟังมีใจความว่า อเหตุกจิต มี 3 ประการคือ
    1. ปัญจทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของจิตขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย
    2. มโนทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของใจขึ้นรับรู้อารมณ์ทางใจ
    3. หสิตุปปาท หรือจิตยิ้ม เป็นการแสดงความเบิกบานของจิตที่ปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง เพื่อแสดงความมีอยู่ของจิตซึ่งไม่มีตัวตนให้ปรากฏออกมาสู่ความรับรู้
    อเหตุกจิต 2 อย่างแรกเป็นของสาธารณะ มีทั้งในปุถุชนและพระอริยเจ้า แต่จิตยิ้มเป็นโลกุตรจิต เป็นจิตสูงสุด เกิดขึ้นเพียง 3 - 4 ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์
    หลังจากนั้นผมก็ปฏิบัติด้วยการดูจิตเรื่อยมา และเห็นว่าเวลามีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย จะมีคลื่นวิ่งเข้าสู่ใจ หรือบางครั้งก็มีธรรมารมณ์เป็นคลื่นเข้าสู่ใจ
    หากขณะนั้นขาดสติ จิตจะส่งกระแสไปยึดอารมณ์นั้น ตอนนั้นจิตยังไม่ละเอียดพอ ผมเข้าใจว่าจิตวิ่งไปยึดอารมณ์แล้วขยับๆ ตัวเสวยอารมณ์อยู่จึงไปเรียนให้หลวงปู่ดูลย์ทราบ
    ท่านกลับตอบว่า จิตจริงแท้ไม่มีการไป ไม่มีการมา
    ผมได้มาดูจิตต่ออีกสักครึ่งปีต่อมา วันหนึ่งจิตผ่านเข้าสู่อัปปนาสมาธิและเดินวิปัสสนา คือมีสิ่งให้รู้ผ่านมาสู่จิต แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าคือสิ่งใด จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างขึ้นแบบเดียวกับเมื่อจิตยิ้ม คราวนี้จิตพูดขึ้นเบาๆว่า จิตไม่ใช่เรา แต่ต่อจากนั้นแทนที่จิตจะยิ้ม จิตกลับพลิกไปสู่ภูมิของสมถะ ปรากฏนิมิตเป็นเหมือนดวงอาทิตย์โผล่ผุดขึ้นจากสิ่งห่อหุ้ม แต่โผล่ไม่หมดดวง เป็นสิ่งแสดงให้รู้ว่ายังไม่ถึงที่สุดของการปฏิบัติ
    ปรากฏการณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การดำเนินของจิตในขั้นวิปัสสนานั้นหากสติอ่อนลง จิตจะวกกลับมาสู่ภูมิของสมถะ และวิปัสสนูปกิเลสจะแทรกเข้ามาตรงนี้ถ้าไม่กำหนดรู้ให้ชัดเจนว่า วิปัสสนาพลิกกลับเป็นสมถะไปแล้ว นักปฏิบัติจึงต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยพบกับจิตยิ้ม(สำนวนของหลวงปู่ดูลย์) หรือใจ (สำนวนของหลวงปู่เทสก์) หรือจิตรวมใหญ่(สำนวนของท่านอาจารย์สิงห์)
    เมื่อผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ว่า ดีแล้ว ให้ดูจิตต่อไป
    ผมก็ทำเรื่อยๆ มา ส่วนมากเป็นการดูจิตในชีวิตประจำวัน ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิแบบเป็นพิธีการ ต่อมาอีก 1 เดือน วันหนึ่งขณะนั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชาย จิตเกิดรวมวูบลงไป มีการแยกความว่างซึ่งมีขันธ์ละเอียด(วิญญาณขันธ์)ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ (ร่างกายไม่ได้หัวเราะ) มันเป็นการหัวเราะเยาะกิเลสว่า มันผูกมัดมานาน ต่อๆ ไป จิตจะเป็นอิสระยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
    เหตุการณ์นี้ทำให้ได้ความรู้ชัดว่า ทำไมเมื่อครั้งพุทธกาล จึงมีผู้รู้ธรรมในขณะฟังธรรมเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก
    ผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ คราวนี้ท่านไม่ได้สอนอะไรอีกเพียงแต่ให้กำลังใจว่า ให้พยายามทำให้จบเสียแต่ในชาตินี้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพ
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่ง เคยสั่งให้ผมเขียนเรื่องการปฏิบัติของตนเองออกเผยแพร่ เพราะอาจมีผู้ที่มีจริตคล้ายๆ กันได้ประโยชน์บ้าง ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อสนองคำสั่งครูบาอาจารย์ และเพื่อรำลึกถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เปี่ยมด้วยอนุสาสนีปาฏิหารย์ รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์สักเล็กน้อย สำหรับท่านที่กำลังแสวงหาหนทางปฏิบัติอยู่


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    *"......................." ห้ามภุชงค์พูด ก็จะไม่พูดละ catt1กราบท่านอาจารย์ภูและคุณครูเพ็ญค่ะ

    *น้องพอใจแอบดูอยู่ ออกมาแสดงตัวเสียโดยดี ได้ข่าวว่าตอนนี้เสริมพลัง"Turbo"เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?be happy1

    *กําลังรอ"จุ๋ม๓จุ๋ม"มาสนทนาธรรมอยู่ค่ะ
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
     
  20. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    จงหมั่นระลึกถึงในจิตที่เป็นบุญกุศล แต่จงอย่ายึดติดในกุศลและบุญ
    การสร้างบุญในขั้นทานกุศลนั้นจะได้ เต็ม ๑๐๐ นั้น มีองค์ประกอบ
    ๓ ประการ คือ ๑ เงินที่หามาได้โดยสุจริต
    ๒ มีจิตตั้งใจพร้อมที่ทำในบุญกุศลนั้น
    ๓ เมื่อทำเสร็จแล้วไม่ยึดติดในผลทานกุศลนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05587.JPG
      DSC05587.JPG
      ขนาดไฟล์:
      474.5 KB
      เปิดดู:
      28

แชร์หน้านี้

Loading...