นิพพานคือขั้นสูงสุดใช่หรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saranpong, 25 พฤษภาคม 2012.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    จะให้เป็นอะไรได้ล่ะลุง มันเพลินไง

    จิตบางดวงสั่งสมเอาเข้าตัว จิตบางดวงสั่งสมเพื่อเอาออกนอกตัว

    คนหมู่มากเห็นกันดุจขนโค ก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว

    ส่วนจะเป็นอะไรไหมนั้น หากสำคัญที่ธาตุเป็นเงิน ถือนิมิตอนุพยัญชนะตามโลก

    ก็ต้องดูว่า เขาเอาอะไรสะสมธาตุ

    มิจฉาอาชีวะหรือ โกหกเพื่อได้มาหรือ ต้องเอาชีวิตกันรึเปล่า

    หรือ สัมมาอาชีวะ วาจาสุจริต เว้นแล้วซึ่งการเบียดเบียน

    นี่ก็ต้องดูจิตประกอบด้วย การมีมาก อยากมาก มันก็ลงไม่ได้ มันทำให้ติดข้องในธาตุได้เหมือนกัน

    ก็เอาแต่พอดี อย่าให้ถึงขั้นอยาก จนไปวัดว่านี้คือความสำเร็จของชีวิตอะไรเลย ^^
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มีเงิน ก็เอาไว้ใช้ประโยชน์สิ กิเลสมันยังหาเงินได้
    ปัญญา หาเงินไม่ได้บ้างให้มันรู้ไป

    กิเลส มันเอาเงิน เป็นมือเป็นเท้า
    ปัญญา ก็ต้องรู้จักเอาเงิน เป็นมือเป็นเท้า

    นี่ สมัยพุทธกาล มี เศรษฐี ที่เป็น ผู้อุปถัมภ์ศาสนา ตั้งหลายคน
    หลวงตามหาบัว ท่านสะสมเงิน ทอง เอาเข้าคลังหลวง
    นี่เรียกว่า ธรรม ทำงาน
     
  3. Saranpong

    Saranpong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    ข้อ 1 ดับขันธปรินิพพานคือที่สุด ก็ถูกต้องแล้วและผมไม่ได้หมายถึงการกลับมาเวียนว่ายอีกครั้ง ในความหมายของผมคือหลังจากความว่างอันเป็นที่สุดที่ๆไม่ต้องการการยึดเกาะใดๆ เป็นไปได้ใช้มั้ยที่จะมีบางสิ่งทีคอยสร้างความเป็นไปอยู่เบื้องหลังความว่างนั้น หรือเปรียบว่าสิ่งนั้นคือกฏอันจริงแท้ที่ยังส่งผลให้ทุกชีวิตยังคงผูกกับชะตาและกฎของธรรมชาติ หากแม้นได้เข้าไปอยู่ในนิพพานสักพักหนึ่งย่อมสงสัยว่ามีบางสิ่งอยู่หลังสุญญตา

    ส่วนเรื่องการสั่งสมเงินทอง โปรดวางเรื่องอารมณ์ลงนิดนึง บางคนอาจเก็บเงินเพื่อครอบครัว เพื่อนพ้องอันเป็นที่รัก หรือเพื่อเป็นการวางรากฐานแก่ผู้มีจิตศรัทธาในศาสนา ในเมื่อโลกเรายังมีเงินเป็นกระแส การขุดคลองชักนำกระแสให้ไหลอย่างถูกทางถือเป็นอานิสงผลบุญไม่ใช่หรือ การเก็บเงินอย่างลุ่มหลงไม่ใช่หนทางหลุดพ้น แต่การหาอย่างพอเลี้ยงตัวถือเป็นเรื่องปกติ มากกว่านั้นคือการแบ่งปันแก่ผู้อื่น เมื่อถึงพร้อมปัจจัย 4 มีใครบ้างไม่อยากหลุดพ้น
     
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    อันนั้นก็เรื่องโลก ผมไม่ขัดข้องอะไรดอก

    ในทางธรรมก็ยกเรื่องกำหนดรู้ปฐวีธาตุมาให้พิจารณา เผื่ออยากคลายความข้องในสี ในสัมผัสบ้าง

    ก็เชื่อว่าลุงกำหนดรู้อยู่ล่ะ คงเอายาหม่องมาขายหมอนวดอีกแล้ว ^^
     
  5. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    เอ่อขอสงสัยบ้างเด็กสมัยใหม่และบางครั้งตัวเราก็สงสัยว่า ทำไมต้องไปนิพพาน ทำไมไม่บอกว่าไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว และคำว่าไม่กลับมาเกิดอีกแล้วนี่มันต่างหรือเหมือนยังไงกับนิพพานครับ ใครจะว่าโง่ก็ยอมครับ เพราะอยู่ๆมันก็เกิดความสงสัยขึ้นมา
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถามอะไรโง่ๆ ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว มันจะไปเหมือนนิพพานได้อย่างไร
    นรกอเวจี มันก็ไม่กลับมาเกิดบนโลก อยู่จนลืมนั่นไง
     
  7. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    นิพพานไม่ได้อยู่ขั้นสูงสุดหรอก อยู่ตรงกลางต่างหาก..
    ..ตรงกลางระหว่างสุขกับทุกข์..อยู่ตรงกลางระหว่างของคู่..
    อยู่ตรงที่จิตไม่ติดในของคู่ จิตจึงเกิดความเสถียรไม่กวัดแกว่งอีกไปมาอีก ไม่มีความดิ้นรน ..จึงสิ้นภพ สิ้นชาติ..
     
  8. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เจ้าโง่ ^^

    (k)(k)(k)
     
  9. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    ไม่รู้ไม่ได้แปลว่าโง่หรอก..ในเมื่อคุณไม่รู้ คุณจึงสงสัย และคุณยอมรับว่าไม่รู้ นั่นก็แปลว่าคุณฉลาด.. เมื่อรู้ว่าน้ำยังไม่เต็มก็เติมสิ..แต่ถ้าไม่รู้ว่าน้ำไม่เต็มก็คงไม่ยอมเติมด้วยนึกว่าเต็มแล้ว..
     
  10. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    มีสองกรณี กับคำว่า ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว

    ก็อย่างท่านที่ได้สำเร็จพระอนาคามี ในภูมิมนุษย์ แต่ยังไม่สิ้นเชื้อ
    และพอท่านสำเร็จกิเลสนิพพาน เป็นพระอรหันต์
    ก็ยังอยู่ในสุทธาวาสนั่นเลย และหรือดับขันธนิพพาน
    จึงได้ชื่อว่า ไม่กลับมาเกิด

    อย่างในภพภูมิมนุษย์ ก็เช่นกัน พอท่านสิ้นกิเลส และดับขันธ์
    ก็ย่อมไม่กลับมาเวียนว่ายอีกเช่นกัน
    ได้ชื่อว่า ไม่กลับมาเกิด เพราะเชื้อได้สำรอกไปหมดแล้วจากอวิชชา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012
  11. Saranpong

    Saranpong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    ช่วงอายุที่ต่างกันความทุกข์ที่สะสมก็ต่างกัน ช่วงวัยรุ่นอาจจะสนุกสนานแต่พอถึงวัยทำงานจะรู้ว่าหลายอย่างผิดจากที่หวังไว้เยอะ ยิ่งเรื่องความรักหากได้สัมผัสและลาจากจะรู้ว่าความโหยหานั้นคือทุกข์ ความเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ ความอยากความโลภ เมื่อใดที่เราตะโกนออกมาว่าไม่เอาแล้ว ไม่อยากเป็นทุกข์แล้ว ก็จะเริ่มแสวงหาการหลุดออกจากระแสของอารมณ์ เหมือนกับมุมมองของผู้ใหญ่ที่ผ่านน้ำร้อนมาก่อน รู้ว่าหากทำแบบไหนจะผิดพลาดก็จะไม่หวนกลับไปทำซ้ำ
    การนิพพานคือสิ่งที่สูงกว่ามุมมองของผู้ใหญ่ ที่เมื่อถึงพร้อมทุกสิ่งอย่าง ฝากไว้กับลูกหลานแล้ว เมื่อย้อนกลับไปคิดว่า เรื่องเวรกรรมทำให้เรามีเช่นทุกวันนี้ และหากชาติหน้านั้นไซร้ เราต้องกลับมา เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกถือเป็นความเหนื่อยหน่ายอย่างหนึ่ง ดังนั้นหากเราทำสิ่งที่ต้องการครบ หรือรู้สึกพอ ก็ขอให้เข้าสู่ทางธรรม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเวียนว่ายฝ่ากระแสกรรมอีกนับครั้งไม่ถ้วน

    พระองค์ตรัสไว้ว่า ความโง่มีไว้เพื่อขจัด ปัญญาจงขัดเกลา สติให้ผ่องใส
    ในประวัติศาสตร์นักปราชญ์ยังออกตนเสมอว่าโง่เขลา และต้องการการชี้แนะ ผู้ที่ยอมรับแสดงว่ามีความกล้าที่จะยอมรับข้อด้อยของตน เพื่อหาหนทางแก้ไข
    พวกท่านที่เป็นผู้บำเพ็ญศีล การชี้แจงตามภูมิธรรม ถือว่าชอบด้วยเรื่องของเวลา เวลาชักนำคนให้ซักถาม หากแม้นอุปสรรคยังบดบังไม่ให้เกิดปัญญา คำถามหรือความคิดย่อมเลือนหายไป หากข้องใจและถามแสดงว่าอยู่ใกล้ทางออกแล้ว เพียงขาดผู้นำทาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012
  12. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ต้อง พิสูจน์ เอา เอง เรื่อง เกี่ยว กับ

    การ สัมผัส รู้ ใน ทุกข์ ที่ เกิด ขึ้น

    การ สัมผัส รู้ ใน สุข ที่ เกิด ขึ้น

    และ พยายาม ให้ ไม่ ทุกข์ ไม่ สุข ทำ ได้ หรือ เปล่า

    ศึกษา ตรง นี้

    ทำ ให้ นิ่ง ระหว่าง กลาง ได้ หรือ เปล่า

    สภาวะ จะ เรียก อย่าง ไร ไม่ ต้อง ไป สน

    เพราะ เป็น สิ่ง ที่ เป็น คำ พูด เรียก แทน สั้น ๆ ง่าย ๆ

    เข้า ใจ ตรง กัน เท่า นั้น

    เอา ที่ ทำ ไม่ ทุกข์ ไม่ สุข ทำ ได้ หรือ เปล่า

    แล้ว วิธี ทำ ไม่ ให้ ทุกข์ ไม่ ให้ สุข

    ไป หา เอา ดู ว่า ควร ทำ อย่าง ไร
     
  13. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ไม่ข้องใจครับ ขอบพระคุณที่ชี้แนะ แต่นรกเมื่อไม่รู้แต่ด้นเดายังไงก็มองไม่เห็นอยู่ดี บางทีก็คิดว่านรกเป็นสวรรค์ก็มีเพราะความร้อนและความทุกข์ของมันเข้าไม่ถึงจิต เพราะอะไรเพราะว่าจิตมันกลั่วไปด้วยกิเลสและรับมาแบบเต็มที่โดยไม่รู้ว่าดีชั่วต่างกันอย่างไร ความโง่เป็นของควรมีเพราะฉลาดแล้วจริงนั้นจะมาอยู่แบบนี้ไปทำไม ต้องเลือกได้ต้องบังคับได้ต้องเสกสรรค์สิ่งนั้นๆได้ตามประสงค์ ดังนั้นความโง่จึงมูลเหตุให้เอาชนะและขับเคลื่อนไปตามวิถีหากเพื่อหลุดพ้นก็จะหลุดพ้น หากเพื่อสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น แต่คงไม่มีใครทำเพื่อเพิ่มความโง่ของตนแน่นอน เว้นไว้เสียผุ้ไม่รู้ว่าโง่หรือฉลาดต่างกันอย่างไร อันนี้ก็ยอมรับว่าเราเองโง่จริงๆ โง่ในทางที่จะทำให้พ้นจากกิเลสอย่างที่พระศาสดาตรัสไว้ชอบแล้วดีแล้ว
    อนุโมทนาสาธุคั๊บทุกๆท่าน
     
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ที่จริงก็ไม่มีอะไรกลับมาเกิดอีกหรอก คำนี้จึงกว้างมาก
     
  15. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    อธิบาย .... ตัวอย่าง
     
  16. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    คนเราเวลามีผู้บอกว่าบรรลุธรรมมักจะคิดเรื่องความโกรธเป็นอันดับแรก ตามหลักการภาคปฏิบัติ พระอนาคามีกามท่านดับ ปฏิฆะท่านไม่มี ในที่นี้หมายความเอาถึงความขัดใจ ส่วนละโกรธนั้นระดับพระอรหันต์ โปรดเข้าใจด้วย...
     
  17. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    อย่างพี่ธรรมภูติท่านก้เป็นพระภิกษูณีอรหันต์ ขันธ์ก็พระอรหันต์ jittinon ก็พระอรหันต์ ท่านเหล่านี้วาทะท่านดุเด็ดเผ็ดมันกว่าผมเสียอีก...
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พี่ ธรรมภูติ เป็น"ภิกษุณีอรหันต์"?!!:cool:
     
  19. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    อธิบายไม่เก่งครับ เกรงว่าจะทำให้งงกว่าเก่า ^^

    ตอบ จิต เจตสิก

    อุปมา เหมือนบุรุษเดินทาง ก้าวเท้าเร็วบ้าง ช้าบ้าง ย่อมทิ้งรอยเท้าไว้เบื้องหลัง

    รอยเท้าเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันคือเท้าที่สัมผัสอยู่ อนาคตรอยเท้ายังไม่ปรากฏ



    เป็นความเห็นนะครับ
     
  20. Saranpong

    Saranpong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    การละวางอดีตลืมเลือนรอยเท้า ความเห็นผมคือการยอมรับตน ทั้งผิดและถูกทั้งหมดที่ผ่านมานึกย้อนจากผลไปยังเหตุและเมื่อถึงเหตุก็ให้ย้อนกลับไปถึงยังเยาว์วัยว่าเกิดจากสิ่งนั้นหรือไม่ หากใช่ให้ตามกระแสเวลากลับมา ถูกให้ยอมรับและปล่อยวาง ผิดให้ภาวนาจิตขออโหสิ ผู้ถึงแล้วซึ่งจิตว่างจะรับรู้ได้เองว่าได้รับอภัยแล้วหรือยัง

    ส่วนผู้ที่บอกว่าตอนนี้เป็นพระอรหันต์ ผมสงสัยอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งผมเห็นคำพูดที่กล่าวลอยๆแต่ไม่ชี้แจง พูดเป็นอารมณ์โกรธประเภทหนึ่ง เช่นนี้นับว่าเป็นคารมเผ็ดร้อนหรือ ผมนั่งอ่านอยู่ตลอดหากไม่ถามจี้ก็ไม่ตอบและมีกระทู้หนึ่งพูดถึงท่านนั้นได้น่าคิด หากจะยกย่องใคร ผู้นั้นการกระทำต้องชัดแจ้งและสัมผัสได้ทั้งทางกายและทางจิตใช่มั้ยครับ เพราะถ้าวาจายังบ่งบอกว่าไม่ถึงอรหันต์ จะให้ผมเชื่อได้อย่างไร

    ผมไม่เคยรู้สึกแปลกอะไรหากท่านจะบอกว่าบรรลุถึงระดับใดๆ ออกจะยินดีด้วยซ้ำ เพียงแต่หากพวกเราถามแล้วท่านแจงอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ตอบแบบตัดบทหรือเลี่ยงคำถามเข้าสู่หัวข้อที่ตนถนัด หากตอบได้ก็คือท่านถึงระดับนั้นรู้บ้างก็แลกเปลี่ยนความคิดกัน แต่หากทำแบบนั้นเป็นใครก็สงสัยครับ จริงอยู่ว่ามีคำกล่าวว่า ต้องบรรลุถึงระดับเดียวหรือสูงกว่าถึงจะรู้ว่าผู้นั้นบรรลุถึงขั้นใด แต่ขอเถอะครับ คนที่อยู่ที่นี้หลายๆคนผมคิดว่าฝึกถึงระดับเปิดใจรับโดยปราศจากอคติแล้วหล่ะครับ ก่อนพูดเรานายเป็นนาย หลังพูดกลายเป็นบ่าวนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...