ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. kiatp123

    kiatp123 โมฆะแมน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,493
    ค่าพลัง:
    +19,616
    [​IMG]

    ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ บัดนี้ทุ่นของอินเดีย ความหวังเดียวของเรา
    ที่จะช่วยเตือนสึนามิแทนทุ่นของไทยเราที่เจ๊งไปหลายเดือนแล้ว ได้ถึงแก่
    ความตายตามทุ่นไทยเพื่อนของแกไปแล้วเมื่อวันนี้เอง ยังไม่กำหนดการสวดอภิธรรม

    National Data Buoy Center

    ส่วนทุ่นของไทย เห็นว่ากำลังไปซ่อม เพราะอยู่ห่างชายฝั่งไปเป็น 1000 กิโลเมตร
    ก็น่าเห็นใจนะ สงสัยพี่สมศักดิ์ฯ แกว่ายน้ำไป นี่จะ 5 เดือนแล้ว แกคงยังไปไม่ถึง
    หรืออย่างไร ทำไมไม่เอาเฮลิคอปเตอร์ไปยกมาก็สิ้นเรื่อง

    เชือมากไม่ได้ ฟังหู ไว้หู ดูความเป็นจริง

    ดังนั้น จึงให้เพื่อนสมาชิกที่อยู่ชายทะเลตะวันตก ซ้อมวิ่งไว้ให้มาก จะได้
    วิ่งทันเมื่อภัยมา ผมแนะนำนะ ไหวในทะเลอันดามัน อ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย
    เกิน M 7.5 วิ่งทันที ไม่ต้องรอใคร ช้าอาจได้ไปเกิดใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    Sukit Chongchokdie
    ข้อมูลจากเฟสบุ๊ก The Event ( https://m.facebook.com/profile.php?id=158035247612677&__user=100003528386198 ) ได้บอกว่าดาวหาง ISON ได้สลายตัวแล้ว


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=XoBIpyuYD54&feature=player_embedded"]Geminids Tonight/Ison off Course. - YouTube[/ame]

    Geminids Tonight/Ison off Course.

    แต่ผมก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อครับ เพราะเขาบอกเองตั้งแต่ต้นว่ากล้องฮับเปิ้ลจะจับภาพ ISON. ได้ช่วงกลางเดือน และจากข้อมูลที่เราได้เห็นก่อนหน้านี้ดาวหาง ISON ก็มีการเคลื่อนที่ไม่ได้อยู่นิ่งกับที่น่ะครับ ข้อมูลเขาออกมาไวไปครับ ถึงจะอ้างว่าฮัปเปิ้ลก็เถอะครับ แต่เมื่อวันก่อนก็มีข่าวว่าดาวหาง ISON. เคลื่อนที่ผ่านหางของดาวหาง เลิฟจอยด้วยครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=pGcLLO93Tog&feature=player_embedded]Ison Slices thru Lovejoys Tail. - YouTube[/ame]

    Ison Slices thru Lovejoys Tail. - YouTube

    Ison Slices thru Lovejoys Tail.
    ISON ตัดผ่านหางของ ดาวหาง

    ผมว่าการที่ข้อมูลของดาวหาง ISON. ที่บอกว่าสลายตัวเหลือแต่ฝุ่นชักยังไงแล้วครับ แต่ท้ายที่สุด อย่าลืมครับ ถ้าดาวหาง ISON ยังอยู่ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ยังไงก็เกิดแน่นอนครับ เพราะข้อมูลอาจสร้างยังไงก็ได้ แต่สิ่งที่จะเกิดมัน ถ้ามันจะเกิดมันก็ต้องเกิด NASA. คงไปห้ามไม่ได้อยู่ดีครับ และข้างล่างก็เป็นเฟสของคุณNibiru Facts/Elenin Facts/2012/NWO/FEMA/Earth Quakes/T Cyclones etc ( https://m.facebook.com/profile.php?id=192579757479228&__user=100003528386198 )
    ที่ได้บอกสาเหตุที่เขาเชื่อว่านาซ่าจะโกหกเกี่ยวกับดาวหาง ISON เพื่อที่จะทำให้เรื่องของ NIBIRU. ไม่น่าเชื่อถือครับ วีดีโอที่นำมาเสนอเป็นของวันที่ 30 พฤศจิกายน และจากข้อมูลเดิมที่เห็นดาวหางเคลื่อนไหว แต่ข้อมูลที่บอกว่าดางหางสลายเป็นภาพนิ่งครับ จับแต่จุดที่บอกว่าเป็นฝุ่นดาวหางครับ ถ้าจะให้เราเชื่อ 100% ขอดูวีดีโอภาพเคลื่อนไหวแบบมุมกว้างครับ เห็นสภาพแวดล้อมตั้งแต่ดวงอาทิตย์ จนเลยโลกครับ อันนี้น่าเชื่อ 100%

    guys, if you are looking for the TRUTH then you MUST watch this video, watch the whole video

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=OpGOSZyAVTA&feature=player_embedded]NASA LIED ABOUT COMET ISON IN ORDER TO DISCREDIT NIBIRU WATCHERS - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=OpGOSZyAVTA]NASA LIED ABOUT COMET ISON IN ORDER TO DISCREDIT NIBIRU WATCHERS - YouTube[/ame]

    NASA LIED ABOUT COMET ISON IN ORDER TO DISCREDIT NIBIRU WATCHERS. ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2556

    100% PROOF THEY ARE LYING ABOUT COMET ISON

    มีคำถามว่าทำไมต้องโกหก? วีดีโอ 2 เรื่องข้างล่างแสดง ดาวหาง ISON ในเวลาที่ตรงกันอย่างถูกต้อง : การเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด& ระยะทาง ข้อมูลทั่ง 2 วีดีโออธิบายข้อมูลเกี่ยวกับดาวหาง ISON เหมือนกันครับแต่ต่างกันตรงว่าดาวหาง ISON มีความเร็วเพิ่มขึ้น หรือลดลงกันแน่ครับ...
    The question is, WHY are we being lied to? Two videos below show screencasts taken at the exact same time of Comet ISON 2013: Perihelion & Distance: LIVE Information.

    Though each of these videos should show the exact same information, they don't. This certainly explains this thread at Godlike Productions where forum readers are arguing whether or not Comet ISON is speeding up or slowing down, getting closer to the sun or further away. TPTB are giving us different information on Comet ISON. Why? You can also check the screenshots below taken at the exact same second from our two separate locations. Why are the numbers so different?

    The first video below was taken by Susan Duclos on the West coast. Check out the numbers she's getting on ISON, then check out the 2nd video below, taken by myself on the East Coast, showing totally different speeds and distances from the sun. You can tell by the countdown to perihilion that these two videos were taken at the exact same time. Why are they giving us two different sets of data?

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=iZe_EQCRoxc&feature=player_embedded]ISON Slowing Down As It Approaches The Sun! Part #1 - YouTube[/ame]

    ISON Slowing Down As It Approaches The Sun! Part #1 - YouTube

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=52nhhMzUb94&feature=player_embedded]ISON Slowing Down As It Approaches The Sun! Part #2 - YouTube[/ame]

    ISON Slowing Down As It Approaches The Sun! Part #2 - YouTube
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนาน,เรื่องเล่า,สิ่งเหนือธรรมชาติ

    [​IMG]

    ประวัติชนเผ่าเมี่ยน(เย้า)

    เมี่ยน [เย้า] ได้รับการจัดให้อยู่ในเชื้อชาติ มองโกลอยด์ คืออยู่ในตระกูลจีนธิเบต ได้ปรากฏครั้งแรกในเอกสารบันทึกของจีน สมัยราชวงศ์ถัง โดยปรากฏในชื่อ ม่อ เย้า มีความหมายว่าไม่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใด เล่ากันว่า เมื่อประมาณ 2000 กว่าปีมาแล้วบรรพชน ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ราบรอบทะเลสาปตงถิง แถบแม่น้ำแยงซี ยอมอ่อนน้อมให้ชนชาติผู้ปกครองรัฐ และไม่ยินยอมอยู่ภายใต้การบังคับกดขี่ของรัฐ จึงได้ทำการอพยพเข้าไปในป่าลึกบนภูเขาสูง ได้ตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านด้วยมือของเขาเอง เพื่อปกป้องเสรีภาพจึงถูกขนานนามว่า ม่อ เย้า ซึ่ง เหยา ซี เหลียน ได้บันทึกไว้ในเหลียงซูต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง คำเรียกนี้ถูกยกเลิกไปเหลือแต่คำว่า "เย้า" เท่านั้น

    ต่อมาคำว่าเย้าเคยปรากฏในเอกสารจีน เมื่อประมาณศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตศักราช ซึ่งมีความหมายว่าป่าเถื่อน หรือคนป่ากล่าวกันว่าในประเทศจีนชนชาติเย้ามีคำเรียกขานชื่อของตนเองแตกต่างกันถึง 28 ชื่อ แต่คนเย้าในประเทศไทย เรียกตัวเองว่า เมี่ยน หรือ อิ้วเมี่ยน ซึ่งมีความหมายว่า มนุษย์ หรือ คนเหยา ซุ่น อัน กล่าวว่าชาวเย้าในประเทศจีนแยกออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ เผ่าเปี้ยน เผ่าปูนู เผ่าฉาซัน และเผ่าผิงตี้ ชาวเย้าเผ่าเปี้ยนมีประชากรมากที่สุดและเป็นกลุ่มที่ย้ายถิ่นฐานตลอดเวลาเป็นระยะทางที่ไกลที่สุด และกระจายกันอยู่ในอาณาบริเวณที่กว้างขวางที่สุดด้วย ภาษาเย้าในปัจจุบัน ผ่านการพัฒนากลายเป็นภาษาถิ่นย่อย 3 ภาษา คือ ภาษาเมี่ยน ภาษาปูนู และภาษาลักจา

    มีนิทานที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาของชาวเมี่ยนว่า ในสมัยก่อนตาอง [โล่งช้วน] ตากู๋ [กู๋ฟาม] เป็นเทพ อยู่บนสวรรค์ มีความคิดที่จะสร้างเผ่าเมี่ยนขึ้นมา ดังนั้นตาอง และตากู๋จึงได้ปรึกษาหารือกันอยู่บนสวรรค์ว่า จะให้ตากู๋ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ โดยให้ลงมาเกิดเป็นลูกสาวคนที่สามของพระราชา ส่วนตาองจะลงมาเกิดในร่าง ของสุนัขมังกร เพราะมนุษย์ถือว่าสุนัขนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ตํ่าต้อยที่สุด มักมีคนดูถูกตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อถึงเวลา ทั้งคู่จึงลงมาเกิดโดยวางแผนกันไว้ว่า อนาคตต้องทำการปกป้องคุ้มครองเผ่าเมี่ยน ตากู๋ลงมาเกิดเป็นลูกสาว พระราชามีชื่อว่า แป้งฮู่ง ซึ่งมีสิริโฉมงดงาม และฉลาดกว่าคนอื่น และได้ทำสัญลักษณ์ว่ามีไฝหนึ่งเม็ดที่ขาของตากู๋

    ขณะนั้นในโลกมนุษย์มีเมืองอยู่ 2 เมือง เป็นของฝ่ายแป้งฮู่ง และกู๋ฮู่งได้ตกลงทำสงคราม มีคืนหนึ่งทั้งแป้งฮู่ง และกู๋ฮู่งต่างก็ได้ฝันว่าจะมีคนมาช่วยทำศึกให้นับจากนี้ 10 วัน ซึ่งขณะนั้นฝ่ายของแป้งฮู่ง ยังไม่พร้อมที่จะทำการสู้รบ จึงได้เรียกเหล่าขุนนางมาปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี และในที่สุดก็สรุปว่าถ้าภายใน 1 เดือน ใครที่สามารถตัดหัวของกู๋ฮู่งแล้วนำมาให้ตนได้ ตนจะยกลูกสาวคนที่สามให้ผู้นั้นเป็นรางวัล โดยให้เป็นลูกเขย และจะยกแผ่นดิน และข้าทาสบริวารให้ปกครองครึ่งหนึ่ง เมื่อประกาศออกไปแล้ว ประชาชนในเมืองของแป้งฮู่งไม่มีใครกล้าอาสาออกไปสู้รบกับกู๋ฮู่ง ที่ท้ายเมืองมีครอบครัวหนึ่งตั้งบ้านอยู่ที่ปากทางนอกเมือง

    วันหนึ่งได้มีสุนัขมังกร 5 สีตัวหนึ่งชื่อว่า ผันหู เข้ามาหา หญิงม่ายคนหนึ่งเห็นเข้าจึงได้พูดขึ้นว่า ตั้งแต่เกิดมาในโลกนี้ยังไม่เคยเห็นสุนัขมังกรตัวไหนที่ มีลักษณะสง่างาม และฉลาดเช่นนี้มาก่อน เราจะเอาสุนัขมังกรตัวนี้ไปถวายให้กับพระราชาเป็นการสร้างบุญกุศลดีกว่า ดังนั้นจึงไปบอกพระราชา เมื่อพระราชาทราบจึงส่งคนรับกลับไปเลี้ยงไว้ เมื่อพระราชาได้เห็นก็รู้สึกดีใจ และได้สังเกตเห็นจุดต่าง ๆ บนร่างกายที่มีทั้งหมด 120 จุด และแต่ละจุดก็มีความสวยงามมาก และที่สำคัญคือ รู้ภาษาด้วย

    วันหนึ่งพระราชาได้เปิดประชุม กับเหล่าขุนนาง และผันหูก็เข้าไปร่วมด้วย เมื่อฟังแล้วก็ไม่เห็นมีใครขันอาสาจะไปฆ่ากู๋ฮู่งได้ ผันหู จึงกล่าวขึ้นว่า ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องสิ้นเปลืองเสบียงอาหาร และใช้ทหารทั้งกองทัพ ให้ข้าไปจัดการคนเดียว เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตํ่าต้อย คงไม่มีใครสงสัย และเฉลียวใจ ฝ่ายแป้งฮู่งก็เห็นด้วย เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เรื่องเดือดร้อนไปถึงบนสวรรค์เบื้องบนต้องส่งยาวิเศษมาให้ผันหู 1 เม็ด เมื่อกินแล้วสามารถ ทนความหิวและอยู่ในทะเลได้ 7 วัน 7 คืน เมื่อว่ายนํ้าไปถึงฝั่งของกู๋ฮู่ง กู๋ฮู่งเห็นเข้า ก็นึกดีใจแล้วคิดว่าคงจะเป็นสุนัขมังกรที่จะมาช่วยตน

    เมื่อพูดถึงกู๋ฮู่ง กู๋ฮู่งเป็นกษัตรย์ที่ชอบเข่นฆ่าคน ชอบทำสงคราม ชอบเอารัดเอาเปรียบประชาชน กู๋ฮู่งเมื่อเห็นผันหูพลางนึกในใจว่า คราวนี้เมื่อมีสุนัขมังกรก็เห็นว่ามีความสามารถมากมาย อีกทั้งฉลาดด้วย จึงรักราวกับสมบัติอันมีค่า ไม่ว่าจะไปที่แห่งใดจะพาผันหูไปด้วยเสมอเหมือนเงาตามตัว เมื่อมีผันหูคุ้มครองคราวนี้ กู๋ฮู่งก็ไม่ต้องการทหารอารักษ์ขาอีกแล้ว จึงปล่อยปละละเลยราชกิจบ้านเมือง ไม่สนใจพออยู่กันไปผันหู

    เมื่อได้โอกาสเหมาะจึงกระโดดกัดคอกู๋ฮู่งขาด และคาบไว้ข้ามทะเลกลับ เมื่อถึงเมืองแป้งฮู่งเห็นก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนไม่ต้องไปรบ แต่กลับได้ชัยชนะ จึงเกิดการจัดงานเลี้ยงใหญ่โต แป้งฮู่งเคยพูดว่าถ้าใครสามารถเอาหัวกู๋ฮู่งมาได้จะยกลูกสาวคนที่สามให้ และเมืองอีกครึ่งหนึ่งแป้งฮู่ง กล่าวแล้วย่อมไม่คืนคำ แต่สงสารลูกสาวที่ต้องแต่งงานกับสุนัขมังกร กลัวโดนนินทา และลูกสาวจะต้องอาย ไม่กล้าสู้หน้าคน ดังนั้นจึงได้ทำผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไว้ แล้วเกณฑ์สาว ๆ ในเมืองที่มีรูปร่าง หน้าตาที่คล้ายลูกสาว ตนแล้วแต่งตัวคล้ายกันหมด ประมาณ 10 คนให้ทั้งหมดมานั่งอยู่ข้างนอก และให้ข้าทาสบริวารทุกคนออกมาชี้ว่า

    คนไหนเป็นลูกสาวของตน แต่ไม่มีใครสามารถชี้ตัวได้ถูกต้อง ดังนั้นจึงเรียกผันหูมาชี้ตัว ผันหูจึงได้ใช้จมูกดมไปตามเท้าของแต่ละคนไปเรื่อย ๆ เพื่อจะหาสัญลักษณ์ที่ได้ บอกกับตากู๋ไว้ ดูไปเรื่อย ๆ จนเจอไฝหนึ่งเม็ดที่หน้าแข้ง จึงได้ใช้ปากงับชายเสื้อของลูกสาวแป้งฮู่งไว้แล้วดึง 2-3 ครั้ง

    เมื่อแป้งฮู่งเห็นดังนั้น จึงรู้ว่าไม่สามารถหลบหลีกได้ และคิดในใจว่าสุนัขตัวนี้คงไม่ธรรมดาแน่ จึงจัดงานแต่งให้ 3 วัน 3 คืน แป้งฮู่งสงสารลูกสาวตัวเอง จึงได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า เกีย เซ็น ป๊อง [หนังสือเดินทาง] และแบ่งข้าทาสบริวารคอยติดตามรับใช้ และสามารถทำมาหากินได้บนผืนแผ่นดินได้โดยไม่ผิดกฏหมาย และได้แต่งตั้งลูกเขยของตนเป็น พ่าน ต๋าย โหว ซึ่ง เป็นแซ่แรกของเผ่าเมี่ยน คือ แซ่พ่าน และได้บอกว่าถ้าหากมีบุตรต้องพามาให้แป้งฮู่งตั้งชื่อให้

    เมื่อได้อําลาแป้งฮู่งแล้วก็นำบริวารทั้งหมดเข้าไปในป่า ซึ่งไม่มีบ้านเมืองต้องทำการโค่น ล้ม แผ้ว ถางป่า เพื่อสร้างบ้านเมืองขึ้นมาใหม่ กระทั่งภรรยาได้คลอดบุตรออกมา เป็นชาย 6 คน หญิง 6 คน ลูกชายได้แต่งภรรยาเข้าบ้าน และลูกหญิงทั้งหมดก็ให้แต่งสามีเข้าบ้านเพื่อช่วยกันสืบเชื้อสาย ดังนั้นจึง เป็นที่มาของ ทั้ง12 แซ่ แซ่จากหนังสือ เกีย เซ็น ป๊อง

    โล่ห์เปี้ยน [แซ่พ่าน]
    เหล์เซี้ยม [แซ่เชิ้น]
    โล่ห์ตั่ง [แซ่ตั้ง]
    โล่ห์เจ๋ว [แซ่จ๋าว]
    โล่ห์แจ๋ง [แซ่เจิ้น]
    โล่ห์ย่าง [แซ่ว่าง]
    โล่ห์ฟูง [แซ่ฟุ้ง]
    โล่ห์เจียว [แซ่เจียว]
    โล่ห์ต้อง [แซ่ถาง]
    โล่ห์รวย [แซ่รวย]
    โล่ห์เจียง [แซ่จาง]
    โล่ห์เหลย [แซ่ลี]

    สำหรับความหมาย ของแต่ละแซ่นั้นเป็นบัญญัติเฉพาะ ไม่มีคำแปล แต่ในประเทศไทยขณะนี้ มีการสำรวจพบ 12 แซ่ บางแซ่ไม่ได้ปรากฏในเกีย เซ็น ป๊อง ดังนี้

    โล่ห์เปี้ยน [แซ่พ่าน]
    โล่ห์เหลย [แซ่ลี]
    โล่ห์ตั่ง [แซ่เติ้น]
    โล่ห์เจ๋ว [แซ่จ๋าว]
    โล่ห์ล่อ [แซ่ล่อ]
    โล่ห์ย่าง [แซ่ว่าง]
    โล่ห์ปู๋ง [แซ่ฟุ้ง]
    โล่ห์จั้น [แซ่ชิ่น]
    โล่ห์เลี่ยว [แซ่เลี่ยว]
    โล่ห์สว้าง
    โล่ห์ตั๋ว [แซ่ตั๊ว]

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนาน,เรื่องเล่า,สิ่งเหนือธรรมชาติ

    [​IMG]

    ตำนานแม่มด

    ประวัติของ"แม่มด"
    เชื่อว่าทุกท่านคงรู้จักแม่มดกันดี ภาพลักษณ์ของแม่มดที่ติดตาเราดี มักเป็นหญิงแก่ แต่งกายด้วยชุดดำ มีความน่ากลัวและลี้ลับอยู่ในตัวเอง ชื่อของแม่มดก็บอกอยู่แล้วนะครับว่า ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน แถมเป็นผู้หญิงชนิดพิเศษ สามารถใช้เวทย์มนตร์คาถา ขี่ไม้กวาดเหาะไปมาได้ แถมยังแบ่งแม่มดออกเป็น แม่มดดำ - แม่มดขาว คำว่าดำ - ขาว เนี่ย ไม่ได้หมายถึงสีผิวหรอกครับ แต่เป็นลักษณะของเวทย์มนตร์ที่แม่มดใช้ และต้นสังกัดที่บรรดาแม่เจ้าประคุณแม่มดทั้งหลายสังกัดอยู่ต่างหาก

    แม่มดดำ คือพวกที่เคารพบูชาซาตาน ( Satan ) และใช้เวทย์มนตร์โดยอาศัยความช่วยเหลือ จากบรรดาภูตร้ายวิญญาณชั่ว สตรีชาวฝรั่งทั้งหลายที่ฝึกเวทย์มนตร์คาถาแนวนี้ นับเป็นแม่มดดำหมดเลยครับ

    ส่วนแม่มดขาว เป็นพวกที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิเหนือธรรมชาติ (Supreme being) หรือไม่ก็อาศัยความช่วยเหลือจาก นางฟ้า นักบุญ รวมไปถึงวิญญาณของคนที่มีคุณธรรม

    นี่แหละครับ คำจำกัดความของแม่มดแบบตะวันตก หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แม่มดมีแต่ผู้หญิงไม่มีผู้ชายหรือ มีเหมือนกันครับ พวกนี้เราจะเรียกว่าพ่อมดหรือ warlock ตัวอย่างของ warlock ที่รู้จักกันดีก็คือเมอร์ลิน พ่อมดเฒ่าที่ปรึกษาของพระเจ้าอาร์เธอนั่นเอง

    คำว่า "Witch" หรือแม่มดแผลงมาจากคำว่า "wit" ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง -To know หรือหยั่งรู้ - ต้องการรู้ ดังนั้น แม่มดจึงหมายถึงพวกที่ต้องการศึกษาหาความรู้ (ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ) อาจจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้ายก็ได้ จะว่าไป แม่มดก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เอาแต่สนใจค้นคว้าทดลองเพื่อหาความรู้โดยไม่เลือกวิธี และไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความแตกต่างระหว่างแม่มดดำกับขาวคือ แม่มดขาวจะยึดศาสนาเป็นที่ตั้ง บางครั้งแม่มดขาวเองก็อาจก่อตั้งศาสนาสาขาใหม่ เพื่อชี้นำกลุ่มชน ให้ยึดหลักและแนวปฏิบัติที่ดีกว่าสำหรับชีวิต

    แม่มดดำจะบูชาซาตาน รวมทั้งคลุกคลีอยู่กับภูตผีตัวร้ายต่างๆ อย่างเช่น แพน หรือ ลิลิธ-ราชินีแห่งรัตติกาล แม่มดดำมักจะแสวงหาความรู้ที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่จะ แสวงหาความสงบแห่งจิตใจ ตามปกติแม่มดจะไม่สำแดงมนตราออกมาอวดใครง่ายๆ นอกจากเพื่อลองวิชา บางทีการทำหุ่นขี้ผึ้งจำลองคนบางคน แล้วเอาเข็มจิ้มเล่นเพื่อให้ทรมานนั้น ก็หาได้เกิดจากความแค้นของแม่มดหรอกครับ แต่เพื่อลองวิชาสนุกๆไปซะอย่างนั้นเอง

    ถึงเป็นแม่มดก็ยังต้องกินข้าวเหมือนกัน แม่มดเองต้องทำมาหากินเหมือนกับคนทั่วไป รายได้ของแม่มดส่วนใหญ่มาจากค่าตอบแทนในการทำพิธีไสยศาสตร์ และการขายเครื่องรางของขลัง โดยส่วนใหญ่จะไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนจากการกระทำนี้บ้าง เข้าข่ายเดียวกับบริษัทผลิตอาวุธสงคราม มีหน้าที่ผลิต ส่วนจะเอาไปฆ่าใครบ้าง มันก็เรื่องของคุณ

    กว่าจะมาเป็นแม่มด...
    แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือ จากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงครับกับแม่มดดำ แม่มดดำส่วนมากจะยินดีรับศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ของแม่มด จะได้รับสิ่งตอบแทนคือ ได้รูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม ชนิดที่ว่ากิ๊ก สุวัจนีชิดซ้ายไปเลย ทว่าใช่จะได้รับกันมาฟรีๆนะครับ สิ่งที่ต้องแลกกับรูปร่างอันอวบอึ๋มก็คือ การไม่สามารถมีทายาทได้ รางวัลของการเป็นแม่มดดำอีกอย่างก็คือ การมีอายุที่ยืนยาวเป็นร้อยๆปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มนตร์ดำไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แม่มดดำทุกคนมักจะพบกับจุดจบที่และทรมานเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะว่ากันตามหลักของชาวพุทธล่ะก็ คงเรียกได้ว่ากรรมตามทันมั๊ง เพราะทำร้ายชาวบ้านเค้าไว้มาเหลือเกิน

    การเรียนวิชาแม่มดจะเริ่มตั้งแต่อายุเท่าใดก็ได้ นับตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป ระยะแรกนั้นจะเริ่มจากคาถาง่ายๆ เช่น การใช้เวทย์มนตร์ทำเสน่ห์ การสาปให้พืชผลเ่ยวเฉาและเป็นโรค รวมถึงการมองเห็นอนาคต(ที่ร้ายๆ) พอวิชาแก่กล้าขึ้นหน่อย ก็มาถึงการทำให้ลอยตัวในอากาศ หรือ เหาะโดยไม่ต้องอาศัยไม้กวาด ขั้นต่อไปก็คือการแปลงร่างให้เป็น!ต่างๆ รวมไปถึงการฝึกคาถาขั้นสูงเพื่อให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วๆไป ฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ก็ออกเปิดสาขารับศิษย์ได้เลย

    ว่ากันว่า ความยากของการเรียนวิชาแม่มดนั้นมาจากการไม่มีตำรา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม สูตรยา หรือ เวทย์มนตร์ ล้วนต้องถ่ายทอดกันแบบปากเปล่า การจะเป็นแม่มดดำที่เก่งฉกาจได้ จำต้องอุทิศตนให้กับซาตานผู้เป็นนายแห่งความมืดเสียก่อน อิซโซเบล ดาวดี ( Isobel Dowdie ) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตสมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มดต้องไปยืนแก้ผ้าต่อหน้าพยานหลายคน โดยปฏิญาณตนด้วยท่าดังภาพประกอบ ว่าจะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด

    แม่มดจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยซึ่งเรียกกันว่าชมรมแม่มด โดยแม่มดสาวที่เข้ามาใหม่ จะได้เป็นแค่สมาชิกสมทบ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกถาวรตายลงจึงจะได้เป็นสมาชิกถาวร แม่มดแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คนครับ เพราะถือเป็นเลขสวยงามสำหรับผู้บูชาความมืด กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และรวมชุมนุมแม่มดกลุ่มต่างๆปีละสี่ครั้ง ล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่วัน Candlemas(2 ก.พ. วัน Walpergist Night( 1พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ) วัน Rammas Day(วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี) และครั้งสุดท้ายวึ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของปี คือวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันฮัลโลววีน

    ตำนานของชาวบุโรปกล่าวว่า ใครที่เกรงกลัวแม่มดสามารถหลบหลีกได้ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนที่พวกแม่มดมีงานชุมนุมประจำปี แม้ว่าแม่มดดำทุกคนจะไม่รังเกียจ หากบุคคลภายนอกจะเข้าร่วมพิธีด้วย แต่มีกฏข้อบังคับอยู่ว่า สมาชิกทุกคนจะต้องเปลือยกายหมด ต้องบูชาซาตาน มีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนเสพสังวาสกับใครๆในกลุ่มอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์

    แม้ว่าคนทั่วไปจะมีความเกลียดและกลัวแม่มด แต่ของขลังของแม่มดก็มีอิทธิฤทธิ์ชะงัดนัก มีเรื่องเล่าว่า เส้นใยจากเชือกที่เพชฌฆาตรใช้แขวนคอนักโทษ สามารถรักษาผิวหนังแตกหน้าท้องลายได้ชะงัดนัก สำหรับใครที่เบื่ออาการขี้บ่นของแม่ยายและเมียแก่ๆ สามารถไปขอราที่ขึ้นบนหลุมฝังศพกับแม่มด มาผสมน้ำให้พวกหล่อนดื่ม จากนั้นแม่เจ้าประคุณทั้งหลายจะว่านอนสอนง่ายขึ้นอีกเป็นกอง สำหรับใครที่มีเมียชอบเที่ยว แม่มดก็มียาแก้ ยาที่ว่าคือ!ของมัมมี่(ไปเอามาได้ยังไงฟะ?) รับรองกลายเป็นคนหงิมๆอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไปเลย

    กล่าวกันไปแล้วในตอนต้นนะ ว่าแม่มดมักจะไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงมีคนว่าจ้าง แม่มดก็จะจัดการ "เชือด" เหยื่อให้มีอันเป็นไปสมประสงค์ของผู้จ้าง วิธีการที่นิยมกันคือสร้างหุ่นจำลองขี้ผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาเข็มปักตามอวัยวะต่างๆทีละเล่มๆ ครบสิบสามเล่มเมื่อไหร่ก็เป็นอันตายเมื่อนั้น

    ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ในยุคกลางของยุโรปหรือที่เราเรียกกันว่ายุคมืดนั้น มีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะนึกถึงก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และส่วนใหญ่มักหาแพะรับบาปพร้อมหลักฐานได้จำนวนหนึ่ง แม้ว่าบางทีหลักฐานนั้นจะดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็น!เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มดและถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าเอน็จอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างว่า "สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต" -Thou shlt not a suffer a witch to live


    เทศกานล่าแม่มด-*-
    พอเอ่ยถึงแม่มด พ่อมด เราๆท่านๆก็คงนึกถึงภาพอย่างเดียวกัน คนแก่จมูกงองุ้ม คางแหลม ผมกระเซิง ขี่ไม้กวาดบินผ่านฟ้าในยามรัตติกาล หรือไม่ก็ กำลังกวนส่วนผสมอะไรซักอย่างในหม้อยักษ์ ที่ส่งควันสีฟ้าอมม่วงขโมงไปหมด ครับ... นั่นคือภาพจากเทพนิยายหรือนิทานปรัมปรา ที่เอาไว้อ่านให้เด็กๆหรือที่รักฟังก่อนนอน แต่ทว่า เรื่องราวเหล่านี้ กลับเป็นผลให้หญิงสาวธรรมดาๆ ล้มตายราวกับใบไม้ร่วง กลายเป็นแม่มดที่ถูกประหัตประหารอย่างไร้มนุษยธรรม นับศตวรรษต่อศตวรรษเลยทีเดียวเชียว

    จดหมายฉบับหนึ่ง ที่นายกเทศมนตรีแห่งแบมเบิร์กเขียนถึงลูกสาว ในเดือนกรกฎดาคม ค.ศ. 1628 แสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมาน อันเนื่องมาจากกระบวนการไต่สวนและลงโทษแม่มด ซึ่งนับว่ามโหดเกินกว่ามนุษย์จะกระทำต่อกัน มาดูเนื้อหาในจดหมายไหมครับว่า ผู้เคราะห์ร้าย ต้องประสบชะตากรรมใดบ้าง

    "ลูกรักของพ่อ ฟังคำสารภาพของพ่อก่อนที่จะตาย มันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงที่กุขึ้นมาทั้งสิ้น โอ! พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยลูกด้วย ลูกถูกบังคับให้พูดออกมาเพราะหวาดกลัวต่อการทรมาน ซึ่งลูกทนมานานแล้ว ไม่มีใครจะรอดจากการทรมานนี้ไปได้หากไม่สารภาพ ไม่ว่าจะเป็นคนดีสักเพียงใดก็ต้องสารภาพว่าเป็นแม่มด พ่อมด... เพื่อไม่ให้เลือดต้องหลั่งรินตามเล็บมือ เล็บเท้า และทุกๆส่วนของร่างกาย!!"

    นี่คือจดหมายฉบับสุดท้าย เพราะหลังจากที่เขียนจดหมายฉบับนี้อย่างลับๆ นายกเทศมนตรีก็ถูกประหารชีวิตในข้อหาที่ว่าเป็นพ่อมด ในยุคนั้นชาวยุโรปนับไม่ถ้วนถูกสังหาร ตามเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ความหวาดผวาแม่มด" (The Great Witch Panic) ใครหนีได้ก็หนีไป แต่ถูกจับแล้วก็อย่าหวังว่าจะรอด แถมถกบีบให้ซัดทอดกันไปอีก เหตุการณ์ทมิฬนี้เริ่มมาตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 15 จนเลย 16 ไป เรียกได้ว่า บูมข้ามศตวรรษ เลยก็แล้วกัน

    อันที่จริงไม่มีใครสนใจเรื่องพ่อมดแม่มดมาก่อนสมัยกลางหรอกนะครับ แล้วก็ไม่ใช่ว่า ไม่มีพ่อมดแม่มดมาก่อนหน้านี้เอาเสียเลย เพราะพ่อมดแม่มดนั้น มีมาก่อนที่มนุษย์เราจะรู้จักบันทึกประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ำ จนมาถึงยุคกลางนี่แหละครับ คนถึงได้ตื่นตัวเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะความเชื่อที่ขัดแย้งกับคริสตศาสนานั่นเองครับ

    เดิมที เมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาจัดการ กับพวกแม่มดหมอผี ก็เริ่มจากการกล่าวหาว่า ทำเวทย์มนตร์กับคน หรือ พืชผลเป็นรายๆไป แต่การประหัตประหารเหล่าแม่มดอย่างป่าเถื่อนนั้น เริ่มต้นมาจากการพิพากษาของศาลที่สนับสนุนโดย พระสันตะปาปา ที่จัดตั้งขึ้นในคริสศตวรรษที่ 13 เพื่อกำจัดพวกนอกรีตอัลโบเจนเชียน หรือชาวเมืองอัลบี ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส อย่างที่เราทราบกันดีครับ ว่าสมัยก่อนนั้น พระสันตะปาปาหรือโป๊บ ทรงกุมอำนาจที้งการเมืองและศาสนาไปพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้นในคริสตศตวรรษที่ 13 จึงมีบรรดาเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ที่มีโป๊บหนุนหลังเที่ยวไปสอบสวนระรานพวกอัลโบเจนเชียน แล้วก็ทำเลยเถิดไป กลายเป็นการเข่นฆ่าพ่อมดแม่มดเทียมกันอย่างสนุกมือแต่สยองใจไปแทน

    อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆคนอาจจะถามขึ้นมาว่า เอ... แม่มดพวกนี้ไปทำอะไรให้ชาวคริสต์เขาหวาดผวานะ ถึงได้จงเกลียดจงชังเฝ้าเผาผลาญทำลายล้างแบบนี้ คำตอบของเรื่องนี้ก็คือ ทางศาสนจักรคิดว่า แม่มดเหล่านี้ คือสมุนผู้สมคบคิดกับซาตาน ร่วมมือกับพวกปีศาจจนกลายเป็นองค์กรมืด ที่ต้องการจะทำลายศาสนจักรและชาวคริสต์ให้สิ้นซาก

    ความคิดบ้าๆใช่ไหมล่ะ บ้าชัดๆ.. แต่ว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1335 โดยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นที่เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส บันทึกของคณะลูกขุนอ้างความเชื่อของบรรดาหญิงที่ถูกกล่าวหา ที่ว่าเจ้าแห่งปีซาจที่มีอำนาจเทียบเท่าพระเจ้าและยังเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ พวกหล่อนบอกว่าได้ทำสัญญากับซาตาน และมีเพศสัมพันธ์กับเหล่าปีศาจที่แปลงร่างมาในร่างแพะตัวผู้

    นอกจากนี้ พวกหล่อนยังได้ลบหลู่ดูหมิ่นพิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ (Holy Communion) ตามคำบัญชาของซาตาน และเคยพบปะสมาคมระหว่างแม่มดในวันแซบบัท (Sabbat) ซึ่งถ้าเป็นแซบบัทของชาวคริสต์ จะสะกดว่า Sabbath แทน และมักจะเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ มีที่มาตั้งแต่สมัยโมเสสหรือบัญยัติสิบประการ ที่โมเสสรับคำบัญชาจากพระเจ้ามาบอกพวกยิวว่า ให้วันที่เจ็ดของสัปดาห์เป็นวันพักผ่อนซึ่งหมายถึงวันเสาร์ และกลายเป็นวันอาทิตย์ในเวลาต่อมา แต่วัน sabbat ของพวกแม่มดนี้เป็นทุกคืนวันศุกร์ครับ และเป็นวันรื่นเริงตามแบบชาวแบคคานาเลี่ยนที่แสนจะไร้ยางอาย

    สงสัยกันไหม ว่าแบคคานาเลียคืออะไร คำๆนี้หมายถึงเทศกาลเฉลิมฉลองของชาวโรมันโบราณ เพื่อบูชาเทพแห่งความมึนเมาแบคคัส หรือชื่อกรีกว่า ไดโอนิซัส พระองค์เป็นเทพแห่งเหล้าและทรงเป็นผู้พบองุ่น จึงไม่น่าแปลกเลยว่าวันแซบบัทของพวกพ่อ(แม่)มดนั้น เป็นวันที่ซัดเหล้ากันอย่างเต็มที่ และมั่วเซ็กส์ชนิดไม่ลืมหูลืมตา นับว่าบัดสีและไร้ยางอายอย่างที่สุดเลย

    ในวันนี้ แม่มดจะพากันท่องคำสาป หั่นชิ้นส่วนของคนตายและ!ของต่างๆ ผสมกับเศษผ้าจากศพที่ถูกแขวนคอต้มเปื่อยกับสมุนไพรมีพิษ นอกจากนี้ยังขโมยทารกแรกเกิดมากินกันเป็นของหวานซะอีก เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังทำให้แกะของชาวบ้านป่วย พืชผลเสียหาย และฆ่าคนโดยละลายหุ่นขี้ผึ้งที่มีเศษเสื้อผ้าของเหยื่อเคราะห์ร้ายนั้นด้วย

    จึงไม่มีข้อสงสัยเลยว่า มีหลายคนที่ต้องตายเพราะถูกกล่าวหาว่า ประกอบพิธีกรรมชั่วร้ายดังกล่าว ตัวอย่างที่ขึ้นชื่อลือกระฉ่อนก็คือ กิลส์ เดอ เรส์ สหายร่วมศึกเชื้อสายขุนนางของ โจน ออฟ อาร์ค (วีรสตรีและผู้นำกองทัพฝรั่งเศส นี่ก็อีกคนครับ ที่โดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกเผาทั้งเป็น ทั้งที่เธอบริสุทธิ์ ตอนหลังได้รับการอวยยศเป็นเซนต์โจนครับ) หลังจากที่สูญเสียสมบัติ กิลส์พยายามที่จะกลับมาร่ำรวยโดยอาศัยมนต์ดำหรือ V\black magic ซึ่งเกี่ยวไปถึงการหลั่งเลือดของสตรีพรหมจรรย์ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขายังทำร้ายและฆ่าเด็กๆกว่า 50 คนอย่างมโหด ก่อนที่ตัวเขาจะถูกพบและเผาทั้งเป็น แต่นอกจากพ่อมดเซ่อซ่ากระหายอำนาจบางคน พ่อมดแม่มดอื่นๆก็เป็นแค่คนแก่ๆกระจอกๆ หรือเป็นพวกที่ถูกกล่าวหาแบบผิดๆ โดยคนอื่นที่ไม่กินเส้นกัน หรือหาแพะรับบาปเมื่อเกิดภัยธรรมชาติหรือโรคระบาด

    แน่ล่ะ เมื่อมีการกล่าวหาว่าใครเป็นแม่มด นั่นก็หมายถึงว่าจะต้องมีการทรมานและจบลงด้วยความตาย ตามทฤษฎีแล้ว การลงโทษด้วยความตายกระทำได้ด้วยอำนาจรัฐเท่านั้น เมื่อคณะไต่สวนจัดการโยนผู้กระทำผิดให้มาอยู่ในอำนาจรัฐ แล้วก็จะถามว่าให้ยกเว้นการลงโทษแบบหลั่งเลือด หรือ ถึงแก่ชีวิตโดยดี

    หมายเหตุ กิลส์ เดอ เรส์ ขุนนางชาวฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นที่มาของตำนานบลูเบียร์ด (Bluebeard) ซึ่งเจ้าเคราดำนี้ เป็นตัวละครในนิทาน(โหดๆ)พื้นบ้าน มีจิตใจประเภทซาดิสม์ที่แต่งงานกี่ครั้งๆก็ฆ่าเมียตัวเองทุกคน เรื่องนี้เคยเอามาทำเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งนวนิยายและภาพยนตร์สมัยใหม่ ก็นำเค้าโครงเรื่องนี้ไปหากินมานักต่อนักแล้ว

    ทว่า กรณีที่พวกบูชาซาตานถูกทรมานและฆ่า (โดยถูกต้องตามกฏหมาย) เริ่มขึ้นในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 13 เมื่อพระเจ้าฟิลลิปส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศสเข่นฆ่าอัศวินที่เรียกกันว่า Order of Knights Templar เพื่อที่ว่าจะได้ครองความร่ำรวยของพวกเขา หัวหน้าอัศวินที่เรียกว่าแกรนด์มาสเตอร์และอัศวินอีก 54 นาย ที่เป็นพี่น้องร่วมศาสนาในยุคนั้น ถูกเผาหลังจากถูกขึงพืดทรมาน และในปี ค.ศ. 1459 ได้มีการพิพากษาครั้งใหญ่ เป็นผลให้มีการเผาหมู่ชาวเมืองอาราส ในข้อหานอกรีตและประกอบพิธีกรรมทางไสยเวทย์ ดังที่เคยกล่าวไปแล้วในตอนต้น

    ศาสนจักรเริ่มยืนมือศักดิ์สิทธิ์อันเปื้อนเลือด เข้ามาเกี่ยวข้องกับการล่าพวกนอกรีต ในช่วงปี 1480 - 1484 มีพระราชโองการจากสำนักพระสันตะปาปา (Papal Bull) ประกาศสำเร็จโทษพวกพ่อมด แม่มด หมอผีทั้งหลายอย่างรุนแรง รวมทั้งห้ามนักบวช ฆราวาส เข้ามาขัดขวางการทำงานของคณะไต่สวน ในคดีที่เรียกว่า "ความเสื่อทรามของพวกนอกรีต" (Heretical Depravities)

    ในจำนวนผู้พิพากษาที่สนองพระโองการดังกล่าวนี้ เป็นชาวโดมินิกันสองคน คือ บาทหลวงไฮน์ริช เครมเมอร์ อดีตเจ้าหน้าที่สอบสวนจากแคว้นไทรอล (อยู่ระหว่างออสเตรียตะวันตกและทางเหนือของอิตาลี) และจาคอบ สเปรนเกอร์(ทางเหนือของสวิสเซอร์แลนด์บนฝั่งแม่น้ำไรน์) ทั้งสองยังได้ร่วมกันแต่หนังสือชื่อ Malleus Maleficarum แปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Hammer of Witches พูดง่ายๆว่า เป็นคู่มือสำหรับการล่าแม่มด จุตัวอักษรประมาณ 250,000 คำ และนานถึงสองศตวรรษที่พวกกระหายเลือดแม่มดในประเทศต่างๆ เจริญรอยตามวิธีการน่าขยะแขยงในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งบอกวิธีจับ พิสูจน์ไต่สวน และเข่นฆ่าแม่มดต่างๆนานา

    แล้วจะกล่าวหาพวกแม่มดอย่างไรดี? อ๋อ... ง่ายมาก เพียงแค่ป่วยก็เพียงพอแล้วที่จะเอาคนคนนั้นเข้าคุก ถึงจะประพฤติตัวดีงามขนาดไหนก็ใช่ว่าจะรอดพ้นไปได้ โดยเฉพาะแล้วพวกรักสันโดษชอบเก็บเนื้อเก็บตัว มักจะถูกสงสัยว่าแอบบูชาภูตผีปีศาจ คนที่ถูกกล่าวหาแทบจะไม่มีโอกาสได้ประกาศความบริสุทธิ์ของตัวเองเลย บางครั้งเหยื่อจะถูกทดสอบโดยการโยนลงน้ำ เพราะถ้าเป็นแม่มดตัวจะลอยขึ้น แต่ถ้าบริสุทธิ์ก็จะจม

    สำหรับคำพิพากษานั้น จะว่าไปก็เหมือนๆกันหมดครับ เมื่อถูกจับขึ้นศาล จำเลยจะเจอคำถามเป็นชุดเกี่ยวกับเวทย์มนตร์คาถาของเขาหรือเธอ หรือเรื่องสัญญากับซาตานและพิธีกรรมแซบบัท ผู้ไต่สวนจะขอให้พวกนอกรีตสารภาพและถามถึงชื่อผู้เกี่ยวข้อง ถ้า"ว่าที่แม่มด"ปฏิเสธคำกล่าวหา ผู้ไต่สวนก็จะถอดเสื้อผ้าและโกนขนตามร่างกาย เพื่อหาสัญลักษณ์ (Telltale Marks) ไม่ว่าจะเป็น ไฝ ฝ้า หูด หรือ ปาน ซึ่งอาจจะเป็นสัญลักษณ์ปีศาจตัวผู้ ในขณะที่ขี้แมลงวันหรือรอยแผลเป็นถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ปีศาจตัวเมีย หลายคนคิดว่าสัญลักษณ์ปีศาจบางรอยจะแก่กล้ามาก มองไม่เห็น แต่ต้องอยู่ตามผิวหนัง ซึ่งบริเวณนั้นจะไม่สะทกสะท้านกับเหล็กแหลมที่ทิ่มแทงลงไป ก็สนุกนักล่าแม่มดใจโหดสิเพราะจะได้สนุกสนานกับการทิ่มแทงเหยื่อ จนกว่าจะพบบริเวณที่ไม่สะทกสะท้านต่อเหล็กแหลม บางรายพรุนเป็นฟองน้ำด้วยกรรมวิธีสอบสวนแบบนี้ก็มี

    เมื่อพบสัญลักษณ์ดังกล่าว (แหงสิ ใครกันจะไม่มีไฝฝ้าขี้แมลงวัน หรือปานเล้กๆกันบ้างเล่า) จำเลยก็จะถูกบีบให้รับสารภาพอีกครั้ง หากปฏิเสธก็จะต้องถูกทรมาน ขั้นเบาะๆก็ตอกเล็บ ต่อมาก็ถูกดึงแขนดึงขาขึงพืด หรือไม่ก็เอาตะปูดอกเป้งๆมาตอกขา หรือไม่ก็กระหนาบร่างด้วยเหล็กที่เผาไฟร้อนๆ และวิธียอดนิยมที่เรียกว่า Strappado คือจับเหยื่อเคราะห์ร้ายเปลือยกายล่อนจ้อน มีน้ำหนักถ่วงอยู่ที่ปลายเท้าและชักรอกขึ้นกลางอากาศ รายไหนร่างกายบอบบางก็จะขาดสองท่อน เครื่องในทะลักอย่างน่าสังเวช

    หลังยุคปฏิรูป การทรมานก็ได้รับการดัดแปลงให้สยองขวัญมากขึ้นอีก ในประเทศที่นับถือโปรแตสแตนท์ ในปี ค.ศ. 1594 ซึ่งเป็นยุคที่มีผู้นับถือลัทธิคาลวิน ในสก็อตแลนด์ อลิสัน บาลโฟ ถูกเครื่องมือที่เรียกว่า Caspie Claws บีบรัดแขนเป็นเวล 48 ชั่วโมง ขณะที่สามีของเธอถูกแท่งเหล็กหนัก 700 ปอนด์ทับร่างกายเอาไว้ ลูกชายผู้โชคดีถูกลิ่มเหล็กบดขยี้กระดูกขาอยู่ 48 ครั้ง ลูกสาวอายุเพียงเจ็ดขวบโชคดีที่สุดเพราะเป็นเด็ก ดังนั้นเจ้าพนักงานจึงลงโทษเบาะๆเพียงตอกเล็กให้ทุกนิ้วของเธอแหลกละเอียดเท่านั้น นี่ล่ะครับคือการต้อนรับจำเลย ในระหว่างการกล่อมให้จำเลยรับสารภาพว่าเป็นพ่อมดแม่มด เพราะเหตุนี้ จำเลยน้อยคนนักที่จะรอดชีวิตมาได้ก่อนที่การบันทึกการสารภาพจะกระทำเสร็จสิ้น

    โหดกว่าการล่าพวกนอกรีตในเรื่อง Berserk เสียอีกใช่ไหม? ยิ่งผู้ไต่สวนมโหดมากเท่าไหร่ จำนวนคนตายก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว แถวๆเมืองเทรฟซึ่งปัจจุบันอยู่ในเยอรมัน มีหญิงที่ทั้งสาวและไม่สาวจำนวน 368 คน จากหมู่บ้าน 22 แห่ง ทยอยกันถูกฆ่าตายในรอบหกปี เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด (คิดๆแล้วตกเดือนละห้าคน ขยันฆ่ากันดีจังนะ) ส่วนท่านบิชอบเวิร์สเบิร์ก แห่งต้นศตวรรษที่ 16 นั้น ใจบุญสั่งเผาคนที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นแม่มดไป 900 กว่าศพ ไม่ยกเว้นเด็ก ผู้หญิงและคนชรา เรียกได้ว่าท่านเผามาแล้วทุกชั้นวรรณะเลยก็ว่าได้

    การเผา ฆ่า ทรมาน มีมานานจนข้ามศตวรรษ จนลุมาถึงศตวรรษที่ 17 ทัศนคติหรือแนวความคิดใหม่ๆที่ใช้เหตุและผล จึงได้มีการแพร่หลายมากขึ้น ตัวอย่างเช่นประเทศเนเธอร์แลนด์ได้มีกฏหมาย ยกเลิกการสำเร็จโทษพ่อมดแม่มด แต่กว่าประเทศอื่นจะพากันทำตาม ก็ปาเข้าไปปลายศตวรรษที่ 17 แน่ะ และแล้วยุคนองเลือดของแม่มดก็ค่อยๆหายไป แต่ก็นั่นล่ะ ผู้บริสุทธิ์ที่ล้มตายไปเพราะความทารุณ ก็หาได้ฟื้นคืนชีพกลับมาไม่ เป็นที่รู้กันว่า คนไม่ต่ำกว่าแสนคนถูกฆ่าตายในเยอรมัน ฝรั่งเศสนั้นก็ปาเข้าไปหลายหมื่นอยู่ และที่น้อยที่สุดก็คงเป็นที่เมืองผู้ดีอังกฤษเค้านั่นล่ะครับ (สงสัยว่าตาคนเขียนเค้าจะเป็นชาวอังกฤษแฮะ) ซึ่งยอดโดยรวมประมาณสองแสนกว่าคนตามสถิติอย่างเป็นทางการ แต่นักประวัติศาสตร์บางท่านบอกว่าจำนวนจริงๆปาเข้าไปเกือบล้านคนแน่ะ ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหม?

    นี่ล่ะครับ เรื่องมดๆที่ไม่มดเหมือนชื่อ เป็นเรื่องช้างที่ทำให้คนตายเหยียบล้านในเวลาชั่วสามศตวรรษ สาเหตุที่แท้จริง อาจจะมาจากเรื่องศาสนา ความเชื่อ ความดี หรืออะไรก็ตามแต่ ทว่า สาเหตุหลักๆตามความคิดของผมก็คือ มันเป็นข้ออ้างของพวกกระหายอำนาจมากกว่า ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบและการกล่าวหา ให้ทันสมัยขึ้นตามกาลเวลาเท่านั้นเอง


    blogspot.com
    pigoon
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.jpg
      0.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.4 KB
      เปิดดู:
      3,432
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนาน,เรื่องเล่า,สิ่งเหนือธรรมชาติ

    [​IMG]

    โอดิน ราชาแห่งเทพ//ฟรองซีน

    โอดินดำรงฐานะจอมเทพ (เทพแห่งเทพ) สูงที่สุดในบรรดาเทพชาวเหนือทั้งหลาย แต่ชีวิตของพระองค์ไม่ได้สบายเหมือนกับตำแหน่ง กลับมีแต่ความรันทดมาตลอด สิ่งเดียวที่ช่วยพระองค์ไว้ตลอดเวลาก็คือความแข็งแกร่งครับท่านผู้อ่าน ความแข็งแกร่งของชายชาตินักรบที่ถึงแม้จะรู้จุดจบของตัวเองและพวกพ้อง ก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอหรือเขลาขลาดใดๆ ออกมา

    ความแข็งแกร่งของจิตใจนี่ละครับที่เป็นจุดเด่นของโอดิน ทำให้ผู้คนทางยุโรปภาคกลางซึ่งก็คือคนเชื้อชาติเยอรมันแผ่ตัวลงไปยอมรับนับถือเป็นที่ยิ่ง แต่เรียกชื่อโอดินเพี้ยนไปจากเดิมบ้าง เช่นว่า โวทัน-Wotan หรือ โวเดน-Woden เทพพิทักษ์นักรบเป็นที่มาของชื่อวันพุธ-Wednesday ในภาษาฝรั่งนั่นไง

    อย่างที่เล่าไว้แต่ต้นว่า โอดินเป็นลูกของบอร์ เทพเริ่มแรกของโลก และบรรดาเทพอื่นๆที่อยู่บนแอสการ์ดต่างก็เป็นลูกหลานของเทพองค์ซะเกือบทั้งสิ้น รูปร่างของโอดินในความนึกคิดของชาวเหนือส่วนใหญ่จึงเป็นชายชราสวมหมวกปีกกว้างซ่อนใบหน้าไว้ในเงามืด นั่งอยู่บนบัลลังก์ฮลิดสเกียบ-Hlidskialf ซึ่งทำให้สามารถสอดส่องความเป็นไปต่างๆ ในโลกทั้งเก้าได้ โดยมีฟริกก้า–Frigga เมียคนที่สองแต่รักที่สุด นั่งเคียงข้างบนบัลลังก์องค์นี้ได้เพียงคนเดียว

    อันที่จริงโอดินมีเมียหลายคนเชียวครับท่านผู้อ่านมีทั้งเทพด้วยกันและยักษีประเภทต่างๆ (ตามความนิยมในสมัยนั้น)ทว่าพวกที่ได้รับการยกย่องมีอยู่ไม่เท่าไหร่ คนแรกคือจอร์ด–Jord หรือเออดา –Erda เป็นลูกของภาวะหมุนวนสับสนรอบๆ กินนันกาแก๊บกับยักษีตนหนึ่งไม่ปรากฏนาม (เป็นลักษณะการสืบพันธุ์ที่ประหลาดสิ้นดี) โอดินมีลูกกับเมียผู้มีกำเนิดค่อนข้างประหลาดคนนี้หนึ่งนั่นคือธอร์–Thor เทพแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุด เมียคนสามชื่อว่ารินด้า–Rinda คนนี้เป็นตัวแทนของความแห้งแล้ง ของแผ่นดินที่หนาวเหน็บในช่วงหน้าหนาว ตอนไหนที่เจ้าหล่อนไปอยู่กับสามี แผ่นดินที่เคยหนาวเหน็บจะอุ่นขึ้น (ก็เจ้าแม่แห่งความหนาวไม่อยู่เสียแล้วนี่) เป็นช่วงที่ตอนเหนือมีฤดูร้อนช่วงสั้นๆ ควมที่รินด้าเจ้าแม่แห่งความแห้งแล้งจากแผ่นดินถิ่นที่อยู่ของมนุษย์แค่ช่วงสั้นๆ ชาวเหนือเลยทึกทักให้หล่อนเป็นภรรยาที่มีนิสัยค่อนข้างรังเกียจสามีเอามากๆ เจ้าหล่อนถึงให้เวลาโอดินอยู่ด้วยเพียงปีละช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่กับรินด้าคนนี้ละครับ ที่โอดินก็มีลูกด้วย ชื่อว่าวาลี–Vali เป็นหนึ่งในบรรดาเทพไม่กี่องค์ที่เหลือรอดจากรากน่าร็อกและเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งเกี่ยวกับความตายของบาลเดอร์–Balder เทพแห่งสัจจะและแสงสว่าง

    นอกจากภาพที่ปรากฏกับบรรดาเมียเหล่านี้แล้ว โอดินจอมเทพยังมักแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักรบเสมอๆ เทพจะถือหอกกังเนอร์–Gungnir อาวุธประจำกาย ใส่แหวนดรอพเนอร์–Draupnir (บางแห่งว่ามันเป็นกำไลแขน-แต่ไม่ว่าจะเป็นแหวงหรือกำไลแขน มันก็เป็นวงกลมซึ่งเป็นรูปทรงที่พลังของมันจะหมุนอยู่ตลอดไป ที่มาของหอกและแหวนอยู่ในบทของคนแคระครับแหวนหรือกำไลแขนดรอบเนอร์ที่ว่า มีลักษณะพิเศษตรงที่เกิดใหม่ทุก 7 วัน…ว้าจะเข้าใจหรือเปล่าเนี่ย เอางี้นะครับ ลองนึกว่าแหวนอันนี้แบ่งตัวเองออกมาใหม่ แล้วตัวเก่าก็อันตรธาน เพื่อให้แหวนดรอบเนอร์ใหม่อยู่เสมอ) มีอีกาชื่อฮิวกิน–Hugin-ความคิด และมิวนิน–Munin-ความจำ เกาะบนไหล่ซ้ายขวาคอยกระซิบบอกข่าวใหม่ๆ ที่นายสั่งให้มันบินออกไปสังเกตเป็นพิเศษ นอกจากนกทั้งสองตัวนี่แล้ว เทพยังมีสัตว์เลี้ยงแสนรักเป็นหมาป่าอีกสองตัวชื่อ เกอรี่–Geri และเฟรกี–Freki ซึ่งมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกับเขามาก นัยว่านิสัยของมันคือสัญชาตญาณการล่ามที่มีอยู่ในตัวมหาเทพเอง หมาป่าทั้งสองตัวมักจะคอยอยู่ข้างๆ นาย รับอาหารจำพวกเนื้อที่เขาเอามาวางไว้ตรงหน้าโอดิน ในเมื่อจอมเทพไม่กินเนื้อ สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังชีพในสวรรค์ได้เป็นอย่างดีคือเหล้าน้ำผึ้ง อาหารซึ่งมีให้กินอย่างไม่อั้นในวัลฮัลลา–Valhalla โถงแห่งวิญญาณนักรบที่ได้รับเลือก หมาป่าทั้งสองก็เปรมไปละ
    -------------------------------------------------------------------------
    ที่มาของปัญญา

    นอกจากโอดินจะได้การยกย่องว่าเป็นเทพแห่งนักรบแล้วนะครับ ท่านยังเป็นเทพแห่งปัญญาและภูมิรู้ด้วย และภูมิรู้ที่มากเกินบรรยายนั้นโอดินได้มาตั้งแต่ครั้งแรกสร้างโลกนั่นแหละ

    ก็หลังจากที่โอดินกับน้องๆ ช่วยกันสร้างโลกจากร่างของอีเมอร์เสร็จแล้วนั่นแหละ เขาก็รี่ไปหาไมเมอร์ อารักษ์แห่งน้ำพุปัญญา ด้วยรู้ว่าน้ำที่นี่ หากใครได้ดื่มจะได้ความรู้สรรพวิชา รวมทั้งเห็นกาลในอนาคตอย่างชัดเจน ติดอยู่แต่ว่าไมเมอร์ย่อมไม่ให้คนที่ไม่มีเหตุผลพอจะได้ดื่ม ได้ลิ้มรสน้ำจากแหล่งนี้

    โอดินถึงขนาดต้องอ้อนวอน อ้างว่าด้วยตำแหน่งราชาแห่งเทพ เขาจำเป็นต้องมีรอบรู้ไม่ว่าจะในศาสตร์ไหนเพื่อให้การปกครองของเขาราบรื่นที่สุด ไมเมอร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลงโดยมีข้อแลกเปลี่ยน เขาว่า หากโอดินต้องการความรู้มากจริงๆ จะต้องควักตาข้างหนึ่งออกมาแลกกับการดื่มน้ำครั้งเดียว แต่เพราะความกระหายในวิชาต่างๆ ทำให้โอดินไม่หยุดคิดอะไรต่อไป เขาควักตาข้างหนึ่งแลกกับน้ำซึ่งไมเมอร์ตักใส่จอกส่งให้ ไมเมอร์นำดวงตาข้างนั้นของโอดินทิ้งลงในบ่อแลกกับความรู้ที่แฝงไปกับน้ำ “ดวงตาของโอดิน”ดวงกลมๆ สีเหลืองนวลยังคงอยู่กับบ่อน้ำทุกบ่อ น้ำทุกแหล่งในคืนวันเพ็ญมาจนทุกวันนี้ (ก็คือเงาสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำนั่นไงครับ…เข้าใจคิดเหมือนกันแฮะ ส่วนตาข้างที่เหลืออยู่ก็เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ไปโดยปริยาย)

    โอดินค่อยๆ ละเลียดน้ำวิเศษผ่านลำคอ ความรู้ของสรรพวิชาต่างๆ ที่เขากระหายอยากได้ก็ค่อยๆไหลเข้าสู่ร่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องกวีนิพนธ์ ไสยเวทย์หรืออื่นใด จากนั้นเป็นต้นมาเทพองค์นี้จึงกลายเป็นเทพอุปถัมภ์ หมอดู กวีนิพนธ์และพ่อมดไปในทันที ทว่าสิ่งที่รวมมากับน้ำคือการเห็นอนาคตข้างหน้าที่เขาต้องการหนักหนากลับเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะรับได้

    เพราะนอกจากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของจักรวาลและทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นความตายของลูกรัก ยังได้เห็นช่วงเวลาจบสิ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือช่วง แร็กนาร็อค-Ragnarok ซึ่งภาพทุกภาพชัดเจนกระหน่ำอยู่ในหัวโอดินแค่ช่วงเสี้ยววินาที ชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไปทำให้ใบหน้าซึ่งเคยสดใสร่าเริงของโอดินหมองลง บางครั้งการรู้อนาคตล่วงหน้าก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป เขากลายเป็นคนเงียบขรึมตั้งแต่นั้น ไม่กินอาหาร ดื่มแต่เฉพาะเหล้าน้ำผึ้ง เพื่อให้ความเมาสลายความทุกข์ลงไปบ้าง
    --------------------------------------------------------------------------
    เหตุที่ต้องสร้างวัลฮัลลา และวัลคีรี

    ด้วยเหตุนี้อีกละครับที่ทำให้โอดินคิดจะเริ่มสะสมกำลังไว้ข้างหน้าอย่างน้อยก็ไม่ได้ตายอย่างเสียเกียรติเกินไป เทพจัดตั้งกองทัพวัลคิรีขึ้น นางคือนางฟ้าดำแห่งความตาย ทั้งๆ ที่รูปลักษณ์งดงาม ผิวขาว ผมทอง เป็นสาวพรหมจรรย์ซึ่งมีฐานะกึ่งเทพ วัลคีรีที่แท้จริงคือแรงเร้าแห่งการฆ่า พวกนางมีหน้าที่สองอย่างคือ สรรหาเลือกเฟ้นวิญญาณนักรบผู้กล้ากับคอยดูแลเลี้ยงดูพวกเขาในวัลฮัลลา

    เมื่อไรก็ตามที่เกิดการรบขึ้นในโลกมนุษย์ โอดินจะส่งวัลคิรี ไปรอดู นักรบคนใดที่สู้ตายชนิดยังมีความกระหายสงครามค้างอยู่ในดวงตาและมือเต็มไปด้วยเลือด วัลคิรีก็จะเลือกคนนั้นไปกับพวกหล่อนข้ามสะพานรุ้งน้ำแข็งขึ้นไปบนวัลฮัลลา วิญญาณนักรบพวกนี้เรียกกันว่าพวกเอนเฮเรียร์
    --------------------------------------------------------------------------
    งานเลี้ยงพวกเอนเฮเรียร์–Einheriar

    โอดินมีพระราชวังใหญ่ๆ อยู่สามแห่งในแอสการ์ด คือแกลดเฮม-Gladsheim โถงที่ประชุมของเทพ วาลาสเคียฟ- Valaskialf ซึ่งฮลิดสเคียฟ-Hlidskialf ตั้งอยู่ และวัลฮัลลา-Valhalla พระราชวังซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกวิญญาณนักรบที่ได้รับเลือกขึ้นมา อันนี้ตั้งอยู่ในเกลเซอร์-Glasir กลางป่าวิเศษซึ่งใบไม้ในป่านี้เป็นที่ทองอมแดง

    วัลฮัลลา คือพระราชวังที่มีขนาดมหัศจรรย์ เล่ากันว่ามีประตูเข้าออกถึง 540 แห่ง แต่ละแห่งกว้างพอที่จะให้นักรบตัวโตๆ แปดคนเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้าไปได้อย่างสบายๆ ที่นี่มีโต๊ะยาวเป็นจำนวนมากให้พวกเอนเฮเรียร์เขาประจำที่ คบไฟจุดไว้ตามผนัง แสงคบเพลิงสะท้อนใบหอกเป็นประกายวาววับอยู่ในแสงไฟ อาหารเตรียมพร้อมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมูย่างเบียร์หรือเหล่าน้ำผึ้ง

    ในเวลานี้ครับ วัลคีรีจะมีหน้าที่ๆ ดุเดือดน้อยลงเยอะ คือเจ้าหล่อนเหล่านั้นจะเป็นผู้นำอาหารมาเสิร์ฟให้นักรบ คอยดูแลไม่ให้จานอาหารของเขาพร่อง หรือเขาสัตว์ที่ใช้แทนด้วยดื่มน้ำจะมีเหล้าไม่เต็ม นมแพะที่นำมาให้นักรบดื่มมาจากเต้าของแพะเฮดรัน เนื้อที่ใช้เสิร์ฟบนวัลฮัลลาเป็นเนื้อที่มาจากหมูป่าของเทพตัวหนึ่งชื่อ แซริมเนอร์-Saehrim มันจะถูกพ่อครัว แอนด์ริมเนอร์-Andhrimnir เชือดทุกวัน พอการเลี้ยงเสร็จสิ้นลง หมูแซริมเนอร์ก็รวมตัวกันขึ้นใหม่ กลายเป็นหมูป่าสำหรับพ่อครัวเชือดวนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้วัลฮัลลาไม่เคยขาดเนื้อในการเลี้ยงเลย

    หลังจากที่กินอาหารเสร็จ นักรบเอนเฮเรียร์จะพากันจับอาวุธออกไปที่ลานรอบวัง ฝึกปรือการต่อสู้ หรือส่วนใหญ่ต่อสู้กันจริงให้ตาย (หลอกๆ เพราะถึงแก่ความตายจากบนโลกมาทีหนึ่งแล้ว) รอจนกระทั่งเสียงเป่าเขาเรียกกินอาหารเย็น จึงเข้าร่วมโต๊ะกันอีกหน โดยมีโอดินนั่งเป็นประธานที่สุดห้องโถง พระองค์จะนั่งดูนักรบเหล่านั้นสนทนาพูดคุยกันอย่างมีความสุข หวังเพียงแต่สักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลานักรบพวกนี้จะสามัคคีร่วมมือในศึกครั้งสุดท้ายอย่างดีที่สุด

    อย่างนี้คงไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่า โอดินจะชอบพระราชวังไหนมากที่สุด ใช่แล้วละ วัลฮัลลานั่นแหละ นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้เห็นภาพอนาคตโอดินก็ตกอยู่ในความขมขื่น พระองค์มักจะสิงอยู่ในวัลฮัลลาครั้งละนานๆ ดื่มเหล้าพลางมองพวกนักรบซ้อมๆ กันไปพลาง วัลฮัลลากลายเป็นสวรรค์แสนสุขของนักรบ คนมีฝีมือในการรบทุกคนในสมัยนั้นฝันถึงวัลฮัลลา ทำให้ผู้ชายจากมิดการ์ด (ก็คือมนุษย์เรานี่ละครับ) มีศรัทธาต่อการได้ขึ้นสวรรค์แบบนี้มาก สงครามจึงกลายเป็นความกล้าหาญ เป็นสิ่งที่ควรทำและทำอย่างดุเดือดโหด มในวัยหนุ่ม เพราะการตายด้วยวัยชราที่ปราศจากคมหอกคมดาบ เป็นการตายที่น่าอายที่สุด (การขึ้นสวรรค์วัลฮัลลานี่ ภายหลังเชื่อว่ามีทางลัดด้วย คือการผูกคอตาย อันนี้เขาคงเอาไปปนกับความเชื่อตอนที่โอดินแขวนคอตัวเองบนต้นอิกดราซิล แต่ผลจะได้ขึ้นสวรรค์หรือเปล่าไม่รับรอง)

    เล่ากันว่าพวกที่โอดินชอบที่สุดเห็นจะเป็นวิญญาณนักรบที่มีสมญานามว่า เบอร์เซอร์ค–Berserk มาจากพวกที่สวมเสื้อหนังหมี-Bearskin แทนเกราะ (เหตุที่เขาใส่เพียงหนังหมีเพราะเชื่อว่าโอดินเทพเจ้าของเขาจะเป็นโล่ป้องกันอยู่แล้ว) นักรบพวกนี้จึงเป็นพวกที่กล้าหาญที่สุด ร้ายกาจที่สุด จะฆ่าศัตรูไม่ว่าหน้าไหนไม่เว้นกระทั่งศัตรูนั้นจะเป็นญาติพี่น้องของตนเอง
    --------------------------------------------------------------------
    สร้างอักษรรูน-Rune

    เรื่องเล่าของโอดินนี่คงจบไม่ได้นะครับถ้าหากขาดสิ่งที่เชื่อว่าเขาประดิษฐ์ไว้ให้มนุษย์ นั่นคืออักษรรูนครับท่านผู้อ่าน (คุ้นๆ กับแฟนๆ พ่อมดน้อยไหมนี่)

    เนื่องด้วยโอดินตระหนักในค่าแห่งความรู้ที่เขาได้มาว่ายากเย็นและเจ็บปวดเพียงใด เขาเลยแขวนคอตัวเองกับกิ่งอิกดราซิลอยู่เก้าวันเก้าคืน จ้องมองไปยังแผ่นดินมันมืดมิดของนิฟล์เฮม พิจารณาความรู้อันกว้างไกลของพระองค์ คิดหาทางจะให้เทพและมนุษย์อื่นเข้าถึงได้บ้าง

    ความทรมานที่ได้รับระหว่างเก้าวันเก้าคืน บวกกับการเพ่งพิจารณา (เหมือนการเข้าฌานสมาธินะเนี่ย แต่วิธีแปลกจัง) อย่างละเอียด วินาทีที่โอดินพบความลับบางอย่างของความตายร่างกายของพระองค์ก็ทนไม่ไหว หยุดทำงานไปดื้อๆ (ก็ตายนั่นละ) ทว่าความลับของความตายที่โอดินได้พบมาหยกๆ ยังคงค้างอยู่ในสมอง เมื่อผนวกกับแรงปรารถนายิ่งใหญ่ แล้วมันก็มากพอที่จะผลักดันตัวเองให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

    ความรู้นี่ละที่ทำให้โอดินประดิษฐ์อักษรรูนขึ้น ความที่มันเกิดจากความตาย อักษรรูนจึงกลายเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ใช้กับการเสกคาถา ร่ายคำสาปในวิชาไสยเวทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้กับการจารลงบนอาวุธเพื่อให้ไม่พลาดเป้า


    ขอขอบคุณ : Dek-D.com : My.iD Blog
     
  6. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    ข้างล่างนี่ ก๊อปเอามาฝากครับ จากกลุ่ม discussion ของกัปตันบิล เห็นพูดเกี่ยวกับ Ison ที่คุณสุกิจพูดถึง เขาโพสต์อาทิตย์ที่แล้ว ๓ ครั้ง โพสต์ใหม่สุดอยู่ข้างบน
    (แปลกันเอาเอง)

    -----
     
    Friends, about the planet showed in SECCHI stereo cameras, Mythi commented: "This heavenly body is a planet with various raw materials and specific volume, which will be added as the "moon of Enoch" or Taus as you prefer. Once Taus is in its definitive orbit, it can turn off the field of encapsulation, and this will leave it with its real diameter which is approx. 80,700 Km. This future moon has approx. 22,000 Km in diameter and will also be prepared to support life and will be used as a productive unit for the society Pleiadean of Taus. It Is being directed to stand in the place provided for the location of the planet Taus orbit in the solar system, the least intrusive way possible. The ratio of this binary set will be the same as the Earth keeps with your moon".
    Cheers! CB

    -------
     
    As Mythi said, the mass (density) of ISON complex is approx. two planets Earth, but the volume of separate objects is much higher. Look out for the last week of this month, there may be interactions between these objects and planet Earth in one way or another. Be aware that space engineers of Galactica Community know how and when to make the necessary changes happen. The planet is in full uprising, nature is losing control, the wildlife is suffering, the modifications to the stabilization will have to be taken so we can finally start the new phase that is drawn to the new society. Be prepared to observe the events during this month, and be alert to assist those who have not realized the moment they are living.
    Cheers! CB

    -------
     
    Friends, ISON objects already passed by the Sun changing the frequency of pulsation of its core changing its quantum time. Now, its speed will decrease rather than increase, even with the acceleration gains in passing by the sun. Being a controlled apparatus, the ISON will now finish the fine tuning of frequencies of the planets and their orbits during the check out of the solar system. Let's see what was in store for our planet by the scientists of "Community Galactica."
    Cheers to all of you!
    CB
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพข้างล่างเป็นหลักฐานยืนยันมาวีดีโอมาจากเว็บ ของนาซ่าน่ะครับ

    [​IMG]

    เอาวีดีโอจากแสดงการผ่านของดาวหาง ISON ที่ระยะใกล้สุดของดวงอาทิตย์ มีหลายเฟรม ทำไมวงโคจรต่างกันจัง

    Fire vs. Ice: The Science of ISON at Perihelion
    Dec. 10, 2013

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/kcROVqmF9SY?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=kcROVqmF9SY

    After several days of continued observations, scientists continue to work to determine and understand the fate of Comet ISON: There's no doubt that the comet shrank in size considerably as it rounded the sun and there's no doubt that something made it out on the other side to shoot back into space.

    Image Credit: ESA/NASA/SOHO

    After a year of observations, scientists waited with bated breath on Nov. 28, 2013, as Comet ISON made its closest approach to the sun, known as perihelion. Would the comet disintegrate in the fierce heat and gravity of the sun? Or survive intact to appear as a bright comet in the pre-dawn sky?

    Some remnant of ISON did indeed make it around the sun, but it quickly dimmed and fizzled as seen with NASA's solar observatories. This does not mean scientists were disappointed, however. A worldwide collaboration ensured that observatories around the globe and in space, as well as keen amateur astronomers, gathered one of the largest sets of comet observations of all time, which will provide fodder for study for years to come.

    On Dec. 10, 2013, researchers presented science results from the comet's last days at the 2013 Fall American Geophysical Union meeting in San Francisco, Calif. They described how this unique comet lost mass in advance of reaching perihelion and most likely broke up during its closest approach, as well, as summarized what this means for determining what the comet was made of.

    "The comet's story begins with the very formation of the solar system," said Karl Battams, an astrophysicist at the Naval Research Lab in Washington, D.C. "The dirty snowball that we came to call Comet ISON was created at the same time as the planets."
    ISON circled the solar system in the Oort cloud, more than 4.5 trillion miles away from the sun. At some point a few million years ago, something occurred – perhaps the passage of a nearby star – to knock ISON out of its orbit and send it hurtling along a path for its first trip into the inner solar system.

    The comet was first spotted 585 million miles away in September 2012 by two Russian astronomers: Vitali Nevski and Artyom Novichonok. The comet was named after the project that discovered it, the International Scientific Optical Network, or ISON, and given an official designation of C/2012 S1 (ISON). When comet scientists mapped out Comet ISON's orbit they learned that the comet would swing within 1.1 million miles of the sun's surface, making it what's known as a sungrazing comet, providing opportunities to study this pristine bit of the early solar system as it lost material while approaching the higher temperatures of the sun. With this knowledge, an international campaign to observe the comet was born. The number of space-based, ground-based, and amateur observations was unprecedented, including 12 NASA space-based assets observing Comet ISON over the past year.
    Near the beginning of October, 2013, two months before perihelion, NASA's Mars Reconnaissance Observer, or MRO, turned its HiRISE instrument to view the comet during its closest approach to Mars in October 2013.

    "The size of ISON's nucleus could be a little over half a mile across --- at the most. Very likely it could have been as small as several hundred yards," said Alfred McEwen, the principal investigator for the HiRISE instrument at Arizona State University, in Tucson.
    In other words, Comet ISON might have been the length of five or six football fields. This small size was near the borderline of how big ISON needed to be to survive its trip around the sun.
    During that trip around the sun, Geraint Jones, a comet scientist at University College London's Mullard Space Science Laboratory in the UK studied the comet's dust tails to better understand what happened as it rounded the sun. By fitting models of the dust tail to the actual observations from NASA's Solar Terrestrial Observatory, or STEREO, and the joint European Space Agency/NASA Solar and Heliospheric Observatory, or SOHO, Jones showed that very little dust was produced after perihelion, which may suggest that the comet's nucleus had already broken up by that time.

    A white plus sign shows where the Comet should have appeared in this SDO image.

    This image from NASA's Solar Dynamics Observatory shows the sun, but no Comet ISON was seen. A white plus sign shows where the Comet should have appeared.

    Image Credit: NASA/SDO

    While the comet was visible in STEREO and SOHO images going into perihelion, it was not visible in the data from NASA's Solar Dynamics Observatory, or SDO, or from ground based solar observatories during its closest approach to the sun. Dean Pesnell, project scientist for SDO at NASA's Goddard Space Flight Center in Greenbelt, Md., explained why Comet ISON wasn't visible in SDO and what could be learned from that: SDO is tuned to see wavelengths of light that would indicate the presence of oxygen, which is very common in comets.

    "The fact that ISON did not show oxygen despite how close it came to the sun provides information about how high was the evaporation temperature of ISON's material," said Pesnell. "This limits what it could have been made of."
    When Comet ISON was first spotted in September 2012, it was relatively bright for a comet at such a great distance from the sun. Consequently, many people had high hopes it would provide a beautiful light show visible in the night sky throughout December 2013. That potential ended when Comet ISON disrupted during perihelion. However, the legacy of the comet will go on for years as scientists analyze the tremendous data set collected during ISON's journey.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.png
      0.1.png
      ขนาดไฟล์:
      922.5 KB
      เปิดดู:
      2,141
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Tribulation Now ได้แชร์ลิงก์

    เปิดเผย ISON ภาค 2 - นักวิทยาศาสตร์ยืนยันเศษของดาวหาง ISON มีผลกระทบกับโลก ISON'S REVELATIONS... PART 2 - SCIENTISTS CONFIRM DEBRIS TO IMPACT EARTH


    Please DISCERN !! ♥ She says that now, Mar's Orbiter Mission is on it's way to Earth's orbit.....wonder why?


    <iframe width="640" height="390" src="//www.youtube.com/embed/p4G59pXChkg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=p4G59pXChkg]ISON'S REVELATIONS... PART 2 - SCIENTISTS CONFIRM DEBRIS TO IMPACT EARTH - YouTube[/ame]
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พบ "ทะเลสาบบรรพกาล" บนดาวอังคาร
    updated: 11 ธ.ค. 2556 เวลา 15:40:04 น.
    ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]

    จอห์น กร็อตซิงเกอร์ หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำโครงการคิวริออสซิตี ยานหุ่นยนต์สำรวจพื้นผิวดาวอังคารขององค์การบริหารการบินอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยข้อมูลใหม่ล่าสุดที่เป็นผลของการสำรวจพื้นผิวบริเวณ เกล เครเตอร์ ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาต่อสหภาพธรณีฟิสิกส์อเมริกันเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่า จากการเดินทางถึงพื้นที่ซึ่งเรียกว่า "เยลโลว์ไนฟ์ เบย์" ที่มีสภาพเป็นร่องลึกราว 5 เมตรที่มีสภาพเป็นหินทรายบะซอลท์ คิวริออสซิตี พบข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นทะเลสาบ มีน้ำในสภาพเป็นของเหลวคงสภาพอยู่เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว

    การสำรวจบริเวณเยลโลว์ไนฟ์ เบย์ ดังกล่าวมีขึ้นตั้งแต่ราวเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และข้อมูลทั้งหมดเพิ่งผ่านการวิเคราะห์วิจัยของทีมนักวิทยาศาสตร์ หลังจากที่นาซาเคยแถลงเมื่อเดือนมีนาคมว่า พื้นที่ดังกล่าวครั้งหนึ่งเคยมีสภาพที่เอื้อต่อการมีชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตในระดับจุลชีพ ทั้งนี้ หลังจากมีการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม ทีมงานพบว่า ทะเลสาบบรรพกาลดังกล่าวเคยมีน้ำในสภาพของเหลวคงสภาพอยู่เมื่อประมาณ 3,500-3,600 ล้านปีก่อน และมีขีดความสามารถมากเพียงพอต่อการเอื้ออำนวยให้มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ระหว่างหลายหมื่นถึงหลายแสนล้านปี โดยมีสภาพนิเวศคล้ายคลึงกับสภาพบนพื้นโลกเลยทีเดียว

    ศ.กร็อตซิงเกอร์ระบุว่า ในครั้งกระนั้นน่าจะมีหิมะ หรือแม้กระทั่งมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่บริเวณยอดเขาของเทือกเขาที่รายล้อมอยู่โดยรอบทะเลสาบแห่งนี้

    ข้อมูลดังกล่าวเหล่านั้นคิวริออสซิตีได้จากการตรวจสอบดินในระดับต่ำสุดของผิวดินบริเวณนั้น เพื่อตรวจสอบดูว่ามีสิ่งมีชีวิตในระดับจุลินทรีย์อยู่หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุลินทรีย์ที่เรียกว่า "เคโมลิโธออโตโทรฟส์" ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ใช้สารอนินทรีย์เป็นแหล่งพลังงานและใช้คาร์บอนไดออกไซด์เป็นแหล่งคาร์บอน ที่ปกติแล้วพบมากตามถ้ำต่างๆ บนพื้นโลก โดยอาศัยการย่อยสลายหินและแร่ธาตุในบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งพลังงานเช่นเดียวกับที่ทำบนพื้นโลก

    ทะเลสาบบรรพกาลที่พบนี้มีขนาดยาวราว48 กิโลเมตร และกว้างราวๆ 5 กิโลเมตร นักวิจัยเชื่อว่านอกจากจะมีน้ำในสภาพของเหลวอยู่แล้ว น้ำในบริเวณทะเลสาบแห่งนี้น่าจะใช้ดื่มได้ด้วย เนื่องจากมีระดับความเค็มต่ำ และมีสารแร่ตามธรรมชาติเจือปนอยู่ และแม้ว่าคิวริออสซิตีไม่ได้พบสัญญาณบ่งชี้ถึงสิ่งมี

    ชีวิตจริงๆ แต่ปัจจัยประกอบในบริเวณดังกล่าวทั้งหมดก็สนับสนุนว่า มีสภาวะที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้และน่าจะมีสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอยู่แน่นอน

    กร็อตซิงเกอร์เปิดเผยว่าภารกิจลำดับถัดไปสำหรับคิวริออสซิตีก็คือการมองหา "ออร์แกนิค คาร์บอน" หรือคาร์บอนอินทรีย์ ที่มีในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะหาพบถูกเก็บกักรักษาเอาไว้ในสภาพแวดล้อมแบบที่เป็นอยู่ในเวลานี้ของดาวอังคาร

    แต่ถ้าหากเจอก็จะถือเป็นการค้นพบที่ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจที่สุดของคิวริออสซิตีได้เลยทีเดียว

    ที่มา : นสพ.มติชน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.jpg
      0.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.2 KB
      เปิดดู:
      1,932
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อัปเดตข้อมูลดางหาง ISON วันที่ 10 ธันวาคม 2556 ฝนดาวตกในตำแหน่งที่อยู่ไกลโลกมาก?
    Comet ISON update Dec. 10 – Meteor shower in the offing?
    Dec 10th, 2013 @ 02:57 pm › astrobob


    [​IMG]
    ภาพหนึ่งจากภาพถ่ายต่างๆ จากยานอวกาศ ซึ่งถูกถ่ายด้วย STEREO-A prob ของ NASA เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2556
    "One of the last spacecraft photos of Comet ISON. It was taken with NASA’s STEREO-A probe on Dec. 6, 2013. This image was compiled using 11 photos stacked atop each other to improve the comet’s visibility. Click to enlarge. Credit: NASA / Toni Scarmato" *1

    ดาวหาง ISON ได้หลุดจากการมองเห็นของยานอวกาศในชั่วขณะ และก็มาถึงการท้าทายของนักดาราศาสตร์ระดับอาชีพ และสมัครเล่นในพื้นโลกที่จะจับตาดูต่อ แต่มีเพียงแค่
    นักดาราศาสตร์สมัครเล่นท่านหนึ่งในสเปนที่มีความพยายามที่จะมองดูดาวหาง ISON และถ่ายภาพแต่ก็ไม่สำเร็จ
    Comet ISON has left the eyes of spacecraft for the moment and now challenges amateur and professional astronomers from the ground. To date, there has been only one positive observation by an amateur astronomer in Spain and a couple “maybes”. Many have tried to see and photograph the comet’s faint remains, but none have been successful.

    [​IMG]

    การหันไปทางท้องฟ้าด้านตะวันออก 1ชั่วโมงครึ่ง ถึง หนึ่งชั่วโมงสี่สิบห้านาที ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น... ตำแหน่งของดาวหางจะถูกแสดงเป็นรายวัน และจะถูกบันทึกทุกๆ 3 วัน ดาวต่างๆถูก เขียนในแผนผังด้วย mag 6 .....
    "The sky facing east 1 1/2 to 1 3/4 hours before sunrise for mid-northern latitude skywatchers. The comet’s position is shown daily and marked every 3 days. Stars plotted to mag. 6. Guide stars are labeled: Oph = Ophiuchus, Her = Hercules, Ser = Serpens and CrB = Corona Borealis. Click for a large version. Created with Chris Marriott’s SkyMap software" *2

    เช้าวันพรุ่งนี้ดาวหาง ISON จะไต่ขึ้นไปอยู่ตำแหน่งอัลติจูด15องศาในท้องฟ้าตอนเช้าก่อนเริ่มแรกของแสงรุ่งอรุณ ซึ่งมีระยะเวลาเพียงพอที่จะถ่ายด้วยกล้องที่มีความเร็ว และมีเลนส์ที่เร็ง โดยไม่ต้องโดนหมอกควันในยามเช้ารบกวน. รูปถ่ายที่ถ่ายในระยะเวลาสั้น ๆ และอุปกรณ์ที่มีตามปกติของมุมมองผ่านกล้องโทรทรรศน์ซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นร่องรอยของนิวเคลียส หรือไอน้ำในแกนกลางของดาวหาง
    Tomorrow morning, ISON climbs to 15 degrees altitude in the morning sky before the onset of twilight. That’s high enough for someone with a fast telephoto lens or fast, wide-field telescope to make a long time exposure without haze and dawn interfering. Photos taken with typical narrower fields of view through telescopes haven’t shown the faintest trace of a nucleus or condensation at the location of ISON’s core. Wide fields might still succeed.

    [​IMG]
    แกนกลางดาวหางถึงจะไม่เห็นแต่ก็คงไม่มีผลกับโลก แต่หมอกของเศษซากของดาวหางภายหลังจากเดือนธันวาคม2556 จะเข้าใกล้กับโลกที่ีะยะ 40 ล้านไมล์ วงโคจร เอียง62 องศาจากแนวนอน ทำให้อยู่เหนือแนวโลก
    "Frame grab from solarsystemcope.com/ison shows Comet ISON (now a debris cloud) later this month when making its closest approach to Earth of 40 million miles. It’s orbit is inclined 62 degrees to the horizontal, taking it high above Earth’s plane." *3

    มีทางเลือก 2 ทางครับ คือ

    ทางแรก เศษซากดาวหางคือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะตำแหน่งมันอยู่เหนือโลก และอยู่ไกลออกไปถึง 40 ล้านไมล์
    I’ve been asked whether Earth will get dusted by ISON’s dusty cloud of debris as it passes our planet on the outbound leg of its journey. The answer is almost certainly “no”. There are several reasons why. First, the debris passes far above the Earth’s orbit even at its closest approach on Dec. 26, when what’s left of the comet will be nearly directly above our planet and 40 million miles away. That’s farther than Venus and even farther than Mars during its closest approaches. I’ve read catastrophic talk ISON raining hell fire on Earth. Not gonna happen. Not even meteor fire – at least from the breakup.

    ทางที่ 2คือหมอกของซากของดาวหางขยายตัว และใหญ่ขึ้น สิ่งที่ดาวหาง ทิ้งไว้จะเดินตามเส้นทางเดิมของดาวหางในฐานะดาวหาง ISON 555
    Second, while the debris cloud will certainly expand and enlarge, the comet leftovers will continue to travel along the same general path as ISON. They won’t suddenly veer off and make a beeline for Earth. They carry much of the original momentum and direction as the comet that created them.

    [​IMG]
    "Comet ISON photographed from the International Space Station on Nov. 23. You can see the twilight glow along the Earth’s limb at bottom and part of the spacecraft in the foreground. Credit: NASA" *4

    We also have to consider that as the cloud continues to expand it will rapidly thin. While it’s true a comet’s coma (not the “hard” inner nucleus) can expand to the size of the sun and tails can reach 300 million miles (500 million km) or longer, the amount of material involved spread over those distances is vanishingly small. We’ve passed through at least one comet’s tail (Halley in 1910) with no meteor shower or other ill effects to show for it.

    Comets can be powder puffs though, that’s for sure. Even as long ago as January, when ISON was at Jupiter’s distance from the sun, NASA’s Swift spacecraft found it spewing dust at 112,000 lbs. a minute. While our planet’s highly unlikely to get an outbound meteor shower, we may encounter some of ISON’s inbound flotsam and jetsam come mid- January.

    [​IMG]
    "Illustration showing Earth encountering Comet ISON dust in mid-January 2014. Credit and copyright: Paul Wiegert" *5

    Meteor researcher Paul Wiegert of the University of Western Ontario has been using a computer to model the trajectory of dust ejected by Comet ISON and predicts that starting about January 12 and continuing for several evenings, we stand a chance of a meteor shower from material released well before perihelion.

    The dust particles will strike Earth’s atmosphere at around 125,000 mph (56 km/sec), but because they’ll be so tiny, it’s unlikely we’ll actually see anything.

    [​IMG]
    "Illustration showing Earth passing through dual debris streams left in the path of Comet ISON in January. Credit: Paul Wiegert / NASA" *6

    “Instead of burning up in a flash of light, they will drift gently down to the Earth below,” said Wiegert. In a fascinating twist, Earth will encounter not one but two dust streams from Comet ISON. Dust released by the comet and headed in toward the sun will pepper one side of Earth, while a second stream, blown back from the comet’s former head by sunlight, will pelt the other side.

    ISON dust settling into the upper atmosphere may even serve as sites for water vapor to condense and form high-altitude, blue-colored noctilucent clouds.

    As we approach the potential shower date, I’ll provide additional information. A possible radiant for the shower is in the Bootes-Draco part of the sky, which in January rises in the northeast not long after midnight. Sure, we may see nothing, but wouldn’t it be cool if ISON made its final appearance as daggers of light right here so close to home?

    Categories: Uncategorized
    Tags: Comet ISON, meteor shower, orbit
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Yellowstone Supervolcano On High Alert! (Video). Friday, December 13, 2013 5:06. (Before It's News) By Susan Duclos. ซุปเปอร์ภูเขาไฟเยลโล่สโตนในระดับเตือนภัยสูง(วีดีโอ) ในขณะนี้เราทร่บว่าภูเขาไฟที่อยู่ใต้สวนสาธารณะแห่งชาติเยลโล่สโตนมีขนาดใหญ่ขึ้น 2เท่าครึ่งจากที่เราทราบและยังเกิดชุดแผ่นดินไหวตามมาโดยการเริ่มต้นเคลื่อนตัวของแผ่นcraton ในรัฐ OK, TX, WY, and WA สอดคล้องกับในขณะนี้ว่าซุปเปอร์ภูเขาไฟเยลโล่สโตนอยู่ในระดับเตือนภัยสูงสุด

    It was recently determined that the supervolcano beneath the Yellowstone National Park is far bigger than previously known, two and a half times larger than previously thought. It is now believed to be 55 miles long, 20 miles wide at it’s furthest and nine miles deep.

    Dr James Farrell from the University of Utah states if an eruption of Yellowstone were to occur, ”it would affect the world”.

    He continued on to say “All the material that is shot up into the atmosphere [during an eruption] would eventually circle the Earth and affect the climate throughout the world.”

    Then he claimed an eruption wasn’t imminent.

    After that report and claim, an earthquake swarm started with craton movement in OK, TX, WY, and WA, as was reported by Live Free or Die here at Before it’s News on December 9, 2013.

    According to videographer Tom Lupshu, now the Yellowstone supervolcano is on high alert, but do to Barack Obama reissuing a gag order on the USGS that was first issued by Bush in 2006, on information regarding the Yellowstone supervolcano, the reports are scarce and insider sources are the only way “we the people” are being informed.

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=q14nrqFektk&feature=player_embedded]Yellowstone Supervolcano on High Alert - YouTube[/ame]

    Yellowstone Supervolcano on High Alert - YouTube
    Yellowstone Supervolcano On High Alert!

    [​IMG]

    [​IMG]

    Susan Duclos owns/writes Wake up America


    Kemjira Maneechot

    [​IMG]


    รายงานระบุว่า โรเบิร์ต บ๊อบ สมิธ ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีพิบัติแห่งเยลโลสโตนจากมหาวิทยาลัยยูทาห์ ได้เปิดเผยกับ National Geographic ว่าตอนนี้เปลือกโลกบริเวณอุทยานแห่งชาติเยลโลสโตน รัฐไวโอมิง ได้มีการยกตัวผิดปกติเป็นบริเวณกว้าง คือยกตัวถึง 3 นิ้วต่อปีตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติการยกตัวที่มากที่สุดตั้งแต่มีการเริ่มบันทึกเมื่อปี 1923 (พ.ศ.2466) และพบว่าบ่อหินละลายที่อยู่ลึกลงไปใต้เปลือกโลกนั้นตื้นขึ้นมาก ซึ่งเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังเตือนว่า ซูเปอร์โวลคาโน่ที่อยู่ภายใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนกำลังนับถอยหลังรอวันระเบิดในอีกไม่ช้า และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อมันจะระเบิดออกมาบนเปลือกโลกด้วยแรงดันมหาศาลใต้เปลือกโลก ก็จะมีอำนาจทำลายล้างทุกสิ่งบริเวณพื้นที่โดยรอบให้กลายเป็นจุน และเถ้าถ่านจากการระเบิดของมันก็จะทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งผลกระทบไปทั่วโลกเลยทีเดียว

    จากหลักฐานทางธรณีวิทยา พบว่า ซูเปอร์โวลคาโน่ใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนเกิดการระเบิดมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 2.1 ล้านปีก่อน และ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 6.4 แสนปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นได้ว่า วงจรของการระเบิดเกิดขึ้นทุก ๆ 6 - 7 แสนปี และนั่นก็หมายความว่า ช่วงเวลา 1 แสนปีนี้ มันอาจเกิดขึ้นได้อีกครั้ง

    อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการคาดคะเนว่าการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโน่ใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า เพราะก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยาหลายท่านก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องนี้ไปแล้วเช่นกัน โดยมีการคาดการณ์กันว่า หายนะครั้งยิ่งใหญ่อันเกิดจากซูเปอร์โวลคาโน่นี้ อาจเกิดขึ้นอีกครั้งภายใน 70 ปีที่จะถึงนี้ก็เป็นได้ แต่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่มีการคาดคะเนกันหรือไม่ หรือจะเกิดขึ้นคลาดเคลื่อนจากนั้นไปนานหลายร้อย หลายพันปี นักธรณีวิทยาก็ไม่ได้ประมาทกับเรื่องนี้ ยิ่งมีการจับตาเฝ้าจับตามองซูเปอร์โวลคาโน่ใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพราะมันต้องเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าหากรู้ล่วงหน้า นั่นหมายถึงการมีชีวิตรอดของผู้คนในสหรัฐฯ ที่จะสามารถเตรียมรับมือและอพยพได้ทันเวลา
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วัฎจักรสุริยะที่รุนแรงน้อยและผลตามมา The weak solar cycle and its consequences. (Posted by Adonai on December 12, 2013 in categories Presentations, Research, Science, Solar watch)

    https://m.ak.fbcdn.net/photos-h.ak/hphotos-ak-prn2/1508651_426272204167055_1456355655_n.jpg?dl=1

    การประชุมช่วงฤดูใบไม้ร่วมของสมาคมธรณีฟิสิกส์อเมริกาในปีนี้ซึ่งจัดที่ ซานฟรานซิสโก ในช่วงวันที่ 9-13 ธันวาคม พ.ศ.2556ได้มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้นำเสนอวัฎจักรวุริยะที่24 ที่รุนแรงน้อย และผลที่ตามมาจากดารเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ วัฎจักรสุริยะนี้จัดได้ว่ารุนแรงน้อยที่สุดในช่วง 100 ปี และเป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในการศึกษาดวงอาทิตย์ ระหว่างที่ดวงอาทิตย์มีท่าทีจะอ่อนแรงลง ซึ่งเป็นเรื่องปรกติสำหรับดวงอาทิตย์แต่เป็นสิ่งใหม่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่เฝ้าจับตาดูจะได้ศึกษา วัฎจักรสุริยะที่ 24 นี้คล้ายกับวัฎจักรสุริยะที่ 14 ซึ่งเกิดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี คศ.1902. -เดือนสิงหาคม ปี คศ.1913 จำนวนจุดดับถูกทำให้ดูราบเรียบเป็นแนวเดียวกัน [The maximum smoothed sunspot number (monthly number of sunspots averaged over a twelve-month period)] ซึ่งได้มาระหว่างวัฎจักรสุริยะ คือ 64.2 และต่ำสุด คือ 1.5 และมีวันที่ไม่มีจุดดับระหว่างวัฎจักรถึง 1,019 วัน วัฎจักรสนามแม่เหล็กสุริยะรอบ 11 ปี มีความเกี่ยวข้องกับการขึ้นๆ ลงๆ ของกิจกรรมสุริยะ ในช่วงเวลาที่ยาวนานดวงอาทิตย์มีความแปรปรวน รวมถึงช่วงต่ำสุดอย่างเนือยๆ (เหมือนหมดแรง) ซึ่งเกือบจะไม่มีจุดดับ, และช่วงต่ำสุด Dalton ที่มีความรุนแรงน้อย และช่วงที่กิจกรรมจุดดับเพิ่มขึ้นสูงสุดซึ่งรู้จักกันในชื่อ Modern Maximum
    ที่ดาลตันขั้นต่ำที่รุนแรงน้อยลงและกิจกรรมจุดบอดบนดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาห้าสิบปีหรือที่เรียกว่าโมเดิร์นสูงสุด ในช่วง Maunder Minimum อาจเป็นสาเหตุหลักหนึ่งของการเกิดยุคน้ำแข็งเล็ก

    [​IMG]
    ภาพที่ (image) *1

    The following image shows a graph with data from 400 years of sunspot observations (1600 - 2000):

    At this year's Fall Meeting of American Geophysical Union, held in San Francisco (December 9 - 13), several scientists made a presentation on weak Solar Cycle 24 and its consequences.
    They agree that the current solar cycle is on track to be the weakest in 100 years and are saying this is providing an unprecedented opportunity for studying the Sun. While the weakening trend is not new for the Sun, it is new and interesting for scientists who observe and measure it today.
    In this panel, scientists examined the current solar cycle in relation to past cycles and discuss the consequences of the weak solar cycle on the various layers regions between the Sun and Earth, including implications for space weather, atmosphere and climate.

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=gIhBEF94YlM&feature=player_embedded]FM13 The Weak Solar Cycle and Its Consequences PressConference - YouTube[/ame]

    FM13 The Weak Solar Cycle and Its Consequences PressConference - YouTube
    Video courtesy: AGU 2013. December 11, 2013

    * Current solar maximum conditions are substantially weaker than prior maximum in 2002

    * In 2002 CO2 and NO emitted 2 Trillion more kWh of infrared energy than in 2013

    Bee sure to check PDF files used in the presentations. Source: AGU ->
    The Weak Solar Cycle and Its Consequences Slides and Press Release - 2013 AGU Fall Meeting


    Participants:
    Nat Gopalswamy, astrophysicist, Solar Physics Laboratory, NASA Goddard Space Flight Center, Greenbelt, Maryland, USA;
    Leif Svalgaard, senior research scientist, W. W. Hansen Experimental Physics Laboratory, Stanford University, Stanford, California, USA;
    Marty Mlynczak, senior research scientist, Climate Science Branch, NASA Langley Research Center, Hampton, Virginia, USA;
    Joe Giacalone, professor and associate director, Lunar and Planetary Laboratory, University of Arizona, Tucson, Arizona, USA.

    Related

    Image below shows observed and predicted active regions/sunspots count for Solar Cycle 22, 23 and 24 (1980 - 2020).

    [​IMG]
    ภาพที่ (image) *2


    The following image shows a graph with data from 400 years of sunspot observations (1600 - 2000):

    [​IMG]
    ภาพที่ (image) *3

    Since c. 1749, continuous monthly averages of sunspot activity have been available and are shown here as reported by the Solar Influences Data Analysis Center, World Data Center for the Sunspot Index, at the Royal Observatory of Belgium.

    These figures are based on an average of measurements from many different observatories around the world. Prior to 1749, sporadic observations of sunspots are available. These were compiled and placed on consistent monthly framework by Hoyt & Schatten (1998a, 1998b).

    The most prominent feature of this graph is the c. 11 year solar magnetic cycle which is associated with the natural waxing and waning of solar activity. On longer time scales, the Sun has shown considerable variability, including the long Maunder Minimum when almost no sunspots were observed, the less severe Dalton Minimum, and increased sunspot activity during the last fifty years, known as the Modern Maximum.

    The causes for these variations are not well understood, but because sunspots and associated faculae affect the brightness of the sun, solarluminosity is lower during periods of low sunspot activity. It is widely believed that the low solar activity during the Maunder Minimum may be among the principal causes of the Little Ice Age.

    For example, during the 70-year period from 1645 to 1715, few, if any, sunspots were seen, even during expected sunspot maximums. Western Europe entered a climate period known as the "Maunder Minimum" or "Little Ice Age." Temperatures dropped by 1.8 to 2.7 degrees Fahrenheit.
    Featured image: NASA. Edit: The Watchers
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความจริงหลังกึ่งพุทธกาล ได้แชร์ ลิงก์

    ลูกไฟตกในกรีซ
    และ
    ลูกไฟในแอริโซน่า (วิดีโอของ BP)
    Data on Fireball That Exploded Over Arizona/ISON


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=X9nbSxL-8M0&feature=player_embedded]Data on Fireball That Exploded Over Arizona/ISON - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=X9nbSxL-8M0#t=12]Data on Fireball That Exploded Over Arizona/ISON - YouTube[/ame]


    "Meteor Showers in Greece
    By Abed Alloush on December 12, 2013 In Astronomy, News, Science"

    [​IMG]

    At least two meteors have fallen in Greece in the last 24 hours. Overnight, people in the Attica region observed a meteorite fall.

    According to the Professor of Geology Efthymis Lekkas, there has been a small meteor shower in Greece over the last two weeks. The professor claimed on SKAI channel, that he has a video from one of the meteors that have fallen in Greece, at his disposal.

    However in both cases, the meteors have fallen into the sea, not land, as it usually happens when such phenomena occur.

    Attica, Efthymis Lekkas, Greece, Greece news, Greek news, Ionian Sea

    ..?
    Meteor Showers in Greece | Greece.GreekReporter.com Latest News from Greece
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เผยธาตุแท้รัฐบาลจีน ญี่ปุ่นและสหรัฐ ผ่านการประกาศ ADIZ ของจีน
    15/12/2013 View: 43

    ชาญชัย คุ้มปัญญา

    [​IMG]

    เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense Identification Zone หรือ ADIZ) เหนือน่านฟ้าทะเลจีนตะวันออก บางส่วนทับซ้อนเขตแสดงตนของประเทศใกล้เคียง ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและไต้หวัน ทั้งยังทับซ้อนเขตแสดงตนของญี่ปุ่นเหนือหมู่เกาะเตียวหยู/เซนกากุ เกิดวิวาทะระหว่างประเทศเหล่านี้และพัวพันถึงสหรัฐ จนรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนต้องรีบบินด่วนมาพูดคุยกับรัฐบาลญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

    บทความนี้จะวิเคราะห์ตีแผ่ประเด็นสำคัญๆ ของวิวาทะเหล่านี้โดยสังเขป ดังนี้
    หลายประเทศ หลายมาตรฐาน:
    ADIZ หรือเรียกสั้นๆ ว่าเขตแสดงตนไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก รัฐบาลสหรัฐเป็นต้นคิดเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ล ฮาเบอร์ เป้าหมายคือเป็นส่วนหนึ่งของระบบเตือนภัยทางอากาศ ให้เครื่องบินต่างชาติทุกลำที่บินตรงเข้าเขตอธิปไตยต้องแสดงตน เพื่อให้เครื่องบินสหรัฐมีเวลาเข้าสกัดกั้นในกรณีที่เป็นเครื่องบินข้าศึก การแสดงตนดังกล่าวมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ยุคสงครามเย็น กองทัพสหรัฐวางกฎเกณฑ์และระบบการป้องกันภัยดังกล่าวอย่างจริงจัง
    รัฐบาลโอบามาและอีกหลายประเทศโจมตีว่ากฎเกณฑ์ ADIZ ของจีนไม่เหมาะสม เพราะภายใต้กฎเกณฑ์ของจีน อากาศยานต่างชาติทุกลำจะต้องแสดงตน ไม่ว่าจะการบินตรงเข้าเขตแดนหรือเป็นเพียงการบินผ่านเขตแสดงตน พร้อมกับอ้างว่าไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของสหรัฐ
    ข้อวิพากษ์เรื่องนี้คือรัฐบาลโอบามา ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ไม่ยอมพูดว่าแต่ละประเทศต่างวางกฎเกณฑ์ของตนตามใจชอบ กำหนดขอบเขตน่านฟ้าตามอำเภอใจ ไม่มีมาตรฐานสากล การที่ ADIZ ของหลายประเทศสอดคล้องกับแนวทางของสหรัฐ นั่นเป็นเพราะว่าเขตแสดงตนของประเทศเหล่านั้นเป็นพันธมิตรหรืออยู่ใต้อิทธิพลของสหรัฐ สหรัฐเคยเป็นผู้กำหนดเขตแสดงตนของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้
    เรียกร้องขอการยอมรับ แต่ไม่ยอมรับของอีกฝ่าย:
    เมื่อรัฐบาลจีนประกาศ ADIZ เหนือน่านฟ้าแถบทะเลจีนตะวันออก นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศไม่ยอมรับเขตดังกล่าวทันที พลเอกชิเกรุ อิวาซากิ (Shigeru Iwasaki) ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมญี่ปุ่นกล่าวว่า “(การประกาศ ADIZ) เพียงฝ่ายเดียวเป็นเรื่องอันตราย”
    ทางการจีนโจมตีว่าทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างก็มีเขตแสดงตนและเรียกร้องให้ประเทศอื่นปฏิบัติตาม แต่เมื่อจีนประกาศเขตแสดงตนบ้างกลับปฏิเสธ ในยามที่สหรัฐ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะประกาศเขตแสดงตน ทั้ง 3 ประเทศไม่ได้ปรึกษาหารือกับประเทศเพื่อนบ้านก่อน แต่ตอนนี้มากล่าวหาจีนว่าทำไมจึงไม่ได้ปรึกษาเพื่อนบ้านก่อน
    ข้อเท็จจริงคือ หลังรับมอบการปกป้องน่านฟ้าจากกองทัพสหรัฐเมื่อปี 1969 ญี่ปุ่นประกาศเพิ่มเขตแสดงตนอีกสองครั้ง ครั้งแรกในปี 1972 และครั้งล่าสุดคือเมื่อปี 2010 แต่รัฐบาลจีนไม่ยอมรับสักครั้ง จึงไม่แปลกใจหากทางการญี่ปุ่นจะไม่ยอมรับ ADIZ ของจีนบ้าง
    กรณีที่น่าสนใจที่สุดคือ รัฐบาลสหรัฐเรียกร้องให้ทุกประเทศยอมรับ ADIZ ของตน แต่กองทัพสหรัฐกลับไม่เคยยอมรับเขตแสดงตนของประเทศใด และเข้าสกัดกั้นอากาศยานรบทุกลำที่บินเข้าเขต ADIZ ของตน
    การประกาศ ADIZ ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง:
    ญี่ปุ่นอ้างว่าเครื่องบินรบจีนรุกล้ำน่านฟ้าญี่ปุ่น จึงต้องประกาศ ADIZ เพื่อป้องกันตนเอง ในยามนี้เมื่อจีนประกาศ ADIZ ของ ตนบ้าง ญี่ปุ่นชี้ว่าจีนกำลังยั่วยุให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่ทุกประเทศอ้างเหตุผลเดียวกันว่าที่ต้องมีเขตแสดงตนก็เพื่อความปลอดภัยของ ทุกฝ่าย เพื่อเตือนอากาศยานที่บินล่วงล้ำเข้าใกล้
    ญี่ปุ่นอ้างว่าการประกาศ ADIZ โดยไม่ปรึกษาหารือเป็นเรื่องอันตราย แต่ญี่ปุ่นประกาศเขตแสดงตนถึง 3 ครั้งโดยไม่เคยปรึกษาจีน
    ในเชิงหลักการ รัฐบาลญี่ปุ่นมีสิทธิ์ที่จะคงแผนการลาดตระเวนกับปฏิบัติการทางทหารทุกอย่าง (โดยเฉพาะในเขตพื้นที่แสดงตนทับซ้อน เขตน่านฟ้าที่ทุกฝ่ายเป็นกังวลมากที่สุด) แต่การยืนยันแผนปฏิบัติการเช่นเดิมย่อมเป็นตัวก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะ เกิดเหตุรุนแรงโดยไม่คาดฝัน ญี่ปุ่นมีสิทธิ์ที่จะเลือกเผชิญหน้าหรือเลือกที่จะหลีกเลี่ยง ในทำนองเดียวกัน กองทัพจีนก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คือสามารถเลือกที่จะยั่วยุหรือเลือกที่จะเลี่ยงความขัดแย้ง
    เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นคือ หลังการประกาศ ADIZ ได้เพียงวันเดียว รัฐบาลจีนก็ส่งเครื่องบินลาดตระเวนสอดแนมไปตรวจการเหนือหมู่เกาะเตียวหยู/เซนกากุ ฝ่ายญี่ปุ่นตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินรบเข้าสกัดกั้น ข้อสังเกตคือเป็นเพียงการสกัดกั้น ไม่เกิดการปะทะ ทั้งสองฝ่ายระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง
    ไม่อาจปฏิเสธว่าการเผชิญหน้าลักษณะดังกล่าว ย่อมมีโอกาสกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น แต่นับจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา 2 ประเทศไม่เคยทำสงครามต่อกัน การสกัดกั้นอากาศยานเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่เสมอและเพิ่มมากขึ้นใน ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา
    นักวิเคราะห์หลายคนกังวลว่าอาจเกิดความรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ ยกเหตุการณ์ใน 2001 เครื่องบินขับไล่จีนลำหนึ่งพุ่งชนเครื่องบินลาดตระเวน EP-3 ของสหรัฐ แต่ทุกอย่างย่อมอยู่ภายใต้การควบคุมของแต่ละฝ่ายว่าต้องการให้ความรุนแรงบานปลายหรือไม่ กรณี EP-3 เป็นหลักฐานที่ดี เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างกลับคืนสู่ภาวะปกติ
    ประเด็นที่ต้องไม่ลืมคือ ไม่ว่าจะมี ADIZ หรือไม่ จีนกับญี่ปุ่นมีความขัดแย้งด้านความมั่นคงที่ชัดเจนและมากพออยู่แล้ว ถ้าคู่กรณีต้องการให้ความขัดแย้งบานปลายย่อมกระทำได้ตลอดเวลาไม่จำต้องอ้างเขตแสดงตนของจีน ดังนั้น ความกังวลว่า ADIZ จะก่อให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่จึงเป็นการกล่าวเกินจริง
    การช่วงชิงหมู่เกาะเตียวหยู/เซนกากุ:
    ในบรรดาการวิเคราะห์เหตุผลแรงจูงใจของจีน หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่ารัฐบาลจีนมุ่งหวังผลประโยชน์จากกรณีข้อพิพาทหมู่เกาะเตียวหยู/เซนกากุ รองประธานาธิบดีโจ ไบเดนกับนายกฯ อาเบะเห็นตรงกันว่าทางการจีนหวังผลเรื่องหมู่เกาะเตียวหยู/เซนกากุ เพื่อกดดันญี่ปุ่นให้ยอมเจรจาเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะ เนื่องจาก ADIZ ที่ประกาศมีส่วนทับซ้อนหมู่เกาะดังกล่าว
    แต่คำกล่าวเหล่านี้เป็นการกล่าวอ้างเพียงฝ่ายเดียวทั้งสิ้น เพราะทั้งจีนกับญี่ปุ่นต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะ ที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นไม่ยอมเจรจาเรื่องกรรมสิทธิ์ โดยอ้างว่าไม่มีเหตุต้องเจรจา เนื่องจากเป็นของตนโดยสมบูรณ์
    หากมองในมุมของจีน รัฐบาลจีนย่อมมีความชอบธรรมที่ปกป้องน่านฟ้าหมู่เกาะของตน การประกาศเขตแสดงตนเหนือหมู่เกาะและพื้นที่โดยรอบจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หรือหากจีนจะพยายามช่วงชิงดินแดนของตนคืนย่อมเป็นการสมควร
    และเช่นเคย ประเทศคู่กรณีจะไม่ยอมถอยแน่นอน การอ้างกรรมสิทธิ์หมู่เกาะพิพาทจะคงสถานะเดิมต่อไป เพียงแต่เพิ่มเรื่องการทับซ้อนของเขตแสดงตนอีกเรื่องหนึ่ง
    สองมาตรฐานจากอเมริกาอีกแล้วหรือ:
    มีการพูดถึงโอกาสที่เครื่องบินพลเรือนจะถูกยิง โดยยกกรณีตัวอย่างในปี 1983 เมื่อเครื่องบินของสายการบินเกาหลีใต้ลำหนึ่งบินเข้าน่านฟ้าโซเวียตและถูกยิงตก นักบินกับผู้โดยสารทั้งหมด 269 คนเสียชีวิต ในเรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าโดยทั่วไปแล้วเครื่องบินพลเรือนจะไม่มีปัญหา ยากที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะสายการบินจะส่งแผนการบินให้กับผู้ควบคุมภาคพื้นดินล่วงหน้า มีการติดต่อกับผู้ควบคุมอยู่ตลอดเวลา
    ปัญหาจึงอยู่กับสายการบินที่ไม่ยอมแสดงตน ไม่ยอมส่งแผนการบินให้กับหน่วยงานจีน
    ในตอนแรกทางการญี่ปุ่นพยายามกดดันห้ามสายการบินของประเทศไม่รายงานเส้นทางการบิน ไม่แสดงตนต่อทางการจีน แต่เมื่อกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแนะให้สายการบินสหรัฐแสดงตน สื่อญี่ปุ่นก็พากันวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐอย่างรุนแรง ชี้ว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ดีแก่จีนและทำให้ประเทศในภูมิภาคสับสน เกิดข้อสงสัยว่าสหรัฐยังเป็นผู้ปกป้องเสรีภาพในการบินของโลกดังที่อวดอ้างหรือไม่ เป็นพฤติกรรมสองมาตรฐานหรือไม่
    เรื่องนี้ต้องเข้าใจว่าแต่ไหนแต่ไรรัฐบาลสหรัฐมีนโยบายให้เครื่องบินพลเรือนของตนทุกลำแสดงตนต่อต่างประเทศ ด้วยเหตุผลเพื่อความปลอดภัยของพลเรือน อากาศยานที่ไม่แสดงตนคืออากาศยานของรัฐบาลเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่อาจโทษว่ารัฐบาลสหรัฐปฏิบัติสองมาตรฐาน
    หลังการประชุมร่วมระหว่างรองประธานาธิบดีไบเดน กับนายกฯ อาเบะ ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าความปลอดภัยของเครื่องบินพลเรือนเป็นเรื่องสำคัญ ประเด็นนี้สามารถวิเคราะห์ได้หลายมุม ในมุมแรกคือรัฐบาลญี่ปุ่นพยายามใช้ประเด็นเครื่องบินพลเรือนเป็นเครื่องมือกดดันรัฐบาลจีน แสดงท่าทีแข็งกร้าว ในอีกมุมหนึ่งอาจตีความว่ารัฐบาลอาเบะรู้ล่วงหน้าว่าทางออกของเรื่องนี้คืออะไร แต่เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่าอ่อนแอ สูญเสียคะแนนนิยมจากพวกชาตินิยมญี่ปุ่น จึงประกาศจุดยืนเรื่องการไม่แสดงตนของเครื่องบินพลเรือนไปก่อน พร้อมกับกล่าวโทษรัฐบาลสหรัฐที่ไม่เสมอต้นเสมอปลาย ตอนจบของเรื่องนี้คือผู้นำสองประเทศได้เจรจาและเห็นพ้องต้องกันว่าความปลอดภัยของเครื่องบินพลเรือนต้องมาก่อน
    ในระหว่างการเยือนจีนเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแสดงตน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกล่าวต่อรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตอกย้ำคำพูดเดิมๆ ว่า “สองฝ่ายควรรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคีในทิศทางที่ถูกต้อง เคารพผลประโยชน์หลักและข้อกังวลของกันและกัน กระตือรือร้นในการขยายความร่วมมือที่ทำได้จริง จัดการประเด็นอ่อนไหวและความแตกต่างอย่างเหมาะสม”
    รวมความแล้ว การเยือนจีนของรองประธานาธิบดีไบเดนไม่สามารถยับยั้ง ADIZ ของจีน ข้อสรุปที่ได้คือขอให้จีนกับญี่ปุ่นสร้างกลไกบริหารจัดการ สร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างกันเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เป็นแนวทางเดียวกับที่รัฐบาลจีนแสดงท่าทีตั้งแต่ต้น การเยือน 3 ประเทศของรองประธานาธิบดีไบเดนคือวิธีการที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดลงเอยด้วยดี อันเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลทุกประเทศต้องการ แต่เรื่องราวจะจบเพียงเท่านี้หรือไม่ต้องติดตามต่อไป

    ที่มา สถานการณ์โลก
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Piyacheep S. Vatcharobol ▶ รายงานสถานการณ์รอบโลก/นอกโลก

    Ella Kalouch Good day y'all, 4 min news!

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Kw0u9UAkSrI&feature=player_embedded]4MIN News December 15, 2013: Magnetic Shield, Mars Water, Spaceweather - YouTube[/ame]

    ดูและฟังคลิปแล้วก็สะดุ้งนิดหน่อยแม้นจะรู้อะไรๆอยู่แล้ว
    นาซายอมรับเป็นทางการว่า สนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลังลงแล้ว ๑๕% ในปี ค.ศ. 2003 สนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลังลง ๑๐% เพียง ๑๐ ปีเท่านนั้น สนามแม่เหล็กโลกอ่นกำลังเพิ่มขึ้นอีก ๕% และยังบอกว่า สนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลังลงมีผลให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง

    บทความลึ้งค์ล่างนี้ก็ยืนยันว่า สนามแม่เหล็กอ่อนลงมีผลทำให้เกิดขั้วโลกสลับกัน
    Space Agency: Weakening Of Earth’s Magnetic Field Could Indicate Pole Reversal « CBS Philly

    แต่ผมขอสรุปง่ายๆสำหรับท่านที่ไม่อ่านบาความภาษาอังกฤษนะครับว่า ข้อมูลด้านบนนี้ยืนยันว่า โลกเราอันตรายขึ้น อบู่ยากขึ้น เพราะเมืองสนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลังลงแล้ว

    นอกจากภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงไป
    นอกจากตำแหน่งทวีปต่างๆบนโลกจะเปลี่ยนตำแหน่งกัน
    นอกจากแผ่นดินจะไหวมากยิ่งขึ้น
    นอกจากภูเขาไฟจะระเบิดมากยิ่งขึ้น
    นอกจากแก๊สบีเธนจะระเหยออกจากใต้ดินสู่บรรยากาศมากยิ่งขึ้น
    นอกจากยุคน้ำแข็งน้อยๆจะเกิดขึ้นทั่วโลกซีกเหนือ
    นอกจากระดับน้ำจะท่วมโลกมากขึ้น
    และอีกสารพัดนาอกจาก ฯฯฯฯฯฯฯฯฯ

    กัมมันภาพรังสีต่างๆจากอวกาศ ทั้งจากในและนอกระบบสุริยะจะเข้าสู่โลกมากมายยิ่งขึ้น ความร้อนจากลมสุริยะ จากพายุสุริยะจะเผาผลาญโลกมากมายยิ่งขึ้น อุกาบาตพุ่งสู่โลกมากยิ่งขึ้น

    อย่าแปลกใจนะครับ ที่ผมเตือนย้ำเสมอว่า
    เราควรมีที่อยู่อาศัยใต้ดิน หรือ หลบจากแสงชั่วระยะเวลา ๒ ปี
    คือ พ.ศ. ๒๕๕๗ และ ๒๕๕๘ อย่างที่เคยบรรยายไว้นะครับ

    นานาประเทศสร้างที่หลบภัยใต้ดินหมด
    พม่าสร้างเมืองใต้ดินจุคนได้ ๕ แสนคน
    พวกเขาสร้างกันทำไม???

    เข้า Google ค้นหาคำว่า Underground Bunker
    แล้วเปิดคลิปดูไปเรื่อยๆนะครับ บทความก็มี ใช้กูเกิ้ลแปลก็ได้

    พิบัติภัยที่ยืนยันยอมรับทั่วไปคือ
    โลกร้อนขึ้นอันตรายขึ้นจากรังสีอวกาศ
    ฝนจะตกน้ำจะท่วมทุกภูมิภาคของโลก
    ความหนาวเย็น Littie Ice Age กำลังเกิดขึ้น

    หลัง ๒๑ ธันวาคมนี้เป็นต้นไป โลกเข้าสู่ Killing Zone
    หลัง ๒๘ ธันวาคมนี้เป็นต้นไป ชาวโลกจะระทึกใจไปต่างๆนาๆ

    เตรีอมให้พร้อม เตรียมเกินดีกว่าเตรียมขาด
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    Climate change is moving the North pole and affecting Earth's rotation (การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนตำแหน่งขั้วโลกเหนือ และมีผลกระทบต่อการหมุนของโลก)

    I thought I knew all the dreadful effects of climate change, but this new discovery has truly surprised me: (ฉันคิดว่า ฉันรู้ว่าจักผลกระทบที่น่ากลัวของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทุกอย่าง แต่การค้นพบใหม่นี้ได้ทำให้เกิดความประหลาดใจอย่างแท้จริง):

    "Climate change is causing the North Pole's location to drift, owing to subtle changes in Earth's rotation that result from the melting of glaciers and ice sheets." The entire Earth is tilting because this change.
    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเป็นสาเหตุของสถ​​านขั้วโลกเหนือเบี่ยงเบนออกไปจากจุดเดิม การเปลี่ยนแปลงในส่วนการหมุนของโลกมีผลมาจากการละลายของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งต่างๆ "โลกทั้งใบจะเอียงเพราะการเปลี่ยนแปลงนี้"

    One example:

    The influx of fresh water from shrinking ice sheets also causes the planet to pitch over. (การไหลเข้าแทนที่ของน้ำจืดจากการละลายของแผ่นน้ำแข็งหดตัวลง จะทำให้ดวงดาวเอียงคว่ำเพิ่มขึ้น)
    Landerer and colleagues estimate that the melting of Greenland's ice is already causing Earth's axis to tilt at an annual rate of about 2.6 centimetres – and that rate may increase significantly in the coming years. (Landerer และเพื่อนร่วมงานประเมินว่าการละลายของน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่มีอยู่แล้วทำให้แกนของโลกเอียงในอัตราต่อปีประมาณ 2.6 เซนติเมตร - และอัตราการละบายดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีที่กำลังจะมาถึง)

    During the this century, ocean warming will make the north pole's spin axis to move towards Alaska and Hawaii about 1.5 centimers per year. The newly redistributed mass will also make our planet to spin faster. (ในช่วงศตวรรษนี้ มหาสมุทรที่มีอุณหภูมิที่อุ่นขึ้รจะทำให้แกนหมุนขั้วโลกเหนือเคลื่อนที่ไปอลาสก้าและฮาวายประมาณ 1.5 centimers ต่อปี มวลแจกจ่ายใหม่ยังจะทำให้โลกของเราหมุนเร็วขึ้นอีก

    Climate change is moving the North pole and affecting Earth's rotation
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รายงานสถานการณ์รอบโลก/นอกโลก
    ทำให้นักวิทย์ งง งวย เมื่อ ISON กำลังล่องหนและมีเกราะไฟฟ้าป้องกันอยู่???

    คลิป
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=0AI3q3tzR-E&feature=player_embedded]Remote Viewing ISON and Cloaked Object nibiru,Planet X - YouTube[/ame]

    นักพยากรณ์รีโมท วิวเวอร์ เป็นทีม 270 คนนักพยากรณ์อนาคตของอเมริกาที่สนับสนุนโดยกองทัพบกสหรัฐ ชื่อสถาบัน Far sight Institute (The Farsight Institute | Remote Viewing Nonprofit Research & Education) แต่ละคนจะได้รับการให้คะแนนความแม่นยำในการทำนาย ซึ่งมีอยู่ 28 คนที่อยู่ในระดับแม่นมาก กองทัพสหรัฐฯ ใช้ทีมนักพยากรณ์กลุ่มนี้ทุกครั้งที่จะเคลื่อนทัพหรือวางแผนการรบต่างๆ

    (เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เปิดเผยถึงการมีอยู่จริงของกลุ่มรีโมท วิวเวอร์นี้ และแจ้งคำทำนายว่าจะเกิดเหตุการณ์ The Killshot จากพายุสุริยะขนาดใหญ่ที่จะส่งผลส่ง EMP มาทำลายระบบไฟฟ้า อิเลคทรอนิคส์ทั่วโลก รวมทั้งหยุดการทำงานของดาวเทียมและเครื่องบิน จนทำให้สหรัฐต้องซ้อมดับไฟครั้งใหญ่ 3 ประเทศไปเมื่อ 13-14 พย 56)

    คราวนี้ มีหัวข้อมาให้ทำนายคือ ดาวหาง ISON ในคลิปคือ Ed Riordan ทำนายสิ่งที่เค้ามองเห็นเมื่อวันที่ 11 พย 56 ว่าคือ ยานดวงเล็กสีแดง-น้ำเงินที่มีเกราะไฟฟ้า (Electric Force Field) ป้องกันอยู่ และถูกทำให้มองไม่เห็น (cloak) และมีขนาดใหญ่ที่จะทำให้นักวิทย์ งง งวย เพราะผิดไปจากความเชื่อเดิมๆ แต่อย่างไรเสียนักวิทย์จะสามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของมันได้

    น่าแปลกที่เค้าทำนายเมื่อวันที่ 11 พย 56 ล่วงหน้า พร้อมวาดภาพให้เห็น ก่อนที่กล้องโทรทัศน์ 3 ดวงคือ SECCHI HI SREM A, HI 1, และ Stereo จะจับภาพได้ในวันที่ 28 พย และ 5 ธค 56 ค่ะ

    @Ammy Chumnankij

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kcROVqmF9SY&feature=player_embedded]NASA | Comet ISON's Full Perihelion Pass - YouTube[/ame]

    NASA | Comet ISON's Full Perihelion Pass
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Sun Today: Solar Facts and Space Weather

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=B4UtVo7-yJA&feature=player_embedded]NASA | The Sun Reverses its Magnetic Poles - YouTube[/ame]

    มโนภาพใหม่ของ NASA แสดงการกลับขั้วสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ (Dec. 6, 2013) โดยการแสดงตำแหน่งของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ จาก เดือนมกราคม คศ.1997 ถึงเดือนธันวาคม คศ.2013

    New NASA Visualization Shows Sun's Magnetic Flip

    Image Credit: NASA/GSFC/PFSS
    › Download video
    This visualization shows the position of the sun's magnetic fields from January 1997 to December 2013. The field lines swarm with activity: The magenta lines show where the sun's overall field is negative and the green lines show where it is positive. Additional gray lines represent areas of local magnetic variation.
    The entire sun's magnetic polarity, flips approximately every 11 years -- though sometimes it takes quite a bit longer -- and defines what's known as the solar cycle. The visualization shows how in 1997, the sun shows the positive polarity on the top, and the negative polarity on the bottom. Over the next 12 years, each set of lines is seen to creep toward the opposite pole eventually showing a complete flip. By the end of the movie, each set of lines are working their way back to show a positive polarity on the top to complete the full 22 year magnetic solar cycle.
    At the height of each magnetic flip, the sun goes through periods of more solar activity, during which there are more sunspots, and more eruptive events such as solar flares and coronal mass ejections, or CMEs. The point in time with the most sunspots is called solar maximum.

    Karen C. Fox
    NASA's Goddard Space Flight Center, Greenbelt, Md.

    ข้อมูลจาก (data from:) New NASA Visualization Shows Sun's Magnetic Flip | NASA
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วีดีโอการประชุมช่วงฤดูใบไม้ร่วมของสมาคมธรณีฟิสิกส์อเมริกาในปีนี้ซึ่งจัดที่ ซานฟรานซิสโก ในช่วงวันที่ 9-13 ธันวาคม พ.ศ.2556
    video of Fall Meeting of American Geophysical Union, held in San Francisco (December 9 - 13. 2013),

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kmFnn5MuSdQ&feature=player_embedded]FM13 See Through Seas Imaging the Planet's Hidden Interior PressConference - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=602rW538WCA&feature=player_embedded]FM13 SinoProbe An Unprecedented View Inside Earth's Largest Continent PressConference - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ni61Ph1IayY&feature=player_embedded]FM13 New Observations of Europa from the Hubble Space Telescope Press Conference - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=dZZsTgl-jHQ&feature=player_embedded]FM13 Arctic Report Card 2013 Press Conference - YouTube[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...