ทฤษฎีสัมพันธภาพและกลศาสตร์ควอนตัม สู่การเดินทางของจิต การมองเห็นวิญญาน และกาลเวลา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย gotodido, 6 พฤษภาคม 2008.

  1. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    กระผมขออนุโมทนา
    สาธุมหาอนุโมทนา
    ความรู้หนามาพบบรรจบแล้ว
    ขอบพระคุณวิชาความรู้ที่ท่านพรรณา
    กระผมคงได้เสริมได้เพิ่มเติมในวิชา
    มุมมองพรรพชีวิตอนุภาคนี่หนา
    รวมทั้งโลกธรรมกฏธรรมชาตินาดั่งว่ามิตรคงยินดี
    กระผมกราบขออนุญาติแสดงความเห็นครับ
    สสารและโมเลกุลธาตุ,ความเร็วของอิเลคตรอนเป็นตัวบอกความถี่และรูปลักษณ์ในรูปแบบต่างๆของบรรดามวลของความถี่ช่วงค่าหนึ่ง
    เช่นความถี่ค่าเดียวที่อัดแน่นคือเลเซอร์
    เมื่อความหนาแน่นมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆความเข้มคลื่นความถี่ยิ่งมากจึงควบแน่นเป็นธาตุวัตถุตามโครงสร้างอะตอมโดยผ่านกระบวนการหลอมรวมตามธรรมชาติ..และค่าเฉพาะตามธรรมชาติคือความถี่ที่แสดงตัวตนนั้นของมันเอง
    วัตถุธาตุคือคลื่นความถี่ที่สะสมตัวควบแน่นจากการดึงและดันของบิ๊กแบ๊งเป็นระยะแวลาเท่ากับจักรวาลเริ่มต้นหรือเปล่าครับ ถ้ารูปแบบของการดึงคือแบล็คโฮล การดันคือการระเบิดกระจายตัว..องค์ประกอบของธรรมชาติและของจักรวาลคือของคู่ หรือ หยิน-หยาง การหักล้าง,การรวมตัว คือปฏิกิริยาแห่งการดับสูญและก่อกำเนิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2008
  2. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    ถึงคุณเจ้าของกระทู้
    จากที่ติดตามอ่านกระทู้มาตั้งแต่อันแรก มีข้อสงสัยดังนี้ค่ะ
    1.ที่คุณบอกว่าคนเราเห็นผีได้ง่ายกว่าเห็นเทวดา เพราะผีมีความถี่สูง ความยาวคลื่นน้อยกว่าเทวดา แล้วความถี่ของผีเท่ากับเท่าไหร่คะ ความถี่ของเทวดาเท่ากันบเท่าไหร่ ส่วนความถี่ของตาเนื้อนั้นพอเข้าใจเพราะแยกออกมาเป็นช่วงของสเปกตรัมอยู่แล้ว อีกอย่างการวัดความถี่ของผีนี้วัดยังไงเหรอคะ
    2.การขัดข้องของแรงนิวเคลียร์นี้มันเป็นยังไงเหรอคะ
    3. ความแรงของแรงนิวเคลียร์นี้ คืออะไรคะ แรงดึงดูด แรงพันธะ แรงตึงหรือแรงระหว่างประจุ แรงระหว่างอะตอม

    ความรู้ที่ผ่านมาของวิทยาศาสตร์ กฏต่างๆ ก็ยังอยู่ใน ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อมีการค้นพบใหม่ๆที่สามารถนำมาแย้งกฏเก่าๆได้ กฏใหม่ก็จะถูกกำหนดขึ้นมาแทน ยกตัวอย่างเช่น classic physic และ modern physic


    เมื่อกินข้าวเปล่า ลิ้นเรารู้ว่าหวานแต่ก้ไม่ได้บอกว่าในนั้นจะไม่มีรสเค็มเจืออยู่
    เมื่อเราได้ยินเสียงแต่พัดลมCPUทำงานอยู่ก็ไม่ไม่ได้หมายความว่าส่วนอื่นหยุดทำงาน
    ตามแต่อายตนะที่รับรู้ สัมผัสทางกายมีข้อจำกัดของตัวมันเอง รวมถึงเครื่องมือด้วยเช่นกัน
    มีพฤติกรรมแปลกๆของสัตว์ให้สังเกตุในเรื่องนี้ เช่นสุนัข เมื่อเวลาที่เราเปิดเครื่องขยายเสียง สุนัขจะหอนออกมา ส่วนเรารู้สึกเฉยๆกับเสียงนั้น
    สุนัขหอนเพราะอะไร คลื่นเสียงที่เครื่องขยายเสียงปล่อยมามีความถี่ที่มากกว่าความถี่ที่มนุษย์ได้ยิน เราไม่ได้ยินไม่ได้หมายความว่าสุนัขไม่ได้ยินด้วย เมื่อสุนัขได้ยินมันพยายามบอกว่าหนวกหู รำคาญ ก็เลยต้องหอนเพราะทนไม่ไหว

    เกี่ยวกับวิญญาณ ตรงนี้มีความเชื่อกับจินตนาการเข้ามาเกี่ยวข้อง ในที่เงียบสงัดบริเวณวัด บางวันของกลางคืนสุนัขก็ยังหอนอยู่ ได้ยินกันทั่วไป ถามว่าทำไมไม่ค่อยเจอในช่วงเวลากลางวัน ทำไมต้องเป็นกลางคืน

    รูปถ่ายต่างๆของวิญญาน ทั้งที่เป็นตัวเป็นรูปร่าง ทั้งที่เป็นแบบจุดแสง ทำไมเรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำไมกล้องจับภาพได้ ตรงนี้เกี่ยวกับเรื่องความถี่ของคลื่นที่ตามองเห็น

    ในความมืดมีอะไร ในเมื่อแสงสว่างมีพลังงาน ความมืด(วัตถุมืด)จะมีพลังงานรึไม่

    ในพุทธศาสนามีข้อพิสูจน์ แต่ก็เป็นการรู้เฉพาะตน นั่นคือเฉพาะผู้ที่สำเร็จญาน4ขึ้นไป และผู้ที่มีวาสนาได้เจอ อะไรล่ะที่รู้ คำตอบก็คือใจ ตรงนี้เป็นอีกเรื่อง นำมาโต้แย้งไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดเฉพาะบุคคล เหมือนอย่างซัน เค้าเห็นกรรมได้อย่างไร ทำไมคนธรรมดาทั่วไปไม่เห็น
    ในสเปคตรัม แสงที่เรามองเห็นมีช่วงความถี่ 10<SUP>14</SUP>Hz หรือ<WBR>ความยาวคลื่น 400 นาโนเมตร - 700 นาโนเมตรเมตร เราเลยมองไม่เห็นรังสีอินฟราเรด(ที่มีความยาวคลื่น 700 นาโนเมตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2008
  3. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    2.การขัดข้องของแรงนิวเคลียร์นี้มันเป็นยังไงเหรอคะ
    3. ความแรงของแรงนิวเคลียร์นี้ คืออะไรคะ แรงดึงดูด แรงพันธะ แรงตึงหรือแรงระหว่างประจุ แรงระหว่างอะตอม

    ตรงนี้เป็นความรู้ที่จะกำลังเกิดขึ้นใหม่ครับ เกี่ยวกับอนุภาค ฮิกส์ (Higgs particle) หรือ ฮิกส์ โบซอน (Higgs boson) ว่ากันว่า เปรียบเสมือนจอกศักดิ์สิทธิ์ที่นักฟิสิกส์กำลังไล่ล่าหา


    อนุภาค ฮิกส์ (Higgs particle) หรือ ฮิกส์ โบซอน (Higgs boson) คืออะไร

    ปี ค.ศ. 1993 รัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ของอังกฤษท้าให้ใครก็ได้ตอบคําถามด้วยความยาวไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษว่า "ฮิกส์โบซอนคืออะไร และทําไมเราต้องไปค้นหามัน"

    โปรเฟสเซอร์ เดวิด มิลเลอร์ (Prof. David Miller) ของ University Colledge มหาวิทยาลัยลอนดอน อธิบายไว้ดังนี้

    เราเรียกกระบวนการที่อนุภาคทําอันตรกิริยากับสนามฮิกส์และเกิดมวลว่า กลไกฮิกส์ (Higgs Mechanism) ในทางฟิสิกส์นั้น กลไกฮิกส์เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะซับซ้อน แต่เราสามารถเข้าใจมันได้อย่างง่ายดายด้่วยการอธิบายทางการเมือง ​

    นึกภาพงานเลี้ยงของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ในห้องสูตรหรูของโรงแรม มีสมาชิกพรรคการเมืองยืนกันอยู่เต็มห้องในระยะห่างเท่าๆ กัน และต่างคนต่างคุยกับคนข้างๆ (ภาพที่ 1 )
    <IFRAME src="http://vcharkarn.com/magazine/issue6/higgs_boson/higgs1.gif" frameBorder=0 width=260 scrolling=no height=200></IFRAME>​

    ทันใดนั้นหัวหน้าพรรคก็เดินเข้าประตูมา (รูปที่ 2)

    <IFRAME src="http://vcharkarn.com/magazine/issue6/higgs_boson/higgs2.gif" frameBorder=0 width=260 scrolling=no height=200></IFRAME>

    แต่ละจุดที่หัวหน้าพรรคเดินผ่าน สมาชิกที่ยืนอยู่รอบๆ ก็เข้ามาทักทายประจบลูบหน้าลูบหลัง (รูปที่ 3) เมื่อหัวหน้าพรรคเดินผ่านแต่ละจุด สมาชิกรอบๆ ก็กลับไปยืนที่เดิม การถูกกลุ้มรุมลูบหน้าลูบหลังในแต่ละจุดทําให้หัวหน้าพรรคเดินผ่านห้องได้ลําบากขึ้น ซึ่งมีค่าเท่ากับการมีมวลมากขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับอนุภาคที่เคลื่อนที่ผ่านสนามฮิกส์และเกิดมวลนั่นเอง

    <IFRAME src="http://vcharkarn.com/magazine/issue6/higgs_boson/higgs3.gif" frameBorder=0 width=260 scrolling=no height=200></IFRAME>


    แล้วอนุภาคฮิกส์เองเกิดขึ้นได้อย่างไร สมมติว่าถึงเวลาเริ่มงานแล้ว หัวหน้าพรรคก็ยังไม่มา แต่เกิดข่าวลือว่าหัวหน้าพรรคป่วยอย่างกระทันหัน (เนื่องจากหุ้นเป็นพิษ) สมาชิกพรรคที่ใกล้ประตูที่สุดได้ยินข่าวลือก่อน (รูปที่ 4)

    <IFRAME src="http://vcharkarn.com/magazine/issue6/higgs_boson/higgs4.gif" frameBorder=0 width=260 scrolling=no height=200></IFRAME>

    แล้วหันมาบอกคนถัดไป คนที่อยู่รอบๆ ก็รุมล้อมเข้ามาฟัง (รูปที่ 5)
    ฟังเสร็จก็กลับไปบอกคนข้างๆ ต่อ เกิดการสุมหัวกันถัดไปเรื่อยๆ สมาชิกในห้องที่สุมหัวกันเองก็ย่อมทําให้เกิดมวลเช่นกัน มวลที่เกิดขึ้นก็คืออนุภาคฮิกส์นั่นเอง

    <IFRAME src="http://vcharkarn.com/magazine/issue6/higgs_boson/higgs5.gif" frameBorder=0 width=260 scrolling=no height=200></IFRAME>

    แรงพื้นฐาน (fundamental forces) ในธรรมชาติทั้ง 4 แรง ที่ทำให้อนุภาคต่างๆ ยึดกันอยู่ได้ ดังนี้คือ
    1. แรงโน้มถ่วง (gravitational force)
    2. แรงแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic force )
    3. แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน (weak nuclear force )
    4. แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม (strong nuclear force )
    การศึกษาแรงพื้นฐานนี้ จะทำให้เราเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมโปรตอนจำนวนมากจึงรวม
    ตัวกันในนิวเคลียสได้ ทั้งๆ ที่มีประจุบวกเหมือนกัน และอนุภาคมูลฐานที่เรียกว่า ควาร์ก นั้นจับตัว
    กันอย่างไรจึงทำให้เราไม่เคยพบมันแบบเดี่ยวๆ เลย

    การพยายามค้นหาอนุภาคฮิกส์ก็เพื่อพิสูจน์ว่ากลไกฮิกส์มีอยู่จริง ความสําคัญของมันนั้นคือการยืนยันทฤษฎีการรวมแรงพื้นฐาน (fundamental forces) สองในสี่แรงเข้าด้วยกัน คือการรวมแรงแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic force) เข้ากับแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน (Weak force คือแรงที่ทําให้เกิดการแผ่รังสีของสารกัมมันตรังสี เช่น ทําให้เกิดการแผ่รังสีของสารโคบอลต์-60) เราเรียกทฤษฎีนี้ว่า Electroweak Unification Theory ซึ่งกล่าวไว้ว่า แรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนความจริงแล้วเป็นแรงเดียวกัน แต่แยกออกเป็นสองแรงในระยะเริ่มต้นของการเกิดจักรวาล แต่เนื่องจากเรารู้ว่าแรงแม่เหล็กไฟฟ้านั้นสื่อโดยอนุภาคโฟตอน ซึ่งไม่มีมวล แต่แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนสื่อโดยอนุภาค สามชนิด ที่ชื่อว่า W+ W- และ Z0 ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีมวลมาก ปัญหาก็คือ หาก Electroweak Unification Theory ถูกต้อง อนุภาคทั้งสี่ คือ โฟตอน W+ W- และ Z0 ต้องเป็นอนุภาคชนิดเดียวกัน แล้วเหตุใดมวลจึงแตกต่างกันมหาศาล กลไกฮิกส์ก็คือคําตอบของปัญหานี้ นั่นคือเมื่อเริ่มต้นนั้นอนุภาคเหล่านั้นล้วนไม่มีมวลเหมือนกัน (ใช่แล้ว มันมีซิมเมตทรี) แต่อนุภาคเหล่านั้นทําอันตรกิริยากับสนามฮิกส์ต่างกัน เกิดมวลที่ต่างกัน นั่นคือการทําลายซิมเมตทรีโดยกลไกฮิกส์ และนั่นก็คือกระบวนการที่นักฟิสิกส์เรียกว่า สปอนเทเนียส ซิมเมตทรี เบรกกิง (Sponteneous Symmetry Breaking) และจากนั้นมาแรงทั้งสองก็แยกออกจากกัน

    การก่อสร้างเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่มาก ที่มีชื่อเรียกว่า Large Hadron Collider (LHC) ที่ศูนย์วิจัยทางฟิสิกส์อนุภาคของยุโรป (CERN) ชานกรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งจะใช้ในการเร่งอนุภาคให้มีพลังงานสูงมากๆ แล้วนํามาชนกัน เพื่อสร้างสภาวะที่อุณหภูมิและความหนาแน่นพลังงานสูงมากๆ จุดมุ่งหวังก็เพื่อจําลองเหตุการณ์ช่วงต้นๆ ของจักรวาลในขณะที่แรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนเพิ่งเริ่มแยกตัวออกจากกัน ในห้วงขณะนั้น อนุภาค W<SUP>+</SUP> W<SUP>-</SUP> และ Z<SUP>0</SUP> เริ่มมีมวลโดยการดูดกลืนอนุภาคฮิกส์ แต่อนุภาคโฟตอนยังคงไม่มีมวล นั่นคือควรจะมีอนุภาคฮิกส์ที่ไม่ถูกดูดกลืนเหลืออยู่ (กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อนุภาคโฟตอนทําให้เกิดเพียง ข่าวลือ เหมือนในรูปที่ 4 ข้างบน) นักฟิสิกส์จึงคาดหวังว่าจะมีอนุภาคฮิกส์อิสระปรากฎให้เห็น

    (ที่มา: vcharkarn-magazine: ศุภกร รักใหม่)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2008
  4. ธวัฒน์ชัย

    ธวัฒน์ชัย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    อยากรู้เรื่องมิติที่4 ครับ

    ทำอย่างไรจะพบมิติที่4 ได้ครับ แล้วมิติที่4 ใช้เป็นมิติของเวลาหรือเปล่า:d :d
     
  5. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    ทฤษฎีเส้นเชือก (String Theory) อธิบายตามคลิปนี้ครับ

    <EMBED pluginspage=http://www.macromedia.com/go/getflashplayer src="http://flash.revver.com/player/1.0/player.swf " width=480 height=392 type=application/x-shockwave-flash scale="noScale" salign="TL" bgcolor="#ffffff" flashvars="width=480&height=392&mediaId=99898&affiliateId=33530&javascriptContext=true&skinURL=http://flash.revver.com/player/1.0/skins/Default_Raster.swf&skinImgURL=http://flash.revver.com/player/1.0/skins/night_skin.png&actionBarSkinURL=http://flash.revver.com/player/1.0/skins/DefaultNavBarSkin.swf&resizeVideo=True&pngLogo=http://tenthdimension.com/assets/tenth-icon.png" wmode="transparent" player.swf 1.0 player flash.revver.com http:>



    มิติที่1 คือ เส้นตรง
    มิติที2 คือ มิติที่1ต่อเรียงกัน หรือเส้นตรงต่อเรียงกัน เป็นพื้นที่ระนาบเดียว
    มิติที่3 คือ มิติที่2ต่อเรียงกันขึ้นมา เป็นรูปทรง
    มิติที่4 คือ มิติที่3ต่อเรียงกัน เรามองเห็นเป็นลักษณะการเครื่องไหว การต่อเรียงเรียงกันของมิติที่3 เราใช้อธิบายได้ว่าขณะหนี่งๆมิติที่สามทำอะไรอยู่

    มิติที่5 คือ 4มิติแรกเรียงซ้อนกันอยู่ บางท่านบอกว่าคือโลกคู่ขนานของเรา การเรียงซ้อนกันของ 4มิติแรกมองอีกนัยคือ โอกาส ความน่าจะเป็น ของมิติ1, 2, 3 ที่เวลาเดียวกันคือ มิติที่4 เท่ากัน

    ตั้งแต่มิติที่ 5-10 มีขึ้นเพื่อ อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติที่ 1, 2, 3, 4 เป็นเพียงมิติสมมุติรึอาจจะมีจริงก็ยังไม่100%
     
  6. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    :dแล้วปัจจัยที่ทำให้เวลาเดินเร็วคือไรหรอครับ

    เอาง่ายๆคือผมไม่รู้สัมพัทธภาพคือรัย อะ
     
  7. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    อ่านแล้ว งวยงง มึนตึบครับแบบนี้
     
  8. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    สสารมืดอาจถูกตรวจวัดได้เป็นครั้งแรก แต่เป็น SuperWIMPS ไม่ใช่ WIMPS

    <IFRAME src="http://www.vcharkarn.com/uploads/13/13079.jpg" frameBorder=0 width=434 scrolling=no height=600></IFRAME>


    สสารมืด (dark matter) อาจจะถูก ตรวจวัด ได้เป็นครั้งแรกที่เครื่องเร่งอนุภาค Large Hadron Collider หรือ LHC ที่ศูนย์ปฏิบัติการนิวเคลียร์ยุโรปหรือ CERN ซึ่งกำลังจะเริ่มปฏิบัติการได้ในปีนี้ นี่เป็นการจุดประกายโดยทีมนักฟิสิกส์ในสหรัฐฯ ทว่าสสารมืดที่จะตรวจวัดได้อาจไม่ใช่
     
  9. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    จะเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่นะครับ สำหรับการทดลองของ cern ครั้งนี้ ที่จะมีเร็วๆนี้พลิกประวัติศาสตร์โลกเลยล่ะ เข้าสู่ฟิสิกส์ยุคใหม่

    จริงๆผมสนใจเรื่อง error ที่ยังไม่มีอะไรบอกว่ามันปลอดภัย มากกว่าครับ
     
  10. ใจสวรรค์

    ใจสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +105
    สาธุ ขออนุโมทนากับบทความและความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ นี่เป็นสิ่งยืนยันที่แท้จริง วิทยาศาสตร์ก็คือพุทธ ศาสนาพุทธสามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์
     
  11. ใจสวรรค์

    ใจสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +105
    สาธุ ขออนุโมทนากับบทความและความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ นี่เป็นสิ่งยืนยันที่แท้จริง วิทยาศาสตร์ก็คือพุทธ ศาสนาพุทธสามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์
     
  12. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    จากเรื่องของอนุภาคฮิกส์นะครับ อนุภาคฮิกส์เกิดขึ้นเองได้ แล้วอะไรที่ทำให้เกิดอนุภาคฮิกส์ขึ้นเองครับ? ถ้าการเปรียบเทียบเรื่องพรรคการเมือง ก็คือข่าวลือ และการบอกต่อๆ กันทำให้เกิดการจับกลุ่ม แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วอะไรทำให้มันจับตัวกันเอง? พลังงานที่ใส่เข้าไปหรือเปล่าครับ?

    เรื่องทฤษฏีสัมพัทธภาพก็พอรู้งูๆ ปลาๆ เหมือนกัน แต่รู้สึกว่ามันจะเป็นเพราะว่า ตามทฤษฏีนี้ความเร็วของแสงจะเป็นค่าคงที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ในธรรมชาติจะมีปรากฏการณ์นึงก็คือเมื่อเรามองรถที่วิ่งเข้ามาหาตัวเรา กับการที่เราวิ่งเข้าหารถที่วิ่งเข้าหาตัวเราด้วย ความเร็วของรถที่เรามองเห็นจะไม่เท่ากันเมื่อเราวิ่งเข้าหารถ เราจะเห็นรถวิ่งเร็วกว่าเดิม

    แต่ทีนี้เมื่อเปลี่ยนรถเป็นแสง ความเร็วของแสงจะคงที่ เมื่อเราวิ่งเข้ามาแสงจะเห็นความเร็วแสงเร็วขึ้นไม่ได้ เวลาก็เลยลดลงแทน

    ส่วนปัจจัยที่ทำให้เวลาเดินเร็วได้อันนี้ไม่รู้แฮะ

    อธิบายผิดตรงไหนทักด้วยนะครับ


    edit: ไปเห็นคำอธิบายจากที่อื่นเลยขอก็อปเอามาไว้ด้วย อ่านแล้วจะรู้สึกเข้าใจง่ายกว่า จากคำถามของเจ้าของกระทู้ที่ว่า "ทำไมเวลาที่เราเล่นอินเตอร์เน็ต เวลาถึงผ่านไปเร็วกว่าปกติครับ"

    ความคิดเห็นที่ 9

    จะอธิบายโดยอ้างอิงทฤษฎีสัมพัทธภาพให้พอเข้าใจนะครับ

    ณ.จุดที่มีแรงดึงดูดสูง เวลาจะเดินช้าลงตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ เช่นหลุมดำ ดวงอาทิตย์

    จุดที่แรงดึงดูดต่ำกว่า เวลาจะเดินเร็วขึ้น เช่นบนดวงจันทร์ บนดาวเทียม

    ขณะที่คุณเล่นอินเตอร์เน็ต หน้าจอคอมพิวเตอร์จะดึงดูดคุณไว้ เวลาของคุณที่มีต่อคอมพิวเตอร์จะยาวนานขึ้น แต่เวลาภายนอก คือสิ่งแวดล้อมรอบๆ ซึ่งไม่สามารถดึงดูดคุณไว้ได้ เพราะจิตคุณไปจดจ่ออยู่แต่กับคอมพิวเตอร์ เมื่อสิ่งแวดล้อมภายนอกไม่มีแรงดึงดูดหรือดึงดูดได้น้อยกว่าปกติ เวลาจะผ่านไปเร็วขึ้น

    ถ้าคุณอ่านหนังสือจนสมาธิแนบแน่นไปกับหนังสือ คุณจะรู้สึกว่าเวลารอบๆตัวผ่านไปเร็ว แต่รายละเอียดที่คุณได้จากการอ่านหนังสือครั้งนั้นเพิ่มขึ้น (เพราะเวลาในขณะอ่านหนังสือยาวนานขึ้น ละเอียดขึ้น เนื่องจากแรงดึงดูดของหนังสือที่มีต่อคุณ เช่นเดียวกับทางกายภาพ บริเวณที่มีแรงดึงดูดสูงจะทำให้เวลาบริเวณนั้นเดินช้ากว่าปกติ)

    ถ้าคุณไปอ่านหนังสือ บนดาวที่แรงดึงดูด (หรือแรงโน้มถ่วง) สูงกว่าโลก เมตาบอลิซึมคุณก็จะลดลงไปโดยอัตโนมัติ ตามเวลาที่เดินช้าลง ( ความเร็วแสงกำหนดอัตราเมตาบอลิซึม และอัตราเมตาบอลิซึมก็คือตัววัดเวลา ) เมื่อเมตาบอลิซึมลดลง ในระดับเดียวกับที่เวลาเดินช้าลง ทำให้อ่านหนังสือได้ยาวนานขึ้น แต่ความไวในการอ่านก็ช้าลงไปด้วย สรุปก็คือ แม้เวลาบนดาวดวงนั้นจะเดินช้ากว่าโลกสองเท่า แต่ความไวในการอ่านหนังสือของคุณก็จะลดลงสองเท่าเช่นกัน ตามอัตราเมตาบอลิซึมที่ลดลง การอ่านหนังสือครั้งนั้นของคุณไม่ได้มากกว่าคนบนโลกแต่อย่างใด ( เพราะแม้บนโลกเวลาจะผ่านไปไวกว่า แต่ความเร็วในการอ่านก็สูงขึ้นตามไปด้วย)

    แต่ทีนี้ ถ้าคุณมีสมาธิแนบแน่นบนพื้นโลก ความไวในการอ่านคุณเท่าเดิม แต่คุณไปยืดเวลา(ใจ) ขณะอ่านหนังสือออก ถ้าขณะนั้นมีเพื่อนอีกคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือคู่กับคุณ แต่ใจของเพื่อนคุณถูกสิ่งแวดล้อมดึงดูด ไม่ใช่หนังสือ คุณจะรู้สึกว่าเวลาของเพื่อนคุณผ่านไปเร็วมาก คือผ่านไปหนึ่งชั่วโมง คุณอ่านหนังสือได้เยอะแยะเลย แต่เพื่อนคุณยังไปไม่ถึงไหน นั่นก็เพราะช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงของคุณและเพื่อนคุณไม่เท่ากัน มันยืดหดตามแรงดึงดูดของหนังสือ หรือของสิ่งแวดล้อม

    อีกตัวอย่างที่ยกมาในหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ก็คือ คนที่จะถอดชนวนระเบิดเวลา คนที่จิตนิ่ง เมตาบอลิซึมต่ำ แม้เวลาระเบิดจะเหลือแค่สองนาที เขาก็จะกู้ระเบิดอย่างเนิบๆ ราวกับว่าสองนาทีนั้นยาวนานเหลือเฟือที่จะใช้ในการกู้ นั่นเพราะสมาธิที่มีต่อระเบิด (หรือจะมองกลับกันว่า ระเบิดมีแรงดึงดูดต่อเขาสูง) ทำให้เขาสามารถยืดเวลาออกไปได้ละเอียดขึ้น ในขณะที่คนใจร้อน เมตาบอลิซึมสูง จิตไม่นิ่ง เขาจะพะวงไปกับแรงดึงดูดของสิ่งแวดล้อมเช่น เวลาตามนาฬิกาภายนอก หมู่คนที่กำลังมุงดู เมื่อเขาถูกแรงดึงดูดจากสิ่งแวดล้อมดึงดูดแทนที่จะเป็นระเบิด เวลาสำหรับการกู้ระเบิดก็จะเดินเร็วขึ้น คนแบบนี้ จะกู้ระเบิดไม่ทัน

    เรื่องนี้อธิบายยากครับ คือทฤษฎีสัมพันธภาพ ถ้านำมาอธิบายถึงเรื่องของเวลาใจ จะไม่ค่อยได้รับการยอมรับ เพราะมันคำนวณไม่ได้

    ถ้าอยากอ่านความเห็นแนวนี้เพิ่มเติม ต้องลองไปอ่านหนังสือ "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" ซึ่งได้อธิบายไว้อย่างละเอียด

    จากคุณ : ปัจจตัง (ปัจจตัง) - [ วันฉัตรมงคล 01:18:44 ]

    credit: http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X6576767/X6576767.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2008
  13. naei

    naei Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +94
    ** เป็นความคิดเห็นที่เป็นตรรกะของผมเท่านั้นนะครับ **
    จากที่อ่านมา และจากพระไตรปิฏก แสดงว่า มวลของโลก และความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลก ไม่คงที่ใช่ใหมครับ ตามหลักอนิจจัง เพราะจากพระไตรปิฏก คนในยุคพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ในกัปป์นี้ มี อายุเป็นหมื่น ๆ ปี จนวาระของโลกได้เปลี่ยนแปลง โลกหมุนเร็วขึ้น สิ่งต่าง ๆ ในโลกจึงเริ่มเล็กลง อายุน้อยลง ถ้าเช่นนั้น ที่พระพุทธเจ้ามีพุทธพยากร ในอนาคต คนในยุคนั้น มีอายุ เพียง 5 ปี ก็แต่งงาน 10 ปี ก็ตาย คนจะตัวเล็กขนาดต้องปีนต้องพริก

    แต่มีข้อคิดอยู่ที่ว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะคนมีจิตใจที่เสื่อมทราม เสื่อมต่อศิลธรรม จนทำให้คนมีอายุสั้นลง ๆ นั่นก็แสดงว่า จิตใจของคนที่อยู่บนโลกมีผลกระทบต่อระบบสุริยจักวาล คนทำลายโลกมากขึ้น ๆ มวลโลกไม่สมดุล เช่น ในปัจจุบัน จากการถมที่ในทะเล ทำเป็นลานบิน ทำให้ต้องเอามวลสารจากที่หนึ่ง มาใส่ไว้อีกที่หนึ่ง หรือ เกิดจากภัยธรรมชาติ ทำให้มวลสารของโลกผิดสมดุลย์ จากแกนโลกที่เอียงได้สมดุลย์ต่อการหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์ ทำให้โลกต้องปรับสมดุลย์ใหม่ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หรือที่เรียกว่าภัยพิบัติ เมื่อโลกปรับเปลี่ยนสมดุลย์ของตัวเองใหม่ อาจทำให้โลกต้องหมุนเร็วขึ้น เมื่อโลกหมุนเร็วขึ้น จาก ท.สัมพัทธภาพที่อ่านมา กาลเวลาของโลกต้องปรับตัวตามเพื่อให้เกิดความสมดุลย์ไปด้วย และสิ่งมีชีวิตบนโลกต้องปรับตัวตามไปด้วย จึงทำให้คนในยุคที่พระพุทธเจ้าทรงพยากร เป็นจริงแน่นอน คนในอีก 2500 ปี ก่อนที่จะหมดยุคของพระพุทธเจ้า จะมีอายุเพียง 10 ปี

    และจากที่อ่านต่อมา เมื่อคนในยุคนั้นซึ่ง ศีลธรรมเสื่อมทรามมาก ก็จะเริ่มกลับมารักษาศีลธรรม จากนั้น ลูกของคนอายุ 10 ปี จะอายุ 20 ปี ลูกของคนอายุ 20 ปี จะอายุ 40 ปี ไปเรื่อย ๆ จนเป็นหลาย ๆ หมื่นปี จนกระทั่ง คนในยุคข้างหน้าไม่รู้จักคำว่าแก่ หรือ ตาย แสดงว่า โลกในยุคนั้น มีความสมดุลย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้โลกหมุนช้าลง สิ่งต่าง ๆ ก็จะเริ่มใหญ่โตขึ้น คนในยุคนั้นอาจสูงเป็น สิบ ๆ เมตร ตามประวัติพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ พอคนในยุคนั้นเริ่มที่จะประมาท เพราะอายุยาว ไม่รู้จักคำว่าแก่ หรือตาย ประมาทในการรักษาศิล จนทำให้อายุเริ่ม หดลง ๆ จนถึงยุคที่พระศรีอาริยเมตไตร มาโปรด

    แสดงว่า จิตของคนเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลก ทั้งโลกได้ ถ้ายุคใด คนมีจิตใจดีอยู่ในศีลธรรมอันดี โลกจะอุดมสมบูรณ์ คนจะอายุยืนนาน
    แต่ถ้ายุคใดจิตใจเสื่อมทราม วัฎฎจักรของการหมุนวน ของการปรับสมดุลย์ของระบบจะปรับตัวเอง ซึ่งจะหมุนเวียนแบบนี้ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งโลกแตก คือ หมดกัปป์นี้ไป เริ่มกัปป์ใหม่


    กัปป์ คือ อายุขัยของสิ่ง ๆ หนึ่ง เช่น กัปป์ของคนในยุคนี้ คือ ประมาณ 100 ปี
     
  14. โบ๊ต

    โบ๊ต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    387
    ค่าพลัง:
    +847
    แนะนำให้ไปอ่านหนังสือ ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น เจ้าของกระทู้คงอ่านแล้วเอามาต่อยอด
     
  15. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    ผมเพิ่งรู้จักชื่อหนังสือไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น ก็ตอนที่ตั้งกระทู้นี้แล้วเอาไปให้เพื่อนอ่าน ตัวผมเองยังไม่เคยอ่านครับ ^^

    เรื่องเหล่านี้คือธรรมชาติถูกมั้ยครับ
    ดังนั้นมันย่อมมีเหตุและผล เมื่อขันต์5 คือความทุกข์ ทั้งโลกเรา และตัวเราก็คือขันต์5 ย่อมเกิดจากเหตุ คือสมุทัย

    อย่างที่คุณ naei กล่าวมา ก็เกิดเพราะเหตุผล ความเป็นไปได้ ซึ่งหลายๆอย่างที่เกิดรอบตัวเรา ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ แต่พระพุทธศาสนาเราอธิบายได้
    "ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต" เคยได้ยินใช่มั้ยครับ ธรรมในที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่พระธรรม แต่รวมถึงธรรมชาติด้วย จิตในที่นี้ก็ไม่ใช่แค่ตัวเราที่นึกคิด จิตเป็นสิ่งละเอียด เพราะจิตทำให้เกิดคำว่าชีวิต ดังนั้นโลกเราก็มีชีวิต ง่ายๆต้นไม้ ใบหญ้า เล็กจนถึงไวรัส นั่นคือสิ่งที่มองเห็น แต่จิตของโลกที่มองไม่เห็นล่ะ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี

    ตรงนี้ ย้อนไปเข้าใจคำว่า "ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต" พุทธศาสนาล้ำหน้าวิทยาศาสตร์ไปมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2008
  16. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    :dโอ้โห๋ กำลังหนุกเลยครับ

    ผมว่า ต่อประเด็นด้วยการตั้งทู้ใหม่ ดิคับ

    ผมว่าจะสะดวกกว่านิ นะ

    น่าจะตั้งหมุดไว้เลย ครับ
     
  17. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    สาธุ​ ​ขออนุ​โมทนา กับความรู้ดีๆที่แบ่งปันให้กันครับ
    อ่านแล้วชอบบทความมากเลยครับ แต่ก็งง ไปเป็นพักๆเหมือนกันครับ

    เรื่องของเวลา​ใจ​ เหมือนในหนังหรือเปล่่าครับ ที่ชอบทำภาพ slow
    ตอนฉากที่ผู้ร้ายยิงพระเอกแล้วพระเอกหลบกระสุนได้ โฟกัสสมาธิไปที่กระสุนที่ออกจากกระบอกปืน
    เป็นภาพกระสุนที่วิ่งมาหาตัวช้าๆ เหมือนมันช้ามาก ส่วนสิ่งแวดล้อมข้างๆเป็นแบ็คกราว อื้ออึง
    แล้วพระเอกก็หลบกระสุนได้ในเสี้ยววินาทีที่ยาวนานมากของพระเอก
    แล้วนางเอกก็ยิงผู้ร้ายตายขณะที่ผู้ร้ายสนใจแต่พระเอก

    รู้สึกเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในชวิตของคนทั่วไปบ่อยมากจนไม่มีใครสนใจกันและปล่อยผ่านไปตามเวลาที่ผ่านไป

    การฝึกให้เวลาช้าหรือเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้การทำงานให้เร็วขึ้น
    ผมว่าน่าจะฝึกการได้นะครับ เหมือนนักกีฬาวอลเล่บอลกระโดดลอยตัวขึ้น
    ตบลูก ตอนที่ค้างตัวอยู่บนอากาศ
     
  18. gotodido

    gotodido เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +147
    อธิบายข้อสงสัยนะครับของคุณ zipper<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1192085", true); </SCRIPT> - จากเรื่องของอนุภาคฮิกส์นะครับ อนุภาคฮิกส์เกิดขึ้นเองได้ แล้วอะไรที่ทำให้เกิดอนุภาคฮิกส์ขึ้นเองครับ? ถ้าการเปรียบเทียบเรื่องพรรคการเมือง ก็คือข่าวลือ และการบอกต่อๆ กันทำให้เกิดการจับกลุ่ม แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วอะไรทำให้มันจับตัวกันเอง? พลังงานที่ใส่เข้าไปหรือเปล่าครับ?


    อนุภาคฮิกส์ได้ถูกทำนายไว้ใน ทฤษฎีฟิสิกส์อนุภาค ว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้อนุภาคมูลฐานในจักรวาลมี มวล อย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้

    เรื่องนี้ยังฟันธงไม่ได้ซะทีเดียวครับ เพราะตอนนี้เรารู้ว่ามีอนุภาคฮิกส์แต่เรายังอธิบายอะไรที่เกี่ยวกับอนุภาคนี้ได้ละเอียดชัดเจนไม่ได้ ต้องรอผลการทดลองของ CERN ที่กำลังจะมีขึ้นครั้งนี้ครับ

    Higgs boson หรือ อนุภาค ฮิกส์ อยู่ในตัวเราทุกๆอะตอม เพราะเป็นส่วนนึงอะตอม ทำให้อะตอม เช่น อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน ฯลฯ มีคุณสมบัติและมวลต่างกัน

    ยกมาจากกระทู้ที่66

    แรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนความจริงแล้วเป็นแรงเดียวกัน
    แต่แยกออกเป็นสองแรงในระยะเริ่มต้นของการเกิดจักรวาล
    แต่เนื่องจากเรารู้ว่าแรงแม่เหล็กไฟฟ้านั้นสื่อโดยอนุภาคโฟตอน ซึ่งไม่มีมวล
    แต่แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนสื่อโดยอนุภาค สามชนิด ที่ชื่อว่า W+ W- และ Z0 ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีมวลมาก

    ปัญหาก็คือ หาก Electroweak Unification Theory ถูกต้อง อนุภาคทั้งสี่ คือ โฟตอน W+ W- และ Z0 ต้องเป็นอนุภาคชนิดเดียวกัน แล้วเหตุใดมวลจึงแตกต่างกันมหาศาล กลไกฮิกส์ก็คือคําตอบของปัญหานี้


    Symmetry

    ซิมเมตทรี-Symmetry ยังไม่มีคำเฉพาะในภาษาไทย ความหมายประมาณว่า การสมมาตรของสิ่งต่างๆ สมดุลของสิ่งต่างๆ เช่น รูปสี่เหลี่ยมจตุรัส เมื่อเราพับครึ่ง จะเกิดสมมาตร ซ้าย-ขวา บน-ล่าง
    ยกตัวอย่างอีก
    ลูกเหล็กกลมตั้งอยู่บนยอดพิระมิด โอกาสที่ลูกเหล็กจะหล่นไปทางทิศใด เป็นไปได้ทุกทิศทาง การที่ยังไม่หล่นนั้น เรียกว่า ซิมเมตทรี

    เรื่องแรงกระทำที่ทำลายสมมาตร(symmetry breaking)
    แรงเป็นตัวทําลายซิมเมตทรี และ การทําลายซิมเมตทรีก็ทําให้เกิดแรง
    ง่ายๆ การทําลายซิมเมตทรีกับแรงคือสิ่งเดียวกัน

    สภาวะเริ่มต้นของจักรวาล อนุภาคต่างๆล้วนไม่มีมวล (มันมีซิมเมตทรี) แต่อนุภาคเหล่านั้นทําอันตรกิริยากับสนามฮิกส์ต่างกัน เกิดมวลที่ต่างกัน นั่นคือการทําลายซิมเมตทรีโดยกลไกฮิกส์ และนั่นก็คือกระบวนการที่นักฟิสิกส์เรียกว่า สปอนเทเนียส ซิมเมตทรี เบรกกิง (Sponteneous Symmetry Breaking)

    "แรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนความจริงแล้วเป็นแรงเดียวกัน "

    ไม่ใช่แค่นั้น แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม ทั้งสี่คือแรงเดียวกัน

    เหตุใดจึงมีแรงทั้งสี่เกิดขึ้น ตรงนี้ต้องย้อนไปดูสภาวะหลังการเกิดบิ๊กแบง ที่คาดว่าจะมีอุณหภูมิสูงประมาณ 100000เท่า ของอุณหภูมิที่ใจกลางดวงอาทิตย์ แล้วเย็นตัวลงที่เวลาประมาณหนึ่งในล้านวินาทีหลังจากนั้น อุณหภูมิของเอกภพจะต่ำลงพอที่จะให้ควาร์กรวมตัวกัน กลายเป็นโปรตอน นิวตรอนและอนุภาคอื่นๆ ซึ่งประกอบเป็นสสารต่างๆ ที่เราเห็นในปัจจุบัน

    ตรงนี้จะเห็นว่า การที่เอกภพเย็นตัวลง คือ Symmetry ของแรงในสภาวะบิ๊กแบงถูกลาย เกิดแรงมูลฐานทั้งสี่


    การทดลองในปีนี้จะเปิดเผยทุกอย่างครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2008
  19. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ตามความเข้าใจของผม เหมือนกับว่าตอนที่เราโดนทำโทษให้ยืนเขย่งขาเดียว 1 นาที กับเดินเล่น 1 นาที เราจะรู้สึกว่าตอนที่เดินเล่น เวลา 1 นาทีผ่านไปแป๊ปเดียว แต่ตอนที่ยืนเขย่งขาเดียว 1 นาทีมันช่างยาวนานนัก

    น่าจะประมาณนี้ครับ คงไม่ใช่การรับรู้/การทำงานของประสาทสัมผัสไวกว่าเดิม แต่บางทีการจดจ่อกับสิ่งๆ นึงก็ทำให้ประสาทสัมผัสดีขึ้น เช่นนักมวยที่จดจ่อกับคู่แข่งเพื่อที่ว่าจะได้หลบหมัดหรือบล็อคทัน
     
  20. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอบคุณครับ

    สมมติว่าถ้าไม่มีอนุภาคฮิกส์ วัตถุต่างๆ ก็จะไม่มีมวล นั้นก็หมายความว่าไม่มีน้ำหนัก อย่างที่เขียนว่า

    "สภาวะเริ่มต้นของจักรวาล อนุภาคต่างๆล้วนไม่มีมวล"

    นั่นหมายความว่าในสภาวะเริ่มต้นของจักรวาล อนุภาคต่างๆ เช่น โฟตอน W+ W- และ Z0 มีอยู่แล้ว แต่ไม่มีมวล แต่เมื่อเกิดกระบวนการ สปอนเทเนียส ซิมเมตทรี เบรกกิง ขึ้นมา ทำให้อนุภาคมีมวลขึ้นมา ตรงนี้เข้าใจถูกหรือเปล่าครับ

    อีกเรื่องนึงก็คือ อนุภาคฮิกส์ก่อให้เกิดควากซ์ แล้วควากซ์ก็ก่อให้เกิด โปรตอน,นิวตรอน ฯลฯ
    หรือว่าการเกิดควากซ์ ไม่ได้ก่อเกิดจากอนุภาคฮิกซ์ เพียงแต่อนุภาคฮิกซ์มันจะก่อให้เกิดมวลเท่านั้น

    ไปๆ มาๆ สับสนกับคำว่ามวลซะได้เรา ว่ามวลหมายถึงสสารที่จับต้องได้หรือน้ำหนัก [Embarrass

    หรือว่าถ้าไม่มีอนุภาคฮิกส์ก็ไม่มีสสาร ไม่มีควากซ์ ไม่มีโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน
     

แชร์หน้านี้

Loading...