ตำนาน พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ (นะ โม พุท ธา ยะ)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย kennek, 19 พฤษภาคม 2009.

  1. neap123

    neap123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +16
    ขออนุโมนา กับ บทคววามดีดีอย่างนี้ครับ
     
  2. teelak

    teelak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +900
    คิดอยู่ว่าจะเอามาลงให้อ่าน

    แต่มาเจอกระทู้คุณ Specialized ซะก่อน

    อนุโมทนาด้วยนะครับ
     
  3. ppock

    ppock เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +2,594
    แรงกุศลผลบุญแห่ง วิริยะบารมี, ขันติบารมี, สัจจะบารมี, อธิษฐานบารมี และ
    อุเบกขาบารมี ส่งผลให้บังเกิดความสำเร็จ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  4. 夜明けの光。

    夜明けの光。 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +96
    ขออนุญาติ Copy ไปแจกนะครับ


    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2009
  5. mhutom

    mhutom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +264
    กราบอนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่เกี่ยวข้องด้วยนะคะ


    สาธุ สาธุ สาธุ..
     
  6. คชสาร

    คชสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +164
    ตำนานเท่าที่อ่านมา

    กกุกสันธะ น่าจะเป็น ไก่
    โกนาคมน น่าจะเป็น เต่า
    กัสสปะ น่าจะเป็น อีเห็น
    โคตมะ น่าจะเป็น โค
    ศรีอริยะเมตตรัยยะ น่าจะเป็น นายพราน
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ปฐมเหตุแห่งพระพุทธเจ้าห้าพระองค์

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

    โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร วัด ป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
    ทานํ เทติ สุโข ปุญญส อุจจโยติ

    ณ. โอกาสบัดนี้ อาตมาภาพจะได้ชี้แจงแสดงธรรมะของพระพุทธเจ้า เผื่อว่าจะได้ชี้ช่องบอกทางในการที่ประพฤติปฏิบัติ ฝึกหัดจิตใจของตนแต่ละท่าน
    เผื่อหวังความพ้นทุกข์ต่อไปเบื้องหน้า

    ณ กาลบัดนี้เป็นวันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวันที่นักปราชญ์ท่านผู้รู้ทั้งหลายทั้งชายทั้งหญิงนับตั้งแต่บรรพบุรุษ เมืองไทยมาต้นแรก เป็นวันที่สำคัญเกี่ยวกับการสะสมบุญทางพระพุทธศาสนา ฉะนั้นศาสนาพุทธจะสัม ประยุทธ์ เกิดขึ้นบนโลกครั้งแรกทำอย่างไร พระพุทธเจ้าอุบัติ ตรัสรู้เข้าพระนิพพานแล้วนั้น ๓,๕๘๔,๒๙๒ พระพุทธเจ้า หลายเท่าไหร่
    เจ้าพระนิพพานแล้วนั้น แต่จะมาอีกข้างหน้า ๑๐ พระองค์ นับตั้งแต่ พระศรีอริยเมตตรัย ไปจนถึ่ง ช้างป่าเลไลย์ เป็นองค์ที่ ๑๐ จะมาอีกข้างหน้า เป็นครูสอนมวลมนุษย์
    นาค ครุฑ อินทร์ พรหมณ์โลกสาม
    ฉะนั้นเรื่องศาสนาพุทธจะอุบัติเกิดขึ้นในโลกนั้นทำอย่างไร กัลป์นี้เป็นปัญจกัลป์ กัลป์ห้า ห้าพระเจ้า ต้นแรกในศาสนาพระเจ้า กอออ เริ่มแรกมีเจ้าไก่ป่า เห็นพระเจ้ากอออ ก็เลื่อมใสว่าเป็นใหญ่ในโลก ๓ ไม่มีใครที่จะเสมอเหมือน ก็อยากเป็นใหญ่ในโลกสาม โดยไปกราบไหว้พระเจ้ากอออนั้น “ข้าพเจ้าอยากเป็นใหญ่ในโลกสามเหมือนพระองค์เจ้า ต่อไปจะทำอย่างไร”

    พระเจ้า กอออ ก็บอกว่า “ก่อเจดีย์ทราย บูชาแก้วทั้งสามประการ สำเร็จเสร็จสิ้น นั่นแหละได้บุญทุกเมล็ดทราย”พระเจ้าไก่ก็เลยมอบกายถวายชีวิต บูชา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เผื่อว่าแลกเปลี่ยนเอาซึ่งบุญกุศล
    คุณงามความดี มาเป็นบันไดตรัสรู้ข้างหน้า และขอปฏิญญาณตนว่า สัตว์ เสือ เหยี่ยว หรือเห็น ถ้าต้องการอยากได้เนื้อของข้าพเจ้ากินเป็นอาหาร ก็ เอาไปเถอะเป็นการสร้างบารมีอีก “ขอ เดชะบารมีธรรมนี้จงเป็นมหาเสน่ห์ เป็นมหานิยม ดึงดูดจิตใจ นาคครุฑ อินทร์ พรหมณ์ มวลมนุษย์ ทุกถ้วนหน้า เห็นแล้วจงดีใจ ไก่ ก็เลยตั้ง สัญญาธิษฐาน
    ตั้งใจมั่น ต่อหน้าพระเจ้า กอออ เสร็จแล้ว เขี่ยดินทรายขึ้นเป็นโคน แล้วก็ขัน พุทโธ ธัมโม สังโฆ สรณังคัจฉามิ” เท่านั้นแหละ ต่อแต่นั้นพระเจ้าเห็นได้ยินเสียงไก่ขันก็มองมาตามป่า ได้ยินไก่ขันก็แปลกประหลาดใจไก่ตัวนี้ แต่ก่อนขันบนคอนไม้ หรือยืนบนพื้นขันบนแผ่นดิน

    แต่ไก่ตัวนี้ ทั้งขัน ทั้งว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ควรจะมีเหตุผลดีร้ายอย่างไร เราควรไปถามหาเหตุผลเสียก่อน ออกไปแล้วถามดูก่อนเพื่อน

    “ท่านก่อพระเจดีย์ทรายขึ้นนี้เผื่อประโยชน์อะไรบ้าง เพื่อนดูก่อน เห็น เราก่อพระเจดีย์ทรายบูชาแก้วทั้ง๓ ดอกเพื่อน สร้างบารมีหนีสงสาร ไปพระนิพพาน เป็นที่แล้ว มันจะได้เป็นสัตว์เป็น เพื่อน”
    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า”เจตนาหํ ภิกขเว กมมํ วทามิ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เจตนา ทำกรรมสำเร็จความมุ่งหมายได้ นั่นแหละขอเพื่อน อย่าเพิ่งเห็นแก่ปากแก่ท้องเรื่องการกินเขาเป็นอาหารนั้น แม้เขาและเราก็มีความรักใคร่ในชีวิตที่ได้มาแล้ว ไม่อยากให้มันฉิบหาย เพื่อนจงมาช่วยกันสร้างบารมีเถิดดีมาก” เห็นเลยไปช่วยกันสร้างก่อเจดีย์ทรายขึ้นที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในขณะนั้น เต่าก็หากิน เห็ด ตามป่า มาเห็นสัตว์ทั้ง ๒ จำพวก โอ้แปลกประหลาดใจมาก สัตว์เคยเป็นศัตรูกินกันเป็นอาหาร แต่แล้วก็มีความจงรักภักดี สามัคคีกันฉันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ควรเราไปตามดูหาเหตุผลต้นปลายเสียก่อน ออกมาดูเพื่อน

    ก่อพระเจดีย์ทรายเผื่อประโยชน์อะไรเพื่อน ไก่ก็ตอบว่า “ดูก่อนเพื่อน เราสร้างบารมีหนีสงสารดอกเพื่อน ก่อเจดีย์ทรายบูชา แก้ว ๓ ประการ แก้วพุทโธ แก้วธัมโม
    แก้วสังโฆ” หรอกเพื่อน แลกเอาบุญกุศลเผื่อว่าตรัสรู้ รื้อถอนสัตว์ทั้งหลายในภพเบื้องหน้า มันจะได้หนีเราเป็นสัตว์ได้ พระพุทธเจ้า ไม่ ว่า สัตว์ หรือมนุษย์สร้างบุญกุศลได้ดีทั้งนั้น ศาสนาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีคติธรรมใดๆ ใครสร้างใครได้ ใครได้ใครรวย ขอเพื่อนจงมาสร้างบารมีร่วมกัน โอ้เพื่อน โอดีมาก เต่าก็เลย ออกมาสร้างด้วย
    บอกว่า “เพื่อนผมขาสั้น ผมจะอกดันให้ ได้ ตามปัจจัยเหตุผลนั้น” ต่อแต่นั้นโคป่า ศาสนา นี้เป็นศาสนาพระเจ้าโคนะ นั่นแหละ หนีตายมาเป็นโคป่า นายพรานมาล่าเนื้อไปเห็นโค หมายมั่นปั้นใจว่าจะยิงแล้ว โคเห็นก่อนก็วิ่งหนีตายวิ่งมาเห็นสัตว์สามจำพวก ก่อพระเจดีย์ทรายอยู่ ฮึดถามว่า “ดูก่อนเพื่อน ทั้งสาม ท่านก่อพระเจดีย์ทรายเผื่อประโยชน์อะไรบ้าง อ๋อเพื่อนโค เราก่อเจดีย์ทรายสร้างบุญกุศล แลกคุณงามความดี เผื่อว่า ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้า แล้วจะได้รื้อสัตว์ ขนสัตว์ออกจากวัตตทุกข์ ข้างหน้า ดอกเพื่อน อย่าเพิ่งหนีตายเพื่อน

    โลก เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่ตายเร็ว ตายช้า แน่นอน เสือไม่กิน หมาในก็กินนะ พญามัจจุราชต้องฆ่า สิ่งที่จะหนีความตาย มีแต่สร้างบารมีหนีสงสาร ไปพระนิพพานเป็นที่แล้ว ในขณะนั้นไม่มี เออดี โคก็เลยตัดสินใจ ถ้านายพรานตามมาทัน มอบให้ทานเลย ในขณะนั้นนายพรานตามมาเห็น โอ้แปลกประหลาดใจ

    สัตว์สี่จำพวก ตะเกียก ตะกาย ขวนขวาย ก่อเจดีย์ทรายเป็นโคนขึ้น นายพรานก็เลยเอาปืนซุกพุ่มไม้ไว้ ออกมาตาม ”

    “ดูก่อนเพื่อนทั้ง ๔ ท่านพากันก่อพระเจดีย์ทรายเผื่อประโยชน์อะไรบ้าง”

    ดูก่อนเพื่อนมนุษย์ภพชาติสูงสุด ข้าพเจ้า เพื่อนทั้ง ๔ มีจิตใจเลื่อมใสแก้วทั้ง ๓ ประการอยากเป็นใหญ่ ใฝ่สูง ในเบื้องหน้า ถามพระเจ้ากอออ แล้วว่า สร้าง บารมีเป็นพระพุทธเจ้าก่อพระเจดีย์ทราย ได้บุญทุกเม็ดทรายนะเพื่อน

    ท่านเป็นมนุษย์ภพชาติอันสูงสุดแล้วอย่าทำชาติภพต่ำช้าลงไปอีกนะเพื่อน จงมาช่วยกันสร้างบารมีเถอะเพื่อน หนีสงสารจะดีมาก ท่านเป็นมนุษย์ ภพชาติอันสูงสุด
    “จิตโส มนุษส ปฏิลาโภ” ได้ภพชาติอันสูงสุดแล้วอย่าเพิ่งทำลาย อย่าเพิ่งเอาบาปมาเป็นเครื่องประดับ อย่าขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง อวิชชา ตัณหา มาเป็นเครื่องประดับ เป็นบาป
    อย่าทำชั่วช้าลามก อย่าเอาขี้เหล้า ขี้กัญชา มาประดับ มันเป็นบาป ไม่ดี มันเสียภพเสียชาติ จงเอาขี้บุญ ขี้กุศล ขี้พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่เป็นของดีเลิศ ประเสริฐแท้เพื่อน
    ต่างคนก็ต่างตะเกียกตะกายขวยขวายจนเสร็จสิ้น

    นายพรานมีมือ ๑๐ นิ้วเขาก็ทำให้เสร็จ บอกไม่ให้เต่าขึ้นมันเป็นรอยนายพรานทำเสร็จสิ้นสวยงามเสร็จแล้ว เพื่อน แต่นี้ไปนะ เอาดอกไม้มาบูชาแล้วก็เขียนรูปใครรูปมัน รูปพระเจ้านั่งหลังศรีษะ

    ข้าพเจ้าจะพาปรารถนา มนุษย์พาว่า

    “อิมินา สักกาเรนะ ตังเจติยัง ตังพุทธัง ตังธัมมัง ตังสังฆัง อภิปูชยามะ ข้าพเจ้า ทั้ง ๕ ก่อพระเจดีย์ทรายข้างแม่น้ำเนรัญชรา บูชาแก้วทั้ง ๓ ประการ

    ขอแก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆ จงทรงรับเอาเจดีย์ของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้

    ปรารถนา เมื่ออินทรีย์แก่แล้ว บารมีเต็มแล้ว ให้ได้ตรัสรู้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รู้แจ้งประจักษ์ขึ้นในโลก แล้วจะรื้อสัตว์ ขนสัตว์ทั้งหลาย ที่จมอยู่ในหลุมลึก คือ กิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ไม่จบสิ้นได้ รื้อขึ้นจากหลุมลึกไป

    พระนิพพานเป็นที่แล้ว ขอจงสำเร็จความมุ่งหวังเถิด”

    พอ สิ้นเสร็จสำเร็จแล้วต่อแต่นั้นด้วยบุญกรรมใหญ่ครั้งนั้น แผ่นดินไหวนะ นรก ขุมนรกใหญ่ ๔๕๖ขุมใหญ่ๆนะเจ้า หลายเท่าไหร่หมดโลกมนุษย์นั่นแหละดับหมด ไฟนรกก็ดับสัตว์นรกทั้งหลายได้รับความสุขสบายอยู่ ๕ ปีนะ มีความสุขสำราญ น้ำร้อนแสบเค็ม ก็กลับเป็นอาหารมันให้สัตว์ทั้งหลาย นี้บุญมากอย่างนี้ นี่ข้อสำคัญที่ได้ชื่อว่า “สุโข ปุญญส อุจจโย” การสะสมซึ่งบุญนั้น นำมาซึ่งความสุขนะเจ้า นั่นแหละฃ



    ต่อแต่นั้นไก่ ก็ว่า “เพื่อน เราเริ่มสร้างก่อนเพื่อนนะ เมื่ออินทรีย์แก่ บารมีเต็มแล้ว ให้ตรัสรู้ก่อนเพื่อนนะ ตรัสรู้แล้ว เราขอให้มีอายุ ๗๐,๐๐๐ ปี”

    เห็น ว่า “ข้าพเจ้าที่ ๒ นะเพื่อนเมื่ออินทรีย์แก่แล้ว บารมีเต็มแล้ว ขอให้ตรัสรู้ครั้งที่ ๒ ขอให้มีอายุ ๕๐,๐๐๐ ปี นะเพื่อน

    เต่า ว่า “ข้าพเจ้าสร้างคนที่ ๓ เมื่ออินทรีย์แก่ บารมีเต็มแล้วขอให้ตรัสรู้ครั้งที่ ๓ ขอให้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี”นะเพื่อน

    โค เลยว่า “ข้าพเจ้ามาสร้างเป็นอันดับ ๔ นะเพื่อน เมื่ออินทรีย์แก่แล้ว

    บารมีเต็มแล้ว ขอให้ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณขึ้นในโลก อายุ ไม่ปรารถนาดอกเพื่อน ภารหเว ปัญญจักขันธา ขันธ์ทั้งหลายเป็นภาระหนัก

    นะเพื่อน หนักเพราะมันแก่ หนักเพราะมันเจ็บ หนักเพราะมันตาย หนักเพราะไปเกี่ยว หนักเพราะเป็นทุกข์ หนักเพราะเป็นอนัตตานะเพื่อน ไม่เอา ขอให้

    ได้ตรัสรู้ รื้อสัตว์ ขนสัตว์ ออกจากทุกข์เป็นพอนะเพื่อน”

    ทีนี้โคก็ปรารถนา ๘๐ ปี เท่านั้นแหละ

    นายพราน ว่า “เพื่อน ข้าพเจ้ามาสร้างครั้งที่๕ นะเพื่อน สำเร็จเพราะข้าพเจ้านะ พาถวายทานก็ข้าพเจ้าทุกอย่าง นั่นแหละ สวยงามก็เพราะข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปรารถนาเมื่ออินทรีย์แก่แล้ว บารมีเต็มแล้ว ขอให้ได้ตรัสรู้

    อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณข้ามสงสารเบื้องหน้า”

    ข้อที่ ๑ ขอให้แผ่นดินราบเป็นหน้ากลองทรายนะ ไม่สูงไม่ต่ำ
    ๒ มีแม่น้ำ ๒ สาย สายหนึ่งไหลขี้น อีกสายหนึ่ง ไหลลง
    ๓ ฝนตกเดือนละ ๔ ครั้ง ไม่มีแล้ง ไม่มีฝน
    ๔ พืชพันธ์ ธัญญาหารข้าวปลาอาหาร ผ้าผ่อน ถ่อนสไบ เกิด เกิดเอง เกิดเป็นต้นกัลปพฤกษ์กลางเมือง สนุกสนาน เลือกใช้สนุกสนาน สบาย
    ๕ มนุษย์ทั้งหลายค้างโลกสาม ผู้ถือพุทธศาสนา จึงให้ไปประสบพบปะศาสนาข้าพเจ้าทั้งนั้น นอกนั้นศาสนาอื่นไม่เอา ให้ไปอยูโลกอื่น
    ๖ ขอให้ร่างกายของข้าพเจ้าและสัตว์สูง ๘๐ ศอก หมดทั้งสิ้น
    ๗ ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืน ­๘๐,๐๐๐ ปี หมดเสียสิ้น ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สนุก สบาย ร่างกายข้าพเจ้าขอให้สูง ๘๘ ศอก
    เมื่อปรารถนาเสร็จสิ้นลงแล้ว ต่อแต่นั้น

    พระเจ้าไก่ สร้าง ศรัทธาธิกะ ๘ อสงขัย ตรัสรู้ไปแล้ว เข้านิพพาน

    พระเจ้าเห็น สร้าง ศรัทธาธิกะ ๘ อสงขัย ตรัสรู้ไปแล้ว เข้านิพพาน

    พระเจ้าเต่า สร้าง ศรัทธาธิกะ ๘ อสงขัย ตรัสรู้ไปแล้ว เข้านิพพาน

    พระเจ้าโค สร้างบารมีปัญญาธิกะ ๔ อสงขัย ที่พระเจ้าทีปังกรทำนายแล้ว

    ครั้งนั้น ๔ อสงขัย กำไลแสนมหากัลป์

    ยังแต่นายพรานจะมาข้างหน้าคือ พระศรีอริยเมตตรัย ครั้นพุทธกาลโน้น

    พระศรีฯ ไปเกิดเป็นลูกพระเจ้าอาชาตศัตรู ออกบวชใหม่ พระพุทธเจ้าอยู่ในเวฬุวัน สมัยกาลครั้งนั้น แม่เจ้าโคตรมี แม่น้ำ ทำผ้ากำพล แล้วด้วยไหม

    ทั้งนั้น ๒ คู่ นำไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลย อุบายอยากให้คนรู้ว่า

    พระศรีอริยเมตตรัยมาสร้างบารมีด้วยกัน เลยให้ไปถวายพระสงฆ์ต่อๆไปถึง

    องค์สุดท้าย ก็ไม่รับ “อาตมาเพิ่งบวชใหม่ ไม่ได้อะไร ทีนี้พระพุทธเจ้าอธิษฐาน

    บาตร ปลิวขึ้นไปบนอากาศหายวับ บอกให้สงฆ์ ๕๐๐องค์ เหาะขึ้นไปตามบาตรให้ คราวนี้ก็เหาะไปบนฟ้าไม่เห็น บาตรนั้นอยู่ใกล้ๆ พระศรีอริยเมตตรัย

    คือ พระอชิตะนั้น พระพุทธเจ้าถามว่า องค์นั้นทำไมไม่ไปเล่า โอ้ ข้าพระองค์

    เพิ่งบวชใหม่ไม่มีฌาน ไม่มีญาณ เหาะเหิน เดินฟ้าไม่ได้ เพราะญาณนั้นเกิดขึ้น

    เพราะบุญทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าว่าท่านสร้างบารมีมากับเราสมัยนั้นแล้วไซร้

    นั่นแหละ นึกถึงบารมีธรรมแป๊บเดียวก็ได้หรอก โอ้อย่างนั้น ก็สาธุ บุญกรรม

    ที่สะสมมาแล้วแต่ครั้งก่อนจนถึงวันนี้ ขอบาตรนั้นจงมาเข้ามือ อธิษฐานจบ

    บาตรก็มาอยู่ในมือปั๊บนะ บาตรอยู่ใกล้ๆ พุทธนิมิตให้เห็น นั่นแหละต่อแต่นั้น

    แม่เจ้าโคตรมี ถวายให้พระอชิตะ พระพุทธเจ้าก็กล่าวดูก่อนสงฆ์ทั้งหลาย

    นี่แหละพระอชิตะผู้จะมาตรัสรู้ข้างหน้า ทรงพระนามว่า พระศรีอริยเมตตรัย
    ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ว่า อชิตะ ท่านสร้าง

    บารมีวิริยะธิกะ นะ ความเพียรกล้า ก่อพระเจดีย์ทรายสำเร็จเพราะท่าน แล้ว

    ต่อ แต่นี้ไป ๑๐ อสงไขย กำไลแสนมหากัลป์นะ จะมาตรัสรู้ข้างหน้า ทรงพระนามว่า พระศรีอริยเมตตรัย บรมโพธิสัตว์ องค์เลิศประเสริฐแท้ นั่นแหละ

    นี่ข้อสำคัญจำไว้นะทุกท่าน สงฆ์ทั้งหลายก็ทราบสมัยนั้น

    ต่อแต่นั้นมา พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ว่า พระอชิตะ ท่านสร้างบารมี

    วิริยะธิกะ ความเพียรกล้า ก่อพระเจดีย์ทรายสำเร็จเพราะท่าน แล้วต่อนี้ไป

    ๑๐ อสงไขย กำไลแสนมหากัลป์จะมาตรัสรู้ข้างหน้า ทรงพระนามว่า

    พระศรีอริยเมตตรัย บรมโพธิสัตว์ องค์เลิศประเสริฐประเสริฐแท้ นั่นแหละ

    นี่ข้อสำคัญจำไว้นะทุกท่าน สงฆ์ทั้งหลายก็รับทราบกันสมัยนั้น ต่อแต่นั้น

    มาก็ปราชญ์ทั้งหลายภาคนี้ก็ดี ภาคอิสานก็ดี ภาคไหนก็ดี ถึงกาลสมัย

    ตรุษสงกรานต์ สรงพระเนาเสร็จแล้วก็บอกลูกบอกหลาน ขนทรายเข้าวัด

    ยึดสถานที่ต่างๆใต้ร่มโพธิ์ ก่อพระเจดีย์ทรายนะ บูชาแก้วทั้ง ๓ ประการ

    การทำบุญของพระพุทธเจ้าทั้งหลายสร้างมาอย่างนั้นเป็นนิจ นั่นแหละ

    ต่อแต่นั้นมาพระพุทธเจ้าทั้งหลายสร้างบารมีมาได้ตรัสรู้พ้นทุกข์ไปแล้ว

    ยังแต่พระศรีอริยเมตตรัย ที่จะมาข้างหน้า ฉะนั้นพระอชิตะก็เลยมอบศาสนา

    พุทธไว้กับพระเจ้า

    วัน เนาว์ วันสงกรานต์ นั่นแหละ ศาสนาขอพระศรีอริยเมตตรัยเป็นอย่างนี้ ไม่ได้ ทำไร่ ทำนา ค้าขาย ลำบาก ทุกข์ยาก เหมือนยุคอื่น สมัยอื่น เพราะบุญ

    กรรมที่สะสมมามากเป็นอย่างนั้น

    นั่นแหละข้อ ๑ ข้อ ๒ สรงน้ำนี่เป็นศาสนาของพระโมคคัลลาน์เถรเจ้า

    ครั้งก่อนโน้น พระเจ้ากัสสะโปโน่น ท่านเป็นเศรษฐีมีเงิน ๘๐ โกษฐ สร้างที่

    เก็บน้ำไว้ข้างบนฤดูเดือน ๕ เมษา ปีใหม่ ท่านก็นิมนต์ พระเจ้ากัสสโปและเหล่า

    พระสงฆ์ ไปฉันบิณฑบาตรที่บ้าน เสร็จแล้ว ก็ฟังธรรมะ ธัมโมเสร็จแล้ว

    ถวายผ้าอาบน้ำ เสร็จแล้วท่านก็ปล่อยน้ำลงมาเป็นรู้นะไหลรดพระเจ้า พระสงฆ์

    ในครั้งนั้นเห็นน้ำไหลไม่ขาดสาย ปีติ เอิบอิ่ม ร่าเริงเกิดขึ้นที่จิต ศรัทธาเกิดขึ้น

    “สาธุ เดชะผลบุญ ที่ข้าพเจ้า ทำ ณ ครั้งนั้น ครั้งไหนก็ดี ขอจงเป็นบุญกุศลยิ่งใหญ่ บันดาลให้ข้าพเจ้า ได้ตรัสรู้เป็นอริยสาวกซ้ายของพระพุทธเจ้าโคดม

    ในอนาคตข้างหน้าโน้น และขอให้มีฤทธิ์มาก ไปนรก ไฟนรกก็ดับ ไปสวรรค์

    พักเดียว มีฤทธิ์เลิศประเสริฐสุด เพราะท่านสรงน้ำ ”

    นั่นแหละวันเนาว์ ไปเสวยสุขสบายเป็นศาสนาพระศรีอริยเมตตรัย มา

    ฝากไว้กับพระโค อันนี้เราท่านทั้งหลายพึงจำไว้ จำไว้นะจงนำไปใคร่ในธรรม

    สรงน้ำพระเสร็จแล้วก็ ก่อพระเจดีย์ทรายอีก ตามได้ตามมี ได้ทรายมาทุกกระป๋องเดียวเท่านั้นแหละ ทรายสวยๆงามๆ ออกไปวัดขออนุญาตพระแล้วก็

    ก่อขึ้นไว้แค่ศอกเดียวเท่านั้นแหละ แล้วจุดธูป เทียนบูชา

    “อิมินาสักกาเรนะ เจติยัง ขอบูชาแก้วทั้ง๓ประการ แก้วพุทธโธ แก้วธัมโม

    แก้วสังโฆ จงบันเกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ข้าพเจ้า” ทำทุกปี นี่ได้บุญมาก

    ได้ศึกษามาอย่างนี้ ได้เฮ็ดได้ทำมาตั้งแต่อายุ ๖-๗ ปี ตลอดจนถึง ๗๐ นะเจ้า

    สังขารร่วงโรย ๗๐ แล้วนั่นแหละ ทำมาอย่างนี้ไม่ลดละ นี่ข้อสำคัญมั่นหมาย

    นี่แหละจากการสะสมบุญในศาสนา ฉะนั้น พระอานนท์ ทูลถาม

    พระพุทธเจ้าว่า สร้างพระเจดีย์ทรายก็ดี ทำบุญสุญทานต่างๆนาๆ ทุกประเภท

    นั้น อานิสงส์จะน้อยมากเท่าไหร่ พระพุทธเจ้าแถลงไขว่ามี ๕ ข้อ

    ๑. ทานํ เทติ (ทานังเทติ) จะทานอะไรก็ตาม (ทานัง คือ การทาน

    เทติ คือ การให้ ) คนใดให้คนนั้นชนะหมด รวยอะไร ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงชนะหมด รวยอะไร รวยบุญ รวยกุศล รวยมรรครวยผล พ้นทุกข์ โลกสงสาร

    มีพระนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

    ๒. ทานํ โหตุ หานิกํ (ทานังโหตุ หานิกัง) ผลทานกำจัดซึ่งความยากไร้

    เข็ญใจ ไร้ทรัพย์ อับปัญญา อนาถา เหมือนในชาตินี้ มิได้ติดตามบุคคลผู้นั้นไปยังโลกหน้าเป็นอันขาด มีแต่สุขคติ โลกสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้า

    ๓. ทานํ สพพ ปาปํ (ทานัง สัพพะ ปาปัง) ผลทานกำจัดเสียซึ่งบาปกระทำทั้งปวงนั้น บาปจะน้อยมาก กำจัดหมดเสียสิ้น ไมเหลือเศษได้

    ๔.ทานํ พุทธา นโม จรํ ขึ้นชื่อว่า ทาน กาลกุศล บุคคลใดให้แล้วไม่ขาดวัน คืน ปี เดือน ล้วน ให้ภาวนา ให้กราบไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    เอาบุญ อันนี้เป็นบุญกุศลดีเลิศทั้งนั้น เป็นที่ดำเนิน สรรเสริญแห่งพระพุทธเจ้า

    ๔ทั้งหลาย ๓,๕๘๔,๒๙๒ พระพุทธเจ้า ล้วนแต่บำเพ็ญทานนามัย ให้เต็มเปี่ยม

    ดูทุกพระพุทธเจ้าเสียก่อน แล้วจึงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ข้ามโอฆะ

    สงสาร รื้อสัตว์ ขนสัตว์ ไปพระนิพพานเป็นที่แล้ว ขึ้นจากทานทั้งนั้น

    ศาสนาพุทธสุดท้ายพระเจ้าเป็นพระเวชสันดร ให้ทานข้าวของเงินทอง

    หมดวันละ๗แสนบาท ทางช้างปัจจัยนาเคนทร์ ก็ ถูกพระเจ้าพ่อเณรเทศ ก็ออก

    ไปบวชฤษี ชูชกพราหมณ์ก็ไปขอลูกรัก ชาลี กัณหา แล้ว ณอินทร์พรามณ์

    แปลงลงมาขอพระนางมัทรี พระองค์ก็ทานหมด อันนี้เป็นปรมัตถทาน

    ทานเลิศประเสริฐแท้ จนแผ่นดินไหวนะเจ้า มาทุกวันนี้ เอาบุญพระเวสสันดร

    กันเถิดเจ้าอันนี้จึงเรียกว่า ทานํ เทติ ทานํ คือ การทาน , เทติ คือการให้

    คนไหนให้ คนนั้นชนะ คนไหนละ คนนั้น รวย รวยบุญ รวยกุศล รวยมรรค

    รวยผล พ้นทุกข์ สงสาร ทุกท่านเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว จงโอปนายิโก น้อมไว้ที่ใจ ใคร่ธรรมะ

    วันนี้เป็นวันสรงพระ วันที่ ๑๓ เมษายน ท่านทั้งหลายได้ยึดคติธรรมไว้

    ฉะนั้น เมื่อทำลงไปแล้ว จึงเรียกว่า “สุขโข ปุญญสอุจโย” การสั่งสมซึ่งบุญ

    นำสุข ความเจริญมาให้



    ต่อแต่นี้ทุกท่านตั้งใจบำเพ็ญ กุศลน้อยมากนั้น อุทิศส่วนบุญให้

    ผู้บังเกิดเกล้า เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย บิดา มารดา ผู้บังเกิดเกล้า ปู่ย่า ตา ยาย

    สามี ภรรยา ญาติมิตร สายโลหิต สรรพสัตว์ทั้งหลาย เทพเจ้า เหล่าเทวา

    ตลอดตั้งแต่ บรรพบุรษมาต้นแรก ผู้ที่กอบโกยซึ่งแผ่นดินไทยเราไว้ให้เราเป็น

    ลูกเป็นหลาน มาอยู่กินสบาย แสนสบายท่านทั้งหลายนั้นเอาชีวิตเป็นแดน

    กอบโกยแผ่นดินไว้ เห็นว่าลูกหลานเกิดมาสุดท้ายภายหลังจะไม่มีแผ่นดินอยู่

    น่าอับอายขายหน้า ท่านไปด้วยความลำบากแสนกันดาร แต่ท่านก็ไม่หวั่นไหว

    เพราะกลัวว่าลูกหลานคือเรานี่แหละ เกิดมาสุดท้ายภายหลังจะไม่มีที่อยู่นะ

    จะถูกคนอื่นเขามายึดเอาไปหมดเท่านั้น ไม่หวั่นไหวไปเลย นับว่า

    ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้มีอุปการคุณ แก่เราอย่างยิ่ง หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี ฉะนั้นทุกท่าน เวทิตาธรรม บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อย่าลดละ แล้วอุทิศ

    ส่วนบุญส่วนกุศล ให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับส่วนบุญแล้ว ท่านก็พ้นทุกข์

    มีความสุขสำราญ เบิกบานใจ เราเป็นผู้ให้ เราเป็นผู้ชนะ เราเป็นผู้รวย สวยงาม

    ทุกอย่าง ดิเลิศ ประเสริฐแท้ อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย

    ต่อแต่นั้นไปทุกท่านเมื่อได้ยิน ได้ฟังแล้วจงโอปานายิโก น้อมไว้ที่ใจ นำไปปฏิบัติ ฝึกหัดวาจาใจ ของตนให้เรียบร้อย ตรงต่อ พุทธวัจนะ คำสอน ของพระพุทธเจ้าแล้ว ต่อแต่นั้นก็จะเป็นผู้งอกงามไพบูลย์พูนสุข ในศาสน คำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกทิวาราตรีกาล

    นัย ดังรับประทานวิสัชชนา ก็สมควรแก่กาลเวลา ขอยุติ แต่เพียงนี้ พุทธานุภาเวนะ ธรรมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ ขอพลานุภาพแห่งคุณ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
    จงเป็นปฏิโณบาย บำบัดซึ่งอันตรายทั้ง

    หลายทั้งปวง ของพวกท่านทั้งหลาย จงได้ประสบแต่ความสุขความเจริญ ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

    ข้อมูลจากเว็บ
    http://www.watpakhaonoi.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=510980&Ntype=5
     
  8. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118
    ขออนุโมทนาสาธุบุญด้วยครับ<!-- google_ad_section_end -->
    ตำนานที่มีคุณแก่จิตใจของชาวพุทธ
     
  9. rwoot

    rwoot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +191
    โอ้ววว...ที่มาของคาถา "นะ โม พุท ธา ยะ...นะ มะ พะ ทะ " ...

    ขออนุโมนาสาธุครับผม
     
  10. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,083
  11. Youzen

    Youzen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +159
    พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์นี้ ที่เราได้เรียนๆ กันอยู่ คือ องค์ที่ ๔ เหรอคะ คือ พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ก่อนหน้านี้ เคยตรัสรู้และเผยแพร่ศาสนาเหมือนกับองค์ที่ ๔ เหรอคะ เพราะว่าเคยเรียนแต่พุทธประวัติขององค์ที่ ๔ ค่ะ แล้วทั้ง ๓ พระองค์มีอายุนานหลายหมื่นปีด้วย ถ้าอย่างนั้นทั้งสามพระองค์ก็ต้องอยู่ในยุคหินสิคะ
    ขอโทษที่ถามอย่างนี้นะคะ ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
     
  12. Nirunta

    Nirunta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +366
    อาจจะก่อนยุคหินก็ได้นะครับ

    เคยมีอยู่ทฤษฎีนึงกล่าวว่า โลกเราเจริญถึงขีดสุด แล้วก็เกิดเหตุการณ์ชำระล้างไปถึงจุดเริ่มต้นใหม่ แล้วก็เจริญมาใหม่อีก วนไปวนมาเรื่อยๆ

    โลกมีอายุเป็นกี่ล้านล้านล้านล้าน ปีก็ไม่รู้ครับ ก่อนไดโนเสาร์ตั้งเยอะ ไดโนเสาร์เพิ่งเกิดมาไม่กี่ล้านปีนี้เอง
     
  13. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
    [​IMG]
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในกระทู้ บุญบารมีผู้โพสกระทู้ บุญบารมีผู้อ่านกระทู้ และบุญบารมีผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ
     
  14. FatBee

    FatBee สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +4
    เข้ามาอ่านหาความรู้ อ่านยังไม่จบ ขออนุญาติบันทึกทำซ้ำไว้ในคอมไปอ่านคราวต่อไป ขอบคุณท่านมาก อนุโมทนาสาธุ
     
  15. xsarun

    xsarun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +137
    ปิติ เกิด เหมือนกัน ครับ รู้สึกได้เลย การรื้อ วัฏสงสารนั้น เป็นเรื่องส่วนรวมที่ทำได้ยาก ผู้ที่ปรารถนา พุทธภูมิ เป็นผู้มี มหาเมตตา อย่างยิ่ง โมทนา สาธุ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...