ทริปเข้าพรรษา ภูทอก-วัดเจติยาศีรีวิหาร จ.หนองคาย

ด้านนอก รอบๆ เจดีย์จะแสดงประวัติของหลวงปู่ฯ ไว้
เป็นปูนปั้นสีแดง มีทั้งหมด ๕ ด้าน
ด้านที่๑




ด้านที่๒




ด้านที่๓




ด้านที่๔




ด้านที่๕

 

ใช่ๆชอบมาก แต่ไปจริงคงเหงื่อตก -*-

 

โมทนาบุญด้วยครับ ทริปนี้ทรงอารมณ์พระนิพพานกันได้ดีหลายท่าน

เที่ยวหน้าเอาเจ้าคูลล์ไปด้วย ปีนเขา เข้าถ้ำาาาา นี้ น้องเขาชอบ

 

จากนั้นเราก็กลับไปพักที่บ้านพักโยม๒
ช่วงบ่ายเราขึ้นภูทอกกันอีกครั้ง
คราวนี้ขึ้นทางประตูหน้า


เดินไปทางบันไดหิน


ก่อนขึ้นบันไดไม้ชั้นที่๑ ทางซ้ายจะมีทางแยกออกไป


ดอกไม้ป่าสีบานเย็นสด มีให้เห็นตลอดทาง

 

มาถึงทางแยกขึ้นศาลาชั้น๕ คราวนี้เราขึ้นกันทางด้านขวา
น้องนิคยังคงง่วนอยู่ที่ศาลาด้านล่าง เราเลยขึ้นมากันสามคน


เจ้าดิ๊กกี้มานอนดักรอพี่ลี อยู่ด้านหน้า


จากบันไดไม้มาได้หน่อย ก็จะเป็นบันไดหิน
ซึ่งลื่นจากน้ำฝนที่ตกพร่ำตลอด
เวลาเดินต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ


จากบันได้หิน ก็ต่อด้วยบันไดไม้ที่ชัน


ต้นสาบเสือก็มีให้เห็นอยู่ตลอดทางเหมือนกัน

 

มาได้ครึ่งทางคราวนี้เราขึ้นไปสำรวจเส้นทางชั้น ๔
ที่เมื่อวานยังไม่ได้สำรวจ


มองมาที่เจดีย์ก็สวยมาก


ดอกสีชมพูบานสวย ซึ่งที่ภูทอกเรียกว่า "ดงชมพู"


สะพานไม้ทอดยาวอยู่รอบภู

 

จากจุดด้านหน้านี้สะพานชำรุด
ไม่สามารถเดินต่อไปได้

 

เราเดินขึ้นชั้น ๕ กันอีกครั้ง บรรยากาศก็ยังสวย




บางจุดก็มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ตามชะง่อนหิน


ต้นสาบเสือและดอกสีบานเย็นยังมีให้เห็นตลอด

 

บรรยากาศที่สวยงาม


ชะง่อนหินที่ยื่นออกมาท้าทาย



บรรยากาศสวยๆ ที่เห็นอยู่ตลอดทางเดิน

 

ต้นมอสสีเขียวสดที่ขึ้นอยู่ตามโขดหิน และพื้น




กล้วยไม้ป่าขึ้นอยู่บนต้นไม้


ดอกเข็มป่าสีขาวก็มีให้เห็น


เก็บภาพเป็นที่ระลึก

 

เราขึ้นชั้น ๖




ทิวทัศน์ก็ยังคงสวยงาม

 

ดอกไม้ป่าก็มีให้เห็น

 

มุมนี้ลมพัดแรงมาก




เราขึ้นมาเจอน้องนิคที่หน้าผา


เลยมารวมตัวกันถ่ายรูป ก่อนจะลงไปที่ศาลาถ้ำพระวิหาร
เพื่อช่วยกันกวาดถูศาลาให้สะอาด ล้างห้องน้ำ กวาดตาด(ลานวัด)
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรประจำวันตอนเราอยู่ที่นั่น



เพื่อจะได้ไม่ต้องนอนที่ศาลาเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา
หลวงเตี่ยช้างได้เมตตาให้ผู้หญิงพักที่กุฏิสุขาวดี ชั้น๕

หลังทำความสะอาดศาลา ห้องน้ำ และกวาดตาดเรียบร้อยแล้ว
เราก็เพิ่งทราบจากแม่ขาวตูนว่า
วันนั้นหลวงเตี่ยช้างซึ่งเป็นผู้ดูแลชั้น๕
ได้รับคำสั่งให้ไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดแห่งหนึ่ง
บนศาลาก็เลยเหลือเพียงเรา ๔ คน และแม่ขาวตูน


พี่หนอนเป็นผู้นำสวดมนต์ทำวัตรเย็น
ด้วยความช่วยเหลือของแม่ขาวตูน
คืนนั้นเราได้ไปภาวนาและพักกันที่พุทธวิหาร
ด้วยความเมตตาของครูบาอาจารย์เราเลยได้ที่พักทั้งหมด๓จุด

 

แค่ดูรูปยังไม่เท่าไหร่อะ Falky...
ต้องมาไต่ดูเองถึงจะรู้...
เหล่ตา ลอดล่องไม้กระดานลงไป
ใจมัน วุ๊บๆ วึ๊บๆ อยู่เหมือนกัน ><"
><"...ก้อเดินอยู่บนอากาศอะนะ...><"

 

ตอนเช้าวันจันทร์ที่6
ตื่นลงมาร่วมบุญกฐิน และไปทารข้าวที่โรงครัว
อาหารพื้นบ้าน บางอย่างผมไม่เคยทานมาก่อน
มีผักเครื่องเคียงให้มาจิ้มกับน้ำพริกหลายอย่าง
นิค กินข้าวนึ่ง
ส่วนพวกเราที่เหลือ กินข้าวสวยครับ

 

เมื่อทานเสร็จ เก็บกวาด
คุณยายท่านหนึ่งปัน ข้าวเหนียวมาให้ เพื่อเอาไปให้ปลากิน ที่บ่อข้างพระเจดีย์
ให้ปลากินบ้าง ให้เจ้าดิ๊คกี้ กินบ้าง จนหมด
พี่ลี กลับไปที่เรือนพักหมายเลข 2
ผม ณ และ นิค ขึ้นไปกราบที่เจดีย์หลวงปู่จวน
อ่านประวัติ และสักการะพระสารีริกธาตุของหลวงปู่ท่าน

เมื่อได้เวลาอันควร พวกเรา ปีนขึ้นภูทอกอีกครั้ง
(ทริปนี้ ปีน ขึ้นเขา ลงเขา ทุกวันเป็นประจำครับ)


รูปหนอนบุ้งดำขนยาวขาว ที่เกาะตรงระเบียงไม้



ทางเดินที่ระเบียงไม้ชั้นสี่



ทางเดินที่ลัดเลาะเกาะตามหน้าผา
เป็นอนุสสติ ว่าชีวิตไม่ควรดำรงอยู่ความไม่ประมาท




สังขารไม้ที่ผุพังตามกาลเวลา


กุฎิไม้ริมหน้าผา



ดอกไม้ป่าริมทาง



เกิดขึ้น เป็นอยู่ และ ดับไป



ทางเดินชั้นห้าไปสู่ พุทธวิหาร



พุทธวิหารที่สร้างเกาะอยู่กับยอดเขา
มีทางเดินไม้ข้ามเหวเชื่อมต่อ
อันเป็นที่พัก ที่พวกเราจะทำวิปัสสนาธุระ ปฏิบัติธรรมในคืนนี้


กลับมาพักที่ กุฏิสุขาวดี ที่ชั้นห้า
ทำความสะอาดเสนาสนะ ศาลา
และสวดมนต์ทำวัตรเย็น
ก่อนขึ้นไปพักที่พุทธวิหาร

 

เช้าวันที่ ๗ เสียงนกร้องปลุกให้ตื่น ดูนาฬิกาก็เพิ่งจะตีห้า





มองจากพุทธวิหาร ยังมีหมอกหนาลอยอยู่เต็มไปหมด



ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น มองดูที่ทางเดินยังคงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน
และหมอกขาวที่ปกคลุม








บริเวณด้านข้างพุทธวิหาร ยังมีหมอกปกคลุมอยู่

 

ดูท่า บรรยากาศดีชะมัด ทุกคนเลยมีอารมณ์ใจที่แจ่มใสกัน

ดูพี่ลียิ่งดูสาวขึ้นอีกหลายสิบปีเลยทริปนี้

 

ภายในพุทธวิหาร ซ้ายมือจะมีแท่นบูชาพระ
มีพระพุทธรูปอยู่สององค์





บริเวณระเบียง ซึ่งกันระหว่างเรากับหน้าผา






ด้านในมีเตียงไม้