ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ไม่ใช่รู้หรือไม่รู้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจธรรมะ


    ภาวะการตื่นแจ้ง (Enlightenment) ไม่ใช่การรรู้หรือไม่รู้ (Know or don't know) ไม่ใช่การเข้าใจหรือไม่เข้าใจ (Understand or don't understand) และไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยการคิด (Thinking) เพราะมันไม่ใช่ความคิด, การวิเคราะห์, การคาดเดา ฯลฯ อะไร แต่มันเป็นสัจธรรมความจริง เช่นนั้นเองอยู่แล้ว และเมื่อเราตื่นแจ้ง หลุดออกจากความหลงในความคิด, การวิเคราะห์, ความรู้, ความเข้าใจ หรือความไม่รู้, ไม่เข้าใจ, ไม่คิด, ไม่วิเคราะห์ทั้งหลายได้ หากเราเกิดญาณหยั่งรู้ที่เรียกว่า "อาสวักขยญาณ" เราก็บรรลุธรรมได้ ซึ่งญาณนี้เป็นญาณพื้นฐานอาศัยเพียงขณิกสมาธิก็เข้าถึงได้ ต่างจากญาณตัวอื่นที่ต้องใช้กำลังสมาธิขั้นสูงกว่าขณิกสมาธิ เช่น อตีตังคญาณ หากเราต้องการได้ญาณอื่นๆ ทีเหนือไปกวาอาสวักขยญาณ เราจะต้องไปฝึกสมาธิขั้นสูงแบบพราหม์ฤษี ทว่า พุทธศาสนาของเราไม่เน้นญาณอื่นๆ เน้น อาสวักขยญาณก็พอแล้ว ดังนั้น เราจึงไม่เน้นให้ไปทำสมาธิขั้นสูงแบบพราหมณ์ สมาธิแบบพุทธจึงเป็นเพียงแค่ "อุบายคลายจิต" ให้คลายออกจากความหลงวนทั้งหลายไปสู่ความตื่นโพล่งโล่งแจ้งเท่านั้นเอง

    ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องไปทำความเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ไปรู้หรือไม่รู้อะไรกับเรื่องธรรมะเลย เพราะมันไม่ใช่ และยิ่งไม่ต้องไปคิดหาสัจธรรมอะไรด้วย เราใช้ชีวิตปกติ แต่ไม่หลงโลกเกินไป มีสติในการระลึกถึงธรรมะ ธรรมชาติทุกอย่างเนืองๆ ธรรมชาติรอบตัวเรานี่แหละ ที่จะสะกิดให้สติเรา ตื่นโพล่ง, โล่งแจ้ง ออกมาได้ "โดยไม่ต้องคิด" และไม่ต้องเข้าใจหรือไม่เข้าใจ, รู้หรือไม่รู้อะไรเลย ในภาวะนั้น มันช่างหาคำอธิบายไม่ได้เลย เรางงๆ เหมือนว่าไม่รู้อะไรเลย หรือว่ารู้กันแน่? จริงๆ แล้วไม่ใช่ทั้งรู้และไม่รู้อะไรสักอย่างเลย เราเข้าใจหรือไม่เข้าใจอะไร? มันก็ไม่ใช่ทั้งนั้น นี่มันอะไรกันหรือ? เรางงมากกับภาวะที่เกิดขึ้นนี้ อธิบายไม่ถูก ไม่รู้จะพูดยังไง แต่จะบอกว่าไม่รู้อะไรแบบคนที่มีอวิชชาก็ไม่ใช่ เพราะเราตื่นแจ้งแล้ว และยังตื่นเต็มที่ ตื่นโพล่ง โล่งแจ้งเลยเสียด้วย แต่จะบอกว่าที่ได้อธิบายมานี้ แล้วท่านไปทำความเพียรตาม ให้ได้ตามนี้ แล้วจะได้บรรลุธรรมไหม? ก็บอกไม่ได้อีก มันไม่เหมือนกัน ลอกเลียนกันไม่ได้ แต่เขารู้กันได้ว่าใครบรรลุธรรมแล้ว เข้าถึงธรรมแล้ว เขาดูกันออก เขาบอกกันได้ เขารับรองธรรมให้กันได้

    ส่วนการต่อสายธรรม รับรองธรรมให้เรานั้น ก็เพื่อให้เราหยุดปฏิบัติธรรม จบลงได้นั่นเอง
     
  2. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    เราขอโทษค้างคาวด้วยนะ
    ที่วันก่อนพูดไม่ค่อยจะดีกับค้างคาว
    เรากำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้บางอย่าง
    เรียนไปก็โดนทดสอบไป เป็นเรื่องธรรมดา
    แต่ก็คงจะไม่นานล่ะ...:cool:
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    คิด...คิด...คิด...เท่าไหร่ก็ไม่รู้
    จะรู้ได้....เมื่อหยุดคิด....
    แต่...ก็ต้องนำความคิด...เข้าไปรู้....(เห็นแจ้ง)


    จิตยิ้มยังยืนยันเหมือนหลวงปู่ดุลย์ค่ะ

    ไม่ปฏิเสธสิ่งที่ท่านกล่าวไว้เลยนะคะ...
    เพราะที่จริงมันต้องเป็นอย่างนั้น
    แต่สำหรับการรู้แจ้งแล้วเราต้องประจักษ์ใจจริง
    เกี่ยวโลกสมมุติบัญญัติให้แจ่มแจ้งด้วยค่ะ


    สมมุติญัญัติ นำไปซึ่งปรมัตถ์บัญญัติ

    เพราะแต่เดิมอยู่ในปรมัตถ์บัญญัติ
    แต่ได้ข้ามเข้ามาอยู่ในโลกสมมุติบัญญัติ
    เมื่อเราจะต้องจะว่ายข้ามไปอีกฝั่ง...เราก็ต้องใช้แพ(สมมุติบัญญัติ)
    พอถึงฝั่งแล้วก็จึงวางแพไว้...เช่นกันใช่ไหมค่ะ

    เราเข้าใจตรงกันไหมค่ะ หรือ เข้าใจตรงกัน..แต่เรากล่าวไว้คนละประเด็น
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ความสงสารไม่ใช่ความรักแท้
    และความกตัญญูก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน


    [​IMG]
     
  6. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    เราเชื่อในการเปลี่ยนแปลงภายในคน
    เป็นอิสรภาพในตน.อิสรภาพจากอดีตที่ผ่านมา
    อิสระจากสิ่งที่ครอบงำ..
    ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเรา.จงหาอะไรที่เป็นแก่นแท้
    จงค้นพบตัวเอง.จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง.
    และสร้างนักเปลี่ยนแปลงขึ้นมามากๆ
    นี่คือหนทางเดียว..
    ที่เราสามารถเป็นยุคทองได้อย่างแท้จริง...
    (ธรรมบัวบาน)
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เรากลับมาสู่โลกนี้ เพื่อรับเอา "ตัวตนด้านมืด" กลับบ้าน
    พวกเขาหลงทางอยู่ในโลกนี้มานาน รอเรามานานละครับ

    "วัวใครเข้าคอกคนนั้น" เขาจะกลับมาสู่เราที่เหมือนคนอีกคน
    อย่ากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับ "ตัวตนด้านมืด" ของตัวเอง



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กรกฎาคม 2016
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ดีใจจัง..อนุโมทนากับหลายท่าน ๆ
    ที่เจอรักแท้บริสุทธิ์..ธรรมบัวบานกันแล้ว
    เหลือแต่เรา..ต้องชดใช้กรรมอยู่
     
  9. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    จิตมันก็เป็นของมันอย่างนั้น เมื่อไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมัน มันก็สงบของมันโดยปกติอยู่แล้วไปยุ่งกับมันมากมันจะสงบได้ยังไง
    เมื่อปล่อยให้จิตเป็นอิสระย่อมเห็นสภาวะใจที่อยู่ภายในอีกชั้น ใจเปรียบเสมือนเข็มทิศชี้ถูก ผิด ใจเหมือนพลังงานที่ไม่สิ้นสุดถ้าเข้าถึงใจแล้วอะไรๆก็ง่ายขึ้น เราใช้ ใจที่นอบน้อม ใจที่ตั้งมั่น ใจที่อ่อนโยน ใจที่มีรัก สารพัดที่จะใช้เพื่อพัฒนาตัวเองต่อไปเมื่อภายในใจอ่อนโยน สภาวะจิตย่อมอ่อนโยนไปตามนั้น ก็ฝึกฝนเรียนรู้กันไป
    แต่ยังไงใจก็เหมือนอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ธรรมชาติมอบให้เราใช้เท่านั้นครับ จึงต้องดูแลเขาดีๆหน่อย แล้วไม่ใช่ไปยึดอีกละนี่ใจของเรา
    และในวันหนึ่งที่สมบูรณ์พร้อมจริงๆ เข็มทิศก็ไม่ต้องใช้เพราะคุณได้เข้าใจมันแล้ว
    แต่ในตอนนี้นี่คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราก้าวหน้าได้ ก็ฝึกใช้เข็มทิศในตัวกันนะครับ
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เราช่วยใคร? แท้แล้วเราไม่ได้ช่วยใครเลย เราช่วยตัวเองทั้งนั้น

    ช่วยคนอื่น ช่วยไม่ได้จริงหรอก สัตว์โลกมีกรรมของตน
    ช่วยคนอื่น คนที่ได้จริงๆ คือ เรา เราได้พัฒนาตัวเอง
    ช่วยคนอื่น เพราะเขามี "ตัวตนด้านมืด" ของเรา
    เหมือนเงาของเราที่ทาบทับไปบนตัวของเขา

    เราไม่ได้ช่วยใครเลย ช่วยตัวเองล้วนๆ
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    เกรงว่าจะเป็นอุปทานน่ะสิครับ
    ยังไม่มีใครรับรองธรรมให้เลย

    อุปโลกน์กันเองแล้ว
     
  12. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    สำคัญนะครับ เพราะเอาจริงๆเราประเมินตัวเองยังไม่ได้เลย ต้องให้ผู้อื่นประเมินให้รับรองธรรมให้ถึงจะผ่านไปดินแดนต่างๆได้ส่วนใหญ่จะคิดว่าฉันผ่านแล้วได้แล้วนึกเองไม่ได้ แบบนี้ระบบก็เละเทะหมดใครจะไปไหนก็ได้
     
  13. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ครับ ผมก็ใช้ ธรรมที่ทุกคนแสดงออกมานี่ละส่องดูตัวเอง สะท้อนกันไปมานี่ละครับ ก็ค่อยๆปรับไปเห็นเขาก็เหมือนเห็นเรา เหมือนเห็นคนนั่งเล่นหมากรุกเราเป็นคนดู ก็เห็นมุมมองที่กว้างมากขึ้นครับ วางธรรมได้ง่ายขึ้นเยอะเลย
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป อย่ามัวไปติดสองฝั่งมัน!


    มันไม่ใช่การเข้าไปรู้หรือไม่รู้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจอะไร เพราะแบบนั้น เรากับธรรมะก็ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นอัตตาหนึ่งเรียกว่านาม ธรรมะภายนอกเป็นอีกอัตตาตัวตนหนึ่งเรียกว่ารูป เท่านั้นเอง เมื่อรูปนามแยกกันอย่างนี้ อัตตาสองตัวก็กระทบกันกลายเป็นรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เห็นไหม ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เราไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันธรรมะ จึงได้บอกว่าไม่ใช่เรื่องการเข้าไปรู้หรือไม่รู้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจอะไร

    การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง มันเป็นเรื่องของการทลายอัตตาตัวตนของเรานี่ต่างหาก เพราะอัตตาตัวตน มันเป็นกำแพงกีดกั้นเราจากธรรมะ ธรรมชาติโดยรอบ เมื่อเรามีอัตตาตัวตน เราจะเหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง คิดไปเอง โดยอาศัยการเข้าไปรู้บ้าง เข้าไปเข้าใจบ้าง มันจึงสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ฯลฯ เพราะยังมีอัตตาตัวตนของผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้อยู่ มันก็ยังไม่เข้าถึงธรรม เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมะได้ แบบนี้ได้แค่ญาณหนึ่ง ญาณแรกในญาณสิบหกเท่านั้น (นามรูปปริจเฉทญาณ) ซึ่งหลายคนฝึกอยู่ ที่นิยมฝึกกันว่า "สักแต่ว่ารู้เฉยๆ" นี่ละ มันคือ ญาณตัวนี้ มันยังไม่ก้าวหน้าไปไหน ยังไม่เบื่อหน่ายในนามรูปที่พิจารณาอยู่เลย ยังไม่เกิดถึงญาณที่แปด (นิพพิทาญาณ) ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย

    ทว่า หากเราสามารถทลายอัตตาตัวตน อันเป็นดั่งกำแพงกั้นเรากับธรรมะ ธรรมชาติที่แท้จริงได้ เราก็จะได้เห็นความไม่มีสาระของผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ ไม่มีสาระที่จะเข้าไปรู้หรือไม่รู้อะไร ไม่มีสาระที่จะเข้าไปเข้าใจหรือไม่เข้าใจอะไร ตรงนี้เอง นิพพิทาญาณ พึงเกิดแก่เราได้ เราก็จะก้าวหน้าไปสู่ญาณที่แปดซึ่งเป็นครึ่งทางแล้ว การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่ปฏิเสธทุกอย่าง จนไม่เกิดมรรคผลอะไรเลย แล้วบอกว่าเราไม่ยึดอะไรแล้ว แม้แต่มรรคผล ไม่ใช่นะ ไอ้ความไม่ยึดน่ะ มีกันได้ทั้งนั้น แต่เมื่อไม่ยึดแล้วเกิดผลทางธรรมหรือเปล่า? บางคนไม่ยึดแล้วก็ไม่เกิดผลทางธรรม เหมือนทำงานไม่สำเร็จแล้วแก้ตัวว่าฉันไม่ได้ยึดความสำเร็จ แต่บางคนเขาไม่ยึดติดจริงๆ ทว่า เกิดผลได้เช่นกันโดยไม่ยึด ไม่เจตนา คือ จะเกิดผลญาณทั้ง 16 ตรงไปตรงมาตามนั้นเลย ถ้าปฏิบัติถูกต้องนะ ตรวจเช็คตามนั้นได้เลยว่าตรงทางไหม

    ทุกญาณเกิดผลได้จริงหากปฏิบัติถูกต้อง ไม่ใช่มีแต่ "ความว่างเปล่า" อย่างเดียว
     
  15. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ในมุมมองของผมนะครับ อะไรที่ผมสัมผัสไม่ได้นั่นคือนาม อะไรที่ผมสัมผัสและรับรู้ได้ก็คือรูป ดังนั้นผมจึงไม่ได้แยกรูปนามอะไรเลยครับ เพราะรู้มันก็เป็นของมันอย่างนั้น ไม่รู้มันก็เป็นของมันแบบนั้นละ แล้วเราได้เข้าใจว่าไม่ควรไปวุ่นวายกับมันมากเกินไป
    วนไปวนมาหลายรอบหลายครั้งก็กลับมาที่ตัวเรานี่ละครับ บางครั้งอัตตามันเหมือนกระจกบางๆ ทั้งที่เรารู้เห็นแต่กลับเข้าไม่ถึง เหมือนจะเข้าใจแต่มันก็ไม่ลึกซึ้งอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าปล่อยอัตตาไปได้มันก็จะรู้สึกกลืนไปกับธรรมนั้นๆเป็นส่วนหนึ่งของธรรมนั้นๆ เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ธรรมนั้นเหมือนร่างกายเหมือนแขนเหมือนขาของเราจริงๆ เหมือนเขาตอบรับความรู้สึกของเราได้ รู้สึกเหมือนเขาตลบอบอวลอยู่รอบกายเรานี่ละครับ
    และที่เข้าใจที่สุดก็คือเหมือนเรายังเด็กเล็กที่ยังสามารถเรียนและพัฒนาได้อีกมากมายและไม่เคยกำหนดตัวเองเลยครับว่าจะเป็นอะไร เพียงแค่ปล่อยให้มันเป็นไปแค่ไหนก็แค่นั้นครับ
    ส่วนเรื่องญาน 16 ผมขอผ่านเลยครับไม่รู้เรื่องเลยลืมหมดแล้วท่านดอกไม้
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    "อัตตา" คืออะไร?

    อัตตาก็คือ โจทย์ที่ยังไม่ได้คลี่คลาย
    อันเกิดจาก "มหากรุณา" แห่งพุทธะทั้งหลาย
    ที่ขยายออกไปเรียนรู้และเข้าใจปวงสัตว์ให้กว้างมากขึ้น
    ไร้ซึ่งอัตตาพาไป พุทธะก็จะเป็นองค์อดีต ไม่อาจโปรดสัตว์ได้อีก

    ดังนั้น พุทธะทั้งหลายจึงขยายมหากรุณานั้นออกไปในรูปนิรมาณกายแห่งอัตตา
    ตัวตนต่างๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อการโปรดสัตว์ให้ได้มากขึ้น
    เมื่อนั้นเอง พุทธะ จึงก้าวออกจากความเป็นอดีตและสัจธรรมเดิมอยู่แล้วนั้นๆ
    ไปสู่ความเป็นพุทธะองค์ปัจจุบันและพุทธะองค์อนาคตด้วยเหตุประการฉะนี้

    และเมื่อถึงที่สุดแห่งการขยายพรหมแดนแห่งมหากรุณานั้นแล้ว
    "อัตตา" ก็จะถูกทลายออก ให้หมดสิ้นไป เพื่อแปรเปลี่ยนเป็นปัญญา
    เหตุนี้ อัตตาแล้วอัตตาเล่า ย่อมผ่านไปสู่นิพพาน เพื่อการขยายออกไม่สิ้นสุด

    แลมิใช่เพียงหนึ่งอัตตาเดียวแต่เป็น "อนันตะแห่งอัตตา" (อนัตตา)
     
  17. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอบคุณครับท่านดอกไม้ เข้าใจคล้ายๆกัน ธรรมเหมือนเครื่องดนตรี เรารู้และเข้าใจแล้วกีต้าร์คืออะไร มันมีรูปแปบบนี้ มีสาย ดีดแล้วมีเสียงทุ้มต่ำ แล้วเราก็บอกว่าเราเข้าใจ(ธรรม)กีต้าร์แล้ว จึงได้สงสัยคุณรู้แล้วนี่คือกีต้าร์ ใครๆก็รู้ว่ากีต้าร์ เราก็ได้แต่ถือกีต้าร์กันไปมาเพื่อบอกว่าเรามีกีร์ต้า จริงๆจุดประสงค์ของการเรียนกีต้าร์เขามีไว้เล่นดนตรีให้คนฟัง ให้คนที่อยากฟัง แล้วเครื่องดนตรีก็มีอีกเยอะแยะมากมาย กลอง ฉิ่ง ฉาบ เยอะแยะไปหมด ผมจึงต้องการเรียนรู้เครื่องดนตรีเหล่านี้ครับ และสุดท้ายจริงๆถึงแม้ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย แต่ผมก็อยากสามารถเล่นดนตรีให้ผู้คนฟังครับ
     
  18. PataPee_ChangP

    PataPee_ChangP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +211
    จิตจักรวาล มิได้มาเพื่อสร้างภัยพิบัติหรือทำลายหรอกคะ ..

    เป็นความจริงที่จิตจักรวาลไม่ยึดถือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกาย เราถือว่าเป็น สิ่งลวงตาไม่มีอยู่จริง ..

    ทุกสิ่งอย่างในโพ้นจักรวาลหรืออนันตจักรวาลไม่มีสิ้นสุดนั้น ก่อกำเนิดขึ้นจากจิตจักรวาล คือพลังงานคลื่นอานุภาคจิ๋วที่ยิ่งใหญ่และทรงพลานุภาพ มนุษย์คือผลผลิตของโลก โลกคือผลผลิตของจักรวาล จักรวาล และ อนันตาจักรวาลคือผลผลิตของบรรดาเหล่าจิตจักรวาล

    แม้แต่ดวงจิตของพวกเขา มนุษย์โลกเองนั้น ก็ได้รับพลังของจิตจักรวาลมาโดยตรง .. แต่พวกเขาชอบของปรุงแต่ง สิ่งลวงตา ช๊อคโกแล๊ต แทนที่จะดื่มน้ำใสๆที่ได้จากโลกใบนี้ และยังนำพากันครองโลกทุกครั้งที่พวกเขากลับมาใหม่ เขาจะสานต่อภาระกิจหน้าที่ และมอบสิ่งลวงตาให้แก่กัน วนเวียนไปไม่สิ้นสุด

    เมื่อครั้งหนึ่งที่โลกนี้หลับไหล ด้วยเหตุผลบางอย่างเพื่อซ่อมแซม กู้คืน จิตวิญญาณ สัมผัส ภาระ หน้าที่ของพวกเขา และ เรียก ตัวตนของพวกเขากลับคืนมา ให้เขา "ตื่น" และรู้ว่าแท้แล้ว อะไร? ทำไม? เมื่อไหร่? อย่างไร?

    แต่ถ้ากลับมาอีกครั้งแล้วพวกเขาจดจำได้ทุกอย่าง เมื่อปีที่แล้ว เดือนที่แล้ว ชาติที่แล้ว ความขมขื่นจะกลัดเต็มหนองในจิตตั้งแต่นาทีแรกที่พวกเขาลืมตา พวกเราจะไม่มีทางได้เห็นแววตาสดใสไร้ทุกข์กรรมใดจากเด็กน้อยที่ลืมตามองโลกอีกครั้ง

    พวกเขาถูกกระบวนการฉายซ้ำ ทำสำเนา วนเวียน เพื่อกระทำกับสิ่งเดียวที่เป็นจริงคือดวงจิตของพวกเขาเอง เหมือนการฉายหนังซ้ำไปวนมา ที่เดิม จุดเดิม (การเวียไว้ตายเกิดด้วยกรรมนำพา) วงล้อนั้นกำลังกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ก่อนที่พวกเรา-เขาและโลกของเราจะหลับไหล ... เพื่ออะไร? มันเป็นเพียงแค่การถ่วงเวลา จนถึงตอนนี้ มีใครบ้างที่จำได้ พวกเราคิดว่า เมื่อฉายหนังซ้ำๆ พวกเขากลับมาเจอแบบเดิมอีกซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วน มันต้องมีซักครั้งสิที่พวกเขาจะต้องจำอะไรได้บ้าง ...

    มันต้องมีสักครั้งที่พวกเขาจะ "ตื่น" และกลับมา

    เวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันไม่เหลืออะไรแล้ว เมื่อพวกเรากลับมาตามกำหนดกาลเวลา พวกเราส่งคลื่นสัมผัส ทำหน้าที่อย่างที่เราต้องทำ โลกใบนี้กินช๊อคโกแล๊ต ของปรุงแต่ง สิ่งลวง เมื่อเราปลุกให้โลกใบนี้ตื่น เธอจึงได้รู้ว่า ช๊อคโกแล๊ตเต็มท้องเธอไปหมด กระบวนการถ่ายท้องจึงเริ่มขึ้น

    ถ้าจิตจักรวาลไม่รับรู้ ไม่เข้าใจ ไม่ห่วง ไม่รอคอย ไม่มีความหวัง เราจะไม่หยุดเวลา พวกเราจะไม่กลับมา พวกเราจะไม่สร้างกระบวนการลืมไว้ปกป้องสิ่งที่พวกเรารัก พวกเรายังศรัทธาพวกเขาเสมอ ..

    มนุษย์อย่าได้สับสน ถึงหนทางที่จะดำเนินไป พวกคุณทุกคน ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำอย่างเต็มที่แล้ว ... แต่ทุกๆอย่างมันต้องดำเนินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ...

    แต่ให้ทุกท่านได้เชื่อสิ่งนี้ "เดิมแล้วมนุษย์ทุกคนถูกสร้างจากความรักที่เป็นอนันต์และความบริสุทธิ์ นี่คือสิ่งที่ทำให้เหล่าจิตจักรวาล อาลัยและเสียดายเหลือเกิน......"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2016
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    แลอนัตตานั้นเป็นอนันตะแห่งอัตตาได้อย่างไร?


    อัตตาทั้งหลายล้วนก่อเกิดจากมหากรุณาแห่งองค์พุทธะทั้งหลาย เพียงเพื่อขยายอาณาจักรแห่งพุทธะให้กว้างออกไป ไร้ประมาณ เพราะหากไร้ซึ่งอัตตาแล้ว พุทธะย่อมเป็นพุทธะ ธรรมะย่อมเป็นธรรมะเดิม แต่ปวงสัตว์อาศัยอวิชชาหลงออกไปไกล เช่นนี้ ย่อมเอื้อมกันไม่ถึง พุทธะไม่เข้าใจปวงสัตว์ที่มีอวิชชา แลปวงสัตว์ก็หลงไปไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึงพุทธะได้ ดังนั้น ด้วยมหากรุณานั้นเอง "อัตตา" จึงก่อเกิดเป็นนิรมาณกายใหม่ๆ แห่งองค์พุทธะนั้นๆ สมมุติธรรมอันถูกบัญญัติเป็นมารก็ดี, ปีศาจก็ดี, อสุรกายก็ดี ย่อมเกิดขึ้น ห่อหุ้มวิมุติธรรมอันเป็นเช่นนั้นอยู่แต่เดิม รอเวลาที่พร้อมมูลแล้ว ที่พุทธะและปวงสัตว์จะได้เอื้อมถึงกัน อัตตานั้นก็ถูกทลาย ให้กลายเป็น "ปัญญา" เพื่อปรกโปรดปวงสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้น

    มึงจะมีตัวตนเป็นห่าอัลไล ก็ช่างแม่งมันเหอะ มันไม่มีสาระ สาระคือ "มึงยอมรับตัวเองได้อ๊ะป่าว สัด!" ถ้ามึงยอมรับตัวมึงเองได้ มันคือขั้นแรกที่มึงจะเข้าใจตัวมึงเอง เข้าใจไม่ใช่แค่เข้าไปเข้าใจนะ แต่มันหมายถึง มันสว่างจ้าแล้ว ตัวมึงมันไม่มีห่าอัลไลอีกต่อไป มันสว่างจ้าหมด สลายหมดตูด หมดตัวมึงเลย ไอ้ห่า ทีนี้ มึงกับไอ้ความสว่างนั่นก็เป็นอย่างเดียวกัน มึงก็ไม่ต้องไปเข้าใจห่าอะไรแล้วเพราะตัวมึงเองน่ะละคือความสว่างไสว ความเข้าใจคือ ธรรมะ มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันละ มึงก็ไม่ต้องไปคอยรู้ คอยเข้าใจห่าอัลไลอีก นี่คือ ขั้นแรก เรียกว่าตรงทางละ มึงจะถึง Nirvana ของพวกมึงละ ทีนี้ มึงก็ไปต่อเรื่อยๆ จนกว่าจะมี "ผู้มีบารมีธรรม" บอกให้หยุด เพราะเขาจะรับรองธรรมให้มึง และมีบริวารมาช่วยมึงในจุดที่มึงได้ มึงไปถึงนั้น แปลว่าอะไร? แปลว่ามึงไปได้ไกลได้เรื่อยๆ ไม่ผิดอะไร สมมุติมึงเดินทางจากเชียงรายลงใต้ มึงถึงนครสวรรค์ มีคนรอทำงานกับมึงอยู่ ถ้ามึงเลยไปถึงกรุงเทพ ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งรอทำงานกับมึงอยู่เหมือนกัน ความถูกต้องไม่ได้มีจุดเดียว เมื่อมึงตรงทางแล้ว ทุกจุดคือความถูกต้อง และทุกจุดมี "สายบุญ" ของมึง (กลุ่มบุคคลที่เคยร่วมบารมีกันมาในอดีต) รอมึงอยู่ มึงจะจบแค่นครสวรรค์ก็ได้ หรือมึงจะไปไกลกว่านั้นอีกก็ได้ มึงจะทลายอัตตาครั้งเดียวจบก็ได้ จะทลายต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ (วิริยธิกะ) เมื่อตรงทางแล้ว ไม่มีผิด มีแต่มึงจะเจอใครรออยู่เพื่อทำกิจร่วมกับมึงก็เท่านั้นเอง เขาจะมาพร้อมบริวารเหมือนพระพรหมที่ทูลเชิญให้พระสมณโคดมโปรดสัตว์น่ะละ

    มึงจะเป็นห่าอัลไล ก็ช่างเหี้ยเหอะ แม่งมันก็แค่ "หัวโขน" ว๊ะ ไอ้สัด!
     
  20. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ครับขอเพียงเล่นดนตรีเป็นจริงๆ ไม่ได้มีแค่โชว์ ไปที่ไหนก็ร่วมวงกันได้ครับจะสุดขอบโลกสุดจักรวาลมันก็เหมือนๆกัน ทุกๆที่ที่ไปเล่นดนตรีก็จะมีผู้ดูแลคอยอบรมสั่งสอนตลอดครับ และผู้ดูแลก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนก็ยังสงสัยว่าทำไมต้องเปลี่ยนผู้ดูแลด้วยตอนนี้เข้าใจครับเพราะว่าผู้ดูแลแต่ละท่านมีความรู้ความถนัดไม่เหมือนกัน
    ส่วนเราแม้จะเล่นดนตรีเป็นบ้าง แต่เทคนิคและวิธีการใช้ต่างกันครับ
    ซึ่งบางครั้งภาคกายหยาบก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายหรอกครับแต่การเข้าใจธรรมต่างๆมันไวขึ้นเท่านั้นเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...