จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

@--- รักพระนิพพาน ---@
หลวงพ่อพระราชพรหมยานตอบปัญหาธรรม

ผู้ถาม :- กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกรักพระนิพพานมาก ก่อนนอนชอบภาวนาว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง แต่ทำสมาธิไม่ดีเลย อย่างนี้ลูกจะไปนิพพานได้ไหมคะ ?

หลวงพ่อ :- คำว่า สมาธิ นี่มันจำเป็น แต่คนถามไม่รู้จักตัวสมาธิ ไอ้ตัวสมาธิเขาแปลว่าตามนึกถึง ถ้านึกถึงนิพพาน เขาเรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน ทีนี้ถ้านึกถึงพระนิพพานอย่างเดียว เรารักพระนิพพาน ภาวนาว่า นิพานัง ปรมัง สุขัง บ้าง นิพพานสุขัง บ้าง นิพพานัง สุขัง บ้าง แต่ว่าก็ต้องดูอารมณ์ใจ ฝึกไว้อีกส่วนหนึ่ง คนที่จะไปนิพพานได้ต้องไม่ห่วงร่างกาย อันนี้ต้องฝึกไว้ด้วยนะ

ต้องฝึกไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายมันเป็นสภาพของความทุกข์ ที่เรามีความทุกข์เกิดขึ้นทุกอย่าง
๑. ความหิว ถ้าเราไม่มีร่างกายมันก็ไม่หิว มันหิวเพราะมีร่างกาย
๒. หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ก็เพราะร่างกาย
๓. ป่วยไข้ไม่สบาย ก็เพราะร่างกาย
๔. ต้องมีงานหนัก ก็เพราะร่างกาย
๕. การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็เพราะมีร่างกาย
๖. ความตายมาถึง ก็เพราะร่างกาย

ก็ใช้ปัญญาทบทวนไปว่า คนระดับชั้นไหนบ้างที่มีร่างกายไม่ทุกข์ ถ้าเราจะเกิดอีกกี่ชาติ ถ้าเรามีร่างกายอย่างนี้มันก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วขึ้นชื่อว่ามีร่างกาย มีขันธ์ ๕ แบบนี้ เราจะไม่มีกับมันอีก เราต้องการจุดเดียว คือนิพพาน ทำใจแน่นอนแล้ว ภาวนาว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ก็ได้ นิพพานัง สุขัง ก็ได้ ต้องคิดอย่างนี้ก่อนแล้วภาวนา คิดแล้วก็ภาวนาต่อไป อย่างนี้ใช้ได้

ถ้าเป็นอย่างนี้เวลาใกล้จะตายจริง ๆ อารมณ์จิตที่เราพิจารณามันจะมารวมตัว มันจะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกาย และวางเฉยในร่างกาย จะมีความรู้สึกว่า การตายมีความสุขกว่า อย่างนี้ก็ไปนิพพาน

ผู้ถาม :- แล้วภาวนาอย่างนี้ล่ะค่ะ มีอยู่คืนหนึ่งพิจารณาความไม่เที่ยง เลยฝันว่ามีคนจะมาเอาลูกไป ลูกหนีแทบแย่ตื่นแล้วยังมีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนจะมาเอาเราไปจริง ๆ ทำไมภาวนาแล้วเกิดเป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ :- นี่เเสดงว่ายังไปนิพพานไม่ได้แหง ๆ เพียงแค่เขาลองเขาต้องทดสอบ เทวดาเขาต้องทดสอบว่าเรามั่นคงพอไหม จะเอาไปหมายจะให้ตาย ความจริงบุคคลที่จะเข้าถึงพระนิพพาน เขามีความรู้สึกว่า ถ้าร่างกายตายเมื่อไรเขามีความสุข เขาไม่ห่วงร่างกายนะ มันต่างกันเยอะ!

***********************************************

ลูกขอน้อมรับคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไว้เป็นแนวปฏิบัติของลูกสืบไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้​

กราบนมัสการหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วยเศียรเกล้า​

ด้วยจิตคารวะ

newwave1959

ปาราเมศ จบ.14​

 

​

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า
พระองค์ชอบดูคลื่น พิจารณาคลื่น
เป็นกรรมฐาน ก็เพราะแล่นเรือใบโต้คลื่น
ละทรงวินิจฉัยว่า คลื่นที่มากระทบ
คลื่นมันเกิดแต่ละลูก ไม่ใช่คลื่นลูกเก่า มันเป็นคลื่นลูกใหม่ขึ้น
ทดแทนซึ่งกันและกัน ในที่สุดมันก็มากระทบฝั่งหายไป
แล้วก็อาจจะน้ำกระเพื่อมขึ้นมาใหม่กลายเป็นคลื่น
ก็มาเทียบกับอารมณ์จิตของพระองค์ เห็นไหมลูก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นทุกอย่างเป็นกรรมฐาน
ที่พ่อเคยบอกลูกว่า จงดูทุกอย่างให้เป็นสมถะและวิปัสสนา
จิตจะได้ตัดกิเลสง่าย

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ​

 

"คำสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน"

...อย่าให้ห่างเหินกับศาสนา...การห่างเหินกับศาสนามันล่อแหลมต่อ...

...ภัยต่อความทุกข์ร้อนวุ่นวาย...ทั้งล่อแหลมต่อนรกอเวจีด้วย...

-คนห่างเหินจากธรรมย่อมจะมีความติดพันกับฝ่ายต่ำเสมอ

...แล้วขวนขวายจัดทำตั้งแตฝ่ายต่ำๆ...แล้วผลก็จะปรากฏเป็นความรุ่มร้อนขึ้นมา

...มากกว่านั้นลงนรกได้...เพราะความไม่มีศาสนารั้งจิตรั้งใจเอาไว้...

...พระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี

...น้อมกราบองค์หลวงตามหาบัวด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ...

 

...อยากให้คนที่คิดเป็นแต่ความโลภ ความหลงได้มาอ่านในกระทู้นี้

-เหลือเกินจะได้เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจเสียที ทำอย่างไรดีนะจะได้รู้ว่า...

...ไม่มีพรรคใดดีไปกว่า...ภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว...

...ลูกขอให้สิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงช่วยดลจิตดลใจผู้ที่หลงผิดคิดร้าย

...ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัติย์...ได้มีดวงตาเห็นธรรมกันบ้างเถอะสาธุ...

...รักในหลวง รักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัติย์ทุกๆพระองค์ ไม่อยากให้พ่อหลวงทุกข์ใจค่ะ...

 

"สมเด็จพระสังฆราช ท่านให้โอวาทธรรมไว้ว่า"

...มีตา มีหู มิใช่จะมีไว้เฉยๆ ต้องดู ต้องฟัง...

-แล้วก็ให้เกิดให้เกิดกิเลส เช่น ราคะ (ความคิดความยินดี)

-โทสะ (ความขัดเคือง) โมหะ (ความหลงไหล) ให้เกิดขึ้นขณะที่ร่างกายเจริญ

...วัยหนุ่มสาวซึ่งกล่าวได้ว่ากรรมเก่ากำลังเติมโตเป็นหนุ่มสาวก็ยิ่งเป็นสื่อของราคะ

-โทสะ และเป็นสื่อแห่งกรรมต่างๆตามอำนาจของจิตใจที่กำลังระเริงหลง...

-จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมปกครอง...จะปล่อยเสียหาได้ไม่ถ้าตนเองควบคุมตนเอง

.ได้ ก็ต้องมีผู้ใหญ่ เช่น บิดา มารดา และผู้ใหญ่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องควบคุมให้อยู่ใน

-ระเบียบวินัยที่ดีงามให้เกิดสำนึกว่า...เรานี้เกิดมาเพื่อทำความดี...

...พระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ...

...กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ...

 

ลูกขอน้อมกราบพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ และท่านทั้งหลายเหล่านี้ ได้เป็นผู้เดินตามรอยของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระอรหันต์สาวก เพราะการปฏิบัติตามคําสั่งสอนของพระศาสดา และเป็นผู้รู้แจ้งโลก...สาธุค่ะ

ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่หลวงตาทุกๆท่านด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้าค่ะ

 

ที่มา fb Cr คุณพี่มาลินีค่ะ

 

ลองอ่านกันดูนะครับ
เห็นว่ามีประโยชน์ โดยเฉพาะ ผู้ปฎิบัติ
จะได้มีความคิดเห็น ถูกต้อง ว่า..
ปัญญาทางโลกนั้น เทียบไม่ได้เลยกับ ปัญญาทางธรรม
จริงหรือไม่ อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ หรือไม่เชื่อ
จนกว่าตนเองจะได้พิสูจน์ หรือลงมือปฎิบัติธรรมเอง
เทียบดูว่า ปัญญาของตนที่มีอยู่ทุกวันนี้ เก่งแล้ว
หรือดีเลิศประเสริฐศรี จริงๆไหม

โมทนาสาธุกับผู้ให้ธรรมทานกับพวกเรานี้ด้วย
ขอกราบแทบเท้าองค์หลวงพ่อฤาษีฯ ด้วยเศียรเกล้า สาธุๆๆ

ปัญญาคืออะไรกันแน่?​

​

​

โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
จากหนังสือ "สู่แสงธรรม" โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป

"ถ้ายังงั้นปัญญา คืออะไรแน่ครับ หลวงพ่อ?" ข้าพเจ้ารีบถามต่อด้วยความข้องใจ​

"ปัญญา โดยความหมายทั่ว ๆ ไปแล้ว แปลว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณา หรือจะแปลว่าความเฉลียวฉลาดก็ได้นะ มิใช่รู้อย่างเดียว ต้องนำเอาความรู้ที่ได้นั้นมาพิจารณาด้วย หรือมิใช่ฉลาดอย่างเดียว ต้องมีเฉลียวใจด้วย จึงจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ถึงแก่นแท้ของการรู้ในแต่ละอย่างได้นั่นแหละ จึงจะเรียกว่า "ปัญญา" ล่ะ

ตัวอย่างเช่น หากคุณเห็นรถยนต์สวยคันหนึ่งแล่นผ่านมาคุณก็อาจจะบอกได้ทันทีว่าเป็นรถเบ็นซ์ รถวอลโว่ รุ่นใด กี่ซี.ซี. มีสมรรถนะอย่างไร ราคาค่างวดเท่าไร สร้างจากประเทศไหน บริษัทอะไร เพราะคุณฟังเขามาบ้าง จึงจำได้ด้วยมีสัญญาดี

แต่ด้วยเพราะไม่มีปัญญา จึงทำให้จิตของคุณมีความหวั่นไหว กินไม่ได้นอนไม่หลับเนื่องจากความอยากได้ในรถคันที่คุณเห็นขึ้นมา แต่ถ้าคุณมีความเฉลียวใจ หรือได้มาพินิจพิจารณาให้รู้แจ้งแทงตลอดแล้ว คุณก็จะเกิดความรู้ใหม่ขึ้นมาว่า รถสวยรุ่นใหม่คันนี้ต่อไปอีก ๒ – ๓ ปีข้างหน้า มันก็จะต้องกลายเป็นรุ่นเก่าไม่ทันสมัยอีกต่อไป

สีที่สวยงามหากกะเทาะออก ก็คงจะดูไม่ได้ เบาะอ่อนนุ่มที่สวยเก๋นั้น หากลอกออกดูภายใน ก็คงมีสภาพเช่นเดียวกับเบาะนั่งของรถแบบอื่น และถ้าคุณจะซื้อรถคันนี้ให้ได้ ก็จะต้องเดือดร้อนในการวิ่งเต้นหาเงินหาทองมา และแม้เมื่อหาเงินได้แล้ว คุณจะรับภาระหนี้สินไหวไหม

นอกจากนั้น เมื่อคุณได้รถมาขับขี่ ก็คงจะไม่สบายใจนัก ด้วยเกรงจะถูกรถอื่นชนหรือเฉี่ยวเอา ยิ่งในตรอกในซอยที่เต็มไปด้วยหลุมด้วยบ่อและฝุ่นดินหนาทึบด้วยแล้ว ก็ยิ่งหนักใจใหญ่ และแม้เอารถให้เด็กล้าง ก็คงจะต้องไปควบคุมแจ ยิ่งต้องเอารถไปจอดในย่านชุมนุมชนหรือตรอกซอยแคบ ๆ หรือที่เปลี่ยว ๆ ก็คงจะต้องนั่งเฝ้ารถคันใหม่ด้วยความเป็นห่วง

หากได้พิจารณาโดยละเอียดเช่นนี้แล้ว ก็จะเห็นความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ ที่จะเกิดตามมาจากการดิ้นรนเป็นเจ้าของรถเบ็นซ์รูปงามคันนั้น เมื่อเห็นทุกข์ ความอยากได้ใคร่ดีในรถเบ็นซ์รูปงามคันนั้นก็ย่อมหมดไป นี่แหละคือ "ปัญญา" ล่ะ หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังก็พูดต่อว่า

"และถ้าจะให้ชัด ก็ต้องยืนยันว่า "ปัญญา" ได้แก่การเจริญวิปัสสนาญาณ จนรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎธรรมดา ไม่มีอารมณ์คิดที่จะฝืนกฎธรรมดาเหล่านั้น จนในที่สุดจะได้ญาณทั้ง ๘ คือ

๑.จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ตายแล้วไปเกิดที่ใด อีกทั้งรู้ว่าคนและสัตว์ที่มาเกิดนั้นมาจากไหน
๒.เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์
๓.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติในกาลก่อนได้ไม่จำกัดชาติ
๔.อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา
๕.อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคนสัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา
๖.ปัจจุปปันยังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ได้ตามความเป็นจริง
๗.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
๘.ทิพยจักษุญาณ มีความรู้ปรากฏแก่จิตเหมือนตาเห็น สามารถ เห็นผีเห็นเทวดาได้

ญาณทั้ง ๘ นี้อย่าได้หนักใจนะว่าจะทำไม่ได้ เมื่อใดที่ผู้ปฏิบัติสามารถทรงฌาน ๔ ได้คล่องแคล่ว แล้วถอยลงสู่อุปจารสมาธิหรือฌาน ๑ ฌาน ๒ เพื่อพิจารณาวิปัสสนาญาณด้วยแล้ว

นอกจากว่าท่านจะได้ญาณทั้ง ๘ แล้ว ท่านยังมีปัญญาแตกฉานในการอธิบายถ้อยคำหัวข้อธรรม และสามารถแก้อรรถปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างอัศจรรย์ นอกจากนั้นยังรอบรู้ และเข้าใจภาษาอย่างอัศจรรย์อีกด้วย (ไม่ว่าจะเป็นภาษาของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์ อสุรกาย) เป็นยังไงคุณมนูญ แบบนี้ยังจะมีนักภาษาศาสตร์คนใดในโลก สู้ท่านได้จริงไหม? นี่ซิเขาจึงเรียกว่ามีปัญญา จริงใช่ไหมล่ะ"

"เพียงแค่ได้ญาณใดญาณหนึ่งใน ๘ ที่หลวงพ่อว่า ก็นับว่ามีปัญญาเกินกว่าปุถุชนคนธรรมดาในโลกนี้แล้วนะครับ" ข้าพเจ้ายอมรับและสารภาพถึงความในใจที่มีอยู่แต่เดิมว่า

"หลวงพ่อครับ ผมจะขอยอมรับสารภาพกับหลวงพ่อว่า แต่เดิมก่อนที่ผมจะได้พบหลวงพ่อนั้น ผมมีความหยิ่งทะนง และเชื่อมั่นในตนเองมาโดยตลอด ว่าเป็นผู้มีสติปัญญาที่อยู่ในชั้นระดับดีเยี่ยมผู้หนึ่งทีเดียว เพราะเป็นที่ยอมรับของบรรดาเพื่อนฝูงและครูบาอาจารย์ตลอดมาว่าเป็นผู้มีความจำดีมาก และเรียนหนังสือเก่ง...

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมไม่ค่อยจะเลื่อมใสศรัทธา ที่จะรับฟังคำสั่งสอนของพระภิกษุสงฆ์ เพราะคิดว่าพระภิกษุสงฆ์เหล่านี้เรียนน้อยกว่าผม บางองค์จบแค่ประถม ๔ ก็มี เมื่อเรียนน้อยก็ย่อมรู้น้อย สติปัญญาก็น่าจะน้อยตามไปด้วย ดังนั้นท่านจะมีปัญญามาสอนอะไรผมได้

และในบางครั้งผมยังเคยแอบนึกขำว่าคนระดับปริญญาโท ปริญญาเอกไปทนนั่งฟังพระแก่ๆ อบรมสั่งสอนกันได้อย่างไร จนกระทั่งในวันนี้เองผมจึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่ผมมีในตัวเองนั้นเป็นเป็นเพียงแค่มี "สัญญา" ดีเท่านั้นเอง ซึ่งอาจจะจำในสิ่งที่ถูกก็ได้ ผิดก็ได้ หาได้มี "ปัญญา" รู้แจ้งเห็นจริงเท่าทันในกิเลส ตัณหา อุปทาน และอกุศลกรรมไม่"

"เออ! ไม่เลวนี่เข้าใจได้รวดเร็วดี อย่าลืมนะ คนที่มีความจำดี มีสัญญาดีนั้น หากเจริญวิปัสสนาญาณพิจารณาความจริงโดยสม่ำเสมอแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วกว่าคนอื่นนะ เพราะจดจำข้อมูลต่างๆ ที่จะมาพิจารณาได้มากกว่าเขา" หลวงพ่ออธิบายไห้กำลังใจแก่ข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คำถามของข้าพเจ้าและคำตอบของหลวงพ่อในข้อนี้ จะทำให้ท่านผู้อ่านมีความเข้าใจคำว่า "ปัญญา" ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะท่านผู้อ่านซึ่งเป็นคนที่มีมิจฉาทิฐิเช่นเดียวกับข้าพเจ้า

 

https://www.facebook.com/photo.php?v=558634807548135
คุณจะไม่เสียใจที่กดดู และจะดีใจที่ได้แชร์​

เราอยากได้อะไร​

​

​

โดยเฉพาะ ความดี
ที่คนส่วนใหญ่ปรารถนาอยากได้ จากคนอื่น
แต่ มันหายากนัก
แต่ความดี ที่มีอยู่ รออยู่ ตรงหน้าของเรานี้ มีจริงๆ
ไม่ต้องไปเสียเวลา รอความดีจากคนอื่น เพราะเป็นไปยาก
แต่ถ้าทุกคนคิดกันได้อย่างนี้ โลกใบนี้ คงจะน่าอยู่
และไม่ต้องไปถามหานิพพานบนอากาศ หรือมิติใด จักรวาลใด
เพราะที่นี่ คือนิพพาน บนดิน

อย่าไปตามหาความดีของคนอื่น อย่าหลงไปตำหนิ คนเลว
เพราะย้อนกลับมาดูที่ตนเองมากจะดีกว่า ถ้าเราดีจริงๆเหมือนพระพุทธเจ้า พระอรหันต์
เราย่อมไม่กลับมาเกิดใน๓๑ ภพภูมิ เป็นแน่

โมทนาสาธุ กับบทความสร้างสรรค์ในสังคม (ตามคลิปวีดีโอ)

จิตเราไม่ได้เข้ม
แต่ธรรมในจิตของเรามันเข้มข้นกว่า ที่แสดงออกมาภายนอก หลายร้อยเท่า​

 

คำเทศน์ครูบาบุญชุ่ม

ครูบาบุญชุ่ม บอกว่า ในโลกจักรวาลนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ทุกสิ่งทั้งปวงเกิดดับตามเหตุปัจจัยไหลไปผ่านมาและผ่านไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นด้วยสิ่งใดทั้งโลกนี้และโลกหน้า จงตั้งจิตอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนี้ ถวายเป็นพุทธบูชา น้อมจิตภาวนาให้รู้แจ้งในรูปนามและสังขารอันไม่เที่ยงทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนเราเขาอะไร รู้แจ้งด้วยปัญญาตามความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ควรประหาร นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญภาวนาให้เกิด ธรรมะทุกอย่างรวมอยู่ที่จิตดวงเดียว เมื่อจิตรู้ จิตตื่น จิตเบิกบานอย่างยิ่งแล้วย่อมพ้นจากทุกข์ การบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมนี้ไม่ได้หวังเพื่ออะไรเป็นอะไรสักอย่าง แต่เป็นไปเพื่ออยู่เย็นเป็นสุขในชีวิตประจำวัน เพื่อความหมดห่วงหมดอาลัยในโลกทั้งสาม เพื่อนิพพานเท่านั้น ขอให้ทุกคนตั้งใจจริงทำจริงปฏิบัติจริงต่อธรรมะ อย่าท้อถอยเอาชีวิตเป็นเดิมพันถึงจะตายด้วยการปฏิบัติธรรมก็ยอม ให้มีกำลังใจเข้มแข็ง และทำจิตให้อ่อนโยนอ่อนน้อมถ่อมตน

อย่าคิดว่าเราเป็นคนสำคัญให้ทำตนแบบปกติธรรมดาๆ นี่แหละดีที่สุด เมื่อเราคิดว่าเราเป็นคนสำคัญแล้ว เมื่อผู้อื่นไม่ให้ราคาเรา ไม่นับถือให้ความสำคัญเราแล้ว จิตใจเราจะเป็นทุกข์ร้อนรนสับสนวุ่นวายไปตามกระแสโลกธรรม ขอให้ตั้งใจให้ดีมีสติทุกเมื่อ ทุกขณะจิต เพียงแต่รู้เฝ้า ดูเฝ้าเห็นกายกับใจเคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัย เป็นเพียงรูปธรรมนามธรรมเท่านั้น เป็นเพียงก้อนทุกข์ ก้อนธาตุ เท่านั้น ไม่ควรไปให้ราคาตัวเองและวัตถุธาตุ สิ่งใดไม่ควรมั่นหมายผูกพันกับสิ่งใดในโลก เราอยู่ในโลกอย่าหลงมายาของโลก ไม่ติดไม่ข้องแวะเกี่ยวกับสิ่งในใจ มีแต่ใจรู้แจ้ง ปล่อยวางสู่ความว่างสภาพเดิมของธรรมชาติแท้

ครูบาบุญชุ่มเทศน์ในตอนท้ายว่า ขอให้ทุกคนจงตั้งจิตตั้งใจให้ดี เราจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยาก จะได้มาพบพุทธศาสนาก็ยาก จะพบพ่อดีแม่ดี ครูบาอาจารย์ที่ดีก็ยาก ได้สร้างบารมีมาถึงวันนี้ อายุเราจะยืนมาถึงวันนี้ไม่ใช่ง่าย เราป่วย เราไข้หลายครั้งเพราะว่าทุกดวงจิต ทุกชีวิต ทุกวิญญาณก็เป็นไปตามกฎของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ มันไม่อยู่เหมือนเดิม ก็ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ฉะนั้นเราได้ประคับประคองธาตุขันธ์ของเราอายุของเรามาถึงวันนี้บุญที่สุดแล้ว และเราจะอยู่ต่อไปอีกกี่ปี กี่เดือน กี่วัน กี่ยาม ก็แล้วแต่บุญกุศลของเรา แล้วแต่ธาตุขันธ์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของสมมุติ เรายืมเขามาโดยมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมและก็ประกอบด้วยขันธ์ทั้ง ๕ มีรูปธรรมนามธรรมเกิดดับอยู่ตลอด

Credit: น้อง เพชรพลอย fb.

 

เรื่องการเมืองมีแต่ทุกข์

 

จังหวัดอะไรเอ่ย
ที่คนไปไม่ถึง

ก็เหมือนคนส่วนใหญ่ที่ยังเข้าไปไม่ถึงความสงบแห่งจิตของตนเอง
ทั้งๆที่ก็อยู่ไม่ไกลจากเรานัก อยู่ภายในกายใจ นี่แหล่ะ
ไปตามหาที่อื่น ทำไม ในเมื่อความสุข ความสงบก็อยู่ภายในนี้แหล่ะ

บางท่านหนีปลีกวิเวกกลางป่า ถ้ายังปฎิบัติไม่ได้ จิตก็ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์
เดี๋ยวไข้โป้ง คือไข้ป่า จะเอาไปรับประทานนะ

หนาวแต่กาย ไม่หนาวใจ เพราะจิตมีธรรมเป็นผ้าห่ม
(ห่มจิตด้วยธรรม สุขล้ำเกินใคร)​

 

"คำสอนของพระสังฆราช"

"พอ" เป็นสิ่งที่หายากในหมู่คน "โลภ"

"นิ่ง" เป็นสิ่งหายากในหมู่คน "โกรธ"

"หยุด" เป็นสิ่งหายากในหมู่คน "หลง"

"ธรรมะ" เท่านั้นที่ช่วยท่านได้...

...พระธรรมคำสั่งสอนของพระสังฆราช กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนเจ้าค่ะกราบๆๆๆ.

 

ให้ทุกคนปรับตังเอง

...ทำตนเองให้ดีก่อนอื่น...

,,,เมื่อปรับปรุงตนเองดีแล้ว,,,

...เท่ากับได้ปรับปรุงคนอื่นพร้อมกันไปด้วย...

...เพราะการสอนที่ดี...

...คือการทำให้ดูเป็นตัวอย่างนั่นเอง...

...พระธรรมคำสอนของหลวงปู่จันทร์ กุสโล วัดเจดีย์หลวง จ. เชียงใหม่่...

...กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่เจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ.

 

การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ก็แสนอยาก และการจะประกอบอาชีพการงาน หรือการเลี้ยงปากท้อง ให้พอเพียงนั้นก็แสนยาก เพราะทุกๆอย่างนั้นขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายอย่าง ยกตัวอย่างบางคนเกิดมาก็มี อยู่มีกินหรือมีฐานะ ทางการเงินดี เพราะพ่อ-แม่ ได้หาไว้แล้ว หรือมีตระกูลดีตั้งแต่เกิด

และก็มีบุคคลที่เกิดมาก็ยากลําบากมาตั้งแต่เกิด นั้นก็คือ พ่อ-แม่ ยากจน ลูกๆก็ต้องลําบาก ต้องหาเช้า กินคํ่า นั้นจึงต้องเชื่อว่า บุคคลใดๆที่เกิดมาแล้ว ก็ต้องเชื่อเลยฝื้นดวงชะตาเกิดไม่ได้แน่ๆ และอย่างคนที่เกิดมาแล้ว ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นมนุษย์ ทุกๆคนก็ต้องการสิ่งดีๆกันทั้งนั้น เพราะความดี ความชั่วนั้นก็มาคู่กัน และอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันพ่อ ซึ้งเป็นวันสําคัญมาก ของทุกๆคน และของประเทศชาติ

เพราะประเทศต้องมีผู้นํา เหมือนครอบครัว ก็ต้องมีพ่อ-แม่ ถ้าขาดพ่อ -แม่ แล้ว ครอบครัวนั้นก็ไม่สมบูรณ์ เพราะลูกๆก็ต้องลําบาก ไม่รู้ว่าซะตาชีวิต ของตนจะเจอ อะไรบ้าง ก็เกิดความกลัว ทั้งภัยรอบด้าน

จึงขอให้ผู้มีพ่อ-แม่ กลับใจกลับตัว ไปกราบไหว้บูชา พ่อ-แม่ ของท่านถ้าท่านยังมีชีวิต เพราะท่านเป็นบุคคล สําคัญมากๆ ในชีวิตของทุกๆท่าน และประเทศชาติก็ต้องการผู้นํา ที่เป็นเหมือนผู้ปกปักษ์ คุ้มครองลูกๆคือ "ประชาชน" นั้นก็คือ เรามีในหลวง หรือ "พ่อหลวงของชาติเรา"

ข้าพเจ้าขอน้อมกราบระลึกถึงคุณของ คุณพ่อ ของข้าพเจ้าเองผู้ให้กําเนิดข้าพเจ้ามา เป็นคนอยู่ทุกวันนี้ และขอให้ท่านจงมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และมีดวงตาเห็นธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ

และอีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันพ่อของชาวไทย ข้าพเจ้าขอน้อมกราบถวายบังคม แด่องค์พ่อหลวงของชาติ ขอให้ท่านจงมีพาลานามัยที่สมบูรณ์ และแข็งแรงยิ่งๆขึ้นไป และเป็นมิ่งขวัญของชาติ ตลอดกาลนานด้วยเทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อนขอเดชะ ข้าพเจ้า จิตบุญที่ ๑๐๐ ของสมาคมจิตเกาะพระ ขอให้ท่านทรงพระเจริญยิ่งยืนนานด้วยเทอญ สาธุค่ะ

 

"ความจริงมันรู้จริงเห็นจริง เพราะทำจริง ปฏิบัติจริง รู้จริง เห็นจริง

พูดได้จริงๆ ตามหลักธรรมชาติที่เป็นจริงแล้วใครจะค้านได้ ค้านไม่ได้ มันต่างกันตรงนี้

เพราะฉะนั้นให้เรียนให้ถึงของจริง ของจริงสมัยพุทธกาลกับของจริงครั้งนี้เหมือนกัน

ทุกขัง อริยสัจจัง คงเส้นคงเส้นคงวา มัคคปฏิปทา อริยสัจจัง ก็คงเส้นคงวา

...เอาเดินซิ ไม่มีอะไรบกพร่องเลยธรรมของพระพุทธเจ้า...

...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ. อุดรธานี...๓๐ ก.ค ๒๕๒๑...

...น้อมกราบองค์หลวงตามหาบัวด้วยเศียรเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ...

 

ลาวคำหอม (บรรเลง) OST สี่แผ่นดิน - YouTube

ฝากเพลงอาลัยนี้ฯ
ให้กับประเทศไทย และปชช.ไทย ทุกๆท่าน

สงครามกลางเมือง จะเกิดขึ้นในมิช้านี้ฯ
น่าสลดใจ น่าเศร้าใจ แทนปวงชนชาวไทย
คนไทยกำลังทำร้ายกัน ทำลายกัน เข่นฆ่ากันเอง
ตอนนี้สายตาของคนต่างชาติ กำลังโฟกัสมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง
กิเลส ตัณหาฯ เก่าแต่ชาติปางก่อน ก็ยังชำระล้างกันยังไม่หมด
วิ่งไปสร้างกรรม(ไม่ดี)ขึ้นมากันใหม่อีกแล้ว
แต่ก็เข้าใจดีสำหรับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ เห็นต่าง
จริงๆแล้ว ไม่มีผู้ใดผิด ไม่มีผู้ใดถูกจริงๆหรอก
มีแต่คนที่หลงผิดชั่วครู่ หลงมีตัว มีตน เท่านั้นเอง
แต่จะออกมาจากความหลงของตนได้
จะต้องอาศัยปัญญาที่เกิดจากการภาวนา (ภาวนามยปัญญา) เท่านั้น
มิใช่ แค่ปัญญาทางโลก

ไม่รู้กรรมอะไร ไปปิดม่านดวงตา ดวงใจ​

 

โลกนี้ มีความวุ่ยวายมาตั้งแต่ไหนๆ หรือกี่กัปป์ กี่กัณฑ์แล้ว หาที่สิ้นสุดไม่ได้ เพราะคนที่มาเกิดในโลกนี้ ก็มาจากความแตกต่างกัน มาโดยบุญนํากรรมแต่ง มาแบบไม่รู้ตัวมาก่อนมาตนเองได้ทํากรรมอะไรมาบ้าง มาชาตินี้ผู้ที่เคยทํากรรมชั่วมาก็จะเจอกรรมเก่าติดตามมา โดยจะต้องชดใช้หนี้เก่านั้นเอง...

พอใช้หนี้เก่าหมด หรือกรรมเก่าหมด ก็จะพ้นไป แล้วเจ้าของจิตถ้ายังมีจิตที่มืด หรือ ไม่มีสัมมาสมาธิแล้ว ก็ยิ่งจะก่อความชั่วได้อย่างสบายเพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องกั้น ก็มีแต่ไปในทางตํ่า เพราะจิตที่ไม่มีสติ ชอบไปทางที่สะดวก คือ ง่ายก็ชอบตามใจตนเอง จึงต้องมาฝึกจิตให้รู้ว่าโลกนี้ ร้อน แต่เราไม่ร้อนตาม เพราะเรารู้แต่ว่าเราไปแก้ไขโลกไม่ได้ และจะไปห้ามคนก็ไม่ได้

เพราะคนมีความคิดเป็นของๆตนเอง...ถ้าคนนั้นคิดว่าเขาทําดีแล้ว โดยไม่รู้ความเป็นจริงในโลกนี้จึงมีคนอยู่ สี่ประเภท ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เพราะความวุ่ยวายนั้นก็มาจากคนที่เกิดมาในโลกนี้นั้นเอง...ถ้าคนมีความพอดี หรือมีคุณธรรม ก็คงจะไม่มีความวุ่ยวายอย่างนี้แน่ คงจะมีแต่ภาษาดอกไม้ และเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสุข แต่คนก็ไม่สามารถจะเห็นได้ จึงต้องมาเทียวเกิด เทียวตายกันไม่มีวันสิ้นสุด..

ที่สิ้นสุดก็เห็นแต่ทําจิตตนให้พ้นจากทุกข์ แล้วน้อมจิตไปสู่แดน "นิพพาน" ที่มีแต่ความว่างจากความโลภ ความโกธร และความหลง ของตนเองให้ได้นั้นเอง...สาธุค่ะ

 

"แก้วที่ควั่าอยู่กลางสายฝน"

...ต่อให้ฝนกระหนั่าทั้งคืน...

"ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ"

"คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้"


...ต่อให้คลุกคลีกับนักปราชญ์...ทั้งวันทั้งคืน "ก็ยังโง่เท่าเดิม...

...กราบนมัสการและขอบพระคุณท่านพระอาจารย์ว.วชิรเมธีค่ะ ท่านเป็นผู้กล่าวไว้สาธุค่ะ