จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    MV มอบใจถวายพระพุทธองค์ : สามเณรฯ - YouTube
    ต่อไปนี้ขอให้จิตเราเป็นฝ่ายดูบ้าง
    จากเมื่อก่อนนี้ จิตเราเป็นผู้วิ่งตามกิเลสตนเองและกระแสโลก
    ถึงโลก ถึงผู้อื่นไม่สงบ
    แต่สำหรับจิตของผู้ฝึกจิตมาดีแล้ว ย่อมนำพาความสงบสุขมาให้
    ไม่วุ่นวายทั้งกายและใจ
     
  2. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ปีนี้ กวี ไม่เข้าร่าง...
    อยากจะอวยพรบ้าง ก้อไม่ไหว
    อารมณ์ สุนทรีย์ หนีไกล
    อารมณ์ธรรมะ ก็ไม่แจ่ม ไม่ชัดเจน
    บุญข้า... น้อยนักหนา
    ขอพรพระ เทพเทวา สถิตย์...เด่น
    ช่วยปกปักษ์ คุ้มร้อน ผ่อนเป็นเย็น
    ส่งความสุข ดับทุกข์เข็ญ แด่เพื่อนธรรม

    สวัสดี(ก่อน)ปีใหม่ค่ะ
     
  3. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    มหาสติแท้


    โดยหลวงปู่เทสก์

    [​IMG]

    ถ้าหากสติอ่อนเมื่อไรก็เป็นเบื้องต้นเมื่อนั้น

    สติแก่กล้าเมื่อไรก็เป็นท่ามกลางและที่สุดเมื่อนั้น คือหมายความว่า...

    สติคุมจิตอยู่ทุกขณะ จนกระทั่งเป็นมหาสติปัฏฐาน

    จะยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบถใด ๆ ทั้งหมด

    มีสติรอบตัวอยู่เสมอโดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้มีสติ...

    แต่มันเป็นของมันเอง สติควบคุมจิตไปในตัว

    เมื่อมีสติเช่นนั้นมันก็ไม่เกี่ยวข้องพัวพันกันกับสิ่งต่าง ๆ

    เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นลิ้มรสต่าง ๆ กายได้สัมผัส

    มันก็เป็นสักแต่ว่า สัมผัสแล้วก็หายไป ๆ ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์

    ไม่เอามาคำนึงถึงใจ อันนั้นเป็น มหาสติ แท้ทีเดียว...
     
  4. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    เมื่อหลวงพ่อสด สอนเรื่องนิพพานแก่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์

    วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตนแล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้วแต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ

    ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น

    พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่ทีนี้ต่อมา

    หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมากรวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก

    แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้
    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่ม

    ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์....

    จากหนังสือ อ่านเล่น เล่ม 6 โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
     
  5. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
    สาธุ กราบแทบเบื้องบาทท่านพ่อค่ะ
    อนุโมทนาครูจารุณีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2012
  6. จารุณี22

    จารุณี22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1,403
    ถ้าไม่รู้จักทุกข์ ไม่เห็นทุกข์ มันก็ล่วงพ้นความทุกข์ไปไม่ได้

    พระตถาคตเจ้าทั้งหลายสอนให้เห็นทุกข์ จักได้วางทุกข์ ปลดทุกข์ ละทุกข์เสียได้ จึงจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    ถ้า(จิต)เห็นทุกข์เมื่อไหร่ก็เห็นธรรมเมื่อนั้น​
     
  7. จารุณี22

    จารุณี22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1,403
    คาถาเรียกจิต



    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้


    ๑. บางคนที่จิตดื้อ นอกจากให้กำหนดรู้ลมหายใจอย่างเดียวยังไม่พอ
    ควรจักให้เขาใช้คาถาเรียกจิตประกอบไปด้วย คือ
    อิติ สัมมา สัมพุทธะ สะ มะมะจิตตัง

    ๒. ก่อนสวดให้กำหนดจิตขึ้นกราบพระ ขอขมาพระรัตนตรัย
    ให้ทุกครั้งก่อนสวด เพื่อทบทวนธรรมะเก่าๆ ที่ผ่านมา
    เพื่อยังจิตให้เจริญธรรมในธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=hFkEMVrnQz4]pochangkaparitra gatha บทสวดโพชฌังคปริตร - YouTube[/ame]

    โพชฌังคปริตร ถือเป็นพุทธมนต์ที่ช่วยให้คนป่วยที่ได้สดับตรับฟังธรรมบทนี้แล้วสามารถหายจากโรคภัยไ­ข้เจ็บได้
    ที่เชื่ออย่างนี้เพราะมีเรื่องในพระไตรปิฎกเล่าว่า
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธ พระองค์ทรงแสดงสัมโพชฌงค์แก่พระมหากัสสปะ
    พบว่า พระมหากัสสปะสามารถหายจากโรคได้
    อีกครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธ หลังจากนั้น
    พบว่า พระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธได้ ในที่สุด
    เมื่อพระพุทธองค์เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่าพระพุทธเจ้าก็หายประชวร

    พุทธศาสนิกชนจึงพากันเชื่อว่า โพชฌงค์นั้น สวดแล้วช่วยให้หายโรคได้ ซึ่งในพระไตรปิฎกกล่าวว่า
    ธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นธรรมเกี่ยวกับปัญญา เป็นธรรมชั้นสูง
    ซึ่งเป็นความจริงในเรื่องการทำใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส ซึ่งสามารถช่วยรักษาใจ
    เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับร่างกาย
    เนื่องจากกายกับใจเป็นสิ่งที่อาศัยกันและกัน จึงทำให้หายจากโรคได้

    สรุปแล้ว
    ขอให้พวกเราหมั่นทำจิตของตนให้สว่าง สะอาด ผ่องใส อยู่ตลอดเวลานะครับ
    ด้วยความปรารถนาดีจากกระทู้ จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ
    เนื่องในวาระดิถีขึ้นวันปีใหม่ 2556
    ภูทยานฌาน2 และชาวคณะจิตเกาะพระ
     
  9. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  10. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  11. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พุทธอุทาน. หลวงปู่บุญเพ็ง พระครูวิเวกวัฒทนาทร วัดป่าวิเวกธรรม ขอนแก่น

    สมณะและพราหมณ์บางพวก ยึดถือติดลึกในทิฏฐิของตน

    ชนทั้งหลายผู้มองสิ่งทั้งหลายเพียงด้านเดียว

    ย่อมโต้เถียงวิวาทกัน.

    ผู้มีปัญญา เที่ยวไปกับกลุ่ม ย่อมปะปนกับคนโง่เขลา

    ครั้นเห็นแล้วว่าสิ่งใดผิด แล้วละทิ้งเสียได้

    ย่อมเปรียบเสมือนนกกะเรียนผู้เจริญวัยเต็มที่ ละทิ้งแผ่นดินอันเป็นเปือกตน.


    หลวงปู่ฝากไว้ เนื่องในงานแสดงมุทิตาสักการะฉลองอายุครบ ๗๓ปี


    วันมาฆบูชา ตรงกับวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕
    ๔๔.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2012
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    วันนี้จะกล่าวถึง "ความทุกข์"และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะปรารถนา แต่ทุกข์ก็คือ ธรรมชาติที่บีบคั้นให้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือ ความกํานัดยินดี เป็นฟื้นเป็นไฟที่เผาไหม้สัตว์โลก เป็นไฟ 3กอง นี้ โลภ โทสะ โมหะ หรือเรียก อีกอย่างว่า ธรรมชาติที่บังคับให้ดีคดิ้นไปและเสาะแสวงหาไม่มีใครที่จะรู้ว่านั้นเป็นทางเดินของกิเลส เว้นแต่พระอรหันต์ธรรม อรหันต์ผล ผู้หลุดพ้นแล้ว และผู้จะเห็นได้ต้องเดินรอยตามพระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติก็จะถูกสิ่งเหล่านี้ปิดบังไว้ไม่ได้เห็น เช่น ความโกรธ ความเกียจ ความโลภ ล้วนแต่เป็นฟื้นเป็นไฟ ก็มีแต่ทุกข์ แต่พอมีธรรมหรือเริ่มมีการปฏิบัติเวลาจิตสงบแค่ขั้น "สมถะธรรม" ก็จะเห็นความสุขหรือความแตกต่างที่ไม่เคยเกิดขื้นกับตน จากนั้นผู้ปฏิบัติก็จะเริ่มเห็นโทษของความวุ้นวายที่เคยเป็นมา ก็จะทําให้เกิดกําลังใจในการปฏิบัติ ก็จะมีทางหลุดพ้นได้ การพิจารณาต้องเอาจริงเอาจังเราจะทําแบบเล่นๆนั้นไม่ได้เพราะกิเลสมันไม่เป็นของเล่นๆเราจึงควรจะเอาจริงเอาจัง ถ้าเราจะเกิดความท้อถอยเราก็ควรจะเอาโลกนี้มาพิจารณาเพราะจะเห็นได้ง่าย คือ โลกก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของมันอยู่แล้วให้เราดูด้วยตาเนื้อก่อน แล้วก็น้อมมาดูกายเรา ว่ามันเปลี่ยนแปลงอยู่เหมือนกันแต่จะเห็นด้วยการพิจารณา "ด้วยปัญญา"พิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นของไม่เที่ยงอยู่อย่างนี้ๆแล้วผู้ปฏิบัติแท้ ก็คือเรา เราเท่านั้นจะเป็นผู้เห็นจริง ไม่มีอะไรเป็นของๆเรา "โลกสมมุติ" ก็คือ "โลกหมุน" คือหมุนไปตามกิเลส คือ "อนัตตา "เป็นของไม่เที่ยงและของที่ไม่เที่ยงนี้แหล่ะคือตัว "อุปาทาน" คือเข้าไปยึดติดเพราะความไม่รู้จริง เห็นจริง ถึงต้องเอา สติ สมาธิ ปัญญา มาใช้ชะล้างกิเลสและใช้ปัญญานี่แหล่ะตัวทําให้แจ้ง และจะได้เห็นธรรมแท้ และธรรมแท้นี้ไม่เคยทําให้ใครเป็นทุกข์ มีแต่กิเลสนี้แหล่ะทําให้คนเป็นทุกข์ แต่คนที่จะก้าวเดินเพื่อฆ่ากิเลสนี้ต้องอาศัยคือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ที่เป็นธรรมที่จะต้องสัมผัสสัมพันกันไปเหมือนเชือกที่จะต้องหมุนกลมเกียวกันไป เป็นหนึ่งเดียวกัน และเราก็จะได้เห็นธรรมเป็นของจริงอย่างแน่นอน.ขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้หมุนตามธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อความหลุดพ้นด้วยเทอญ.
    จดจําจาก เทปองค์หลวงตา มหาบัว ญาณสัมโน. ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     
  14. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    เคล็ดลับในการรักษาศีลแบบวิธีง่าย ๆ
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    ● คนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง

    แนะให้ตั้งใจรักษาศีลให้ครบ ๕ ข้อวันละ ๓ ชั่วโมง คือตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ถึง ๙ โมงเช้า ในเวลาเท่านี้จะอย่างไรก็ตามจะไม่ยอมละเมิดศีลเด็ดขาด

    ถ้าเธอปฏิบัติตามนี้ได้ ไม่เกิน ๓ เดือน มีหวังรักษาศีล ๕ ครบทุกสิกขาบทได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพราะการระมัดระวังศีลทั้ง ๕ ข้อ วันละ ๓ ชั่วโมงนั้น เป็นการทรงฌานในสีลานุสสติวันละ ๓ ชั่วโมง เพราะเป็นอนุสสติ ไม่ต้องไปนั่งหลับตาภาวนา เอาใจคอยระวังไม่ให้พลั้งพลาด เท่านี้เป็นฌานแล้ว

    คำว่า ฌาน นั้น ความหมายจริง ๆ ก็คืออารมณ์ชิน คือ มีอารมณ์ทรงอย่างนั้นเป็นปกติ อย่างพวกเราชินกับความทุกข์จนไม่เข้าใจว่ามันเป็นความทุกข์ นั่นก็คือ ความหิว ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เป็นต้น มีทุกวันจนชิน เลยไม่เข้าใจว่าเป็นทุกข์ เห็นเป็นของธรรมดาไป คำว่าฌานก็เหมือนกัน มีอารมณ์ปกติจนไม่มีอะไรต้องระวังหรือมีความหนักใจ


    ● คนที่มีอารมณ์เข้มแข็งน้อย

    หรือที่เรียกว่ามีกำลังใจค่อนข้างอ่อนแอ แต่มีแววที่พอจะทำได้ ให้เลือกปฏิบัติเอาจริงเอาจังเป็นข้อ ๆ ที่พอจะทำได้ ให้เอาชนะจริง ๆ ข้อใดข้อหนึ่งไปเลย เมื่อชนะข้อใดข้อหนึ่งแน่นอนแล้ว ก็ค่อย ๆ เลือกเอาข้อที่เห็นว่าง่าย ไม่นานเท่าไรก็ชนะหมดทุกข้อ


    สำหรับศีล บางทีญาติโยมจะหนักใจ ก็ไม่เป็นไรวันหนึ่งรักษา ๒๔ ชั่วโมงไม่ได้ ก็รักษาวันละ ๓ ชั่วโมง มันก็เป็นศีล เรารักษาได้จริงๆ ด้วยการอดใจจริง ๆ ๑ ชั่วโมง มันก็เป็นศีล ถ้าวันหนึ่งเรารักษาได้จริง ๆ ใครจะด่าจะว่า จะทำอะไรก็ช่างมัน ช่างมัน ช่างมัน ๑ ชั่วโมง ใช่ไหม แล้วเหลือ ๒๓ ชั่วโมงด่าดะ ใช่ไหม

    อย่าลืมว่าไอ้วันละ ๑ ชั่วโมงนี่ มันจะกดอารมณ์ลงไปเรื่อย ๆ ไม่ช้ามันก็เต็ม ๒๔ ชั่วโมง ใช่ไหม ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า น้ำฝนตกลงมาทีละหยดละหยาด สามารถทำให้ภาชนะเต็มได้ฉันใด การอดใจหรือการทรงใจในอำนาจของศีลวันหนึ่ง วันหนึ่งเราได้ ๑ ชั่วโมง ต่อไปอารมณ์มันก็ชิน มันก็เป็น ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ไปตามสภาพ

    ฉะนั้น ภายใน ๓ ชั่วโมงนี่ ฉันจะทรงศีล ๕ ให้ทรงตัว การระมัดระวังอย่างนี้ อย่าลืมนะท่านผู้นั้นเป็นผู้ทรงฌานในสีลานุสสติกรรมฐานวันละ ๓ ชั่วโมง แล้วก็ทำอย่างนี้ หลายคนมารายงานไม่ถึง ๓ เดือน ศีล ๕ ครบถ้วนตลอดวัน แค่นี้
    ที่มา fb BuddhaSattha
     
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พระธรรมเทศนาพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี ธมฺมธโร)
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=-StVu61frkY]สีลานุสสติ - YouTube[/ame]
     
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    “วันนี้วันพระ”

    ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
    ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด
    ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์

    สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
    สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
    (สีลวเถร) ขุ.เถร. ๒๖/๓๕๘
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    วันนี้ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นวันพระเจ้าตากสินมหาราช

    ● พระราชปณิธานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

    อันตัวพ่อ นี้ชื่อ พระยาตาก
    ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
    ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
    แก่ศาสดา สมณะ พระพุทธโคดม

    ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
    สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม
    เจริญสมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชน
    ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา

    คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
    ชาติของเรา คงอยู่ คู่ศาสนา
    พระศาสนา ยืนยงคู่ องค์กษัตรา
    พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน
     
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    บุคคลชอบบ่นว่า ทำดีไม่ได้ดีนั้น เคยสำรวจไหมว่า ทำดีขนาดที่จะได้รับผลดีหรือยัง

    การทำดีเป็นหน้าที่ของคนดี แต่การให้ผลดีเป็นหน้าที่ของกรรม.

    เหมือนการไถหว่านเป็นหน้าที่ของชาวนา การออกรวงออกเมล็ดเป็นหน้าที่ของต้นข้าว

    ชาวนาจะเร่งรัดไม่ได้. เราก็เหมือนกันเป็นเพียงฐานตั้งไว้ แล้วแต่ว่าใครจะทำฐานนั้นมั่นคง

    รู้คุณค่าของฐานเราๆก็ต้องหมั่นดูแลเหมือนกับชาวนาที่รอรวงข้าวและผลของข้าว ก็เหมือน

    กันเรามีฐานที่มั่นคงอยู่แล้ว เราจะรู้ค่าไหมว่าฐานของตัวเราเองนั้นสำคัญ.เราก็จะใช้ฐาน

    ของตนเองมาทำประโยชน์ให้กับตนเอง ก่อนที่เราจะรู้ว่าทำดีได้ดี เราต้องขยันมั่นเพียรทำ

    ทำไปเรื่อยๆอย่างไม่มีประมาณ ไม่ว่าจะทำดีในด้านใหนด้านใด ท่านต้องได้รับความดีแน่นอน

    บุคคลที่ฉลาดแล้ว ย่อมรู้ว่าฐานของเราตัวของเรานั้นต้องทำอย่างไร ให้ได้รับผลตามที่

    ท่านประสงค์ไว้ ขอให้ทุกท่านนำฐานของตัวเองมาปฏิบัติให้เกิดผลกับตนเอง ผลของการ

    กระทำแต่ละอย่างนั้นๆตามมาเหมือนเราวิ่งแข่งกันเลย เพราะฉะนั้นถ้าเรายังไม่ฝึกเราก็จะ

    ไม่มีทางชนะ คือชนะใจตนเอง การฝึกทุกอย่างเราฝึกได้ตลอดเวลาไม่ว่าเวลาใหนเมื่อ

    ไหร่ถ้าเราทำเป็นประจำเดี๋ยวมันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติเอง.ขออนุโมทนาค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2012
  19. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    วันนี้ผึ้งมีนิทานมาเล่าอิกแล้วจ้ะ ^^


    เรื่องมันมีอยู่ว่า

    มีพระธุดงค์สองรูปเดินมาด้วยกัน เดินมาถึงห้วยน้ำใหญ่ เห็นหญิงสาวอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นสาวพิการ ไม่สามารถข้ามลำห้วยได้ แต่ว่าสตรีพิการผู้นั้นต้องข้ามลำห้วยกลับไปบ้านให้ได้ เพราะเรือนั้นไม่มีแล้ว จึงเกิดเหตุขึ้น

    พระรูปแรก : เดี๋ยวเราอุ้มสตรีผู้นี้ข้ามลำน้ำหน่อยเถิด

    พระรูปที่สอง : จะดีหรือท่านแตะเนื้อต้องตัวสตรีนั้นอาบัติ

    พระรูปแรกไม่สนใจอุ้มสตรีพิการนางนั้นข้ามห้วยหนองมาได้ เมื่อมาถึงริมฝั่ง สตรีพิการนางนั้นจึงกล่าวว่า

    “มิเป็นไรดอกพระคุณเจ้า ข้าเจ้าสมารถเดินทางบนผืนดินได้ ส่งข้าแค่เพียงนี้ สาธุการแด่ตถาคตด้วยเถิด”

    เมื่อวางหญิงชรานางนั้นลง แล้วพระธุดงค์ทั้งสองเดินต่อไปอีกกว่า 10เส้น

    ในที่สุด พระธุดงค์รูปที่สองก็ ถามด้วยความในใจที่อัดอั้นมานานว่า

    “เหตุใดพระรูปนี้ถึงได้ต้องทำอาบัติ แตะเนื้อต้องตัวสตรี นี่มันเจตนามิใช่หรือ”

    พระธุดงค์รูปแรก ท่านว่า

    “เราน่ะวางสตรีผู้นั้นตั้งแต่นานมาแล้ว เหตุใดท่านยังถือตามมาด้วยเล่า ปล่อยวางเถิดแล้วจักสบาย”

    สาธุ

    ขอบคุณพี่ เต่า เสรีค่ะ ที่เล่านิทานเรื่องนี้เป็นธรรมทาน สาธุค่ะ
     
  20. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขอยกเรื่องของสติมากล่าว เพื่อ ความเข้าใจของผู้ปฏิบัติ เพราะสติเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วถ้าขาดสติก็จะไม่ได้ผลในการปฏิบัติ ท่านจึงกล่าวกับผู้ปฏิบัติว่าจงมีสติ หรือ จงทําสติ คือมีความรู้สึกตัว หรือเรียกว่า "สัมปชัญญะ"คือรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ภายในกายในจิต ตั้งแต่หัวจนถึงปลายเท้า หรือ รู้ กายรู้จิตตนก็ว่าได้ และสติก็ไม่กํากัดสถานที่ตายตัวว่าจะต้องรู้อยู่แต่เฉพาะจุดใดๆ จุดหนึ่งของร่างกายเท่านั้น "สติตัวแท้ๆ"จะต้องเป็นสติตัว"รู้ตื่น"คือมันวิ่งได้รอบตัวเกิดตรงไหนสติก็ตามรู้ทันที และถ้าเป็นสติที่สมบูรณ์แล้ว จะเรียก"มหาสติ"และมหาสตินี้จะเกิดขึ้นได้เฉพาะผู้เจริญสติจนสติอยู่กับปัจจุบันได้ตลอดสายจริงๆหรือจนชํานาญแล้วเท่านั้น และสติที่เป็นปัจจุบันจริงๆนั้นจะเกิดขึ้นเร็วมากหรือเรียกอีกอันหนึ่งว่า "สติอัตโนมัติ" อันเป็นธรรมชาติของธาตุรู้จริงๆเท่านั้นที่จะจับได้ซึ้งผู้ทําถึงจุดนี้จะรู้ได้เอง มหาสติเป็นผลของสติ มันมีอยู่ในนั้นพร้อมคือในตัวสตินั้นแหละ มรรคแท้ๆ หรือทางพ้นทุกข์ คือตัวสติตัวเดียวเท่านั้นเพราะสติคือแม่ทัพใหญ่ในกองทัพธรรม และสรุปง่ายๆก็คือ
    สติจับรู้อยู่กับปัจจุบัน ผลเป็นสมาธิ
    สมาธิที่มีสติจับทันปัจจุบันอีก ผลเป็นมหาสติ
    มหาสติรู้ทันในพระไตรลักษณ์ ผลคือปัญญา
    ปัญญามีสติรู้อยู่ในนั้น ผลเป็นวิสุทธิ หรือ วิมุติ
    เราไม่ต้องสงสัย ให้ทําสติรู้อยู่กับปัจจุบันตัวเดียวเท่านั้น ทางและผลจะมีอยู่ในนั้นทั้งหมด. และขอให้ท่านผู้อ่านทุกๆท่านจงเป็นผู้มีสติ "มหาสติ"อยู่ทุกๆเมื่อด้วยเทอญ.ที่มา" ธรรมะกับการปฏิบัติ"
     

แชร์หน้านี้

Loading...