ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ติดตาม สงครามเย็นหลังโควิด-19 ปมเหตุที่1: ไต้หวันกลับเข้า WHO

    ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่มนุษยชาติผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สอง หลายฝ่ายต่างก็พูดถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แต่ไม่ทันได้มีวันนั้น ประชาคมโลกก็เข้าสู่ยุคสงครามเย็น (Cold War) แบ่งข้างประเทศกลุ่มตะวันตก (สหรัฐอเมริกา พันธมิตรนาโต ฯลฯ) และประเทศกลุ่มตะวันออก (สหภาพโซเวียตและพันธมิตรในสนธิสัญญาวอร์ซอ) ต่อสู้เพื่อครองความเป็นใหญ่ ช่วงชิงเครือข่ายอำนาจในภูมิภาคต่าง ๆ ผ่านสงครามตัวแทนทั่วโลก และสงครามรูปแบบอื่น ๆ
    .
    เช่นเดียวกัน หลังความวิบัติของโรคระบาดใหญ่ โควิด-19 ผู้เชี่ยวชาญฯ เริ่มพูดถึงหลายปมใหญ่ที่จะขมวดกันเป็นสงครามเย็นครั้งใหม่ ประชาคมระหว่างประเทศต่างระแวงกันอย่างฝังลึก ขณะที่ "สงครามเย็นทางเทคโนโลยี" ระหว่างจีนและตะวันตก ก็ยังไม่ได้คลี่คลาย
    .
    ปมเหตุหนึ่งในนั้นรวมถึงความตึงเครียดทางการเมือง อำนาจอธิปไตยเหนือไต้หวันของจีน
    .
    กระแสข่าวในสื่อตะวันตก รายงานข้อมูลการบริหารสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ของไต้หวัน ว่าเป็นกรณีศึกษาความสำเร็จสำหรับโลก ประธานาธิบดีไต้หวัน ไช่ อิงเหวิน ก็ใช้โอกาสนี้ประกาศพร้อมช่วยประเทศอื่นทั่วโลก ต่อสู้กับโควิด – 19 ทั้งในด้านแบบแผนฯ และในเวชภัณฑ์ปัจจัยอื่น ๆ ผ่านการบริจาคหน้ากากอนามัยให้กับประเทศใดก็แล้วแต่ที่ต้องการ การเพิ่มสายพานการผลิตยาต้านโรคมาลาเรีย เพื่อส่งออก และ การให้เทคโนโลยีสำหรับการตรวจเชื้อ และเทคโนโลยีสืบหาเส้นทางการระบาดของโรค (Contact Tracing) ฯลฯ
    .
    อย่างไรก็ดี แม้จีนจะแสดงผลงานยิ่งใหญ่ในการจัดการไวรัสฯ ที่เมืองอู่ฮั่นและระดับมณฑลต่าง ๆ ทั่วแผ่นดินจีนได้อย่างเบ็ดเสร็จ อีกทั้งให้ความช่วยเหลือประชาคมโลกในการพิชิตวิกฤต แต่มิใยที่ข้อมูลรายงานฯ ของทางการจีน ด้านหนึ่งกลับถูกแย้งว่ายังไม่ใช่ตัวเลขแท้จริง ยังมีหลายหน่วยงานสำรวจ คาดการณ์ว่าจำนวนที่แท้จริงน่าจะสูงกว่าตัวเลขทางการนี้ถึง 4 เท่า แม้จีนอ้างว่าข้อมูลคาดการณ์เหล่านั้นไม่ยืนอยู่บนฐานความจริง แต่อีกฝ่ายก็ยิ่งกดดันเรียกร้องให้หน่วยงานนานาชาติตรวจสอบ
    .
    นักยุทธศาสตร์มองว่าไต้หวันใช้ยุทธศาสตร์อํานาจละมุน หรือ อํานาจแบบอ่อน (soft power) กับความสัมพันธ์ทวิภาคีแต่ละชาติ อันเป็นหนทางเดียวของไต้หวันในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับประชาคมโลกในสถานะเอกเทศจากจีน
    .
    การที่นานาชาติ (สหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย) ให้การสนับสนุนรับรองไต้หวันซึ่งจีนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในอธิปไตยดินแดนของจีน เข้าร่วมองค์การอนามัยโลกในสถานะสมาชิกเต็มรูปแบบ เป็นสิ่งที่จีนคัดค้านเสมอมาว่าขัดหลักการ "จีนเดียว"
    .
    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศและการค้าของออสเตรเลีย กล่าวเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ว่า ออสเตรเลียจะให้การสนับสนุนไต้หวันกลับเข้าองค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเต็มที่หลังจากถูกกันสถานะออกไปเมื่อ 4 ปีก่อน และว่า “องค์การอนามัยโลกต้องรักษาสัมพันธภาพอันใกล้ชิดกับหน่วยงานด้านสุขภาพทั้งหมด"
    .
    สำหรับประเด็น "จีนเดียว" นั้นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียว่า “การเป็นสมาชิกขององค์กรฯ ยังรวมถึง สถานะมลรัฐ (statehood) ด้วย เราจึงสนับสนุนการมีส่วนร่วมของไต้หวันในฐานะผู้สังเกตการณ์ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายจีนเดียวของเรา”
    .
    ไต้หวันกลับเข้า WHO นี้ จะเป็นชนวนเหตุสงครามเย็น ที่ลามไปถึงสงครามการค้า ฯลฯ หรือไม่ในระยะยาว ความตึงเครียดนี้ คาดว่าจะเกิดขึ้นในการประชุมสมัชชาอนามัยโลกซึ่งมีกำหนดการในวันที่ 17-21 พฤษภาคมนี้ ...

    ................
    ภาพ - โรงแรม Grand Hotel Taipei เปิดไฟห้องพักเป็นคำว่า ZERO ร่วมฉลองไม่พบผู้ป่วยใหม่จาก COVID-19 เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา
    ข่าว -
    1. Taiwan ramps up bid to join WHO with boost from Australia.
    2. Taiwan rejoining World Health Organization still backed by Australia in diplomatically risky move.
    3. China coronavirus cases may have been four times official figure, says study.
    4. We could see 'U.S.-China Cold War' after COVID-19: Eurasia founder.

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประเทศ #ไทย ใช้มาตรการคุมเข้มจนผู้ติดเชื้อไวรัส #โควิด ลดลงอย่างชัดเจน แต่ก็ทำให้มีคนตกงานมากถึง 10 ล้านคน คนยากจน #ฆ่าตัวตาย เพิ่มขึ้นมาก
    https://mgronline.com/japan/detail/9630000045514

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภารกิจถ่ายภาพ ที่ไม่ง่ายอย่างที่คิด ในห้วงวิกฤตโควิด-19
    .
    ในห้วงวิกฤตโควิด-19 นอกจากบุคลากรการแพทย์ทั่วจีนราวๆ 40,000 คน จะต้องเดินทางเข้าเมืองอู่ฮั่น เพื่อช่วยสนับสนุนการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อแล้ว บรรดานักข่าวและช่างภาพอีกหลายชีวิตได้รับมอบหมายให้เข้าไปเก็บภาพทำข่าวเช่นกัน
    .
    ช่างภาพท่านหนึ่ง ก่อนเข้าไปเก็บภาพ มีความคิดว่า แค่ถ่ายภาพ น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เมื่อมีคำถามต่อบุคลากรการแพทย์ว่า “ถ้าวิกฤตโควิดสิ้นสุดลง อยากทำอะไรมากที่สุด?”
    .
    คำตอบของบุคลากรการแพทย์หลายๆท่านทำให้ภารกิจถ่ายภาพไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะจะทำอย่างไร ถึงจะสื่อความรู้สึกทั้งน้ำตาของบุคลากรการแพทย์เหล่านี้ ผ่านกล้อง สู่ภาพถ่าย ให้ได้ครบถ้วนที่สุด
    .
    ติดตามได้จากวีดิโอชุดนี้ครับ : Witness & Experience ให้ภาพ เล่าความจริง
    .

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1588433553465.jpg

    (May 2) ECB เปิดเผยผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่อาจมีต่อเศรษฐกิจยูโรโซน พบว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจหดตัวระหว่างร้อยละ -5 ถึง -12 ในปี 2020 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนช่วงวิกฤตได้ก่อนสิ้นปี 2022:

    ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยประมาณผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่อาจมีต่อเศรษฐกิจยูโรโซนในวันนี้ (1 พ.ค.) ซึ่งยังคงแสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์อัตราการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 ที่ขึ้นอยู่กับแนวทางการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด หรือมาตรการ “lockdown” ของแต่ละประเทศ โดยระบบการการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจและมาตรการควบคุมโรคระบาดที่รวดเร็วและเด็ดขาด ถือว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากต่อความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

    ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ซึ่ง ECB แบ่งการประมาณการเกี่ยวกับผลกระทบดังกล่าวออกเป็น 3 scenarios คือ
    1) “Mild scenario” คาดว่า มาตรการ lockdown ที่เข้มงวดจะสิ้นสุด ณ เดือน พ.ค. 2020 และกิจกรรมต่างๆ จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

    2) “Medium scenario” คาดว่า มาตรการ lockdown ที่เข้มงวดจะสิ้นสุด ณ พ.ค. 2020 เช่นกัน แต่จะค่อยๆ ทยอยผ่อนคลายมาตรการการควบคุมโรคระบาดลง ส่งผลให้การฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างช้าๆ และมีความเสียหายเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจยาวนานกว่า

    3) “Severe scenario” คาดว่า มาตรการ lockdown ที่เข้มงวดจะสิ้นสุด ณ เดือน มิ.ย. 2020 แต่ยังต้องมีมาตรการควบคุมโรคระบาดต่อไป จนกว่าวัคซีนจะถูกผลิตขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ส่งผลให้มีความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ยาวนานและมีนัยสำคัญ หรืออีกนัยหนึ่งคือ มาตรการ lockdown ที่ยาวนานขึ้นแต่ละเดือนจะส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจที่ประมาณร้อยละ -2 ถึง -2.5

    ในภาพรวมวิกฤตโรคระบาดอาจทำให้เศรษฐกิจยูโรโซนหดตัวระหว่างร้อยละ -5 ถึง -12 ในปี 2020 และกิจกรรมาทางเศรษฐกิจอาจไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนวิกฤตได้ก่อนสิ้นปี 2022 ขณะที่ GDP อาจจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เพียงร้อยละ 4 ถึง 6 ในปี 2021 ซึ่ง

    ด้าน นาย Phillip Lane – Chief Economist ของ ECB กล่าวเตือนว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 จะหดตัวรุนแรงกว่าในช่วงต้นของปีนี้ เนื่องจากประเทศต่างๆ ประกาศใช้มาตรการ lockdown ที่เข้มงวดเต็มรูปในเดือน เม.ย. ดังเห็นได้จาก consumer และ business sentiment ที่บ่งชี้ถึงการหดตัวอย่างรุนแรงของอุปสงค์ในช่วงเดือนถัดๆ ไป

    อย่างไรก็ตาม ECB พร้อมจะปรับเพิ่มขนาดหรือขยายระยะเวลาของมาตรการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) จากมูลค่าปัจจุบันที่ 750 พันล้านยูโร หากมีความจำเป็น รวมถึงเน้นย้ำว่ามาตรการของภาครัฐจะเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดความรุนแรงของผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตในครั้งนี้

    Source: BoTSS

    ภาพจาก ECB: https://www.ecb.europa.eu/pub/econo...20/html/ecb.ebbox202003_01~767f86ae95.en.html

    เพิ่มเติม
    - Covid-19 could cut eurozone GDP by 5%, 8% or 12% in 2020 – ECB

    https://www.centralbanking.com/cent...uld-cut-eurozone-gdp-by-5-8-or-12-in-2020-ecb
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200502_223700.jpg

    (May 2) หายนะจากโควิด-19 อาจวิกฤตถึงขั้นสายการบิน Low cost ล่มสลายเพราะต้องใช้ชีวิตแบบ New Normal : การใช้ชีวิตแบบ New normal ถ้าโชคดี ก็คงเป็นชั่วระยะเวลาหนึ่งขณะที่โควิด-19 ยังไม่หยุดแพร่ระบาด แต่ถ้าโชคร้าย ก็อาจทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล หรือจนกว่าโรคระบาดจะถูกลบเลือนไป ไม่ว่าจะเกิดจากผลิตวัคซีนได้ หรือสามารถกำจัดโรคโควิด-19 ไปได้ ซึ่งก็ยังไม่มีใครรู้เวลาที่แน่นอนว่าโควิด-19 จะจบลงเมื่อไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือวัคซีนอาจจะมาถึงมือผู้คนได้ภายใน 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขส่วนใหญ่คาดการณ์

    หนึ่งในความโชคร้ายที่เราต้องพบเจอก็คือ สายการบิน Low cost ที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงการบินระดับที่ใครๆ ก็บินได้ อาจจะกลายเป็นไม่ใช่ทุกคนที่บินได้แทน เนื่องจาก มาตรการ Social Distancing ที่ทำให้คนต้องเว้นระยะห่างทางสังคมส่งผลกระทบต่อสายการบินแน่นอน ลองจินตนาการว่า หากวันหยุดที่มีการท่องเที่ยวหนาแน่นตามเทศกาลต่างๆ แต่ที่นั่งของเครื่องบินสามารถบรรจุคนได้เพียงครึ่งหนึ่ง จะเป็นอย่างไร..?

    การใส่หน้ากากไม่ว่าจะกับผู้โดยสารหรือผู้ให้บริการ ในแง่หนึ่งก็สร้างความปลอดภัยต่อกันได้ดี แต่เรื่องการบรรจุคนได้เพียงครึ่งเดียวนั้นหมายความว่ารายได้ของสายการบินจะต้องลดลงครึ่งหนึ่งด้วย ?

    New Normal ของสายการบิน คือการนำ Social Distancing มาปรับใช้

    New normal ที่กำลังเกิดขึ้นกับสายการบินต่างๆ คือการเริ่มนำมาตรการ Social Distancing มาใช้ นักวิเคราะห์ด้านการบินได้พูดถึงสายการบิน Low cost อย่าง Jetstar Asia ที่ได้กลับมาปฏิบัติการแล้วบางส่วนเมื่อวันอังคารที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า ทั้งเที่ยวบินจะมีผู้โดยสารไม่เกิน 112 ที่นั่ง หรือมีผู้โดยสารเพียง 60% เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการ Distancing คือการเว้นที่นั่งหนึ่งที่ให้ผู้โดยสารนั่งโดยมีระยะห่างจากกัน

    ขณะที่บินอยู่จะไม่มีการให้บริการอาหาร แต่จะมีเพียงน้ำดื่มเท่านั้น หลายสายการบินเริ่มใช้มาตรการดังกล่าวแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Air New Zealand, KLM และ United Airlines ล้วนปฏิบัติแบบเดียวกัน เพื่อความปลอดภัย เรื่องนี้ Brendan Sobie นักวิเคราะห์ด้านการบินระบุว่า มันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับสายการบินที่จะต้องมีการจัดธรรมเนียมปฏิบัติแบบใหม่ ซึ่งการบล็อคที่นั่งในเครื่องบินจะส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อรายได้ของสายการบิน เพราะสายการบินส่วนใหญ่มีคาร์โกเป็นรายได้หลัก

    แต่สถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลให้การท่องเที่ยวราคาถูกที่ผู้คนมักนิยมเดินทางท่องเที่ยวกันจะต้องล่มสลายไป ซึ่ง Alexandre de Juniac ผู้อำนวยการ IATA (สมาคมขนส่งทางอากาศยานระหว่างประเทศ) กำหนดให้มีการ safe distancing หรือการเว้นระยะห่างในเครื่องบิน อย่างน้อย 1 ใน 3 ของเครื่องจะต้องว่างเปล่า ด้วยเหตุนี้ ก็อาจทำให้สายการบินต่างๆ จำเป็นต้องขึ้นราคาค่าตั๋วเครื่องบินอย่างน้อย 50% เพื่อให้ได้กำไรขั้นต่ำ

    หมายความว่า ทางหนึ่ง ลูกค้าอาจจะบินได้ในราคาเดิม จากการขายตั๋วราคาเดิมเหมือนกับราคาก่อนหน้านี้ที่เคยจ่าย แต่เรื่องนี้ดูจะเป็นไปได้ยากเพราะสูญเสียเงินเยอะ อีกทางหนึ่งคือ เพิ่มราคาค่าตั๋วอย่างน้อย 50% เพื่อที่จะสามารถบินได้โดยมีกำไรขั้นต่ำประคองอยู่

    ลูกค้า Low-cost จะบินได้ในราคาถูกอยู่ไหม ถ้าต้องลดคนนั่งลงครึ่งหนึ่ง?

    ทั้งนี้ Mr.Shukor Yusof ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการบิน Endau Analytics ให้สัมภาษณ์กับ CNA ว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาต้นทุนจะต้องเพิ่มขึ้น เหมือนกับช่วงหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ใหม่ๆ ที่ผู้คนต้องการความปลอดภัย ความมั่นคงมากขึ้น ตอนนั้น ต้นทุนต่างๆ ก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน เมื่อธุรกิจแบบสายการบิน Low-cost ทำเงินไม่ได้ ก็เป็นไปได้ที่สายการบินจะไม่ยั่งยืน

    อย่างไรก็ตาม รองศาสตราจารย์ Terence Fan นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านคมนาคมแห่งมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ระบุว่า สายการบินคงจะเสนอตั๋วราคาถูกลงหลังจากที่วิกฤตโควิด-19 เริ่มซาๆ ลงไปบ้างแล้ว เพื่อให้คนอยากบินมากขึ้น นอกจากนี้ การเว้นระยะห่างบนเครื่องบินนั้นคงจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่มาตรการระยะยาว เพราะแต่ละสายการบินก็อยากให้คนบินมากขึ้นอยู่แล้ว

    มองอีกมุมหนึ่งก็คือ ช่วงนี้คือช่วงที่สายการบินต่างๆ กำลังรู้สึกหมดหวัง การใช้มาตรการ social distancing อาจจะทำให้คนมีความรู้สึกอยากบินมากขึ้นก็ได้ ซึ่งก็ควรจะสำรวจคู่แข่งด้วยว่าเขามีมาตรการดึงดูดลูกค้าอย่างไร เพื่อจะได้รับมือกับภาวะแข่งขันเช่นนี้ได้ ซึ่งเรื่องนี้สายการบินเอมิเรตส์ถือว่ามีบทบาทนำในเรื่องนี้ เพราะมีการตรวจโควิด-19 ก่อนขึ้นเครื่อง

    รู้ผลภายใน 10 นาที สายการบิน Emirates เริ่มตรวจโควิด-19 ก่อนขึ้นเครื่อง
    สนามบินนาริตะและฮ่องกงก็เริ่มตรวจโควิด-19 กับผู้โดยสารที่มาจากพื้นที่เสี่ยงติดโควิดสูงเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เรียกว่าอาจจะเป็น New Normal ในระยะเวลาอันใกล้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะทำไปยาวนานเพียงใด ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก ในไทยก็เช่นกัน

    แนวทาง Social Distancing ทั่วโลกก็ต้องทำ ในไทยก็ร่วมด้วย

    สำหรับประเทศไทยเอง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้กำหนดแนวปฏิบัติการให้บริการผู้โดยสารเส้นทางบินภายในประเทศช่วงที่โควิด-19 ระบาดด้วย โดยข่าวจากกระทรวงคมนาคมฉบับที่ 442/2563 พูดถึงประกาศฉบับนี้ว่า ผู้ดำเนินการเดินอากาศต้องดำเนินมาตรการ อาทิ

    จำกัดจำนวนที่นั่งที่จะให้บริการ จำหน่ายบัตรโดยสารโดยจัดที่นั่งที่เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 ที่นั่งโดยสารระหว่างผู้โดยสารแต่ละคน (เว้นแต่ สภาพกายภาพของที่นั่งมีระยะห่างเพียงพอ, เป็นอากาศยานขนาดเล็ก ที่นั่งไม่เกิน 19 ที่นั่งแบบบินแบบเช่าเหมาลำ, เป็นอากาศยานที่มีจำนวนที่นั่งไม่เกิน 90 ที่นั่ง ให้จำหน่ายบัตรโดยสารได้ไม่เกิน 70% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมดของอากาศยาน)

    ถ้าท่าอากาศยานต้นทางไม่ตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการ ให้ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายโดยใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด และหากวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส มีอาการระบบทางเดินหายใจ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ทันที หากพบว่ามีความเสี่ยง งดออกบัตรขึ้นเครื่องให้ผู้โดยสารนั้น

    - มีมาตรการเว้นระยะห่างของผู้โดยสารตลอดระยะเวลาการเดินทาง
    - ให้สวมหน้ากากอนามัย (Surgical Mask) ตลอดเวลาตั้งแต่ขึ้นเครื่องจนกว่าจะออกจากเครื่อง หากไม่มีและไม่สามารถจัดหาได้ ให้งดออกบัตรขึ้นเครื่องผู้โดยสารนั้น
    - งดให้บริการอาหารและเครื่องดื่มขณะปฏิบัติการบิน ห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่นำติดตัวมา
    - หากการบินใช้ระยะเวลามากกว่า 90 นาที ให้สำรองที่นั่ง 2 แถวหลังสุดด้านใดด้านหนึ่งของอากาศยาน สำหรับแยกกักผู้โดยสารที่ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเพื่อสังเกตอาการ

    กรณีที่พบผู้โดยสารหรือลูกเรือมีอาการป่วยที่สงสัยว่าจะป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขณะอยู่บนอากาศยาน
    - ให้แยกกักผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าจะป่วยนั่งที่นั่งริมหน้าต่างด้านขวาแถวหลังสุดให้ห่างไกลจากผู้โดยสารคนอื่นมากที่สุด
    - ให้กันห้องน้ำห้องหลังสุดไว้ใช้สำหรับกรณีการกักกันโรคโดยเฉพาะ
    - ให้มอบหน้าที่ให้ลูกเรือคนหนึ่งทำหน้าที่ในพื้นที่แยกกัก และให้ลูกเรือที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับลูกเรือคนอื่นในระยะใกล้กว่า 2 เมตร
    - ให้นักบินผู้ควบคุมอากาศยานแจ้งข้อมูลการตรวจพบผู้โดยสารหรือลูกเรือที่มีอาการป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศเพื่อรายงานแก่ผู้ดำเนินการสนามบิน ณ ท่าอากาศยานปลายทาง

    โดย Parichat Chk

    Source: Brandinside.asia
    https://brandinside.asia/disaster-from-covid-19-big-impact-low-cost-airlines-and-consumer/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200502_223941.jpg

    (May 2) ผู้เชี่ยวชาญเตือนญี่ปุ่นยังไม่สามารถจัดโตเกียวโอลิมปิกปีหน้า หวั่นยากควบคุมโควิด-19 : สื่อต่างประเทศรายงานว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจำนวนมากขึ้นออกมาเตือนว่า ไม่มีแนวโน้มที่ญี่ปุ่นจะสามารถจัดการแข่งขันกีฬาโตเกียวโอลิมปิกในปีหน้า หลังจากที่ถูกเลื่อนจากปีนี้ เนื่องจากประเทศทั่วโลกอาจจะยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทั้งหมดเมื่อถึงเวลานั้น

    บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสุขภาพระบุว่า ไวรัสโควิด-19 ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนกว่า 2 แสนคนทั่วโลกแล้วนั้น จะมีขั้นตอนของการแพร่ระบาด และการติดเชื้อที่แตกต่างกันในประเทศต่างๆ ก่อนถึงช่วงฤดูร้อน (มิ.ย.-ส.ค.) ของญี่ปุ่นในปีหน้า ซึ่งทำให้ยากที่จะจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติขนาดใหญ่ขึ้น

    ทั้งนี้ ภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าวนั้น นักกีฬาและผู้มาเยือนจากกว่า 200 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลกจะต้องได้รับการตรวจสอบว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ และต้องถูกกักกันตัวเพื่อตรวจสอบ ซึ่งเป็นกระบวนการด้านโลจิสติกที่อาจจะไม่สามารถทำได้

    นายโนริโอะ ซูกายะ ศาสตราจารย์ของโรงเรียนการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัย Keio ในกรุงโตเกียว และสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ญี่ปุ่นอาจจะสามารถควบคุมไวรัสโควิด-19 ได้ทันการแข่งขันกีฬาโตเกียวโอลิมปิกในปีหน้า แต่ภูมิภาคอื่นๆ อาทิ สหรัฐ, แอฟริกา หรือบราซิล อาจจะยังไม่สามารถควบคุมไวรัสดังกล่าวได้ ซึ่งก็จะทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันสำหรับนักกีฬาในการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่า เป็นเรื่องยากที่ญี่ปุ่นจะจัดการแข่งขันกีฬาโตเกียวโอลิมปิกภายในปีหน้า

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กัลยาณี ชีวะพานิช

    https://www.ryt9.com/s/iq38/3120426

    -Tokyo Olympics Unlikely to Happen in 2021, Virus Experts Say

    https://www.bloomberg.com/news/arti...unlikely-to-happen-in-2021-virus-experts-warn
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200502_224407.jpg

    (May 1) "เอ็กซอน โมบิล" ขาดทุนใน Q1/63 เหตุโควิด-19 ฉุดความต้องการน้ำมันซบเซา: เอ็กซอน โมบิล คอร์ป บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐ รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2563 โดยบริษัทประสบกับภาวะขาดทุน และรายได้ร่วงลง 12% เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความต้องการใช้น้ำมัน ทำให้เกิดภาวะน้ำมันล้นตลาด และกดดันราคาน้ำมันให้ร่วงลงอย่างหนัก

    เอ็กซอนเผยว่า บริษัทขาดทุนสุทธิ 610 ล้านดอลลาร์ หรือ 14 เซนต์ต่อหุ้น หลังจากที่มีกำไรสุทธิ 2.35 พันล้านดอลลาร์ หรือ 55 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    อย่างไรก็ดี หากไม่รวมค่าใช้จ่าย 2.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการลดมูลค่าสินทรัพย์ (Writedown) อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ลดลง บริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นที่ 53 เซนต์

    สำหรับรายได้ลดลงสู่ระดับ 5.616 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก 6.363 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และลดลงจาก 6.717 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว

    เอ็กซอนเผยว่า บริษัทจะลดการใช้จ่ายด้านทุนลง 30% มาอยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ และลดรายจ่ายจากการดำเนินงานลง 15%

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท

    - Exxon loses $610 million in the first quarter on writedowns tied to plunging oil : https://www.cnbc.com/2020/05/01/exxon-mobil-xom-earnings-q1-2020.html
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปอร์โตริโก : แผ่นดินไหวขนาด 5.5 ช่วง 7.12am เวลาไทยประมาณ 18.00 บ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก ขณะเดียวกันเวลาใกล้เคียง ประเทศ กรีซ ไหว 6.5 แต่ยังไม่มีข่าวความเสียหาย

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สเปน :เมืองมาดริด เจ้าหน้าที่บอกลาโรงพยาบาล สำรองหลังจากผู้ป่วยคนสุดท้ายออกจากโรงพยาบาล ศูนย์แห่งนี้ไม่มีผู้ป่วยแล้ว เจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดไฟและปิดศูนย์ เจ้าหน้าที่ได้กลับบ้าน ชัยชนะเริ่มกลับมาสู่สเปน

    ตัวเลขติดเชื้อรวม 245,567 เสียชีวิต25,100 ราย
    รักษาหาย 146,233 ราย

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #แคนาดาประกาศแบนอาวุธปืนทั่วประเทศ

    นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้ประกาศแบนการถือครองอาวุธปืน ที่ใช้ในการโจมตีสังหารกว่า 1,500 รายการทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้ทันที นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

    หลังจากที่แคนาดา เพิ่งผ่านเหตุสะเทือนขวัญ "ชายคลั่ง" ขับรถไล่ยิงผู้คนในรัฐโนวาสโกเชีย เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต รวมถึงคนร้ายที่โดนวิสามัญ ไปถึง 22 คน นับเป็นเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดจากการกราดยิงโดยใช้อาวุธปืนที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ

    ถึงแม้ว่าในแคนาดา จะไม่ได้มีกฏหมายระบุไว้ชัดเจนว่า อนุญาตให้ประชาชนครอบครองอาวุธปืนได้ แต่หากต้องการที่จะมีปืนไว้ใช้ในบ้าน ด้วยเหตุผลเข้าป่า ล่าสัตว์ หรือ ป้องกันตัว ก็สามารถทำได้โดยกันขึ้นทะเบียนไว้กับกรมตำรวจ

    ปัจจุบันในแคนาดา มีปืนที่ขึ้นทะเบียนไว้กว่า 80,000 กระบอก แต่จำนวนปืนในครัวเรือนที่มากขึ้น ก็ส่งผลถึงคดีอาชญากรรม และความรุนแรงในสังคมชาวแคนาดาเช่นกัน ที่มีเหตุกราดยิง และฆ่ากันตายด้วยอาวุธปืนอยู่บ่อยครั้ง ไม่น้อยหน้าประเทศเพื่อนบ้านอย่างสหรัฐอเมริกา

    มีตัวเลขเปิดเผยว่า ในแคนาดามีคดีฆาตกรรม ที่มีการใช้อาวุธปืนอยู่ถึง 58%

    ถึงแม้ตัวเลขจะน้อยกว่าของทางสหรัฐ ที่มีการใช้อาวุธปืนฆ่ากันตายราวๆ 68% แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากอยู่ดี หากลองคิดว่าถ้าในช่วงจังหวะคนอารมณ์ร้อน แต่ไม่มีปืนอยู่ใกล้มือ ก็อาจจะจบลงแค่การทะเลาะวิวาท โดยไม่สูญเสียชีวิตก็ได้

    นายกฯ จัสติน ทรูโด ได้กล่าวว่า ในความเห็นของเขา อาวุธปืน ถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น คือ เอาไว้ฆ่าคนจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น มันอาจจะมีประโยชน์ในวัตถุประสงค์ของมัน แต่ไม่มีความจำเป็นในสังคมแคนาดา

    ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจ แบนการครอบครอง ห้ามซื้อขาย พกพา ขนย้าย นำเข้า และใช้งาน โดยมีรายชื่ออาวุธสังหารจำนวนกว่า 1,500 รายการ ที่จะกลายเป็นของต้องห้ามในแคนาดานับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (ประกาศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2020)

    แต่ทั้งนี้ สำหรับใครที่มีอาวุธปืนอยู่แล้วที่บ้าน จะได้สิทธิ์คุ้มครอง 2 ปี เก็บไว้ก่อน ห้ามเอาออกมาใช้นะค้า และรัฐบาลแคนาดาจะรีบพิจารณากฏหมาย และงบประมาณในการซื้อคืนปืนจากประชาชนในภายหลัง

    ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ เสร็จพี่ จัสติน ทรูโด ดูหล่อขึ้นมาทันใดเลย

    สำหรับกฏหมายการครอบครองอาวุธปืน ก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานแล้ว โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่บางรัฐยังอนุญาตให้ซื้อ-ขายได้อย่างอิสระ ที่ทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงตามมามากมาย และมีหลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการจำกัดสิทธิในการครอบครองอาวุธปืนในสหรัฐ

    แต่บางส่วนก็ไม่เห็นด้วย จาการตีความของรัฐธรรมสหรัฐที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการคุ้มครองชีวิตของตัวเอง โดยยกตัวอย่างว่า คุณแม่ลูก 4 ท่านหนึ่ง มีบ้านอยู่กลางดงคนเถื่อน เธอก็มีสิทธิทีจะเดินออกไปซื้อปืน เพื่อปกป้องลูกของตัวเองในบ้าน ฉันผิดตรงไหน?

    มันจึงเป็นเหมือนทางเลือก 2 แพร่ง หากต้องการสิทธิเสรีภาพในการป้องกันตัวเอง ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงที่ต้องสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินจากทรชน คนติดอาวุธด้วยเช่นกัน

    ไม่ต่างจากเรื่องการประท้วงจะเปิดเมืองที่เป็นกระแสในสหรัฐ หากต้องการเปิดเมือง เปิดเศรษฐกิจ ให้กลับมาใช้ชิวิตตามปกติ ก็ต้องยอมเสี่ยงกับตัวเลขผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตที่พุ่ง

    เป็นทางเลือกที่ยาก ได้อย่าง เสียอย่าง นะคะ ท่านอื่นมีความคิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้ค่ะ

    แหล่งข้อมูล


    https://www.bbc.com/news/world-us-canada-44959010
    https://abcnews.go.com/Internationa...s-mass-shooting-nova-scotia/story?id=70428399
    https://www.theguardian.com/world/2...ault-weapons-ban-trudeau-nova-scotia-shooting

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ไต้หวัน_ฟิลิปปินส์ผิดใจกันด้วยเรื่องแม่บ้าน
    #เสรีภาพในต่างแดน

    เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีข่าวเคืองขัดกันระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้านร่วมน่านน้ำทะเลจีนใต้ ที่กลายเป็นสงครามน้ำลายระหว่างโฆษกของรัฐบาลทั้ง 2 ฝั่ง

    ต้นเหตุของความขัดแย้ง เกิดจากแม่บ้านคนเดียว

    แม่บ้านคนนี้เป็นชาวฟิลิปปินส์ ชื่อว่า Elanel Egot Ordidor ที่จะขอเรียกสั้นๆว่า "คุณแม่บ้าน"

    คุณแม่บ้านคนนี้ ก็เป็นหนึ่งในแรงงานต่างชาติฟิลิปปินส์ ที่ไปทำงานในต่างประเทศ และก็ได้ทำงานเป็นแม่บ้านดูแลคนแก่ อยู่ที่เมืองหยุนหลิน ในไต้หวัน

    อยู่ต่างบ้าน ต่างเมืองเหงาๆ ประกอบกับความรู้สึกอึดอัดขัดใจต่อการทำงานของรัฐบาลฟิลิปปินส์ กับการแก้ปัญหา Covid-19 คุณแม่บ้านก็เลย ระบายอารมณ์ออก Facebook Live ส่วนตัววิจารณ์ไปที่ประธานาธิบดีห้าวเป้ง โรดริโก้ ดูเตอร์เต้ อย่างเผ็ดร้อน

    คลิปของคุณแม่บ้าน กลายเป็นกระแสฮือฮาในฟิลิปปินส์ มีคนชม คนแชร์นับหมื่น แล้วมันก็ไปถึงรัฐบาลฟิลิปปินส์จนได้

    และคนในรัฐบาลดูเตอร์เต้ ที่ออกมารับลูก จัดการเรื่องนี้คือ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ที่ออกมาให้ความเห็นว่าคุณแม่บ้านเข้าข่ายกระทำความผิด พรบ.คอมฯ ของทางฟิลิปปินส์ กล่าวข้อมูลเท็จ จงใจทำลายเสถียรภาพของรัฐบาล และหากถูกตัดสินว่าผิดจริง มีสิทธิ์ต้องโษจำคุกถึง 6 เดือน หรือปรับเงิน 250,000 เปโซ (ประมาณ 160,000 บาท)

    และไม่ได้ขู่เปล่าๆ ทางกรมแรงงาน ส่งตัวแทนไปตามหาคุณแม่บ้านถึงบ้านพักที่ไต้หวัน แจ้งข้อกล่าวหา และยังบอกว่าได้ประสานงานไปยังบริษัท เอเจนซี่ ที่จัดหางานให้คุณแม่บ้าน นายจ้าง และรัฐบาลไต้หวัน ให้ส่งตัวคุณแม่บ้านกลับในฐานะ "ผู้ร้ายข้ามแดน"

    ระหว่างฟิลิปปินส์ กับ ไต้หวัน มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา แต่จะส่งตัวกลับด้วยข้อหาอะไร?

    และทางไต้หวันก็ออกมาปฏิเสธ ไม่ส่งตัวคุณแม่บ้านกลับฟิลิปปินส์ เพราะคุณแม่บ้านไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นแค่เรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น

    ส่วนทางฝั่งฟิลิปปินส์ ก็เสียงแตก มีชาวเน็ตฟิลิปปินส์ ออกมาสนับสนุนคุณแม่บ้านกันเป็นจำนวนมาก และมองว่าคุณแม่บ้านไม่ได้ทำผิดกฏหมายทั้งของฟิลิปปินส์ และไต้หวัน

    ส่วนคุณแม่บ้าน ตอนที่เรื่องคลิปของแก บานปลายใหญ่โต ก็ใจเสีย กลัวต้องถูกจับตัวส่งกลับบ้าน ทั้งๆที่แกมาทำงานเป็นแม่บ้านในไต้หวันมาได้ 2 ปีแล้ว เพื่อหาเงินส่งกลับบ้าน ที่ยังฐานะยากจน และมีภาระหนี้สิน และคุณแม่บ้านก็ยังอยากจะทำงานต่อที่ไต้หวัน

    แต่พอมีหลายฝ่ายออกมาช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาเรื่อง กฏหมาย และรัฐบาลไต้หวันยืนยันว่าจะไม่ส่งตัวแกกลับไปตามคำขอของรัฐบาลฟิลิปปินส์ แกก็เลยค่อยสบายใจหน่อย

    แต่เรื่องนี้ มันดันไม่ยอมจบง่ายๆ เมื่อโฆษกประจำตัวของดูเตอร์เต้ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ออกสื่อว่า "การที่จะส่งตัวคุณแม่บ้านกลับฟิลิปปินส์ได้นั้น มันขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทั้งไต้หวัน และ จีน เพราะไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน"

    คำพูดต้องห้ามของไต้หวัน เปิดวอร์กันดีกว่า

    โฆษกต่างประเทศไต้หวันตั้งโต๊ะแถลงตอบโต้ทันทีว่า "ไต้หวันเป็นประเทศที่มีเอกราช และอธิปไตย ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจีน!!"

    และโฆษกสาวของไต้หวันยังกล่าวอีกว่า "ประเทศจีนไม่เคยได้ปกครองไต้หวันแม้แต่วันเดียว มีแต่เพียงรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่เป็นตัวแทนของชาวไต้หวันกว่า 23 ล้านคน ทางไต้หวันรู้สึกไม่พอใจ และผิดหวังเป็นอย่างมากที่รัฐบาลฟิลิปปินส์มากกล่าวอ้างอย่างไม่ถูกต้องว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน!"

    และทางไต้หวันจะส่งจดหมายประท้วงอย่างเป็นทางการถึงรัฐบาลฟิลิปปินส์ต่อไป

    จากเรื่องเล็กน้อย กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินเบอร์ไปเลยทันที

    ความสัมพันธ์ระหว่าง ฟิลิปปินส์ กับ ไต้หวัน น่าเรียกได้ว่า "หัวอกเดียวกัน" เพราะทั้ง 2 ประเทศล้วนมีปัญหากับจีนในเรื่องข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ซึ่งต่อมาไต้หวันได้ออกนโยบาย Southbound Policy เป็นการจับมือร่วมกันระหว่างไต้หวันและกลุ่มประเทศในย่านอาเซี่ยน เอเชียใต้ ไปจนถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ซึ่งฟิลิปปินส์ก็เป็นหนึ่งในนั้น

    ดังนั้น ความสัมพันธ์ที่ดี จะมาเสียเพราะแม่บ้านคนเดียว มันก็ใช่ที่ ถ้าจะให้บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ก็ลืมๆเรื่องคลิปคุณแม่บ้าน แล้วไปเร่งแก้ปัญหาเรื่อง Covid-19 ในประเทศน่าจะดีกว่านะคะ ☺

    แหล่งข้อมูล

    https://www.taiwannews.com.tw/en/news/3925643
    https://www.taiwannews.com.tw/en/news/3924200
    https://ketagalanmedia.com/2020/04/30/philippines-caregiver-taiwan-life-is-in-danger/
    https://www.rappler.com/nation/259053-dole-asks-taiwan-deport-ofw-facebook-posts-criticize-duterte

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้ผลิตชิ้นส่วยรถยนต์รายใหญ่ให้ TOYOTA

    ทั่วโลกรอรับแรงกระแทก

    เหมือนเป็นเพียงการเริ่มต้น ยังมี Supplier อีกเพียบได้รับผลกระบบ

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กู้กันหนักหน่วง

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Breaking News : กทม.ออกประกาศฉบับที่ 8 สั่งปิดสถานที่ชั่วคราว 34 แห่ง เสี่ยงโควิด 19

    ผ่อนปรน วันนี้(2 พ.ค.62) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงนามประกาศปิดสถานที่เสี่ยงเป็นการชั่วคราวฉบับที่ 8 ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม ถึง 31 พฤษภาคม 2563 หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง พร้อมกำหนดมาตรการป้องกันโรค ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครอนุมัติ

    สำหรับสถานที่เสี่ยงสั่งปิดมี 34 แห่ง เช่น โรงมหรสพ โรงภาพยนตร์ โรงละคร สถานบริการ ผับ บาร์ สถานบันเทิง สนามมวย สวนน้ำ สวนสนุก สนามเด็กเล่น เครื่องเล่นสําหรับเด็กในตลาด ตลาดน้ำและตลาดนัด สวนสัตว์ สถานที่เล่นสเก็ต หรือโรลเลอร์เบรด โต๊ะสนุกเกอร์ บิลเสียด สถานที่เล่นโบว์ลิ่งหรือตู้เกม ร้านเกม และร้านอินเทอร์เน็ต สระว่ายน้ำสาธารณะ สนามชนไก่ และสนามซ้อมชนไก่ ฟิตเนส

    สถานที่จัดนิทรรศการ ศูนย์แสดงสินค้า และศูนย์ประชุม พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานที่สักกายเจาะผิวหนัง สนามม้า อาบ อบ นวด ศูนย์พระเครื่อง พระบูชา และสนามพระเหรียญพระบูชา สถานเสริมความงาม และ คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม ร้านนวดเพื่อสุขภาพ ร้านนวดเพื่อเสริม ความงาม

    ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิตได้เฉพาะซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา สินค้าเบ็ดเตล็ดที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต ร้านขายปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ธนาคาร และที่ทําการหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น ส่วนแผนกร้านอาหารให้เปิดได้เฉพาะการนํากลับไปบริโภคที่อื่น

    ร้านเสริมสวย เปิดใด้เฉพาะกิจกรรม สระ ตัด ซอย แต่งผม และไม่มีผู้นั่งรอในร้าน

    สนามกีฬา ให้เปิดได้เฉพาะกีฬาประเภทกลางแจ้งและตามกติกาสากล ผู้เล่นต้องมีระยะห่างทางสังคมและไม่คลุกคลีกันอยู่แล้ว เช่น เทนนิส ขี่ม้า ยิงปืน ยิงธนู และต้องไม่มีผู้ชมมาชุมนุมกันหรือ เป็นการแข่งขัน สโมสร คลับเฮาส์ หรือร้านอาหารในบริเวณดังกล่าว

    สวนสาธารณะ ลาน พื้นที่กิจกรรมสาธารณะ สถานที่ออกกําลังกาย สนามกีฬา ลานกีฬา ให้เปิดได้เฉพาะพื้นที่โล่งแจ้งเพื่อการเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน หรือการออกกําลังกายด้วยวิธีอื่น เป็นส่วนบุคคล โดยไม่มีผู้ชมมาชุมนุมกันหรือเป็นการแข่งขัน การละเล่น การแสดง

    ทั้งนี้หากพบฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

    ขณะเดียวกัน กทม.ยังออกคู่มือแนวทางมาตรการผ่อนปรนให้กับ 8 กลุ่มกิจกรรม-กิจการ ที่จะเริ่มเปิดให้บริการวันที่ 3 พ.ค.เป็นต้นไป เช่น ร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วไปนอกห้างสรรพสินค้า ร้านเสริมสวย ตลาดนัด ตลาดสด ตลาดน้ำ ตลาดชุมชน ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง ร้านค้าชุมชน เป็นต้น

    The post Breaking News : กทม.ออกประกาศฉบับที่ 8 สั่งปิดสถานที่ชั่วคราว 34 แห่ง เสี่ยงโควิด 19 appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นานแค่ไหนก็จะรอ ชาวแอฟริกาใต้อดทนรอรับถุงยังชีพ ต่อแถวยาว 4 กม.
    ลำบากกันไปหมด ชาวแอฟริกาใต้อดทนเข้าแถวยาวนับ 4 กม. เพื่อรอรับถุงยังชีพ ขณะที่รัฐบาลประกาศมาตรการล็อกดาวน์คุมโควิด-19 มานานกว่าเดือนแล้ว
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    goldswitzerland
    FED TO PRINT $9.5 TRILLION AND BUY ALL THE GOLD IN THE WORLD
    Fed น่าจะพิมพ์เงิน $9.5 ล้านล้านซื้อทองคำให้หมดทั้งโลกไปเลย

    Egon von Greyerz April 29, 2020

    6 ธนาคารกลางผู้เล่นแชร์ลูกโซ่ที่จะทำให้ทั้งโลกล้มละลาย

    ชะตากรรมของโลก เวลานี้อยู่ในมือของ 6 ธนาคารกลาง คือ Fed, ECB, BoE (England), PBOC (China), BoJ (Japan), SNB (Swiss) ....ทั้งหมดนี้เป็นลางไม่ดีเลยสำหรับระบบการเงินของโลก มันเหมือนกับยกให้คนร้ายเข้ามารับผิดชอบกระบวนการยุติธรรม

    นับเป็นสิบ ๆ ปีมาแล้ว ที่พวกธนาคารกลางเหล่านี้ได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดโดยเข้าควบคุมระบบการเงินโลก..ทำประโยชน์ให้กับพรรคพวกเหล่าธนาคารพาณิชย์ ตลอดถึงพวกผู้ถือหุ้นของตน

    ธนาคารกลางพวกนี้ทำการทุจริตและทำลายระบบการเงิน โดยการพิมพ์เงินและขยายวงเครดิตที่ไม่มีอยู่จริง เราทุกคนก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่าการพิมพ์เงินจากกลางอากาศจะทำให้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ไร้ค่า ..แบ้งเกอร์พวกนี้รู้อยู่แล้วว่าทันทีที่เงินถูกพิมพ์เสร็จมันก็มีมูลค่าทันทีก่อนที่จะส่งไปหมุนเวียนซะอีก เมื่อเงินเหล่านี้เข้าสู่มือสาธารณชน มูลค่าก็ลดลงทันที ...มันก็เป็นอย่างที่ Mayer Amschel Rothschild เคยกล่าวไว้เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อนว่า ...."ถ้าให้ข้าได้เป็นคนตราธนบัตรและควบคุมระบบการเงินในประเทศล่ะก็..จะให้ใครมาเป็นฝ่ายออกกฏหมายก็ได้ (โว้ย)"

    การพิมพ์เงินออกมาแบบไร้ค่า มักจะนำไปสู่ทรัพย์สินที่ไร้ค่า

    แบ้งเกอร์นอกจากจะควบคุมการเพิ่มของเงินแล้ว พวกเขายังควบคุมต้นทุนของเงินในรูปอัตราดอกเบี้ยอีกด้วย..เข้าไปเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย โดยไม่สนใจเรื่องของดีมานด์ซัพพลายเลย ...ดังนั้นพวกเขาจึงพิมพ์เงินขึ้นมา..และกำหนดราคาของเงินในรูปดอกเบี้ยให้เท่ากับศูนย์เปอร์เซนต์ ผลของมันจึงทำให้เกิดฟองสบู่หนี้จำนวนมหาศาลที่ไม่สามารถใช้คืนได้เลย..และยังทำให้มันไปเฟคราคาทรัพย์สินทุกชิ้นในโลกให้มีราคาสูงลิ่ว

    ตอนนี้ธนาคารกลางทั้งหลายจึงเกิด panic และหยุดไม่ได้ต้องพิมพ์ดอลล่าร์และยูโรออกมานับหลายสิบล้านล้าน เพิ่มหนี้รัฐบาลเข้าไปอีก

    ก็ดูใน Balance Sheets ของ 6 ธนาคารกลางยักษ์นั่นสิ มันโตขึ้นอีก $3 ล้านล้านจาก $21 ล้านล้านเมื่อสิ้นกุมภาพันธ์...เป็น $24 ล้านล้านในวันนี้

    ช้าร์ตที่หนึ่ง

    แต่นี่น่ะแค่เริ่มต้น เราอย่าลืมว่าไม่ใช่ Covid-19 นะที่เริ่มเรื่องการพิมพ์เงินที่ว่านี้ มันเริ่มมาตั้งแต่กรกฎาคมปี 2019 โน่นแล้วที่ ECB ออกมาเตือนชาวโลกถึงเรื่องใหญ่ที่มีการผิดพลาด และบอกว่าเราจะต้องทำทุกอย่างที่จำเป็น ..พอไม่กี่สัปดาห์จากนั้น Fed ก็เริ่มทำ Repo อัดเงินเข้าตลาดวันละนับแสนล้านดอลล่าร์ และนั่นคือการเริ่มต้นของปัญหาในระบบการเงินที่ซีเรียสมาก ๆ ...มากขนาดที่ว่า มีการสร้างเงินถึง $5 ล้านล้าน ที่มีมูลค่าแท้จริง (intrinsic value) เป็นศูนย์

    เมื่อตอนสิ้นเดือนกันยายน 2019 Balance Sheet ของ Fed มีอยู่ $3.8 ล้านล้าน แต่วันนี้มีอยู่ถึง $6.6 ล้านล้าน ...เพิ่มขึ้นมาถึง $2.8 ล้านล้านที่ส่วนมากเกิดเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ...แล้วในช่วงเวลาเดียวกันนี้ (กันยายน 2019-เมษายน 2020) หนี้ของสหรัฐเพิ่มไปอีก $2 ล้านล้าน จาก $22.7 ล้านล้าน เป็น $24.7 ล้านล้าน

    ต้องไม่ลืมว่าเงินเหล่านี้ไม่ใช่เงินจริง มันถูกสร้างขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ได้มีที่มาจากงาน หรือการบริการหรือการผลิตสินค้าใด ๆ ...มันก็แค่การคีย์ตัวเลขดื้อ ๆ แล้วตามด้วยเลขศูนย์จำนวน 12 หลักเท่านั้น

    ผู้ที่เฝ้าศึกษาอย่างซีเรียสจะไม่เชื่อว่าธนาคารกลางทั้ง 6 แห่งจะช่วยเศรษฐกิจของโลกได้ด้วยการพิมพ์เงินที่ไร้ค่าเหล่านี้ ...จะเล่นแชร์ลูกโซ่กันไปอีกนานแค่ไหน

    FED TO PRINT $9.5 TRILLION AND BUY ALL THE GOLD IN THE WORLD

    หรือถ้าจะให้ดี Fed ก็ลองพิมพ์เงินสัก $9.5 ล้านล้าน แล้วซื้อทองคำให้หมดโลกเลยดีมั้ย

    ถ้าอยากทดสอบมูลค่าของเงินที่พิมพ์มา ก็ขอแนะนำให้พิมพ์เงินออกมา $9.5 ล้านล้านซื้อทองคำรวมทั้งหมดในโลก 170,000 ตัน ตามราคา $55.6 ล้านต่อตัน ....พวกเขาน่าจะเจอปัญหาตั้งแต่ตันแรกแล้ว แล้วพอถึงตันถัดมา ตลาดก็จะพิจารณามูลค่า intrinsic ของเงินที่จะมาซื้อว่ามันเท่ากับศูนย์ ....แล้วราคาก็จะเป็น infinity

    THE END OF THE DOLLAR

    Fed ไม่โง่หรอก พวกเขาเข้าใจดีถึงผลของสิ่งที่กำลังทำกันอยู่ พวกเขารู้ดีว่ากำลังเล่นเกมอันตรายที่อาจจะพลาดได้ตลอดเวลา ...และพวกเขาก็ตระหนักดีว่า ตั้งแต่ปี 1971 เงินดอลล่าร์น่ะมูลค่าแท้จริงมันหายไปถึง 98% แล้วเมื่อเทียบกับทองคำ

    แต่สหรัฐก็ยังรักษาสถานะมูลค่าจอมปลอมของเงินดอลล่าร์มาได้นับสิบ ๆ ปี โดยใช้เปโตรดอลล่าร์ประกอบกับการควบคุมระบบการเงินของโลก แต่ตอนนี้กำลังจะมาถึงจุดจบแล้ว ....การร่วงลงของราคาน้ำมันกับการที่รัสเซียและจีนทิ้งเงินดอลล่าร์นี่แหละที่จะทำให้ดอลล่าร์เริ่มม้วนเสื่อ ....การพิมพ์เงินจะเร่งตัวขึ้นอีกเมื่อสถาบันการเงินและบริษัทธุรกิจล้มละลาย ซึ่งจะทำให้ดอลล่าร์แครชลงในที่สุด

    THE CURRENCY RACE TO THE BOTTOM

    ในอีกไม่กี่เดือนจากนี้ จะไม่มีใครต้องการถือเงินดอลล่าร์อีก ปัญหาคือ ทั่วโลกขณะนี้ไม่มีเงินสกุลใดแข็งแรงดีพอเลย ทั้งยูโร เยน และปอนด์ต่างก็กำลังแย่ ประเทศเจ้าของสกุลเงินเหล่านี้ก็ง่วนอยู่กับการพิมพ์เงินมากมายที่เป็นสาเหตุของวิกฤตโลกคราวนี้ด้วย ...ถ้างั้นเงินฟรังก์สวิสล่ะ มันก็อาจเป็นที่พึ่งได้ แต่ก็เพียงชั่วระยะหนึ่ง ถ้าเข้าไปดูสถานะของธนาคารกลางสวิสและระบบธนาคาร ก็จะเห็นถึงปัญหาแบบเดียวกับที่อื่น ๆ ทั่วโลก ที่มีการเข้าถือทรัพย์สินเสี่ยงเหมือนกัน

    ผลสรุปก็ชัด ไม่มีระบบธนาคารที่ไหนในโลกจะปลอดภัย แม้แต่ของสวิสเซอร์แลนด์ ....ดังนั้นถ้าใครถือทรัพย์สินที่อยู่ในระบบการเงินเช่นเงินสดหรือหลักทรัพย์ ต่างก็อยู่ในความเสี่ยงในชั่วเดือนหรือปีที่กำลังจะมา

    หุ้นก็จะอยู่ในช่วงขาลงซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว ซึ่งอาจกินเวลาอยู่นาน แล้วนักลงทุนก็อาจต้องสูญเสียส่วนใหญ่ของทรัพย์สินในอีกไม่นาน

    ทองคำและซิลเวอร์จะเป็นผู้ชนะเมื่อสกุลเงินทั้งหลายจะเริ่มเสื่อมค่า ผมยังคงยืนยันถึงเป้าราคา $10,000 ในอัตราค่าเงินปัจจุบันอยู่เหมือนเดิมที่เคยบอกมา 18 ปีแล้ว

    ช้าร์ตที่สองนี้แสดงถึงราคาทองต่อปริมาณเงินเฟียตสหรัฐ (FMQ - Fiat Money Quantity) ราคาที่ถูกอยู่ตอนนี้เทียบได้กับเมื่อปี 1970 ตอนราคา $35 ..หรือปี 2000 ตอนที่ทองราคา $290

    และเมื่อมีแรงกดดันของตลาด physical ...bullion banks ของ LBMA และ COMEX ก็ไม่สามารถทำตามสัญญาที่จะส่งมอบทองคำได้ ...มันก็แค่รอเวลาให้ราคาทองคำ break out ออกมา

    เงินเฟ้อรุนแรง (hyperinflation) จะเป็นตัวที่จะเติมศูนย์หลาย ๆ ตำแหน่งในราคาทอง แต่ราคาก็ไม่มีความหมายหรอกเพราะเงินนั้นไม่มีค่า ...แต่มันจะมีความหมายสำหรับคนที่ยังคงนับถือกระดาษไร้ค่าเหล่านั้นอยู่

    ลองไปคุยกับคนเวเนซูล่า ซิมบับเว ฮังการีหรือยูโกสลาเวียดู ถามถึงเมื่อครั้งเกิด hyperinflation ดูก็จะรู้ ว่าคนเหล่านั้นสูญเสียอะไรไป ...แล้วก็จะรู้เองว่า hyperinflation ครั้งที่จะมาถึง คุณจะเสียอะไร

    จำไว้เลยว่าเงินเฟ้อรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะดีมานด์ไปทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แต่มันเกิดเพราะค่าเงิน collapse ..และเราจะได้เห็นเองเมื่อมีการเร่งพิมพ์เงินไปเรื่อย ๆ

    physical gold ต้องไม่ใช่การลงทุนแบบเก็งกำไร แต่มันเป็น money ที่จะช่วยให้อยู่รอดได้ในการรักษาอำนาจซื้อของมัน

    Egon von Greyerz
    Founder and Managing Partner
    Matterhorn Asset Management
    Zurich, Switzerland
    Phone: +41 44 213 62 45

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (กู้มาอัดฉีดเพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้าน แต้ถ้าไม่มี GDP จะถูกคาดการณ์ว่าอยู่ที่เท่าไหร่)

    GDP ของไทยปี 2020f (forecast) -3.0%...updated April 2020

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Global Research
    COVID-19, We Are Now Living the "Lock Step Scenario"

    By Peter Koenig April 27, 2020

    Transcript บทสัมภาษณ์ Peter Koenig

    Question: ...หลังจากการ lockdown เศรษฐกิจในส่วนใหญ่ของโลก..ผ่านพ้นไปแล้ว คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจอ่อนแอ และพวกเขาจะป้องกันประเทศของตนได้อย่างไร

    Peter Koenig: ...มันยากมากที่จะทำนายว่าอะไรจะเกิดเวลาไหน เรากำลังอาจจะต้องได้พบกับ Paradigm Shift ครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า จะไม่มีอะไรเลยที่จะยังคงเหมือนเดิม ...นี่เป็นเรื่องที่ออกแบบเอาไว้แล้ว มีการแพลมออกมาให้รู้บ้างแล้วจาก รายงาน ..2010 Rockefeller Report .....แล้วตอนนี้พวกเราก็กำลังอยู่ในเฟสแรก..ที่เรียกว่า “Lock Step” scenario
    (ภาพจากหน้า 18 ของ Report)

    เราเห็นแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากผ่าน lockdown ไปได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว มีการว่างงานเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เฉพาะในสหรัฐก็มากกว่า 23 ล้านคนแล้วที่กำลังเรียกร้องการชดเชยรายได้ ...แต่มียังไม่สรุปนะ มันยังจะมีอีก

    Fed และ Goldman Sachs ทำนายว่า การว่างงานจะเกิดขึ้น 32% ถึง 40% ในไตรมาสหน้านี้

    และจะเกิดการล้มละลายอย่างมากมายในอีกไม่กี่เดือนถัดจากนี้ ซึ่งจะไปเพิ่มการว่างงานมากไปอีกแบบคุมไม่อยู่เลย ....ธุรกิจรายเล็กนั่นแหละที่จะเกิดปัญหาหนักที่สุด

    มาถึงวันนี้ เรายังมองไม่เห็นยอดภูเขาน้ำแข็งเลย

    ประเทศที่จะตกหนักที่สุด คือประเทศที่ต้องพึ่งพาการเป็นหนี้ ยิ่งมากยิ่งแย่ ...นี่หมายถึงหนี้ต่างประเทศนะ

    แผนชั่วที่ปรากฏอยู่ใน COVID-19 /2010 Rockefeller Report มีส่วนประกอบและมีผู้เข้าร่วมมาก จนยากที่จะอธิบาย ....แต่จะลิสต์รายการที่สำคัญบางรายการที่มีผลกระทบกับเราและเศรษฐกิจของโลกดังนี้ :

    A massive vaccination program

    การลดจำนวนประชากรโลกผ่านทางวัคซีน..กับอีกหลายอย่าง เช่น ..ทุพภิกขภัยที่จงใจทำให้เกิด ..ภัยธรรมชาติที่จงใจทำให้เกิด ..GMOs ..5G (Electromagnetic Fields EMF) ...ฯลฯ

    digitized ID

    ใช้เงินดิจิตัล ...ยกเลิกการใช้เงินสดทั้งหมด

    5G – เอาออกมาใช้ได้เลยเพื่อการควบคุมฝูงชนอย่างได้ผล ..รวมกับบัญชีดิจิตัลในธนาคารของเรา ....โดยผ่านทางสิ่งที่เรารู้จักกันดีคือ Internet of Things ...แต่นำไปใช้แบบผิดทาง

    5G นี่ถือเป็นอาวุธได้ถ้าเอามาใช้แบบเต็ม ๆ ...ทำให้ถึงตายได้เลย แต่คงไม่ถึงขั้นนั้นถ้าแค่ควบคุม

    ตามแผนโดยรวม มีการคาดการณ์ถึงการใช้วิธีแบบที่ได้รู้กันมาตั้งแต่ก่อนสิ้นศตวรรษที่ผ่านมา ที่เรียกว่า NEW WORLD ORDER หรือ ONE WORLD ORDER มีอิลิทกลุ่มเล็ก ๆ ที่เป็นทั้ง super powerful และเป็น super rich ....สามารถควบคุมคนทั้งโลกได้

    หลักการทั้งหมดเรียกว่าเป็น “Lock Step” ...ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้อนพวกเราเข้าไปแล้ว โดยไปตามลำดับที่กล่าวไว้ข้างต้น

    มีบ้างที่อาจคิดว่านี่คือ Conspiray Theory ก็คงต้องแนะให้อ่าน 2010 Rockefeller Report ...ที่น่าจะยังมีอยู่ในเน็ต

    คุณ ๆ น่าจะต้องขอให้รัฐบาลของคุณมีการศีกษาผลกระทบของ 5G ที่มีต่อสุขภาพก่อนที่จะมีการประกาศใช้ ...ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์จำนวน 180 คนเรียกร้องต่อ EU Commission ใน Brussels ให้ยุติการใช้ไว้ก่อนที่จะมีการศึกษาโดยทั่วไป

    แต่ WHO ยังคงเงียบอยู่เกี่ยวกับเรื่องของ 5G

    เราต้องรู้ทันแผนรวมของเรื่องทั้งหมด เพื่อ save ประเทศของตน ...ต้องไม่ให้เศรษฐกิจถูกรวมกันเป็น globalized

    So – Deglobalize –

    ต้องไม่ให้ระบบการเงินหรือการเมืองอยู่นอกรัฐธรรมนูญ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หรือความสามัคคีของประชาชน

    เหมือนอย่างที่อิตาลีรู้ดี..ถึงการขาดความสามัคคีในอียู เหตุการณ์ COVID-19 เป็นบททดสอบของกลุ่มอียูได้เลย

    กรีซก็รู้ดีในเรื่องนี้ด้วย

    การรวมกลุ่มของอียู ได้ทำให้เห็นแล้วว่าแต่ละประเทศไม่ได้มีอธิปไตยที่เป็นอิสระด้านการเงินและเศรษฐกิจเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกับกรีซจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้ากรีซจะเลือกให้มีอธิปไตยทางการเงิน..ใช้สกุลเงินที่เป็นของตนเอง

    ทุกประเทศจะต้องกู้ระบบการเงินและเศรษฐกิจในแบบของตนเอง ...สามารถที่จะรีสตาร์ทระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นของตน..ด้วยสกุลเงินในท้องถิ่นของตน โดยธนาคารในประเทศและธนาคารกลางของรัฐ ..ที่รับใช้เศรษฐกิจเฉพาะในท้องถิ่นของตน

    ในช่วงเริ่มต้น การค้าระหว่างประเทศยังจะมีความสำคัญน้อย ..จนกว่าประเทศจะบรรลุได้ถึงความพอเพียงและพึ่งพาตนเองได้ในระดับหนึ่งเสียก่อน

    จากนั้นจึงเริ่มมีการค้ากับประเทศที่เป็นมิตร ที่ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่เสมอภาคกัน ...โดยไม่ต้องพึ่งองค์กรการค้าอย่าง WTO

    แล้วถ้าเมื่อสามารถนำเศรษฐกิจของประเทศกลับคืนมาสู่การพึ่งพาตนเองทางการเงินได้แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องกู้เงินต่างประเทศจากองค์กรขูดรีด ที่เรียกว่า World Bank หรือ IMF หรือพวก developmnt banks ต่าง ๆ ทั้งหลาย

    ประเทศสามารถกู้ยืมเงินและจัดการกับหนี้ได้จากภายในประเทศตามขนาดของเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับสถาบันต่างประเทศด้วยเงินตราต่างประเทศเลย

    การฟื้นฟูประเทศที่ยากจน หรือประเทศที่ไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรม อาจทำได้เร็วกว่า เพราะประเทศเหล่านี้มีภาคส่วนที่ไม่เรื่องมาก ...การไม่เรื่องมากนี่แหละทำให้พวกเขาพร้อมจะปรับตัวได้เร็วกว่าประเทศที่มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน และและเคร่งในกฏระเบียบที่มากมาย

    ตัวอย่างที่เห็นได้เด่นชัดคือ จีนในยุคที่ฟื้นตัวจากกองเถ้าเมื่อปี 1948 ต้องพึ่งตนเองจากภายในด้วยประชากรมากมาย ....แต่โชคดีไม่มีหนี้ต่างประเทศ มีจุดประสงค์หลักคือต้องพึ่งตนเองเรื่องอาหาร.การศึกษา..และสุขภาพให้ได้ ....จนเมื่อใกล้จะบรรลุเป้า จีนจึงเริ่มเปิดความสัมพันธ์และการค้าต่างประเทศ..ในช่วงปี 1980s

    แต่จีนก็ไม่ใช่อิตาลี จีนเป็นประเทศใหญ่ที่มีประชากรถึง 1,400 ล้านคน แต่มันก็เป็นหลักการเดียวกันสำหรับทุก ๆ ประเทศที่ต้องการมีอธิปไตยของตนเอง

    Question: ...หลังจากเศรษฐกิจที่หยุดนิ่งไปเพราะ COVID-19 ....ยุโรปจะสามารถฟื้นตัวได้หรือไม่ และโดยวิธีไหน

    Peter Koenig: ... ได้ ยุโรปสามารถฟื้นตัวได้ แต่มันก็ขึ้นกับจะทำอย่างไร

    อย่าลืมว่ามันกำลังจะมี Paradigm Shift ครั้งใหญ่ทางด้านเศรษฐศาสตร์สังคม ทั้งในส่วนของคุณค่า..ประเพณี..ตลอดถึงลักษณะนิสัยของคนในชาติ ..ที่จะต้องเปรียบเทียบกันในระหว่างประเทศทั้งหลาย ...มันจึงเป็นการยาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำนายว่า ...มันควรจะไปทางทิศไหน

    แต่ที่แน่ ๆ ที่พอจะบอกได้คือ โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว อย่างน้อย..ก็จะเป็นอยู่อีกนาน

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนและโลกใบนี้ในช่วง lockdown ก็คือ ชีวิตที่ถูกทำลาย ไม่ใช่ด้วยโรคระบาด COVID-19 หรอก ..แต่ด้วยเศรษฐกิจที่มันหดตัวลงแบบกระทันหันโดยที่ไม่มีใครเตรียมตัวทัน ....ผลของมันเกิดขึ้นเป็นซีรี่ส์เรื่องยาว ที่ไม่มีคนสติดีที่ไหนเคยเจอมาก่อนเลย

    คนที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาน่าจะเป็นคนสติไม่ดี มันดูเป็นการจงใจสร้างความฉิบหายต่อทรัพย์สิน..ต่อรายได้..และต่อเงินออมของคนทั้งโลก เป็นการทำลายล้างชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วไปหมด ...เรื่องทั้งปวงนี้เป็นเรื่องใหญ่กว่าการแก้ปัญหาโรคระบาด COVID-19 ซะอีก

    นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    แล้วตอนนี้ต้องทำอะไรล่ะ

    นี่คือเวลาที่เราจะต้องสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่เต็มไปด้วยสันติภาพ..ความเสมอภาคและความสามัคคี

    สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อรักษาสันติภาพ ยุโรปจะต้องยกเลิก NATO

    ลองนึกดูถึงเงินนับล้านล้านดอลล่าร์หรือยูโรที่ถูกใช้ทิ้งขว้างไปกับพวกคลั่งสงคราม ที่มีแต่ความอาฆาตมาดร้ายกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา รัสเซีย และที่ห่างไปอีก จีน

    ทั้งสองนี้คือหุ้นส่วนของเรามานับศตวรรษ ก่อนที่พวกจักรวรรดิ์แองโกล-อเมริกัน จะขึ้นมามีอำนาจ ...ทั้งสองมีดินแดนที่ต่อเนื่องเป็น landmass เรียกว่า Eurasia ..ไม่ควรต้องให้มีการแซงค์ชั่นที่สั่งการมาจากเจ้านายที่อยู่ห่างออกไปข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ทั้งยุโรปและเพื่อนบ้านทางตะวันออกไม่ต้องการ NATO

    ไม่เคยมีการรุกรานที่มาจากรัสเซียหรือจีนเลย มีแต่ต้องการมีความสัมพันธ์ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจเท่านั้น

    ในประวัติศาสตร์ประเทศทั้งสองนี้ไม่เคยมีการรุกรานหรือแทรกแซงประเทศไหนเลย

    เราถูกปลูกฝังความเชื่อวันแล้ววันเล่าว่านี่คือศัตรู นี่คือการโกหกที่โลกตะวันตกนำโดยสหรัฐต้องการรักษาฐานอำนาจ เพราะอุตสาหกรรมค้าอาวุธของสหรัฐสามารถสร้าง GDP ได้ถึงครึ่ง

    วิกฤตนี้ทำเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้ เพราะมันทำให้เรามีโอกาสได้คิดใหม่ ว่าใครคือพันธมิตร

    Note to readers: please click the share buttons above or below. Forward this article to your email lists. Crosspost on your blog site, internet forums. etc.

    Peter Koenig is an economist and geopolitical analyst. He is also a water resources and environmental specialist. He worked for over 30 years with the World Bank and the World Health Organization around the world in the fields of environment and water. He lectures at universities in the US, Europe and South America. He writes regularly for Global Research; ICH; RT; Sputnik; PressTV; The 21st Century; Greanville Post; Defend Democracy Press, TeleSUR; The Saker Blog, the New Eastern Outlook (NEO); and other internet sites.

    ************************************

    Global Research
    COVID-19, We Are Now Living the "Lock Step Scenario" -

    By Peter Koenig

    Below is the transcript of the interview with Peter Koenig

    ***

    Question: After the Corona virus lockdown that stopped the economy in a large part of the world, what do you think will happen with the economically weaker countries and how can they be defended?

    Peter Koenig: First, I must tell you, it is virtually impossible to predict what might happen and in what time. We are quite possibly experiencing a huge paradigm shift. That means that nothing will – or almost nothing – will remain the way it was before. This is a well-concocted plan -emanating from the infamous 2010 Rockefeller Report. We are right now living the beginning of the first phase, called the “Lock Step” scenario.

    What we can see already after barely 3 months of this “pandemic” lockdown – there is massive unemployment. In the US already more than 23 million people are claiming for unemployment benefits. That does not take into account, all those that have given up….

    FED and GS (Goldman Sachs) predict unemployment to reach between 32% and 40% in the next quarter.

    And there will be massive bankruptcies- over the next few months, spinning out of control- triggering more unemployment. Hardest hit are the small and medium size enterprises

    The situation in Europe will be similar- if not worse.

    So far, we have barely seen the tiny tip of the iceberg.

    The countries most affected will be the debt dependant – i.e. highly indebted countries. And I’m talking about enslaving foreign debt.

    This evil plan COVID-19 /2010 Rockefeller Report – contains many very people-unfriendly elements. It would be too long, to explain them here. But let’s list the most important ones – and how they may impact us and the economy:

    A massive vaccination program

    population reduction through vaccination – and other means, like induced famine, man-induced climate change, GMOs, 5G (strong electromagnetic fields – EMF) – and so on….

    digitized ID

    digitized money – no more cash

    rolling out 5G – to control all and every move we take – plus our digitized bank accounts – what is commonly called and misleadingly called “the internet of things”

    5G is a weapon when used at its full strength – which is not yet the case. 5G is weaponized and can kill.

    The Plan foresees massive repression through – what has already been called before the end of the last Century – the NEW WORLD ORDER, often also referred to as the ONE WORLD ORDER. A small elite of super powerful and super rich people would control us all.

    The principal of the “Lock Step” arrangement. All we have left is marching in Lock Step to the orders from above.

    But we do not have to allow this to happen. If we are aware of the Plan, we can take control – I suggest that you all read the 2010 Rockefeller Report – it’s probably still to be found on Internet. So, you realize that I’m not talking “conspiracy theory” – but that this Conspiracy is REAL.

    For example, tell your governments with urgency to Stop Rolling Out 5G -the health impact has not been studied, except for individual scientist- 180 of whom have written to the EU Commission in Brussels, asking for a moratorium and independent study.

    WHO has suspiciously remained silent about 5G.

    Mr. Putin, for example, so far has refrained from rolling out 5G in Russia.

    This may not answer the original question. But it is important to know the Plan to find the answers on how to save our local – not globalized – economies:

    So – Deglobalize –

    Do not belong to a monetary or a political union that has no common constitution, no common interests, and no common goals- and especially no solidarity.

    Italy knows best about abject lack of solidarity within the EU – recent events with COVID-19 are a living testimony to the sham of the European Union.

    Greece also knows what it means to be in a union without solidarity

    So – get out of the EU and the Euro-prison. Yes, a Euro-prison, because the Euro, the way it has been injected into Europe, does not allow your countries economic and monetary sovereignty.

    What happened for example to Greece could never have happened if Greece would have had her economic and monetary sovereignty -i.e. her own currency

    Countries do need to regain their economic and monetary sovereignty – and

    be able to restart their local economy for local consumption with local money, with local public banks and with a publicly-owned central bank, that works for the local economy.

    At the beginning, until a country achieves a high degree of auto-sufficiency, international trade is of lesser importance.

    Then – trade with friendly nations, with countries and people that share the same or similar values. Make your own trading agreements – you do not need WTO.

    And once you take back your country’s economic and monetary autonomy, you do not need international loans – from – I call them indebting organizations, like the World Bank and the IMF and regional development banks.

    You can create your own internal debt and resolve that internal debt according to your own economic pace and strength. No need to pay a foreign institution interest for a foreign currency.

    As to a recovery, poorer – or less industrialized – countries may be better suited to recover quickly, because they have a much bigger informal sector. Informality is creative and can adapt and adjust usually much faster than strictly and often rigidly structured economies.

    A Prominent example is China – China grew out of the ashes in 1948 – internally independent, no foreign debt to speak of, with the principal goal of becoming auto-sufficient in food, education and health. When these goals were nearly reached, China started opening up for international trade and relations – in the 1980s.

    Granted, China is not Italy – China is a huge country with 1.4 billion people. But the principal applies to every nation that wants to become her sovereign self again.

    Question: After this long Covid-19 economic stagnation, can Europe recover? and by what means?

    PK: Yes, Europe can recover. It depends how.

    Remember, there is going to be a great paradigm shift in socioeconomic terms, as I mentioned before – of values, of customs, of our behaviour vis-à-vis each other – and likely in relations between countries. It is difficult – or rather impossible to predict – which way the wheels will be turning.

    But what we can say now, is that our world will not be the same again – at least for a long-long time.

    What happened during this almost total lock-down – not only of people, but of the world economy, lives have been destroyed, not by COVID-19, but by the shrieking unprepared halt of the economy around the world, and the multiple consequences that nobody with a sane mind could have foreseen.

    People who have caused that were and are of an insane mind. It looks like a wanton destruction of the world’s assets, savings, incomes – the entire societal livelihood has been annihilated. At will. None of this would have been necessary to come to grips with the COVID-19 pandemic.

    But that is another subject.

    What to do now?

    This is the moment for US, the people to take over and create a new economic system, one of peace, equality and solidarity.

    What first must go – in order to foster peace and to use available resources for the benefit of the people – we Europeans have to get out of NATO.

    Imagine the trillions of dollars or Euros saved by abandoning this war-mongering apparatus that has only hostile and negative effectives on our closest neighbour, Russia – and a bit farther away – China?

    These are our normal partners, they have been for centuries, if not millennia before the onset of the Anglo-American Empire – as they are on the same huge landmass, called EURASIA – no need to look and listen and being sanctioned left and right by the Masters across the Atlantic. No need at all. Europe and her Eastern Partners don’t need NATO.

    There is no aggression whatso ever coming from either Russia or China. These people are friendly and want to enter into social and economic relationships.

    None of these countries have a history of invading and interfering in other countries, not like the west – with at the forefront the US of A.

    We are being indoctrinated on a daily basis that these are our enemies. That is a huge LIE. – A lie, the west, or the United States needs to maintain its power base, its military industrial complex that produces about half of the US GDP.

    So, the silver lining of this crisis is that it gives us the opportunities to rethink Europe’s priorities, who are our true alliances – peaceful alliances. – And we do not need NATO.

    Again – imagine what we, Europe, could be doing with the trillions saved from not belonging to the most destructive war-machine of this planet.

    *

    Note to readers: please click the share buttons above or below. Forward this article to your email lists. Crosspost on your blog site, internet forums. etc.

    This was livestreamed by BYOBLU and Pandora TV.

    Peter Koenig is an economist and geopolitical analyst. He is also a water resources and environmental specialist. He worked for over 30 years with the World Bank and the World Health Organization around the world in the fields of environment and water. He lectures at universities in the US, Europe and South America. He writes regularly for Global Research; ICH; RT; Sputnik; PressTV; The 21st Century; Greanville Post; Defend Democracy Press, TeleSUR; The Saker Blog, the New Eastern Outlook (NEO); and other internet sites. He is the author of Implosion – An Economic Thriller about War, Environmental Destruction and Corporate Greed – fiction based on facts and on 30 years of World Bank experience around the globe. He is also a co-author of The World Order and Revolution! – Essays from the Resistance. He is a Research Associate of the Centre for Research on Globalization.

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nibiru - Today... The End of All That We Know Is Coming | Spirit | Before It's News

    เมื่อตอนที่ Nibiru จะเข้าสู่วงโคจรของดวงอาทิตย์ ซึ่งจะเป็นวงโคจร anticlockwise ในขณะที่ Nibiru หมุนรอบตัวเอง clockwise .....มันเข้ามาในระบบสุริยะซึ่งทั้งระบบ เป็น anticlockwise rotation แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น .....anticlockwise sun, clockwise Nibiru.

    เมื่อตอน Nibiru จะผ่านเข้าวงโคจรของโลก ประมาณวันที่ 20 มีนาคม 2021 มันจะอยู่ห่างประมาณ 1/3 ของวงโคจร หรือ 120 องศา หรือช่วง 4 เดือน จากโลก แต่นั่นเป็นประมาณการเพราะ Nibiru มีความเร็วไม่แน่นอน ....ทั้งหมดนี้อาจตรงหรือไม่ตรงกับคำทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ได้ ...

    https://m.beforeitsnews.com/spirit/...nd-of-all-that-we-know-is-coming-2517293.html

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    munknee
    Will Hyperinflation Occur As Result Of Gov’t Response To COVID-19 Plague?

    เงินเฟ้อรุนแรงจะเกิดขึ้นหลังจากการแก้ปัญหา Covid-19 ของรัฐบาลหรือเปล่า?

    Lorimer Wilson April 23, 2020

    เหตุการณ์เลวร้าย...หายนะกำลังจะบังเกิด เราไม่เคยได้เห็นอัตราการว่างงานและการผลิตที่ตกต่ำแบบนี้มาก่อนเลย ....ใช้เวลาแค่สามสัปดาห์ เราก็ได้เห็นความตกต่ำระดับ depression เกิดขึ้นทั่วทุกประเทศ โดยเฉพาะพวกที่ขาดแคลนผลิตภัณท์อาหาร ....เตรียมตัวกันเถอะ โลกกำลังจะเปลี่ยน

    นักการเมืองบางคนเรียกร้องให้เลิกการ shutdown แล้ว บางคนก็แนะว่าควรจะทำต่อไปจนถึงเดือนสิงหาคม จะพูดอีกอย่างก็คือ นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้น แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร

    ตอนนี้สหรัฐกำลังเผชิญกับผลของการ shutdown ที่อาจกินเวลา 3-18 เดือน ...มาตรการต่าง ๆ ที่ผู้นำสหรัฐออกมาใช้ เหมือนเป็นการสร้างบททดสอบที่ไปเพิ่มความเสี่ยงขึ้นเรื่อย ๆ .....แต่ทำก็ตาย ไม่ทำก็ตาย ..Damned if you do, damned if you don't.

    ในการยุติไวรัส เราก็แค่ shutdown ระบบเศรษฐกิจ และโฟกัสให้เป็นอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะถึงเวลาที่จะ restart ..ระหว่างนี้ก็จะต้องคอย monitor ข้อมูลการระบาด ..และเสริมสภาพคล่องในระบบผ่านทางธนาคารกลาง ไปพร้อม ๆ กัน

    การ shutdown ระบบเศรษฐกิจก็คือการ shutdown อัตราการหมุนเวียนของเงิน (velocity of money) ซึ่งเรื่องนี้ เชื่อกันว่าจะทำให้ถึงขั้นล้มละลายได้เลย ก่อนไวรัสจะทำให้ซะอีก .....ถ้าการ shutdown กินเวลามากกว่า 1 เดือน คนจำนวนมากก็จะไม่สามารถจ่ายบิลได้

    เมื่อเงินไม่สามารถเปลี่ยนมือ ...อัตราการหมุนเวียนก็พัง

    การลดลงของ GDP ในหนึ่งปี ...จะเกิดขึ้นถึงครึ่งหนึ่งในชั่วหนึ่งไตรมาสเท่านั้น

    …so, what’s a government to do?

    อย่าลืมว่า
    GDP = อัตราหมุนเวียน (velocity) X ปริมาณเงิน
    ...ถ้าตัวหนึ่งลด อีกตัวก็ต้องเพิ่มให้ได้...
    (ภาพ 1)

    ....งั้นเราก็ใช้เครื่องพิมพ์ปั๊มพ์ money supply ออกมาเลยสิ

    ตอนนี้รัฐบาลสหรัฐเริ่มทำไปแล้วกับโปรแกรม $2 ล้านล้าน ทั้ง Fed และกระทรวงการคลังมีแผนรวม ๆ ถึง $6 ล้านล้าน ....เพิ่ม money supply เพื่อมา offset velocity ที่มันหายไป ....(ขอนอกเรื่องนิด..ผมไม่ค่อยแปลกใจที่รัฐบาลไทยมีเงินแจก..เราไม่ทิ้งกัน..เยอะจัง อิอิ)

    แล้วมันมีผลข้างเคียงหรือเปล่าล่ะ

    ในที่สุดแล้ว ระบบเศษฐกิจมันก็คงจะต้องรีบาวนด์ เงินก็จะหมุนไปได้ ....แล้วสมมติว่าปริมาณเงินที่เพิ่มเข้ามามันเป็น 2X ของก่อนที่จะมีโรคระบาดล่ะ ....อย่าไปคาดหวังว่า GDP มันจะมากขึ้นเป็นสองเท่านะ มันไม่ง่ายหรอก สิ่งที่จะต่างไปคือ เงินเฟ้อ ...แล้วก็ไม่ใช่เงินเฟ้อธรรมดา ราคาสินค้าจะเพิ่มอย่างรวดเร็วแต่ละวันในระดับ hyper คนทั้งหลายจะรีบกำจัดเงินที่ได้รับเข้ามาให้เร็วที่สุด ..velocity ก็ยิ่งเพิ่มเร็วมากขึ้น ...นี่คือ Runaway Inflation หรือ Hyperinflation (ภาพ 2)

    Conclusion

    ยิ่ง shutdown นานมากเท่าไหร่ เงินที่จะเพิ่มเข้าระบบก็จะยิ่งมากเท่านั้น เพิ่มความเสี่ยงเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นไปอีก ...สิ่งที่เรา ๆ จะต้องทำคือเตรียมประกันความเสี่ยงโดยต้องมีทองคำในการ hedging ...เชื่อว่าทองคำจะต้องถูกนำมาใช้อิงกับดอลล่าร์โดยมีมูลค่าสูงกว่าราคาที่เห็นอยู่ปัจจุบันแน่ ๆ

    *****************

    Will Hyperinflation Occur As Result Of Gov’t Response To COVID-19 Plague? - munKNEE

    Lorimer Wilson

    Automatically receive the internet’s most informative articles bi-weekly via our free bi-weekly Market Intelligence Report newsletter (sample here). Register in the top right hand corner of this page.

    Things are bad – catastrophic. We haven’t seen jobless claims or declines in productivity like this ever. Over the course of 3 weeks, we’ve seen depression level declines for almost every area of the economy…[except] for staple food products and essential services. Buckle up, the world is about the change.

    Politicians are no longer asking us to shut down the economy; they are forcing us to…[and] many…are now…[suggesting that] this could go on until August. In other words, we’re just getting started…In the end, no one really knows how this will play out.

    [Thanks to the coronavirus (COVID-19) pandemic] the U.S. is seeing the effects of an…economic shutdown [that could last for]…3 to 18 months. The measures taken by leaders, create a real-time experiment that is fattening the tail risk with every passing day. You’re damned if you do, you’re damned if you don’t….

    In order to stop the virus, we basically need…to shut down the economy, and focus on keeping it together until the restart…[and,] when you shut down the economy, you are really shutting down velocity….[and] if one’s income gets shut down for more than a month, then one can’t pay their bills. Economically speaking,

    money wouldn’t be exchanging hands,

    velocity…[would become] toast and

    GDP would likely see more than a 50% annualized decline in the quarter

    …so, what’s a government to do?

    [That’s easy, they would]…”jack the money supply, baby!” by turning on the printing presses and starting to hand out cash to everyone…The U.S. government has already started [doing just that] with a$2T program called the CARES Act….Overall, the Fed and the Treasury are looking to do somewhere in the ballpark of $6T between each other (with mumblings of more in the works) which will increase the money supply and offset the reduction in velocity

    …[but] what are the side effects of doing that?

    Eventually the economy will kick back on and velocity will speed back up. Let’s assume the monetary supply is now over 2x the size it was before the pandemic started. If we go to the same productivity as the pre-corona level, then expect twice the GDP so, in theory, we could have twice the GDP as before with no change in pre-corona productivity. What’s the difference you ask? Inflation…History has taught us that when prices start rising at hyper-inflationary levels, people want to get rid of their money as fast they receive it, [thereby] speeding up velocity even further [and this is] known as runaway inflation.

    Conclusion

    The longer the economy stays shutdown, the more money we will print; increasing the risk of hyperinflation…[so] we are starting to build our portfolio around precious metals to help hedge this risk. We believe that pegging the U.S. dollar back to gold is a relatively high potential outcome [and we expect that]…this time gold will be pegged at a much higher value than today’s prices.

    Editor’s Note: The original article has been edited ([ ]) and abridged (…) above for the sake of clarity and brevity to ensure a fast and easy. The author’s views and conclusions are unaltered and no personal comments have been included.

     

แชร์หน้านี้

Loading...