ตอบคำถามเรื่องเด็กอภิญญาอายุ 13 จากกระทู้เรื่องแรงบุญแรงกรรม ใครว่าไม่มีจริง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย sasiriya, 22 พฤษภาคม 2008.

  1. Aodzilla

    Aodzilla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2009
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +50
    สุขหนอ (ชยสาโร ภิกขุ)
    ทุกคนในโลกต้องการสิ่งเดียวกันคือความสุข แต่น้อยคนที่สนใจศึกษาเรื่องความสุขอย่างละเอียด ส่วนมากเรามักจะเชื่อกิเลสตัวเอง หรือค่านิยมของสังคม ว่าสุขที่ต้องการนั้นเป็นอย่างไร ทุกวันนี้คนเราชอบสับสนระหว่างความสุขและความตื่นเต้น สิ่งใดกระตุ้นความรู้สึกได้มากก็ถือว่าสิ่งนั้นนำความสุขมาให้ แต่ความสุขนั้นยังร้อนอยู่ ความสุขทางเนื้อหนังนั้นยิ่งเข้มข้น ก็ยิ่งชวนให้เราติด ติดแล้วอาจจะเป็นเหตุให้เบียดเบียนคนอื่น หรือทำอะไรผิดกฎหมายเพื่อจะให้ได้มา อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง
    ความสุขที่ขึ้นอยู่กับสิ่งนอกตัวเรา ไม่สามารถระงับความพร่องอยู่ในใจของมนุษย์ได้ อย่างมากก็ได้แค่กลบเกลื่อนชั่วคราว ความสุขที่ได้จากรูป เสียง กลิ่น รส และการสัมผัสทางกายนั้นนับว่าคับแคบและไม่ไปไหน คือกี่ปีกี่ปีก็เหมือนเดิม กี่ภพกี่ชาติก็แค่นั้นแหละ อายุเรามากขึ้น สุขภาพร่างกายอ่อนโรยลง มีโรคประจำตัวเพิ่มมากขึ้น โอกาสจะได้ความสุขจากสิ่งนอกตัวก็น้อยลง สุดท้ายน่ากลัวจะเหมือนนกกระเรียนแก่ ซบเซาอยู่ที่เปลือกตมไร้ปลา ดังที่กล่าวไว้ในธรรมบท
    พระพุทธองค์ ให้เราเห็นว่าการช่วยคนอื่น การดำเนินชีวิตภายในกรอบของศีล การขัดเกลานิสัย การฝึกสมาธิ และการพัฒนา ปัญญา เป็นทางไปสู่ความสุขที่แน่กว่า และมีจุดเด่น
    ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ ตรัสว่ามีธรรม ๖ ข้อ ซึ่งทำให้เราอยู่ในปัจจุบันอย่างมีความสุขมาก และยังเป็นเหตุเป็นปัจจัยเพื่อการสิ้นไปแห่งกิเลสในอนาคตข้างหน้า อย่างนี้ฝรั่งเรียกว่า win-win situation คือ ได้ความสุขในปัจจุบันด้วย แถมยังได้เจริญในอริยมรรคไปด้วยพร้อมกัน
    ธรรม ๖ ข้อคือ
    • เป็นผู้ยินดีในธรรม
    • เป็นผู้ยินดีในการภาวนา
    • เป็นผู้ยินดีในการละ
    • เป็นผู้ยินดีในความวิเวก
    • เป็นผู้ยินดีในความไม่พยาบาท
    • เป็นผู้ยินดีในความไม่ปรุงแต่ง
    สิ่งแรกที่เราควรสังเกตก็คือความสุขทั้ง ๖ ข้อเกิดจากความยินดี หลายคนเข้าใจว่าชีวิตนักปฏิบัติธรรมไม่น่าจะมีอะไรสนุก ที่มองอย่างนี้เพราะยังจับหลักไม่ได้ว่าตัวความสุขอยู่ที่ “ ความยินดี) มากกว่า “ สิ่งที่ยินดี ” นักปฏิบัติไม่ต้องสละความยินดีเสมอไป เพียงแต่ว่าต้องย้ายความยินดีของตนออกจากสิ่งที่ทำให้จิตตกต่ำ ไปไว้ในสิ่งที่น้อมนำจิตออกจากทุกข์ สรุปว่าไม่ขาดทุนเลย มีแต่ได้กำไร
     
  2. Aodzilla

    Aodzilla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2009
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +50
    ความยินดีในธรรม คือยินดีในการฟังธรรม การอ่านธรรมการท่องธรรม การพิจารณาธรรม การปฏิบัติธรรมในทุกระดับยิ่งศึกษาและปฏิบัติธรรมยิ่งมีความสุข เพราะการเห็นความจริง ความลึกซึ้งมากขึ้น ๆ โดยลำดับ เรายินดีในธรรมแล้ว ความยินดีในสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมต้องค่อย ๆ หายไปเอง เพราะมันขัดกัน เมื่อเรายินดีในธรรมแล้ว เราเห็นคนอื่นดี เราไม่อิจฉา กลับแช่มชื่นว่าธรรมที่ปรากฏในคนนั้นงามจริง ๆ ธรรมเกิดที่ไหนก็งามที่นั่น เราเห็นความงามของธรรมที่ไหนเราก็สุขที่นั่น ตาเราเย็น ใจเราสงบ
    ผู้ยินดีในการภาวนา ก็มีความสุขเพราะเห็นสิ่งดีงามในตนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในเวลาที่การภาวนายังไม่ได้ผลมากนัก นักปฏิบัติมีความสุขด้วยพลังศรัทธาว่ากำลังตามรอยพระอรหันต์ ถ้าทำไปเรื่อย ๆ ไม่ท้อแท้เราต้องสงบแน่ เชื่อมั่นว่าการภาวนามีผลจริง และเป็นทางเดียวที่นำสัตว์โลกไปสู่การตรัสรู้ธรรม อย่างนี้เราสามารถมีความสุขกับทุกก้าวที่เราเดิน
    ความยินดีในการละ ก็เหมือนกัน ถ้าเรายังเสียดายกิเลสเราจะปล่อยวางไม่ได้ เมื่อเราพิจารณาเห็นกิเลสว่าเป็นสิ่งกีดกันไม่ให้เราเจริญในธรรม เราจะยินดีในการละกิเลสตลอดเวลา โอกาสจะฝืนและชนะกิเลส โอกาสที่จะมีความสุขในการชำระจิตใจ ก็เกิดขึ้นตลอดเวลาเช่นกัน ละกิเลสได้แม้ชั่วคราวก็ตาม หากเรายินดีได้ก็มีความสุข
    สำหรับผู้ครองเรือน ความยินดีในวิเวก อาจจะเป็นแหล่งความสุขที่หายากหน่อย แต่อย่างน้อยที่สุดเราควรฝึกให้อยู่คนเดียว เป็นนักปฏิบัติขาดเพื่อนแล้วเหงาหงอยยังไม่ถือว่าเก่ง ถ้ายินดีในการอยู่คนเดียวจะเป็นคนสุขง่ายขึ้นทันที ฉะนั้น ถ้ามีโอกาสไปปฏิบัติธรรมในวัดหรือศูนย์ปฏิบัติธรรมที่เราไม่รู้จักใคร ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี
    หลวงพ่อชาเคยบอกว่านั่งรับแขกอยู่ทั้งวัน ท่านยังมีความรู้สึกว่าอยู่คนเดียว นี่คือวิเวกขั้นสูง ตรงกันข้ามกับคนที่อยู่คนเดียวแต่คิดถึงคนอื่นตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม วิเวกชนิดที่สำคัญคือ จิตวิเวกซึ่งเป็นผลของการฝึกสมาธิภาวนาถึงขั้นที่จิตข่มนิวรณ์ได้
    พระองค์ตรัสพรรณนาคุณของสมาธิแน่วแน่นี้ว่า จิตสงัดหรือวิเวกจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ความวิเวกประเภทนี้มาพร้อมกับปีติและสุข ผู้ยินดีในวิเวกในความหมายว่าสงัดจากอารมณ์จึงมีความสุขอันประณีตหล่อเลี้ยงจิตอยู่อย่างน่าพอใจ
    ความยินดีในการไม่พยาบาท คือ ยินดีในเมตตานั้นเอง ผู้มีเมตตามีความสุขเพราะความเร่าร้อนของอารมณ์ฝ่ายโทสะไม่มีช่องเข้ามากลุ้มรุมจิตใจได้ ผู้ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่หงุดหงิดรำคาญไม่จับผิดคนอื่น จะไม่มีความสุขได้อย่างไร จิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตาไม่มีศัตรูเพราะไม่มองใครเป็นศัตรู คนอื่นจะมองเราอย่างไรก็เรื่องของเขา หากเราไม่มีคำว่าศัตรูอยู่ในใจ เราย่อมมีศัตรูไม่ได้ ไม่พยาบาทแล้วความกลัวและความระแวงในใจย่อมลดน้อยลงมาก เพราะคนเรามักจะเอากิเลสตัวเองไปใส่คนอื่นอยู่บ่อย ๆ คนขี้โกรธมักจะเสียใจอยู่เรื่อยว่าคนรอบข้างกำลังโกรธเขา
    ผู้มีเมตตาหวังดีต่อทุกคนรวมถึงตัวเอง ไปไหนคนดีก็เอ็นดู ความเมตตาช่วยชำระจิตใจของมนุษย์ และยังสร้างบรรยากาศในครอบครัวและชุมชนให้อบอุ่น
    ผู้ยินดีในความไม่ปรุงแต่ง คือผู้ยินดีในการดับทุกข์ หรือไม่มีทุกข์ ย่อมไม่ยินดีในกิเลสที่ทำให้การปฏิบัติเนิ่นช้า ไม่คิดสะสมอีกแล้ว ไม่หาความสุขกับความคิดอีกแล้ว ยินดีในจิตใจที่ปลอดโปร่งด้วยสติ ด้วยความรู้ตัว อยู่ในปัจจุบัน ไม่ให้มีความรู้สึกว่าเรา ว่าของเรา เกิดขึ้นครอบงำใจ มีความสุขกับการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในปัจจุบัน ไม่ต้องการอะไร ไม่ห่วงใยอะไร ทำให้สิ่งต่าง ๆ เย็นลงไปเรื่อย ๆ อย่างนี้มีความสุขมาก และนำไปสู่ความสิ้นไปแห่งกิเลสในที่สุด
     
  3. Aodzilla

    Aodzilla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2009
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +50
    he llo _car
    คติธรรมสอนใจที่นำมาฝากครับ เพื่อน ๆ กัลยาณมิตรลองศึกษาดูนะ
    <O:p</O:p
    1.ความดี ถ้าใช้ไม่เป็นก็เป็นโทษเป็นบาป เหมือนกับเงินที่เป็นของดี แต่จ่ายไม่เป็น ก็ขาดทุน หรือมีดคมถ้าใช้ไม่เป็นก็กลายเป็นโทษ<O:p</O:p
    ๘๓. คนพูดดี ก็เป็นน้ำเย็นรดหัวใจชื่นบาน เป็นยาบำรุงหัวใจซึ่งกันและกัน ถ้าพูดไม่ดีก็เป็นน้ำร้อนน้ำกรดมาสังหารซึ่งกันและกัน<O:p</O:p
    ๘๔. คนมีปัญญา จะพูดอะไรก็เป็นบุญเป็นกุศล เพราะรู้จักการพูดให้ถูกกาล สถานที่บุคคล และสังคม<O:p</O:p
    ๘๕. คนที่มีชื่อเสียง แต่ไม่มีความจริง ก็นับว่าดีไม่ได้ คนใดที่มีความจริง ถึงจะมีชื่อเสียงหรือไม่มีก็ตาม ก็นับว่าเป็นคนดี<O:p</O:p
    ๘๖. คนอยาก เกิดจากความอด คนอด ก็เกิดจากความอยาก<O:p</O:p
    คนอยากนั้นมักจะไม่ได้กิน คนไม่อยากนั่นแหละได้กิน<O:p</O:p
    ๘๗. คนที่ฆ่าความดีของตัวเอง ก็ย่อมฆ่าคนอื่นได้<O:p</O:p
    ๘๘. ทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องการความสุขกันทุกคน แต่ความปฏิบัติของเราไม่ตรงต่อเจตนาของตนเอง ความสุขที่เราต้องการจึงไม่สมปรารถนา<O:p</O:p
    ๘๙. ตัวเรา เปรียบเหมือนกับแผ่นเสียง ที่อัดไว้ในทั้งเสียงดีและเสียงชั่ว เมื่อเราทำความดีก็อัดเข้าไปไว้ในตัว เมื่อเราทำชั่ว ก็อัดเข้าไปไว้ในตัว เราทำกรรมอันใดไว้ กรรมนั้นก็ย่อมมีอยู่ในตัวเราทุกอย่าง ไม่หายไปไหน<O:p</O:p
    ๙๐. การแสวงหาความดี ต้องอาศัยการศึกษาเป็นหลัก มิฉะนั้นจะไม่รู้ว่าสิ่งใดควรเอาไว้ สิ่งใดควรทิ้งไว้<O:p</O:p
    ๙๑. โรคทางกาย ไม่สำคัญเท่าใด เพราะเมื่อเราตายแล้ว ถึงจะรักษาหรือไม่รักษามันก็ตาย ส่วนโรคทางใจนั้น เราตายแล้วมันก็ยังไม่หาย ทำให้ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกหลายชาติหลายภพ<O:p</O:p
    ๙๒. ยาพิษ ไม่ได้เป็นโทษที่ยา มันเป็นโทษที่ตัวเราเอง หรือผู้ที่กินเข้าไป<O:p</O:p
    ๙๓. จะเตะเขาต้องให้เกิดประโยชน์ เขาจะเตะเราต้องอย่าให้เสียท่า ถ้าไม่เกิดประโยชน์อย่าไปยุ่ง อยู่เฉย ๆ ดีกว่า<O:p</O:p
     
  4. Aodzilla

    Aodzilla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2009
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +50
    องค์แห่งการตรัสรู้และสุขภาพที่สมบูรณ์
    ต่อจากนี้ก็ควรจะมาสำรวจกันว่า หลักธรรมที่เป็นองค์ประกอบของการตรัสรู้นั้นมีอะไรบ้าง และมีความหมายอย่างไร
    โพชฌงค์มี ๗ ประการด้วยกัน เรียกกันว่า โพชฌงค์ ๗ เหมือนอย่างที่บอกไว้ในบทสวดมนต์ว่า โพชฌังโค สะติ สังขาโต...
    โพชฌงค์ เริ่มด้วย
    องค์ที่ ๑ คือ สติ
    องค์ที่ ๒ คือ ธัมมวิจยะ
    องค์ที่ ๓ คือ วิริยะ
    องค์ที่ ๔ คือ ปีติ
    องค์ที่ ๕ คือ ปัสสัทธิ
    องค์ที่ ๖ คือ สมาธิ
    องค์ที่ ๗ คือ อุเบกขา
     
  5. Aodzilla

    Aodzilla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2009
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +50
    ;aa8
    ก้าวสู่ความสำเร็จ
    ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติหลัก How-to สู่ความสำเร็จ ไว้ 4 ข้อด้วยกัน นั่นก็คือ “อิทธิบาท 4” ซึ่งท่าน ว.วชิรเมธีอธิบายไว้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายว่า “มีใจรัก (ฉันทะ) พากเพียรทำ (วิริยะ) จดจำจ่อจิต (จิตตะ) และวินิจวิจัย (วิมังสา)”
    ตัวอย่างของบุคคลที่เดินทางไปถึงเป้าหมายของชีวิตด้วยหลัก How-to สู่ความสำเร็จ
    · มีใจรักในสิ่งที่ทำ (ฉันทะ)
    แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ใช้เวลาคิดค้นสมการก้องโลก E = mc2 อยู่เป็นแรมปีโดยไม่ย่อท้อ เพราะอัจฉริยบุคคลผู้นี้ รักในสิ่งที่เขาทำอย่างไม่คิดจะเปลี่ยนใจ แม้ว่าจะถูกหยามหยันจากผู้คนที่ไม่เข้าใจ ทว่าไอน์สไตน์ไม่เคยหวั่นไหว ตราบใดที่ได้ทำในสิ่งที่รัก...ไอน์สไตน์ก็ยังคงเดินหน้าทำต่อไป
    · พากเพียรทำ (วิริยะ)
    อย่าล้มเลิกความตั้งใจเพียงเพราะความล้มเหลวเล็กๆ น้อยๆ อับราฮัม ลิงคอล์น เป็นส.ส.สอบตกอยู่ถึง 15 สมัย กว่าที่จะได้เป็นประธานาธิบดี ลิงคอล์นเคยกล่าวไว้ว่า “ที่ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จ ก็เพราะข้าพเจ้าไม่ยอมล้มเลิก”
    · จดจำจ่อจิต (จิตตะ)
    อุทิศตนต่อสิ่งที่ทำอย่างลึกซึ้ง เรื่องราวของ เซอร์ไอแซก นิวตัน จะช่วยยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะท่านคือนักวิทยาศาสตร์ผู้อุทิศเวลากว่าครึ่งค่อนชีวิตให้แก่การคิดค้น “กฎของความโน้มถ่วง” จนลืมกินอาหารมาแล้ว
    · วินิจวิจัย (วิมังสา)
    วิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์ และพัฒนา เพื่อท้าทายตนเองให้ทำงานแล้วได้ผลงานออกมาดีขึ้น ดังเช่นที่ ทอมัส แอลวา เอดิสัน ทดลองใช้วัสดุนับพันชนิด ทำแล้วรื้อ รื้อแล้วทำอยู่หลายร้อยหลายพันรอบ กว่าจะประดิษฐ์คิดค้นไส้หลอดไฟฟ้าที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้สำเร็จ
    ว่ากันว่า เรือจะปลอดภัยที่สุดเมื่อจอดอยู่ในท่า แต่ทว่าเรือก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้จอดนิ่งอยู่ในท่าเท่านั้น เช่นเดียวกับชีวิตของคนเรา ที่แม้ชะตาฟ้าจะกำหนดมาแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เส้นทางที่เหลือก็ยาวไกลพอที่เราจะเขียนแผนที่เพื่อลิขิตชีวิตของตนเองได้เสมอ
    ขอเพียงคุณเชื่อมั่นในพลังอันยิ่งใหญ่ของตนเอง เรากล้ารับรองว่า “แผนที่ชีวิต” ที่คุณเขียนขึ้นอย่างมีจุดมุ่งหมายด้วยความตั้งใจจริง จะช่วยให้คุณไม่พลัดหลงออกนอกลู่นอกทาง และจะพาคุณไปถึงปลายทางที่ฝันไว้..อย่างแน่นอน
     
  6. ddalways

    ddalways เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +188
    ปูที่เดินตรงทาง...มีด้วยเหรอคะ ?!?!?

    ธรรมดาปูเดินเบี้ยวไปเบี้ยวมา มิใช่หรือ
    อิ อิ อิ..ล้อเล่ลลล ค่ะ แม่ปูศิ.. อิ อิ อิ
     
  7. ddalways

    ddalways เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +188
    ขอบคุณค่ะ ว่าแต่คิดถึงจริงป่าววว ?!?!?

    ไหน...หลานน้ำอิง มายืนยันหน่อยสิคะ
    :p

     
  8. ddalways

    ddalways เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +188
    ;aa44;aa44;aa44

    ยิ้มด้วยค่ะ แล้วตุ๊กตาตัวนี้...
    ฝากให้หนูน้ำอิงนะคะ..ป้าดีดีคิดถึงค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  9. ddalways

    ddalways เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +188
    ตอนที่ป้าคัดเค้าถาม..ป้าดีดีเหลือบดูนาฬิกาก็ประมาณ ...
    อรุณสายแสงแย้ววววว...ป้าคัดเค้ายังง่วงอยู่เหรอคะ?!?!?

    (ก็ตื่นเช้ากว่าใครทำมาย..ทำมายละคะ)

    ป้าดีดีน่ะ.. ม่ายง่วงหรอกค่ะ
    อ่านทีแรกนึกว่า ป้าคัดเค้าละเมอ 555+++

    อย่านอนดึก..และตื่นเช้าเกินไปนะคะ
    รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ป้าดีดีเป็นห่วงงงงง
     
  10. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </CENTER></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>paitoon01, ต้อย&ปรีชา, kunmeng </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนค่ำ ๆ นะคร้าบ

    คุณต้อย&ปรีชา และคุณเม้ง และผู้ไม่ทราบนาม ๑ ท่าน

     
  11. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239
    ทั้งปากหวาน
    ใจดี
    ใคร ไม่รัก ก็ ใจดำ เนาะ

    ;aa54 ;aa54 ;aa54
     
  12. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    ขออนุโมทนาในคติธรรมโดยน้องอ๊อดซิลล่าด้วยคร้าบ

    โดยเฉพาะข้ออิทธิบาท ๔ นี่.......ขาดไม่ได้เลย

    สำคัญมากสำหรับผู้ปฏิบัติที่หวังมรรคผลทุกท่านคร้าบ
     
  13. ต้อย&ปรีชา

    ต้อย&ปรีชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +199
    อาการเช่นนี้ดิฉันเคยเป็นค่ะ เพราะเราเกร็ง หรือตั้งใจมากเกินไป มันเลยไม่เป็นธรรมชาติ ให้เราหายใจให้เป็นธรรมชาติ ทำใจสบายๆ แล้วตามดูลมหายใจเรา หายใจเข้าก็รู้ลมเข้าท้องสังเกตุดูท้องมันจะพอง หายใจออกก็รู้ลมออกท้องๆมันจะยุบ วิธีที่จะสังเกตุ ท้องพองท้องยุบลองใช้วิธีนอนหงายแล้วเอามือวางบนท้อง จะเห็นอาการพอง-ยุบชัดเจน แล้วค่อยลุกนั่งดูอาการพองยุบ ตอนนั่งอาการพองยุบมันจะไม่ชัด แต่อย่ากังวล ให้รู้หายใจเข้าแล้วท้องพองเฉยๆก็พอ อย่าบังคับให้มันพอง ตอนยุบก็เหมือนกันอย่าบังคับ เดี่ยวจะอึดอัด ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของลมหายใจเรา
    ส่วนมากคนไม่ค่อยเข้าใจธรรมะ หรือเข้าใจ แต่เข้าใจแบบผิดๆ
    ธรรมะ คืออะไร?
    ธรรมะ คือ (ธรรมชาติ ความเป็นจริง) หายใจแบบฝืนธรรมชาติ มันก็เลยอึดอัด ก็เลยเกิดทุกข์ คุณลองทำดูใหม่น๊ะ หายใจแบบธรรมชาติ ที่คุณคิดว่าหายใจแบบไหนที่คุณ เบิร์ดๆ สบายๆ แล้วรู้ลมหายใจเข้า(พองหนอ) รู้ลมหายใจออก(ยุบหนอ)
    ตอนนี้ค่อยๆฝึกแค่นี้ไปก่อน แล้วให้มีความศรัทธาเชื่อมั่น ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าคลางแคลงสงสัย เดี๋ยวก็จะหายเป๋เองค่ะ
    ดิฉันก็มีความคิดและอาการเหมือนคุณทุกอย่าง แต่ตอนนี้ผ่านจุดนั้นไปได้แล้ว และณ.เวลานี้ไม่มีความสงสัยคลางแคลงต่อพระพุทธองค์หลงเหลืออยู่เลย ให้คุณหมั่นปฏิบัติน๊ะค๊ะ ถ้าเกิดข้อสงสัยในการปฏิบัติใดๆ ก็ถามพี่ๆป้าๆ ในกระทู้นี้ได้ค่ะ
     
  14. kunmeng

    kunmeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,383
    ค่าพลัง:
    +395
    วันนี้เงียบเหงาจังเลย
    ไปแระ
    ไปไหว้พระสวดมนต์ นั่งดูลมหายใจดีกว่า
    โมทนาสาธุค๊าบ
    ฝันดีทุกๆท่านค๊าบ
    และขอให้ทุกท่านมีดวงตาเห็นธรรมโดยเร็วพลัน


    ;aa44;aa44;aa44;aa44;aa44
     
  15. ddalways

    ddalways เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +188

    จะไปหนาย..จะไปหนาย ...
    รอเดี๋ยวก่อนซิคร๊าบบบบ...

    อิ๊กคิวซัง...
    เดี๋ยวผมก็จะขอไปไหว้พระเหมือนกันขอรับบบบ..

    ขอให้ทุกท่านที่อยู่ใต้ร่มเงาแห่ง
    แสงจันทร์ที่กำลังส่องหล้า...
    จงหลับฝันดี ...ตลอดคืน

    ส่วนทุกท่านที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า...

    จงมีแต่ความสุขสดชื่นตลอดวันนะคะ!!


    ;aa44;aa44;aa44;aa44;aa44
     
  16. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
    _/\_สวัสดีค่ะ พี่ดีดี

    มีเราสองคนเองค่ะ คนอื่นเขาไปนอนกันแล้ว
    ป้า เอ้ย! พี่ดีดียังไม่ง่วงหรือก๊ะ
     
  17. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    สวัสดีครับคุณเมย์

    นอนดึกแบบนี้ดูแลสุขภาพด้วยนะคร้าบ
     
  18. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
    สวัสดีค่ะ คุณไพฑูรย์
    พี่ดีดีหนีไปนอนซะแล้ว
    เดี๋ยวเมย์ก็จะไปนอนเหมือนกัน
    ขอให้นอนหลับโดยไม่ฝันนะคะ(ฝันมากเหนื่อยค่ะ)
     
  19. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
    หลวงปู่เณรคำที่หลาย ๆ ท่าน ณ ที่นี้รู้จักกันดี แต่อาจมีบางท่านยังไม่เคยอ่านเรื่องของท่าน บทความนี้คัดมาจากกระทู้ เปิดตำนานพระอภิญญา-เปิดธรรมไตรโลกธาตุ ในหมวดอภิญญา-สมาธิ เพื่อนบ้านของหมวดวิทยาศาสตร์ทางจิตนี่เองค่ะ ท่านใดสนใจอ่านส่วนที่เหลือสามารถอ่านได้ในกระทู้ดังกล่าวค่ะ
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------<!-- google_ad_section_end -->



    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>

    เว็บไซต์หลักหลวงปู่เณรคำ
    http://www.luangpunenkham.com/lang-pref/th/



    หลวงปู่เณรคำ

    * เพราะเหตุใดชาตินี้จึงเป็นชาติสุดท้ายของภิกษุรูปนี้
    * อายุเพียงน้อยเหตุใด คนจึงเรียกขาน '' หลวงปู่ ''
    * ทำไมภิกษุรูปนี้จึงออกปฏิบัติธรรมตั้งแต่จำความได้


    * " เณรองค์นี้สำคัญน่ะ อนาคตจะได้เป็นหมายเลยเลข 1 ของสายกรรมฐานน่ะ "
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พูดสนทนากับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต


    * " ตัวเจ้านี่ต่อไปจะได้เป็นหมายเลขหนึ่งของกรรมฐานในอนาคต "
    ซึ่งเป็นคำพยากรณ์ของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ยังดังแว่วอยู่ในโสตทวารของหลวงปู่เณรคำ...

    ----------------------------------------------------------------------
    เหตุใด ! พระอาจารย์สุนทร รตนญาโณ แห่งวัดดงน้ำคำ ต.เปิด อ.รตันบุรี จ.สุรินทร์
    พรรษาที่ 25 จึงอนุญาตให้ทางพระและญาติโยมในวัด นำรูปถ่ายสูงขนาด 3 เมตรของภิกษุรูปนี้ ตั้งเด่นตระหง่านกลางลานวัด และกล่าวให้ทราบว่า “ ถึงแม้ท่านหลวงปู่เณรจะมีพรรษาน้อยกว่าเรา แต่คุณธรรมท่านมากกว่า ”

    เหตุใด ! คณะแพทย์ พยาบาล จึงศรัทธาพระภิกษุรูปนี้ หรือเป็นเพราะคณะแพทย์ เคยเอ็กซเรย์กระดูกของท่านเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาพฉายให้เห็นกระดูกใสคล้ายแก้ว

    เหตุใด ! ภายหลังวันที่ 30 ธันวาคมของทุกปี จึงมีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาหาพระภิกษุรูปนี้จำนวนนับหมื่นนับแสนองค์

    เหตุใด ! ภิกษุรูปนี้ จึงออกปฎิบัติธรรม ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เหตุใด ! ภิกษุรูปนี้ จึงสามารถนั่งสมาธิในสมัยอายุเพียง 10 ขวบเศษได้นานถึง 12 ชั่วโมง

    เหตุใด ! ภิกษุรูปนี้จึงออกธุดงค์ ตั้งแต่อายุ 15 ปี

    เพราะเหตุใด ! ชาวบ้าน ลูกศิษย์ จึงเรียกขานพระภิกษุรูปนี้ที่มีอายุในวัยหนุ่มว่า หลวงปู่เณร หรือ หลวงปู่เณรคำ



    พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่เณรคำ<!-- google_ad_section_end -->



    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- google_ad_section_start -->พระธรรมเทศนา

    ต่อไปนี้คือหลักธรรมคำสอนของหลวงปู่เณรคำ

    • พระอริยเจ้าละสังขาร ไม่มีแดนเกิดแห่งกายนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นกายสัตว์ กายอะไรก็ช่าง กายละเอียดกายหยาบไม่มีอีกต่อไป

    • นักปฏิบัติต้องกำหนดรู้อยู่ในกายให้มาก ให้เห็นแจ้งรู้จริงในกาย เมื่อกำหนดรู้ในกายเด่นชัดแล้ว ก็จะรู้เองโดยอัตโนมัติว่า จิตเป็นยังไง กายเป็นยังไง ไม่ต้องไปถามใคร

    • นักปฏิบัติต้องทบทวนดูพฤติจิตของตนเองให้ดี ให้เด่นชัด ให้ละเอียด เพราะกลเกมกลลวงของกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันเฉียบคม

    • ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติแล้ว อย่าเลือกที่ปฏิบัติ ที่ไหนๆ ก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น ปฏิบัติให้ตื่นรู้อยู่ในกายทุกอากัปกิริยา

    • ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติแล้ว ไม่พึงแสวงหาวัตถุอย่างอื่นอันนอกเหนือจากความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

    • การปฏิบัติธรรมนั้น แม้เกิดก็เกิดคนเดียว การจะเข้าถึงมรรคผลก็เข้าถึงคนเดียว ธาตุขันธ์จะแตกดับก็แตกดับคนเดียว

    • การธุดงค์ป่านอกไม่มีผลสำเร็จดีเท่ากับเดินจาริกอยู่ในป่ามหานครกายและป่าใจของตัวเอง

    • จงดำเนินองค์สติให้ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ควบคุมความคะนองทางใจ สำรวมระวังความคิด เจริญกองบุญกุศลให้ถึงพร้อม และให้ละบาปอกุศลให้สิ้น

    • ไม่ยึดถือเอาสัญญาเป็นเจ้าของ หลุดพ้นออกจากสัญญาแล้วความขุ่นข้องหมองใจ ความพยาบาทปองร้ายก็ดับไป

    • พอใจในสิ่งที่เรามี พอใจในสิ่งที่ตนได้ ถ้าดิ้นรนมาก ก็จะกลายเป็นกิเลส ตัณหา

    • ท่านทั้งหลายที่เป็นสาธุชนนั้น ต้องอาศัยการให้ทาน ต้องอาศัยวัตถุทาน เป็นตัวนำจิตให้เข้าถึงบุญกุศล เป็นสิ่งที่ทำง่ายสำหรับท่านทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของท่านทั้งหลายยิ่งใหญ่ขึ้นในภายภาคหน้า

    • การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารภพน้อยภพใหญ่นี้ มันทุกข์ร้อนมากๆ ผู้ไม่ปรารถนาที่จะมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องปฏิบัติตนรักษาศีล บำเพ็ญภาวนา ตั้งศรัทธาให้มั่นคง ปฏิบัติธรรมกำหนดรู้ ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งปวง ถอดถอนความยึดถือในโลกทั้งปวง ในธรรมทั้งปวง ความเป็นตัวเป็นตน ความแบกหาม เอาสมมุติทั้งหลายทิ้งไปให้หมด สละไปให้หมด จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

    • ท่านผู้มีปัญญาย่อมมีธรรมปรากฏอยู่ในจิตใจเสมอ ปัญญาธรรมคือสิ่งที่เลิศที่สุดในชาติปัจจุบัน

    • ธรรมทั้งปวงนั้นคือ เครื่องเตือนให้ท่านทั้งหลายตื่นจากการหลับใหลในความยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ให้รู้จักส่งคืนสิ่งยึดติดทั้งปวง ด้วยธรรมอันจิตไม่ยึดมั่น เห็นเด่นชัดนั่นเป็นสักแต่ว่า

    • นักปฏิบัติต้องใช้สติปัญญาที่เฉียบคม ทบทวนดูผลของการปฏิบัติที่ผ่านมาให้ละเอียดมากลงไปเรื่อยๆ ว่ากิเลส ตัณหา อุปาทานที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจนั้น มันหมดไปมากน้อยแค่ไหน และทบทวนดูสภาพจิตของตัวเองให้ลุ่มลึกลงไปให้มาก ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างต้องดับไป

    • นักปฏิบัติต้องทบทวนดูสิ่งที่ตนเห็นให้ดี เพราะสิ่งที่เห็น คือ อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น เมื่อเห็นแล้วเดินจิตปลงลงสู่ความไม่ยึดถือ เดินกระแสจิตเข้าสู่ความดับ พอมันหลุดไปหมดแล้ว จะเห็นอะไรมันก็เห็นเป็นปกติ

    • นักปฏิบัติต้องใช้ปัญญาพิจารณาดูรูป เวทนา ให้เด่นชัด เมื่อเด่นชัดแล้ว จิตก็จะถอดถอนออกโดยอัตโนมัติ เห็นเป็นเพียงสมมุติเท่านั้น

    สาธุชนทั้งหลายอย่าเห็นเรื่องฤทธิ์เดชเหล่านั้น สำคัญกว่าการละกิเลสให้ได้เด็ดขาดอย่างแท้จริง

    • ท่านทั้งหลาย เราอย่าเข้าใจว่าพระพุทธเจ้านั้นสอนให้เราสร้างแต่บุญเพื่อไปเกิดในสวรรค์อย่างเดียว แต่หัวใจของพระพุทธเจ้าที่เน้นหนักลงมา คือ ให้เราได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดตามพระองค์

    • อุเบกขานั้นไม่ใช่การวางเฉยไปเลย แต่เป็นการเฝ้าดูโดยความสงบนิ่งของจิต ไม่มีอารมณ์อื่นแทรกแซง ท่านทั้งหลายจงมีอุเบกขาแบบอุเบกขาผู้มีปัญญา อุเบกขาแบบผู้มีปัญญาคือ การเฝ้าดูอยู่ไม่ให้ตนเองพลาดพลั้ง ไม่มีสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีสิ่งที่เป็นอกุศล

    • เนื้อแท้ของธรรมชาติในโลกวัฏฏทุกข์นั้น ล้วนแล้วไม่ยั่งยืน แปรปรวนอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย จึงให้ทุกท่านเข้าไปรู้ความจริงของธรรมชาติแห่งวัฏฏทุกข์นั้น ด้วยสติปัญญาอันสุขุมละเอียด และด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ความจริงแจ้งชัดหายสงสัยปรากฏอย่างที่สุด หลุดพ้นทันที

    • ความโง่ในโลกที่เราโดนหลอกเอย คนนั้นหลอก คนนี้หลอก มันไม่ใช่ความโง่ที่เรียกว่าหนักหนาอะไร แต่ที่หนักคือ เราโง่ให้กิเลสมาสับรางจิตใจของเราให้ไปผิดทาง

    • ยุคนี้ คือ ยุคที่เราจะทำให้เป็นดั่งสมัยพุทธกาล คือ ให้มีผู้บรรลุสำเร็จเป็นอรหันต์มากที่สุด ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์

    • จิตที่หลงยึดติดว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราบรรลุแล้วจบสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว จิตที่หลงนี้ต้องกลับมาเกิดใหม่ และนำเอาจริตเดิม สันดานเดิมที่หลงติดไปด้วย

    • ถ้าเรารักษาศีลไม่ดีก็เท่ากับว่าเรายังไม่แจ้งในศีล ถ้าเราบำเพ็ญภาวนาไม่ดีก็เท่ากับว่าเราไม่แจ้งในสติ ถ้าเราไม่มีความตั้งมั่นเพียงพอเท่ากับเราไม่ตั้งมั่นในสมาธิ ถ้าเราไม่มีความรู้เท่าทันกิเลสตัณหาอุปาทานเท่ากับเราไม่รู้แจ้งในปัญญา

    • ถ้าเราได้จาบจ้วงพระอริยเจ้าองค์หนึ่ง ก็เหมือนเราได้จาบจ้วงทั้งหมด ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจนถึงปัจจุบันกาลนี้ ผลกรรมนั้นมันหนักหนาสากรรจ์มาก

    ----------------------------------------------------------------------
     
  20. lissent

    lissent เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2008
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,169
    ขอน้อมรับด้วยใจศรัทธาและจะกลับไปพิจารณาตัวเองเพื่อประโยชน์เบื่องหน้า ขออนุโมทนา สาธุการด้วยจิตอันซาบซึ้งในความเมตตากรุณาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ กราบ กราบ กราบ ขอขอบพระคุณ คุณปฎิสัมภิทัปปัตโตที่นำสิ่งดีๆมาบอกกล่าว อนุโมทนาด้วยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...