ทำไมรู้สึกเบื่อโลกครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย เปาชุนไหล, 16 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. เปาชุนไหล

    เปาชุนไหล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +2,240
    ขอบคุณทุกท่านมากเลยนะครับ


    ขอตอบรวมๆเลยนะครับ

    ผมไม่ได้โกรธโพสไหนเลยครับ
    กลับรู้สึกขอบคุณมากกว่าที่มาช่วยชี้ทางให้ผม



    ผมได้่ข้อคิดแต่ละ โพส ทุกๆโพส

    และยินดีน้อมรับไปปฏิบัติครับ

    เดี๋ยวว่างๆึคงต้องได้โทรไปปรึกษาคุณ อินทรบุตร

    ช่วงนี้ผมกำลังซ้อมรับปริญญาอยู่ครับ

    รับจริงวันที่19กพ56



    เพิ่งเลิกซ้อม กลับมากินข้าว อาบน้ำ
    เข้ามาดูกระทู้ แล้ว รู้สึกสบา่ยใจแบบบอกไม่ถูก
    จริงๆครับ
     
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ขอแสดงความยินดีกับ"บัณฑิตใหม่"ขอรับ ..น่าชื่นชมที่ท่านเปาฯมีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม..

    มุทิตาด้วยขอรับ
    !:cool::cool:
     
  3. pnumso

    pnumso เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2010
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +173
    การศึกษาธรรมะของผู้ปฏิบัติหลายๆคนอย่างคุณหรือผมยังไม่เข้าใจหลักธรรม
    ที่แท้จริงว่า เหตุแห่งทุกข์นั้นมาจากไหน ความเบื่อหน่าย คือหนึ่งในกองแห่ง
    ทุกข์ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 คุณมัวแต่ปรุงแต่งจิตจนสังขารขันธ์ทำหน้าที่ของมันจน
    เต็มจนล้น จนได้เสวยผลของมันทั้งสุข ทุกข์ เฉยๆ ได้อะไรมาคุณปรุงแต่งจน
    จิตได้เสวยผลการปรุงแต่งนั้นเต็มที่ เรียกว่า เวทนาขันธ์ เมื่อคุณพอใจ ไม่พอใจ
    เฉยๆ มากๆเข้า จากการรับรู้ทุกขณะจิต ที่เรียกว่า วิญญาณขันธ์ ที่กระทบผ่าน
    อายตนะทั้ง 6 ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ใจ นั้นสิ่งที่
    เรียกว่า สัญญาขันธ์ ก็จะทำหน้าที่ของมันทันที เมื่อจดจำทุกอย่างที่คุณคิดจาก
    การปรุงแต่งทุกเมื่อเชื่อวัน จนความคิดของคุณมีแต่เรื่องพวกนี้ที่ปรุงแต่ง นึกทีไร
    ก็รู้ทันทีว่า มาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว จนเบื่อหน่ายในความคิดนั้น

    ผมอาจจะสรุปเร็วไปแต่ทุกข์ในพระพุทธศาสนาอธิบายไว้ชัดแล้ว ถ้าใจคุณน้อม
    นำมาศรัทธา ปัญญาดี สุขภาพดี ไม่อวดตัวอวดรู้ ไม่ขี้เกียจ พระพุทธเจ้าทรงบอก
    ไว้ว่าองค์ทั้ง 5 ประการนี้ พระองค์ก็สามารถสอนให้บรรลุอรหันต์ได้ภายในหนึ่งวัน
    เท่านั้น เป็นเรื่องจริงในพระไตรปิฏก

    ผมเองก็เกิดอาการคล้ายๆกับผู้ปฏิบัติท่านอื่นๆ คือ รู้งูๆปลาๆ เพราะทุกวันนี้เราไม่ได้
    ไปวัด ไม่ได้ศึกษาด้วยตนเอง ฟัง นึก คิด เองทั้งหมด ถ้าศึกษาก็ศึกษาด้วยปัญญา
    ในขั้น สุตมยปัญญา คือ เรียนรู้จากการ ฟัง อ่าน เขียน ในตำรา แล้วก็ลองผิดลองถูก
    ด้วยปัญญาในขั้นเหตุผลแบบตรรกะ คือ จินตามยปัญญา ซึ่งถ้าศึกษาไปอีกหน่อย
    ก็จะรู้ว่ายังไม่สามารถดับเหตุแห่งทุกข์ได้ เพราะปัญญาทั้ง 2 ขั้นนั้น อยู่ขั้น ศีล และ
    สมาธิ ยังไม่ใช่ ภาวนา จะเป็นภาวนามยปัญญาก็ต้อง ฝึกเจริญปัญญา ที่เรียกว่า
    วิปัสสนากรรมฐาน จึงจะได้ ศีล สมาธิ และปัญญา

    ถามว่าเพราะอะไรต้องให้ได้ทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา ก็เพราะเหตุแห่งทุกข์จะต้อง
    อาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา ในการตัดกิเลส แล้วจะตัดกิเลส ได้อย่างไร ก็ต้องทำให้ได้
    ทั้งหมด เริ่มจากศีล เมือศีลรักษาไว้ได้ การทำสมาธิก็จะได้ผล เนื่องจากศีลเป็นการ
    ฝึกไม่ให้นิวรณ์ 5 มารบกวนใจ ใจจะไม่เกิดสมาูธิถ้ายังไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์ เมื่อ
    ใจสงบจากนิวรณ์ การฝึกสมาูธิก็จะช่วยทำให้จิตตั้งมั่นอยู่ได้ในช่วงจิตตั้งอยู่ในสมาธิ
    เมื่อนั้นจิตก็พร้อมที่จะปฏิบัติในการภาวนา การฝึกสมาูธิเป็นอุบายอย่างหนึ่งที่ใช้
    กำหนดให้สติตั้งอยู่ได้ด้วยการทรงญาณ 5 คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา ตาม
    ปกติการฝึกสมาธิมี 2 แบบ คือ สมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าฝึกสมถะ
    กรรมฐานก็ไม่สามารถจะละกิเลสได้ ตั้งฝึกวิปัสสนากรรมฐาน คือ สติปัฎฐาน 4

    ผมก็เจอทุกข์แบบคุณนี่แหละครับ แต่ผมอาศัยเพียรหาคำตอบด้วยตัวเอง ผมฝังเทศน์
    พระอริยะบุคคลหลายๆท่าน อย่าใจแคบ โดยไม่ยอมรับ หรือไปได้ยินได้ฟังว่า ท่าน
    นู้นท่านนี้สอนผิด ปัญญาในขั้นต้นคือ การฟัง อ่าน แล้วลองหาเหตุผลด้วยปัญญาขั้น
    เหตุผล เมื่อรู้แล้วก็ใชัปัญญาขั้น 3 ฝึกตน และผมก็อดทนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จนได้สิ่งที่ผม
    เข้าใจว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง...สำคัญตรงนี้ ไม่ใช่ไปวิปัสสนาโดยไม่มีศีล ไม่ฝึกสมาธิ
    ก่อน ไม่เข้าใจว่าเหตุของทุกข์คืออะไร มันเข้ามาที่ไหนได้

    แล้วจะละได้หรือไม่ ก็ควรปฎิบัติธรรม ดังพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
    "อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มากแล้วจะสิ้นสงสัย"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...