จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สนใจจิตตนเองดีกว่า!

    มิใช่! ให้พวกเรามารอลุ้นกันว่า..ภัยพิบัติมันจะเกิดเมื่อไหร่ เกิดที่ไห
    แต่จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท! นั่นก็หมายถึง เตรียมจิตใจให้พร้อมรับกับทุกสถานการณ์
    เตรียมสติให้พร้อม อย่าไปคาดหวังกับภัยพิบัติหรือสิ่งภายนอก เพราะมันไม่เที่ยง เป็นสิ่งสมมุติ
    สิ่งภายนอก สิ่งสมมุติ หรือสิ่งที่มิใช่จิต มันไม่สำคัญเท่ากับจิต ดวงจิตหรือวิญญาณของเราเลย

    แต่ถ้าหากพวกเราปฎิบัติธรรมสำำเร็จ ได้มรรค ได้ผล ได้นิพพาน หรือมีดวงตาเห็นธรรมกันทุกคน
    ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะทุกคนจะไม่กลัวความตาย ละสักกายทิฎฐิได้เด็ดขาด เข้าใจธรรมะดี
    จิตปล่อยวางกับทุกสิ่งได้หมดหรือเกือบหมด แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็มีแต่ความสงบสุข ไม่ทุกข์ร้อน
    แต่ถ้าตายก็จะไปสุคติภูมิ เพราะจิตมิได้เศร้าหมอง จิตเข้าใจธรรม

    ขอให้พวกเราเตรียมกาย เตรียมจิตไปพร้อมๆกันทีเดียวเลย อย่าเตรียมแต่กายหรือสิ่งภายนอก
    เพียงอย่างเดียว แต่ลืมเตรียมจิตใจ อันนี้เสียหายมาก หาประมาณมิได้ แต่ถ้าเตรียมจิต แต่มิได้
    เตรียมกายหรือภายนอก อันนี้เสียหายน้อยกว่าเตรียมกายหรือภายนอกอย่างเดียว

    ถ้าคนจิตแข็ง มีสติปัญญามาก เพราะฝึกสติฝึกจิตมาดี ถึงจะเสพข่าวภัยพิบัติทุกวันก็ไม่เป็นไร
    จิตไม่ตก ไม่เป็นทุกข์ตามกระแสข่าว ไม่มีผลกระทบต่อจิตใจ
    แต่ถ้าจิตใครตรงกันข้ามที่กล่าวมานี้ หยุดเสพข่าวแล้วนับหนึ่งใหม่ก็คือเข้าถ้ำ สร้างสติดูกายดูจิต
    บางท่านจิตกึ่งๆครึ่งๆกลางๆ ก็อาจจะไปล่วงเกินจิต ล่วงเกินกรรม มีทั้งเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
    คือหลงไปตำหนิหรือด่าว่าร้ายกัน ถึงจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม แต่ก็ไปล่วงเกินจิตเกินกรรม
    ไปเรียบร้อยแล้ว เราเป็นคนเหมือนกัน ไม่มีใครดีกว่าหรือเลวกว่ากันหรอก พอจะเข้าใจว่าต่างคน
    ก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง เราแทบไม่จำเป็นจะต้องมาจัดการกับคนที่เราคิดว่ามันผิด หรือว่าคนนี้
    มันเลวแสนเลวจริงๆ ก็ต้องปล่อยให้กฏแห่งกรรมทำหน้าที่ของเขาไป มิใช่หน้าของเรา เพราะ
    หน้าที่ของเราจริงๆ ก็คือ เอาจิตตนให้รอดก่อน โดยการสร้างบุญภายในให้มาก

    สำหรับผู้ที่ยังไม่ปฎิบัติธรรม ก็อย่าส่งจิตออกนอกมากนัก เพราะสิ่งภายนอกคือสิ่งสมมุติ
    มันมิใช่ทางบุญกุศล สำหรับผู้ปฎิบัติ แต่ยังมีสติปัญญาไม่มากพอที่จะเอาตัวรอด ยังมีสติปัญญา
    ไม่พอในการพิจารณธรรมให้ขาด ก็ย่อมหลงนิมิต หลงอภิญญาเป็นปกติของนักภาวนา
    จิตติดสุขจากฌาน นักภาวนาหรือผู้ปฎิบัติส่งจิตเข้าในมาก จนส่งผลต่อกายหยาบดูเสื่อมโทรม
    ดูไม่ดี นั่นแสดงว่าปฎิบัติตึงเกินไป ให้ผ่อนลงมา พยายามทำอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้สมดุลย์กัน
    อย่าหนักด้านใด ด้านหนึ่ง อะไรก็ตามที่ทำลงไปแล้ว ไม่เกิดความสมดุลย์กัน นั่นแหล่ะ
    ขอให้เราเข้าใจว่า นั่นมันไม่ใช่ มัชฌิมาปฎิปทา หรือทางสายกลางของพระพุทธองค์ฯ

    ขอโทษ ขออภัยอโหสิกรรมให้แก่กันด้วย ถ้าล่วงเกินจิตผู้ใดและมิได้มีเจตนาเพื่อมาสอนสั่งผู้ใด
    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มาร่วมแชร์หรือให้ธรรมาทานกับพวกเรา
    ขอให้ทุกๆท่านมีสติรู้ตัวตลอด มีปัญญาเป็นตัวผู้รู้หาทางรอดปลอดภัย อยู่กับสัจธรรม คือ
    ความจริงปัจจุบัน รู้ลมหายใจ นึกถึงความตายเป็นปกติ ทรงอารมณ์พระนิพพานเป็นนิจ
    กำหนดที่ไปของจิตวิญญาณตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2013
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การที่คนจะหันมาสนใจในตนได้นั้น...ต้องเป็นคนเห็นความทุกข์นั้นก่อนว่ามาจากไหน?แล้วทําอย่างไร?จึงจะพ้นทุกข์ไปได้...คือ คนที่เห็นได้อย่างนี้เขาจะหันเข้ามาปฏิบัติธรรม เพราะเขาเกิดความเบื่อหน่ายในทุกข์ของเขานั้นเอง...แล้วคนที่จะทําได้อย่างนี้ ต้องอยากทําเอง โดยไม่มีใครบังคับ เพราะศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บังคับใครและแล้วแต่ใครจะทําตาม เพราะท่านก็ได้แต่ชี้บอกทางเอาไว้ว่า"ท่านจงมาดูเถิด"นั้นท่านชี้บอกอย่างนั้น แต่ก็มีคนจํานวนไม่ได้น้อยได้เดินตามทางท่านชี้ไว้ แล้วได้เห็นผลแล้วก็บอกกันต่อๆมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือ"สงฆ์สาวกของท่านนั้นเอง" เพราะท่านได้ปฏิบัติตามท่านแล้วก็เป็นเนื้อนาบุญของพวกเราๆท่านๆมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพาะธรรมะไม่ได้อยู่ไกลเลย อยู่กับเราๆท่านๆที่ยังมีกายหยาบอยู่ เพราะถ้าไม่มีกายก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ต้องอาศัยกาย เพราะกายก็อาศัยใจ คือ"จิตตวิญญาณ"ที่มีความรู้สึกดี-ชั่ว และอารมณ์ต่างๆคนที่จะเห็นอย่างนี้ต้องเข้ามาดูตนเอง ดูจนเห็นความคิดปรุงแต่งต่างๆ แล้วแยกออกได้ว่าอะไรดีไม่ดีนั้นแหละ จนทําให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นเป็นธรรมชาติและธรรมดาของเขาให้ได้นั้นเอง...แล้วการปล่อยวางก็จะต้องปล่อยได้เอง โดยไม่ฝืนเพราะถ้าฝืนธรรมชาติก็เป็นการฝืนจิตเหมือนกันเพราะการไม่เป็นธรรมชาตินั้นจะทําให้จิตหนัก และไม่เบา เพราะความเบามาจากการไม่ยึดไม่ติดในสิ่งใดๆนั้นเอง...
     
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ที่จริงพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย เพียงแต่เจริญจิตให้รู้แจ้งในขันธ์ ๕ แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท, หยุดการปรุงแต่ง, หยุดการแสวงหา, หยุดกริยาจิต มันก็จบแค่นี้ เหลือแต่ บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง ว่าง มหาสุญตา ว่างมหาศาล

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    fb กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
     
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...ถาม - หลวงตาคะ...ถ้าฆราวาสถือศีล ๕ หรือศีล ๘ อย่างนี้นะคะ...

    ถ้าเทียบกับสงฆ์ซึ่งถือศีล ๒๐๐ กว่าข้อ ในเมื่อถือศีลต่างกัน ในการปฏิบัติธรรมเพื่อ ให้รู้

    ได้ถึงที่สุดแห่งธรรม...จะถึงได้เท่ากันหรือเปล่าคะ?

    ตอบ -ท่านได้บอกไว้หรือเปล่าล่ะว่านี้นิพพานของศีล ๕ นี้นิพพานของ

    ศีล ๘ นี้นิพพานของพระ ๒๒๗ ท่านได้บอกไว้หรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่ได้บอกไว้เราก็อุตริละซิ

    ถามแบบอุตริเราตอบไม่ได้ตอบแบบอุตริอย่างนั้น...เราจะตอบตามหลักความจริงว่า...

    ...นิพพานมีอันเดียวเท่านั้น...ธรรมแท้มีอันเดียวเท่านั้นไม่มีสองใครจะปฏิบัติในศีลในธรรม

    ข้อใดก็ตาม...ธรรมแท้นั้นสามรถจะปฏิบัติได้ด้วยกันถึงได้ด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย

    เพราะการรักษาศีลนี้เป็นอาการของธรรมแต่ละประเภท ๆ แต่ธรรมแท้ ๆ ที่เข้าไปสู่ความ

    ละเอียดนั้นเข้าไปได้เหมือนกัน...

    คัดจากหนังสือ คำถาม - คำตอบ ปัญหาธรรม ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน.

    ท่านได้ตอบไว้ให้ทราบแจ่มแจ้ง...กราบขอบพระคุณองค์หลวงตาเจ้าค่ะกราบ กราบๆ...
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จดหมายเหตุกรุงเสีย The Fall of Ayutthaya - YouTube

    ขอให้ดูคลิปวีดีโอนี้ด้วยธรรมะ ด้วยสติปัญญา คือดูแล้วก็ปล่อยวางได้ทันที
    อย่าลืม! สิ่งสำคัญก็คือ ดูตัวเจตสิกของเรามันวิ่งไปไหน ตามดูให้ทัน
    แต่ถ้าไม่ทัน เราก็เป็นเหยื่อคือหลงคิด หลงปรุงแต่งแล้วก็หลงรู้สึกต่างๆนานา
    ในที่สุดก็หลงไปยึดแบบไม่รู้ตัว นี่ไง๊! พอจะมองเห็นพิษสงของคราบมนุษย์กัน

    ขอให้คนไทยรักกัน รักแบบเมตตากันจริงๆ ไม่มีฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง
    เพราะเราต่างก็เกิดมาเป็นคนไทย เป็นมนุษย์เหมือนๆกัน ต่างมีกิเลสตัณหาฯพอกัน
    เราก็ยังแยกแยะกิเลสตัณหาตนยังมิได้ แล้วไฉนจะไปแยกแยะบุุคคลอื่นใครเขาถูกผิดเล่า!
    แต่ถ้าคนไทยไม่รักคนไทยด้วยกัน แล้วจะให้...ที่ไหนมารัก

    คนทางโลกอย่าเอาแต่ทางโลกอย่างเดียว คนทางธรรมก็อย่าเอาแต่ทางธรรมอย่างเดียว
    คนทางโลกไม่เอาทางธรรมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนทางธรรมไม่เอาคือปฎิเสธทางโลกนี่สิ
    มันแย่! เพราะขาดเมตตา มิได้ตำหนิใคร แต่ถ้าโดนก็ขออภัย

    สามัคคี คืออะไร???
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2013
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ท่องเที่ยวมาไกลแสนไกล...อันยาวนานที่ท่องเที่ยวนั้น...

    ...สนุกสนาน กับ รักโลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา ความใคร่ ความอยาก สารพ้ด

    ...ถ้าจะย้อนเวลากลับไปคิดถึงที่ผ่านไปนั้นมีอะไร...ที่เป็นความทรงจำที่ดีบ้างที่เรา

    สามารถนำติดตัวไปได้...คงมีแต่สิ่งที่ทำให้จิตใจหดหู่...หาความสุขไม่ได้เพราะสิ่งที่ผ่าน

    มานั้นมีแต่ความอยากทั้งนั้น...เมื่อย้อนคิดไปแล้วรู้ว่านั่นคือความจริงที่ผ่านมา นั้นเสียเวลา

    ...ก็บอกตนเองว่ายังไม่สายเกินไปที่จะเลิกเที่ยว แล้วกับสิ่งที่ทำให้เราทุกข์เหล่านั้น...

    ใจที่เป็นทุกข์นั้นเกิดจาก...ยังไม่อิ่ม ไม่เต็ม ไม่พอ...ขอฝากไว้กับผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2013
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เรารู้สึกตัวกันไหม
    พวกเรารู้สึกไหมว่า..ร่างกายนี้ฯ มิใช่เรา มิใช่ของเรา
    แต่ถ้ายังเห็นภาพไม่ชัด ลองพิจารณาต่อไป ก็คือ ความตาย
    แต่ถ้าเรายังนึกถึงความตายของตนยังไม่ชัด เราคงเคยไปงานศพคนอื่นมาบ้าง
    คงจะเคยเห็นศพที่เขาตายไปแล้ว เป็นศพคนจนคนรวย ตายที่สูงที่ต่ำหรือว่าตายข้างถนน
    ตายแบบมีเกียรติหรือไม่มีเกียรติ ตายแบบมีเกียรติ คือตายในหน้าที่ ตายมีธงชาติคลุมโลงศพ
    ตายท่ายืนท่านั่งท่านอนก็คือตายเหมือนกันหมด ทุกคนจะต้องตายแน่ ความตายเป็นสิ่งที่เที่ยง
    เราต้องตายแน่ๆ ตายทุกคนด้วย ว่าแต่ว่าจะตายตอนไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แก่ตาย ป่วยตายฯ

    เพราะฉะนั้นในเมื่อเรายังมีชีวิตหรือมีลมหายใจกันอยู่นี้ เราจะไปมัวหลงอะไรกันอีกหรือ?
    ยังไม่ทันจะตายก็มาหลงกันเสียแล้ว หลงทั้งๆ ที่ลืมตากันอยู่ คือหลงกาย หลงใจ หลงคนอื่น
    หลงสิ่งอื่น หลงวิ่งตามกิเลสตนและผู้อื่น หลงวิ่งตามกระโลก หลงโลกธรรม๘ หลงโลกวิทย์
    หลงเทคโนฯ หลงวัตถุ หลงความเจริญ หลงเป็นสุข หลงเป็นทุกข์ สารพัดจะหลงกันไปฯ
    แต่จะหลงมากที่สุด ก็คือหลงตนเอง มองไม่เห็นตนเห็นแต่คนอื่น โดยเฉพาะความเลวคนอื่น
    ความดีคนอื่นกลับไม่มองหรือมองไม่เห็นกันแน่ แต่พยายามจะมองแต่ความดีของตน

    ผู้เขียนก็เคยหลงมาก่อน มิใช่ไม่เคยหลง หลงมากเสียด้วยคือหลงโลก แต่ลืมหลงธรรมะ
    หมายถึงหลงสมมุติ ปรมัตถธรรมดันไม่ไปหลง หลงแต่สิ่งมายานึกว่าเป็นของดี ที่ไหนได้
    มารู้ความจริงในภายหลัง ดีนะบุญเก่าบารมีเก่ายังพอมีก็เลยบอกกัปตันคือเราว่าหันหัวเรือ
    และเดินหน้าเต็มตัว คือหันหน้าเข้าหาธรรมฉันใด ก็เหมือนเราหันหน้าเข้าหาความจริงฉันนั้น
    ดีนะที่ยังไม่ตายเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะไปบอก ไปสั่งลา ไปโทษใครได้หรือจะขอแก้ตัวใหม่
    ขอโทษ ขออภัย ขออโหสิกรรม ขอโอกาสกระทำความดีใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าหมดลมหายใจ
    จบทุกอย่าง จบคืออวสาน ไปว่าไปบ่นคนเดียวในโลกทิพย์ คือโลกแห่งวิญญาณก็แล้วกัน

    ตราบใดเรายังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ ยังมีขันธ์๕ รีบพากันรักษาศีลทำภาวนานี่คือเขตบุญกุศล
    นอกกายนอกจิตเห็นมีแต่บาปอกุศล แต่บุญกุศลไม่ต้องไปหาไกล หาที่ตนแต่หาจิตให้พบก่อน
    แต่ถ้าใครหาจิตตนเจอแล้ว ให้รีบทำความสะอาดด้วยศีลสมาธิปัญญาเสีย เดี๋ยวไม่ทันการณ์
    ปฎิบัติตามพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้ละบาปละชั่วทั้งปวง บำเพ็ญแต่ดีและทำจิตให้ผ่องใส

    เมื่อผู้ปฎิบัติละหยาบคือละรูปละร่างกายตนได้แล้ว ต่อไปละของละเอียด นั่นก็คือนามคือสิ่งที่
    มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ได้แก่ กิเลส ตัณหาและอุปาทาน โดยเฉพาะตัวเจตสิกคืออารมณ์จิต
    หรือคราบมนุษย์เป็นนามธรรมละเอียด เป็นนามตัวสุดท้ายของมนุษย์ เป็นนามที่สำคัญที่สุด
    นอกจากนิมิต อภิญญา แต่อยู่ๆเราจะละได้ดั่งใจก็หาไม่ ทำไม่ได้เสียทีเดียว แต่ละด้วยปัญญา
    ระวังให้ดีคนที่ชอบตกอยู่บนโลกแห่งความคิด แต่ถ้าตกลงไปอายตนะทั้งภายนอกภายใน
    ทำงานรวดเร็วมาก คนปกติมีสติน้อยย่อมตามไม่ทันแน่ แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะก็จะเห็นชัดเจน
    ยิ่งจิตนิ่งมากก็จะเห็นรูปเห็นนาม มองเห็นการเกิด-ดับชัดเจน ถ้าจิตไม่นิ่งก็เห็นแค่รูป แต่
    ไม่เห็นนาม เห็นแค่รูปเพียงอย่างเดียวก็ทำอะไรไม่ได้ คนจะรู้เข้าใจ เข้าถึงธรรมต้องรู้จักวิธี
    ที่จะทำให้จิตตนเองนิ่งให้ได้เสียก่อน ต่อไปจึงจะเข้าใจธรรมะ หรือเข้าถึงธรรมะได้ลึกซึ้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2013
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    อนุโมทนาครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    • การตั้งใจไปนิพพาน •

    ผู้ถาม การกำหนดจิตก่อนตายเพื่อไปพรหม ควรทำอย่างไรครับ ?
    หลวงพ่อ เออ...นี่ต้องไปลองซ้อมตายนะ ไปที่วัดจะเอายาสลบให้กิน ก่อนสลบก็ตั้งใจ ปัดโธ่! ไอ้หนู! ถามนี่มันเจ๊งแล้ว คือว่าการตั้งใจไปพรหม มันไม่ตั้งใจไปส่งเดช ฝึกอารมณ์มันให้ทรงตัว มันต้องมีทุนให้ทันพร้อม ถ้าเราได้ฌานไม่ต้องตั้งใจไปพรหมหรอก มันไปเองแหละ ก่อนจะตายก็เข้าฌาน มันไปพรหมเอง จะไปนิพพานก็ต้องได้ “ สังขารุเปกขาญาณ ” เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน จะไปนิพพานต้องเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานไม่ได้ พระอรหันต์เขาเป็นตอนไหน ตอนที่ตัด สักกายทิฏฐิ ได้เด็ดขาด การจะเป็นอรหันต์นี่ฝึกไม่มาก ฝึกข้อเดียวคือ สักกายทิฎฐิ

    สักกายทิฏฐิ มันมี ๓ ตอน คือ
    ๑. มีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้ต้องตายไม่ประมาทในชีวิต นี่เป็น “ อารมณ์ของพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ” นะ
    ๒. มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ร่างกายสกปกโสโครกน่าเกลียด ไม่มีตัญหาเกิดขึ้นจากร่างกาย อย่างนี้เป็น “ อารมณ์ของพระอนาคามี ”
    ๓. ถ้าจิตวางเฉยในร่างกายทั้งหมด ร่างกาบของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี เราเฉยหมด อย่างนี้เป็น “ อารมณ์ของพระอรหันต์ ” ถ้าได้อารมณ์แบใดแบบหนึ่ง ถ้าวางเฉยได้ไปนิพพานได้ ถ้าวางเฉยไม่ได้ไปนิพพานไม่ได้

    เรื่องพรหมเป็นของไม่ยากถ้าจิตทรงฌาน บางทีเขาไม่เคยทำกรรมฐานมาเลย เมื่อเวลาจะตาย เมื่อป่วยใหม่ ๆ จิตก็เกิดทรงญาน เพราะบุญเก่ามีอยู่ คำว่าทรงญาน ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธินะ แค่ตามองพระพุทธรูป จิตนึกถึงพระพุทธรูปด้วยความเคารพ และจิตจับที่นั่นโดยเฉพาะอย่างนี้เป็น “ พุทธานุสสติกรรมฐาน ” เป็นฌาน ตายแล้วเป็นพรหมทันที เป็นของไม่ยาก ยากไหม... ความจริงถ้าเข้าใจมันเป็นของไม่ยากนะ ถ้าอ่านตำรามากเกินไปอาจไม่เข้าใจ เพราะท่านเขียนเปะปะ

    • ธรรมโอวาทพระราชพรหมยาน:หลวงพ่อฤาษี(ลิงดำ)วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี •
    จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา ปัญหาการรักษาศีล ปัญหาการปฏิบัติธรรม ปัญหาพระนิพพานและอานิสงส์ต่าง ๆ

    Cr:• ขอเชิญร่วมศรัทธาบุญสร้าง มณฑปแก้ว วัดพระธาตุจอมรุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย •
     
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ลัดสั้น ตัดตรง สู่ความเป็นอริยชนแห่งสากลโลก


    1. ยามปกติ เราจะไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาจะดี ใครเขาจะเลวมันเรื่องของเขา อย่าโอ้อวด อย่ายกตนข่มท่าน อย่าถือตัวเกินไป

    2. ไม่มีกังวล

    3. ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง และไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

    4. ระงับนิวรณ์ได้โดยฉับพลัน เมื่อเราต้องการความเป็นทิพย์ของจิต ขณะใดที่จิตต้องการสมาธิ ไอ้ความเป็นทิพย์นี่มาจากสมาธิมีความตั้งใจจิตสะอาด ถ้าต้องการจิตเป็นสุขหรือต้องการสมาธิ ต้องระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด

    5. จิตทรงพรหมวิหาร 4 ตลอดเวลา คือเป็นปกติตลอดวัน

    6. และขอแถมอีกนิดหนึ่งคือ ใจยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม ความดีของพระสงฆ์ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น

    ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้อย่างนี้ฌานสมาบัติจะทรงตัว คำว่าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กำลังใจไม่เสมอกัน สว่างบ้างมืดบ้างจะไม่มี จะมีแต่คำว่าผ่องใสเรื่อยขึ้นไปตามลำดับ ขึ้นชื่อว่าการเกิดในอบายภูมิต่อไป ไม่มีแน่ จะเป็นการเกิดเป็นสัตว์นรกเป็นเปรตเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ ไม่มีต่อไปอีก มีอย่างเดียวคือมุ่งหน้าไปนิพพาน

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    Cr:พศิน อินทรวงค์
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ควรพิจารณานามธรรมอันละเอียด
    จะขอกล่าวถึงผู้ที่ก้าวข้ามในเขตศีลของตนไปแล้ว
    นั่นก็คือ เรื่องภาวนาลึกๆ หรือกำหนดรู้ในขั้นละเอียดขึ้นไปสักนิดนึง ว่า..
    ในขณะที่เราไม่เอารูป-นาม คือร่างกายกับความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์จิตต่างๆอยู่นั้น
    ณ ขณะนี้ เราต้องมีสติระดับสัมปชัญญะ หรือจิตต้องนิ่งเป็นสมาธิพิเศษหรือทรงฌานปกติ
    สำหรับเรื่องร่างกายตัดไปก่อน ไม่ขอกล่าวที่นี้ แต่จะกล่าวถึงนาม เน้นตัวเจตสิกเป็นสำคัญ
    ถือว่าเป็นนามละเอียด สำหรับผู้ที่จะตามดูตามรู้นามโดยเฉพาะตัวเจตสิก ต้องมีปัญญามาก
    หรือเป็นผู้เจริญสติปัญญาอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าจิตพวกเรานิ่งไม่จริง ก็เท่ากับแพ้มันเมื่อนั้น
    คำว่า "คราบมนุษย์" คำๆ นี้นักภาวนาควรจะจดจำกันให้ดี โดยเฉพาะผู้ที่หวังพระนิพพาน
    แต่ถ้าสอบไม่ผ่านนามธรรมอันละเอียดตัวนี้กัน ก็อย่าได้ไปหวัง คำว่า "พระนิพพาน"
    บอกกล่าวกันไปตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่ขอกล่าวภาพรวม เพราะครูบาจารย์กล่าวไปมากแล้ว
    แต่จะเน้นตัวเจตสิกเป็นสำคัญ คอยหมั่นเจริญสติปัญญามาก เราจะได้ดูตัวเจตสิกได้ยาวนาน
    ได้ชัดเจน แต่ต้องอาศัยตัวปัญญาที่เกิดอย่างต่อเนื่อง

    ในขณะตามดูตามรู้จิต เน้นดูที่นามธรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะธรรมารมณ์(อาอัปกริยาของจิต)
    ไม่ต้องเน้นดูละเอียด แต่จะให้เน้นหรือคอยสังเกตุดูที่ตัวสังขารขันธ์(คิดหรือปรุงแต่งปัจจุบัน)
    แล้วให้เรามองข้ามไปดูนามตัวสุดท้ายของขันธ์ ๕ เลย นั่นก็คือ วิญญาณขันธ์(ตัวรับรู้ต่างๆ)
    สรุปให้เรามาคอยดักที่ปากประตูทางออกคืออารมณ์สุดท้ายของจิตว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร
    แต่ตรงนี้คนที่มองเห็นการเกิด-ดับของจิต ของกิเลสตนชัดเจน แม่นยำ จะได้เปรียบกว่าคนอื่น
    ให้สังเกตดูอารมณ์จิตสุดท้ายให้ดี ตรงนี้สำคัญมาก แต่เมื่อไหร่เจริญปัญญาไม่ถึง ไม่ต่อเนื่อง
    เราก็จะพลาดโอกาสทองตรงนี้ไป เพราะถ้าพลาดเท่ากับจิตเราหลงตามไปที่อื่นเรียบร้อยแล้ว
    สำหรับผู้ที่ชอบเผลอสติไม่ต้องพูดถึง ตามไม่ทันแน่ แต่ถ้ามีสติน้อยหรืออาจมีสติสัมปชัญญะ
    แต่ขาดความเนื่อง นั่นหมายถึงเราเจริญปัญญาไม่ต่อเนื่องตามไปด้วย ถ้าปัญญาไม่ต่อเนื่อง
    ผลที่ได้ก็คือติดๆดับๆนั่นเอง ตรงนี้แหล่ะ ก็คือจุดอ่อนของนักภาวนา ในขณะที่กำลังวิปัสสนา
    แต่นักภาวนาไม่ค่อยจะรู้ตัวกันนักหรอก เพราะจิตเราต้องการตัวปัญญามากและต่อเนื่องด้วย
    คำว่า "ปัญญาญาณ" จะเกิดจะมีได้แก่นักภาวนาผู้นั้น ตรงนี้แหล่ะนักภาวนาหลายต่อหลายท่าน
    พลาดโอกาสทองมานักต่อนักแล้ว เพราะมันยากตรงที่ทรงฌานไม่ต่อเนื่อง การติดต่อสื่อสาร
    ระหว่างสติกับจิตไม่ได้สักที เพราะเราเจริญสติไม่เพียงพอเท่ากับสติป้อนปัญญาให้กับจิตไม่ทัน
    อย่าลืมว่าจิตเราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อตัวปัญญาที่ว่ามานี้แหล่ะ เราควรจดจำเมื่อเดินมรรคมาถึงตรงนี้
    แต่ถ้าขาดปัญญาก็ขอให้นึกถึงเราไปอยู่ในที่ห้องมืดๆ แล้วมีคนคอยเปิดไฟคอยปิดไฟเป็นระยะ
    เหมือนสติป้อนปัญญาให้กับจิตไม่ทันการณ์ สติป้อนปัญญาให้กับจิตไม่เพียงพอ ไม่ต่อเนื่อง
    อาการจิตเราก็ดูเหมือนจะติดๆดับๆใช่ไหม นั่นแหล่ะคือกันเลย พอจิตไม่มีปัญญาหรือมีปัญญา
    แต่ขาดความต่อเนื่อง ก็เท่ากับจิตเราขาดตัวรู้ นั่นเอง พอจิตขาดปัญญาหรือตัวรู้ สุดท้ายจิตเรา
    ก็จะปล่อยวางกับทุกสิ่งไม่หมดหรือวางไม่สนิทใจ เพราะจิตเรายังเข้าไม่ถึงธรรมดีพอ
    สุดท้ายเราก็มิอาจปฎิเสธทุกข์ที่ยังอยู่จริง แต่อาจจะเป็นทุกข์เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง

    ต่อไปนี้ให้นักภาวนาคอยสังเกตจุดที่กล่าวมานี้ให้ดี สนใจให้มาก แต่ถ้าเราทำตรงนี้บ่อยๆ
    คงจะมีเข้าสักวันนึง เราอาจจะพิชิตตัวเจตสิกของตนได้ โดยเฉพาะก่อนที่เปลือกตาเราจะเปิด
    หรือลืมตาขึ้นทุกวันก่อนตื่นนอน จิตเรามักจะตื่นก่อน ตรงนี้แหล่ะคอยสังเกตให้ดี แต่สมาธิจิต
    ใครดีก็อาจจะมองเห็นตัวเจตสิกตนชัดเจนทีเดียว แต่พอเราเห็น ขอให้เรามีอุเบกขาทุกประการ
    อย่าหลงวิ่งตาม อย่าไปให้ความสำคัญ ถึงวันนั้นจิตจะเป็นอกุศลก็ตาม สรุปแล้วไม่ว่าตัวเจตสิก
    ไม่ว่าอากัปกริยาของจิตตัวใดตัวหนึ่งที่เกิดขึ้น เราจะต้องวางใจให้เป็นกลางมากที่สุด
    เท่าที่จะทำได้ ดูเฉยๆ อย่าไปช่วยมันคิด ไปช่วยต่อยอด แต่งเติมหรือปรุงแต่งอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
    รู้แล้ววางลูกเดียว รู้ดีรู้ชั่วก็ต้องวางให้หมด อย่าให้เหลือ แต่มิได้ให้เราไปปฎิเสธกับสิ่งนั้นนี้กัน
    อุเบกขาๆ ขยันท่องกันเข้าไว้ คำว่า อุเบกขา นี้เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะต่อเนื่องดีแล้ว
    เราแทบไม่ต้องทำอุเบกขาเลย เพราะเมื่อมีสติสัมปชัญญะต่อเนื่องเท่ากับจิตยิ่งนิ่งเป็นสมาธิ
    และมีปัญญามากอยู่แล้ว จิตเราจะรู้และวางเฉยได้เอง แต่ถ้าจิตเราไม่นิ่งไม่เป็นสมาธิมากแล้ว
    เราย่อมทำอุเบกขาไม่ได้ เหมือนคำว่าพรหมวิหาร ส่วนจิตผู้ใดจะเป็นพรหมวิหารได้ตลอดเวลา
    ในขณะนั้นจิตเราปราศจากนิวรณ์หรือกิเลสใดๆ ขณะทรงฌานจิตเราก็อยู่ในเขตบุญกุศลอยู่แล้ว
    คำว่าอุเบกขาก็ง่าย อภัย อโหสิกรรมก็ง่าย เพราะจิตในขณะนั้นสะอาดหมดจด จิตไม่เศร้าหมอง
    มองโลกในแง่บวก ให้อภัยได้ง่ายโดยมิต้องเสียเวลาตรึกตรองหรือคิดคาดคะเนล่วงหน้าใดๆ
    ให้อภัย อโหสิกรรมกันตรงนี้ เดี๋ยวนี้ นี่แหล่ะเมื่อจิตทรงฌานเป็นนิจ จิตก็เป็นพรหมอยู่แล้ว
    เมื่อไปพระนิพพานไม่ได้ จิตก็ตกที่ชั้นพรหม ดีกว่าชั้นเทวดาเป็นไหนๆแต่อย่าพยายามเป็นนั่นนี่
    ขอให้ปฎิบัติเพื่อละขันธ์ ๕ ให้เด็ดขาด โดยเฉพาะตัวเจตสิก ตราบใดถ้าเรายังมองไม่เห็น
    เกิด-ดับของจิต เราก็จะไปละตัวเจตสิกเราได้อย่างไร จิตเราต้องเห็นธรรมารมณ์จนชินเสียก่อน
    จิตจึงจะเห็นสิ่งสมมุติทุกอย่างเป็นธรรมดาได้ชัดเจน ต่อไปฯ จิตเราจึงจะเขต คำว่า "อนัตตา"

    เพราะคำว่า"นิพพาน"เป็นสภาวะที่พ้นทั้งรูปและนามขันธ์ พ้นเครื่องเกี่ยวโยงตัณหาอุปาทาน
    และไม่ยึดมั่นในนิพพานด้วย สรุปแล้วต้องอยู่เหนือขันธ ๕ เด็ดขาด
    คำว่า ขันธ์ ๕ ประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
    ส่วนเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ รวมกันแล้ว เรียกว่า เจตสิก
    จิตและเจตสิกจะเกิด-ดับพร้อมกัน จะแยกกันเกิดไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตเสมอ
    เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันตลอด ว่าแต่ว่า นามขันธ์ตัวไหนจะแสดงตัวเด่นกว่าตัวอื่น เท่านั้นเอง

    ขออนุญาตจัดหนัก! ภัยพิบัติไม่สนแล้ว เอาจิตรอดก่อนดีกว่า
    เพราะทุกคนทราบดีว่า กายนี้มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    ร่างกายเราก็ยังไม่ใช่ของเรา แล้วยังจะมีอะไรเป็นของเราอีกเล่า!
    ถึงเราจะยังไม่ตายก็อยู่เป็นสุข แต่ถ้าตายก็ไปสุคติ แล้วเราจะไปเดือดร้อนทำไม!

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 เมษายน 2013
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    เหตุการณ์กระทําที่นําดวงจิตไปสู่อบายภูมิ​

    ๑.เป็นคนอิจฉาริษยาคนที่รํ่ารวยและสูงกว่าตน ดูถูก ดูแคลนคนที่ยากจนและตํ่ากว่าตน
    ๒.ตระหนี่ไม่ทําทาน แล้วยังกีดกันคนที่จะทําทาน
    ๓.นําทรัพย์และสิ่งของ ของพระภิกษุ และส่วนรวมมาเป็นของตน
    ๔.ติฉินนินทากล่าวร้ายพระ และครูบาอาจารย์ของตน
    ๕.ยุยงให้สงฆ์ และหมู่คณะแตกกัน
    ๖.ให้ยาหญิงมีครรภ์เพื่อทําลายเด็กในครรภ์
    ๗.แซ่งด่าคนที่ทําบุญทําความดีต่อสังคม และพระสงฆ์
    ๘.มีอุบายทุจริตในการค้า เช่น ป่นข้าวไม่ดีในข้าวดี
    ๙.ประทุษร้ายพ่อ แม่
    ๑๐.ไม่ยอมให้ทานด้วยข้าว แล้วยังสาบานยืนยันว่า ไม่มีข้าวกล่าวมุดเท็จ
    ๑๑.ลักขโมยของคนอืนมากินแล้วสาบทว่าไม่ได้ขโมย
    ๑๒.กลางคืนถือศีล กลางวันเป็นพราน
    ๑๓.เป็นเจ้าเมืองหรือผู้ใหญ่ที่ชอบกินสินจ้างรางวัล
    ๑๔.ทําบุญด้วยของเหลือเดน
    ๑๕.ถวายภัตตาหารด้วยเนื้อหมา และสัตว์ที่มีเล็บ
    ๑๖.ข่มเหงรังแกคนยากจน
    ๑๗.ทําลายป่า
    ที่มาหนังสือธรรมะและบทสวดมนต์
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่...

    พระอานนท์ว่า..."ดูก่อน อานนท์...

    ธรรมก็ดี...วินัยก็ดี...อันเราแสดงแล้ว...

    บัญญัติแก่เธอทั้งหลาย...ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอ

    เมื่อร่างกายเรานี้ตายไปแล้ว"...พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...

    "ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา"

    "นิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง" คือผู้รู้...ผู้ตื่น...ผู้เบิกบาน...

    คัดจากหนังสือ สโรชา พ.ศ.๒๕๔๗.
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ทางพ้นทุกข์และธรรมสามัคคี
    (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=segHZqtNBAA]ทางพ้นทุกข์และธรรมสามัคคี - YouTube[/ame]


    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ถั่วในกำมือ

    พระพุทธองค์ตรัสว่า จิตของคนเรานั้นเหมือนกับลิง เราจึงเรียนรู้เรื่องจิตใจของเราได้มากมายจากพฤติกรรมของลิง

    ... ในอินเดียท้องที่บางแห่ง ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้าน เพราะมันชอบขโมยผลไม้ในสวน ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง กับดักของชาวบ้านก็คือกระบอกไม้ไผ่ซึ่งตันทั้งสองข้าง แต่ข้างหนึ่งเจาะเป็นรูเล็ก ๆ พอให้ลิงลอดมือเข้าไปได้ ในกระบอกมีถั่ว ซึ่งเป็นของโปรดของลิงวางไว้เป็นเหยื่อล่อ

    วันดีคืนดีลิงมาที่สวน เห็นถั่วอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ ก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว แต่พอถอนมือออกก็ติด เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่ารูที่เจาะไว้ ลิงพยายามดึงมือเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่ออก กระบอกคามืออยู่อย่างนั้น พอชาวบ้านมาจับ มันก็ปีนขึ้นต้นไม้ไม่ได้ เพราะเหลือมือเปล่าอยู่ข้างเดียว ลงท้ายมันก็ถูกคนจับได้ ลิงหาได้เฉลียวใจไม่ว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้นก็เอาตัวรอดได้ แต่เพราะมันยึดถั่วเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย มันจึงต้องเอาชีวิตแลก ...

    มี หลายสิ่งที่เราอยากได้ไฝ่ฝัน จนถึงกับยึดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เวลาประสบปัญหา เพียงแต่คลายสิ่งที่ติดยึดนั้นเสียปัญหาก็คลี่คลาย แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย มันจึงเกิดผลเสียหายตามมามากมาย ไม่คุ้มกับสิ่งที่เรายึดไว้เลย

    ... พ่อเกิดความเข้าใจผิดลงโทษลูกรุนแรง ครั้นรู้ความจริงแต่เพราะยึดถือหน้าตาของตัวเองไม่ยอมขอโทษ หรือแม้แต่ปรับความเข้าใจกับลูก หากลูกหนีออก จากบ้านหรือทำร้ายตัวเอง ถึงตอนนั้นจะไปโทษใคร ?
    ... เจ้าของบริษัทฯ รู้อยู่ว่าเศรษฐกิจกำลังแย่ แต่เสียดายเงินที่ลงทุนไว้จะสูญเปล่า แทนที่จะยกเลิกหรือชะลอโครงการกับเดินหน้าต่อไป ผลสุดท้ายกลับสูญเงินหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว ?

    ทั้งสองกรณี ประสบปัญหาต่างกัน แต่ที่เหมือนกันก็คือติดยึดกับบางสิ่งบางอย่างเหนียวแน่น แม้สถานการณ์จะบีบคั้นแต่ก็ไม่ยอมปล่อยวาง ในที่สุดก็สูญเสียหนักขึ้น จะชอบจะพึงใจกับอะไรก็ตาม อย่าถึงกับยึดติดจนเหนียวแน่นเกินไป เพราะโอกาสที่จะหน้ามืดตามัวนั้นมีสูงจนหาทางออกไม่เจอ

    ปัญหา ทั้งหมดในชีวิตนั้น ถ้าเรารู้จักปล่อยวางบางสิ่งเสียบ้างมันก็บรรเทาไปได้เยอะ บ่อยครั้งการปล่อยวางไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น หากเป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียว ความจริงการอยากผลักไสอะไรสักอย่าง ก็เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่งนั่นเองปล่อยวางเสียเถิด แล้วใจเราจะเบาขึ้นมาเป็นกอง ความทุกข์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ที่มันบีบคั้น กดทับจิตใจเราไม่หยุดไม่หย่อนเสียที ก็เพราะเราไปยึดไปแบกมันเข้าไว้ทั้งวันทั้งคืนมิใช่หรือ

    ในหลายกรณีความทุกข์ก็มิได้มาจากไหน หากมาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อย ดั่งเจ้าลิงหวงถั่วนั่นเอง

    (จากหนังสือ “สายธารแห่งความสุข” รินใจ Life&Family)
    *************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    วิกฤติคือโอกาสทอง
    (พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)
    ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
    มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว
    ด้วยความโง่ของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตก บ่อแห่งหนึ่ง
    มันร้องครวญครางอยู่เป็นเวลานาน
    ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา
    ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้ว
    อีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา
    ชาวนาจึงไปขอ แรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ
    ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ
    ครั้งแรกเมื่อดินถูกหลังลา
    มันตกใจและรู้ชะตากรรม ของตนเองทันที
    มันร้องโหยหวน สักพักหนึ่ง ทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป
    หลังจากชาวนาตักดินใส่บ่อได้สักสองสามพลั่ว
    เมื่อเหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจ
    ที่ลามันจะสะบัด ดินออกจากหลังทุกครั้งที่มีผู้สาดดินลงไป
    แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น
    ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไป มากเท่าไร
    มันก็ก้าวขึ้นมาเร็วได้มากยิ่งขึ้น
    ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจเพราะ ในที่สุด
    เจ้าลาก็สามารถหลุดพ้นจาก ปากบ่อดังกล่าวได้


    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหาเรา
    ก็เปรียบเหมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา จงอย่าท้อถอย และยอมแพ้
    จงแก้ไขมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ
    เปรียบเหมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ ฉันใดฉันนั้น

    อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป
    ชีวิตคนเราก็เช่นกัน เราก็ต้องประสบกับโลกธรรมแปดเป็นธรรมดา
    คือ ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข
    ก็ต้องมีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
    แต่เมื่อเรามีทุกข์ มีปัญหา หรือต้องประสบกับวิกฤติหนักหนาสาหัสแค่ไหน
    ก็ให้อาศัยขันติ มีความ อดทน

    เมื่อมีความทุกข์ หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด ตั้งสติใช้ปัญญา
    อาศัยอดทน อดกลั้น หยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ก่อน
    ไม่ต้องคิดที่จะแก้ปัญหาภายนอก
    กำหนดรู้ลมหายใจออกยาวๆ ลมหายใจเข้าลึกๆ ให้มีสติ
    มีความรู้สึกตัวกับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ติดต่อกัน ต่อเนื่องกัน
    มีสมาธิตั้งมั่นกับลมหายใจ ปล่อยวางความรู้สึกที่ไม่ดี
    ปล่อยวางจิตใจให้ว่างๆ ว่างจากอดีต ว่างจากอนาคต
    ว่างจากความไม่ สบายใจ เหลือแต่จิตที่มีแต่ความรู้สึกตัว เบิกบานใจ

    โอปนยิโก น้อมเข้าไปหาธรรมชาติของจิตที่่เป็นประภัสสร
    บริสุทธิ์ผ่องใส เมื่อจิตสงบสบายแล้ว
    จึงค่อยๆ คิดแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา
    เมื่อจิตใจดี สบายใจทุกอย่างแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
    ให้มีความหวัง กำลังใจที่จะต่อสู้

    ... ทุกข์ที่สุดอยู่ที่ไหน ขุมทรัพย์ก็มีอยู่ที่นั่น ...

    ... ทุกข์ที่สุดอยู่ที่ไหน สุขที่สุดมันก็อยู่ที่นั่น นี่เป็นความจริง ...

    ... ไม่ว่าจะมีวิกฤติหรือเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับเรา
    สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือรักษาใจของเราให้ดี
    ให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นคุณธรรมประจำใจของเรา ...


    คัดลอกจาก...
    http://www.unlimited-knowledge.com/Inde ... tentID=421
    **************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2013
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ผู้ที่เพ่งรูปฌาน อรูปฌานเป็นอารมณ์
    ย่อมติดกับ ดักของผู้รู้ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายอันมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เรียกว่าต่อมผู้รู้ ที่เป็นดวงจิต เป็นขอบของจิต เป็นจุดเล็กๆของจิต ถ้ายังดับรูปนามด้วยอาการอย่างนี้ไม่ได้ ท่านนั้นจะเอาจิตไปเกิดในพรหมโลก
    เธอผู้มาพิจารณาอย่างนี้ อยู่แบบนี้ สำเนียกไว้ว่า ผู้ที่มาพิจารณา อนิจจังทุกขัง อนัตตา ย่อมทำลายรูปฌาน และอรูปฌาน บุตรตรีสาวิกาผู้นั้นได้ชื่อว่า ใกล้ต่อโลกุตตระธรรม

    เอาแต่เนื้อๆหลวงตามหาบัวท่านเล่าว่า ไอ้ที่ดวงจิตเป็นดวง ๆสว่างนวล ๆ
    ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ ผู้รู้ที่เห็น ก็คืออวิชชา(คือความไม่รู้ว่าจิตเป็นของว่างเปล่า) ต้องฆ่าผู้รู้ให้ได้ก็คือต้องฆ่าตัวเราให้ตายเรา(ฆ่าจิตให้ตาย)(ผู้รู้กับจิตเป็นสิ่งเดียวกัน) ฆ่าผู้รู้ได้ก็ถือว่าฆ่าจิตตาย(ผู้รู้ ก็คือผู้ก่อภพก่อชาติ)

    จาก Sriariya5
    *************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เส้นทางแห่งบุญ/บารมี
    คำว่า"บุญ"จะมีทั้งบุญภายในและบุญภายนอก แต่บุญภายนอกมักทำได้ง่ายกว่าบุญภายใน
    เพราะฉะนั้น พวกเรามิต้องไปสงสัยว่าทำไม บุญภายในจึงเป็นบุญใหญ่ยิ่งกว่าบุญภายนอก
    ก็เพราะว่า บุญที่แท้จริงนั้น มันจะต้องกลั่นออกมาจากที่จิตใจเบื้องลึกของมนุษย์ เท่านั้น
    เพราะฉะนั้น บุญภายนอกจึงทำได้ง่าย เช่น การทำบุญทำทาน เป็นต้น จึงเป็นบุญที่น้อยกว่า
    เมื่อเทียบกับบุญภายในแล้ว แต่บุญภายในทำยาก เพราะแค่ทำจิตตนให้นิ่งยังไม่ค่อยได้เลย
    เพราะจะมีตัวนิวรณ์คอยรบกวนจิตอยู่เรื่อย คำว่า "นิวรณ์" แปลว่าเป็นเครื่องกั้นมิให้เข้าถึงจิต
    ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ มิให้ผู้ปฎิบัติบรรลุธรรม ถ้าผู้ปฎิบัติที่มีกำลังใจน้อย มีความเพียรน้อย
    ก็อาจล้มเลิกในการปฎิบัติที่จะเข้าถึงความดี หรือถึงมรรคผลนิพพาน เป็นต้น

    แต่บุญใหญ่หรือบุญภายในจะบังเกิดกับบุคคลใด บุคคลหนึ่งนั้น ก็คือ ผู้ที่เข้าถึงกระแสจิตตน
    ได้พบจิตหรือดวงจิตของตนแล้วเท่านั้นหรือผู้ที่รู้จักทำจิตตนเองให้นิ่งได้ นิ่งเป็นแล้วเท่านั้น
    ทุกท่านรู้ไหมว่า ในขณะที่จิตของผู้ปฎิบัติกำลังนิ่งเพราะมีสติ กำลังเป็นสมาธิ กำลังทรงฌาน
    อยู่นั้น พระท่านบอกมาว่าในขณะที่จิตนิ่งสงบสงัดอยู่อย่างนั้น ซึ่งแปลว่าจิตปราศจากนิวรณ์
    หรือกิเลสต่างๆมารบกวน จึงเป็นจิตที่กำลังสะอาด กำลังบริสุทธิ์ระดับหนึ่ง อาจจะไม่มากนัก
    หรืออาจจะไม่นานนักก็นับได้ว่า จิตของเรากำลังอยู่ในเขต ที่เรียกว่า เป็นฝ่ายบุญกุศลยิ่งนัก

    แต่การสร้างบุญภายใน จะหมายถึงการสร้างบุญภายในตนเองและทำบุญก็เพื่อตนเองเท่านั้น
    เป็นบุญที่ได้จากการเจริญพระกรรมฐาน จากการเจริญสติภาวนา ซึ่งนับเป็นบุญใหญ่ยิ่งนักแล
    แต่บุญที่ยิ่งใหญ่กว่านี้นั่นก็คือ "บารมี" ผู้ที่จะสร้างบารมีแห่งตนเองได้นั้นจิตจะต้องบริสุทธิ์
    จิตเป็นพรหมวิหาร เพราะการสร้างบุญอันยิ่งใหญ่หรือการสร้างบุญบารมีนี้ เราทำเพื่อคนอื่น
    มิใช่ทำเพื่อตนเอง เพราะผู้ที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้กันได้ จึงนับได้ว่าเป็นผู้ที่เสียสละยิ่งใหญ่นัก
    นอกจากตัวเราปฎิบัติธรรมสำเร็จแล้ว บรรลุธรรมแล้ว หลุดพ้นแล้ว มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว
    ออกจากทุกข์ตนได้แล้ว ออกจากภพชาติตนได้แล้ว วิมุตติแล้ว อะไรก็แล้วแต่จะเรียกกันไป
    หรือเป็นผู้ที่มีจิตเป็นอริยบุคคลชั้นใด ชั้นหนึ่งอยู่ก็ตาม ที่ให้คำแนะนำหรือสอนสั่งบุคคลอื่น
    ให้ปฎิบัติตามพระธรรมหรือคำสังสอนของพระพุทธเจ้า ครูบาจารย์ หรือผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ
    ตามตนเองได้ด้วย นี่แหล่ะถึงจะเป็นผู้ที่สร้างทั้งบุญและก็สร้างบารมีแห่งตนเองไปพร้อมกัน
    อันได้แก่ ครูสอนธรรมะ สอนกรรมฐาน(สมถและวิปัสสนา) หรือครูที่สอนจิตเกาะพระ เป็นต้น
    เป็นครูสอนธรรมหรือครูสอนจิตเกาะพระนี่ดีนะ เพราะทรงอิทธิบาท ๔ ได้ครบถ้วนทีเดียว
    แถมจิตใจก็ทรงพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วนอีก นับว่าเป็นการสร้างบุญพร้อมบารมีแห่งตนไปด้วย
    สำหรับผู้ที่จะมาทำอย่างนี้ได้ ถ้าไม่มีกำลังใจที่เด็ดเดี่ยวนำหน้า ย่อมทำไม่ได้เด็ดขาด
    ยิ่งคนที่กำลังวิ่งตามกระแสโลก ยังเป็นห่วงเป็นใยกับสิ่งสมมุติทางโลกหรือมายาก็ยิ่งยาก
    ที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้ ก็เหมือนคนที่จะมาปฎิบัติธรรม จิตใจต้องพร้อมหรือกำลังใจมากพอ
    ที่อยากปฎิบัติธรรม แต่ผู้ที่จิตพร้อมอย่างนี้ มีที่มาที่ไปทุกคน นั่นก็คือ ทุกคนก่อนจะมาปฎิบัติ
    จะต้องเป็นผู้ที่เดินตามขั้นบันไดบุญกันมาแล้วทั้งนั้น มิใช่เห็นใครปฎิบัติก็ปฎิบัติตามเขาไป
    มิใช่ถือศีลกินเจ บวชเนกขัมมะ นุ่งขาวห่มเหลืองกันแล้วจะได้บุญกลับไป อันนั้นแค่เปลือก
    แค่กระพี้ เพราะแก่นธรรม ก็คือ จิตของผู้ปฎิบัติท่านนั้น บุญใหญ่มันอยู่ที่ภายในจิตของคนนั้น
    อย่าไปมองแค่เปลือกนอกหรือสำรวมภายนอกเท่านั้น เพราะบุญที่แท้จริงก็คือการสำรวมที่จิต

    อย่าลืม! สำหรับผู้ที่จะทำบุญภายใน จะต้องทำจิตนิ่งสงบสงัด เป็นสมาธิหรือทรงฌานก่อน
    เราถึงจะได้บุญขั้นแรกของบุญภายใน นี่คือบุญที่ได้จากการเจริญกรรมฐาน เจริญสติภาวนา
    ขอโทษที กระทู้นี้ชื่อจิตพร้อม? จึงนำเสนอหรือมุ่งเน้นแต่การสร้างบุญภายในของตนเอง
    สร้างวัด สร้างพระ สร้างอริยทรัพย์ภายในจิตใจของตนเท่านั้น ส่วนบุญภายนอกทุกท่านทราบ
    เป็นอย่างดีจะไม่ขอกล่าวอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 เมษายน 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อย่าลังเล ลีลา รีรอ
    ไม่ว่าเราจะทำบุญหรือทำดีก็ให้ทำได้เดี๋ยวนี้เลย อย่าเชื่องช้า
    เพราะวันพรุ่งนี้ เราอาจจะไม่มีโอกาส ไม่มีลมหายใจอยู่ก็ได้
    ไม่มีใครตอบได้ รู้วันเกิดแต่ไม่รู้วันตาย วันพรุ่งนี้หรืออนาคตจะดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ปัจจุบัน

    เส้นทางแห่งบุญหรือบารมีแห่งตน มิได้อยู่ ณ แห่งหน ตำบลใด หรืออยู่ที่บุคคลอื่น
    ที่แท้ก็ล้วนอยู่ที่ตนเองแทบทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ที่กำลังใจของตนเอง ว่าเราจะเลือกทำบุญประเภทใด
    เพราะไม่มีใครไปบังคับให้เรากระทำ แต่เราก็อย่าไปหลงตามหาครูที่ถูกจริตหรือถูกใจก่อน
    แล้วจึงค่อยลงมือปฎิบัติ มัวแต่ตามหาอ่าน/ฟังธรรมะที่ถูกจริตหรือถูกใจก่อน หรือรอพวกมาก
    ลากไปกระทำดีก่อน แล้วค่อยไปทำดีกับเขา ไม่ต้องรอ เดี๋ยวจะไม่มีโอกาสกระทำความดี
    ในการสร้างบุญบารมีแห่งตนเองกว่าจะได้บุญ กว่าจะสร้างบุญบารมี เกรงว่าจะตายเสียก่อน
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    พระราชอารมณ์ขัน.
    https://www.youtube.com/watch?v=oCYIeXYnhcM
    Uploaded on Jun 16, 2011

    วีดิทัศน์พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว เมื่อวันอังคารที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗ และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ ซึ่งอัญเชิญความมาบางตอนในช่วงที่มีพระราชอารมณ์ขัน*

    *ภาษา แบบสั้นและถูกต้อง ใช้ว่า "ทรงมีอารมณ์ขัน" (อ้างอิงตามตำราซึ่งมีวิธีใช้คือ หลังคำว่า "ทรงมี" หรือ "ทรงเป็น" ต้องตามด้วยคำสามัญเสมอ)

    ป.ล. ขอเชิญชมพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ซึ่งทรงบรรยายเมื่อปี พ.ศ. 2538 โดยทรงมีอารมณ์ขันแทรกเป็นช่วงๆ ได้ที่ [ame]http://www.youtube.com/watch?v=fUYA9-[/ame]...
    ********************************
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...