บทความให้กำลังใจ(สงบด้วยสติและปัญญา)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,350
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,060
    (ต่อ)
    ประการที่สี่ คือศรัทธาหรือความเชื่อมั่น เราคงทราบดีอยู่แล้วว่าศรัทธา เช่นศรัทธาหมอ ศรัทธาพยาบาล หรือศรัทธาต่อยา มีผลต่อการรักษา วิลเลียม เฮนรี เวลช์ ผู้ก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากในอเมริกา พูดถึงพ่อของเขาซึ่งเป็นแพทย์เหมือนกันว่า “ทันทีที่ท่านเข้าห้องผู้ป่วย คนป่วยจะรู้สึกดีขึ้นทันที บ่อยครั้งมิใช่เพราะการรักษาของท่าน แต่เป็นเพราะการปรากฏตัวของท่านต่างหากที่รักษาผู้ปวยให้หายได้” อันนี้ชี้ให้เห็นว่าศรัทธาในตัวแพทย์ และเมตตากรุณาของแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความหวัง เกิดกำลังใจ เกิดความอบอุ่นใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้ความเจ็บปวดและความเจ็บป่วยทุเลาลง

    วงการแพทย์ทราบดีว่ายาหลอก (Placebo) นั้นมีอิทธิพลต่อคนไข้มาก มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่คิดเอาเองหรืออุปาทานเท่านั้น แต่มันมีผลต่อระบบประสาท และสารเคมีในสมอง เคยมีการทดลองที่น่าสนใจมาก โดยแบ่งอาสาสมัครเป็น ๒ กลุ่ม ผู้ทดลองบอกทั้ง ๒ กลุ่มว่า ต้องการทดสอบประสิทธิภาพของยาแก้ปวดชนิดหนึ่ง กลุ่มแรกได้รับการบอกว่ายาระงับปวดเม็ดนี้ราคา ๒ เหรียญ ๕๐ อีกกลุ่มหนึ่งบอกว่ายาระงับปวดราคา ๑๐ เซ็นต์ ก่อนที่จะให้ยา ก็เอาไฟฟ้าช็อตที่ฝ่ามือ แล้วให้อาสาสมัครให้คะแนนความปวด จากนั้นก็ให้ยาระงับปวด ปรากฏว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มแรกที่ได้ยาราคาแพง บอกว่าความเจ็บปวดลดลง ส่วนกลุ่มที่สองที่ได้รับยาราคาถูก ความเจ็บปวดลดลง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่อาสาสมัครเหล่านี้ไม่รู้ก็คือความจริงแล้วยาที่ให้แก่ทั้งสองกลุ่มนั้นเป็นยาตัวเดียวกัน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ที่จริงมันไม่ใช่ยาแก้ปวด แต่เป็นวิตามินต่างหาก การทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่าถ้ามีความเชื่อมั่นว่าเป็นยาระงับปวด ความเจ็บปวดก็จะลดลง และจะลดลงมากหากเชื่อว่าเป็นยาราคาแพง แต่ถ้าเชื่อว่าเป็นยาราคาถูก ความเจ็บปวดก็จะลดลงได้ไม่มากเท่ายาราคาแพง

    การทดลองนี้ชี้ว่าความเชื่อมั่นนั้นสำคัญมาก ไม่ใช่แค่ช่วยบรรเทาความรู้สึกปวดเท่านั้น แม้กระทั่งความรู้สึกว่าอร่อย รสชาติดี ก็สัมพันธ์กับเรื่องราคาด้วยเหมือนกัน มีการทดลองให้อาสาสมัครมา ๒๐ คนมากินไวน์ ๕ แก้ว เขาได้รับการบอกเล่าว่า ๕ แก้วนี้เป็นไวน์ ๕ ชนิด แต่ที่จริงมี ๓ ชนิดเท่านั้น อีก ๒ แก้วเป็นไวน์ชนิดเดียวกันกับ ๓ แก้วแรก ทุกคนได้รับการบอกเล่าว่าไวน์ ๕ แก้วมีราคาตั้งแต่ ๕ เหรียญ ถึง ๙๐ เหรียญต่อขวด เสร็จแล้วก็ให้ชิมไวน์ คนที่ชิมไวน์ ๕ เหรียญจะรู้สึกว่ารสชาติดีน้อยกว่าไวน์ราคา ๙๐ เหรียญทั้งๆ ที่เป็นไวน์ชนิดเดียวกัน ที่น่าสนใจคือมันไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น เพราะเมื่อเขาทำการสแกนสมองด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ ก็พบว่าสมองส่วนที่รับความรู้สึกสบายหรือสุขเวทนา ที่เรียกว่า prefrontal cortex มีปฏิกิริยาตอบสนองในทางเดียวกัน นั่นคือ เมื่อกินไวน์ ๕ เหรียญ อาการของสมองส่วน prefrontal cortex ก็จะสว่างนิดหน่อย แต่เมื่อได้ชิมไวน์ที่เขาคิดว่าราคา ๙๐ เหรียญ สมองส่วนนี้ก็จะสว่างมากขึ้น และไม่ได้เกิดกับคนกินไวน์สมัครเล่นเท่านั้น แม้กระทั่งคนที่เป็นเซียนกินไวน์ เมื่อทำการทดลองแบบนี้ ก็ได้ผลคล้ายกัน

    การทดลองนี้ชี้ว่าความเชื่อนั้นสัมพันธ์กับความรู้สึก ถ้าเชื่อว่าเป็นของแพง ก็รู้สึกว่ามีรสชาติดี แต่ถ้าเชื่อว่าเป็นของถูก ก็รู้สึกว่ารสชาติไม่ดี ทั้ง ๆ ที่ไวน์ทั้งสองแก้วนั้นมาจากขวดเดียวกัน

    ประการที่ห้า คือสมาธิ สมาธินั้นสามารถที่จะช่วยเยียวยาความเจ็บปวดได้ คุณหมอสุมาลี นิมมานนิตย์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเสียชีวิตแล้ว ท่านเคยดูแลคนไข้คนหนึ่ง เธอ ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อตัวเองหรือโรคพุ่มพวง ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี อาการหนักจนกระทั่งไตวายตั้งแต่เด็ก ต้องไปฟอกเลือดเป็นประจำ เธอเคยถูกเจาะไขสันหลังแล้วเจ็บมาก จึงเกลียดหมอและกลัวเข็มฉีดยาอย่างที่สุด เวลาถูกเข็มแทง เธอจะด่าหมอและร้องกรี๊ดจนชัก บางทีก็เกร็งจนหมดสติไป

    คุณหมอสุมาลีพยายามพูดคุยกับเด็กคนนี้ว่า เธอกลัวอะไร โกรธใคร มีเรื่องเครียดหรือเปล่า อะไร คุณหมอแนะนำให้เด็กทำความเข้าใจกับความกลัวของตัวเอง รวมทั้งหันมาดูความกลัวของตน จนกระทั่งความกลัวลดลง ต่อมาคุณหมอชวนเด็กคนนี้ไปเข้าคอร์สรรมฐาน ฝึกสมาธิติด้วยการเดินจงกรม การตามลมหายใจ ปรากฏว่าเด็กเข้าใจและทำได้ ต่อมาก็หายกลัวเข็ม สามารถมองเข็มขนาดใหญ่แทงเข้าเนื้อตัวเองได้ จุดสำคัญอยู่ที่วันที่ผ่าตัดเปลี่ยนไต เธอแพ้ยาฉีดแก้ปวด จนอาเจียนแผลระบมมาก หมอไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เด็กตั้งสติได้ดีมาก บอกว่าขอพาราเซตามอลเม็ดเดียว พอกินยาเสร็จเธอก็ตามลมหายใจเข้าออก แล้วก็หลับไป จากนั้นหมอก็ผ่าตัดจนสำเร็จเรียบร้อย โดยไม่มีเสียงร้องเจ็บจากเธอเลย นี่เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก ต่อมาก็กลายเป็นกรณีศึกษาของแพทย์ที่นั่นว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งก็อธิบายได้ด้วยสมาธิล้วนๆ

    มีอีกกรณีหนึ่ง คุณหมออมรา มะลิลาเล่าว่า เคยไปเยี่ยมอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งซึ่งมะเร็งลามไปถึงกระดูก คนไข้เจ็บปวดมาก ยาก็เอาไม่อยู่ นอนไม่ได้ ต้องนั่งตัวงอ ตัวซีด มีเหงื่อเม็ดโต ๆคุณหมออมราจึงชวนคนไข้ทำสมาธิ ด้วยการตามลมหายใจ หายใจเข้าก็บริกรรมว่า “พุท” หายใจออกบริกรรมว่า “โธ” ทีแรกนึกว่าคนไข้จะทำได้แค่ ๕ นาที เพราะไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน แต่ปรากฏว่าคนไข้ทำได้นานถึง ๕๐ นาที ระหว่างที่ทำนั้น ความเจ็บปวดทุเลาลงมากจนสามารถนั่งหลังตรงได้ ทำเสร็จก็รู้สึกดีขึ้นมาก ปากเป็นสีชมพู ผิวพรรณมีน้ำมีนวล เหงื่อหายไปหมด คุณหมออมราแปลกใจมากว่า ทำไมถึงนั่งได้นานอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน ก็ได้คำตอบว่า เป็นเพราะเวลาทำงานเขาจะมีสมาธิกับงานมาก พอเอาสมาธินั้นมาใช้กับการตามลมหายใจ จึงสามารถทำได้ไม่ยาก นี้เป็นตัวอย่างว่าสมาธินั้นช่วยบรรเทาปวดได้มาก
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,350
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,060
    (ต่อ)
    ประการที่หก เป็นวิธีการที่ยากขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ใช้ได้ดีก็คือการมีสติ รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น โดยไม่ถูกความรู้สึกนึกคิดครอบงำใจ เช่น เมื่อมีความกลัว ก็เห็นความกลัว แต่ไม่จมอยู่ในความกลัว เมื่อมีความปวด ก็เห็นความปวด ไม่ถลำเข้าไปในความปวดนั้น สตินั้นต่างจากสมาธิ สมาธินั้นบรรเทาปวดเพราะช่วยให้จิตไปจดจ่อสิ่งอื่น ทำให้ลืมความปวด หรือละเลยความปวด เช่น ปวดท้อง แต่จิตไปจดจ่อที่ลมหายใจ พูดอีกอย่างหนึ่งคือสมาธิเป็นการเอาจิตออกจากความปวดหรือออกจากร่างกายส่วนที่กำลังเจ็บปวด นี่เป็นประสบการณ์ที่เราเคยพบมาแล้ว เช่นคนที่เล่นไพ่นานๆ ข้ามวันข้ามคืนโดยไม่รู้สึกปวดหรือเมื่อยเลย แต่พอนั่งพับเพียบฟังพระเทศน์แค่ ๑๕ นาทีก็ปวดเมื่อยต้องขยับขาแล้ว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะตอนที่เล่นไพ่นั้น จิตจดจ่ออยู่ที่ไพ่ จึงไม่รับรู้ความปวดเมื่อย เลิกเล่นเมื่อไหร่ถึงรู้สึกปวดเมื่อย ตรงข้ามกับเวลาฟังพระเทศน์ ใจไม่มีสมาธิจึงรับรู้ความปวดเมื่อยที่ขาได้ง่าย
    สมาธินั้นช่วยพาจิตออกจากความเจ็บปวด แต่สติทำงานอีกแบบหนึ่ง คือไปรับรู้ความปวด โดยไม่ยึดติดความปวดนั้น รู้ว่ากายปวด แต่ใจไม่ปวด เพราะเห็นความปวดเฉย ๆ โดยไม่ยึดว่าความปวดเป็น “ตัวกูของกู” ตรงนี้เป็นเรื่องที่ยากสักหน่อยแต่สามารถทำได้ คุณหมออมราเล่าถึงคนไข้คนหนึ่ง เป็นมะเร็งลำไส้ ปวดทรมานมาก ยาก็เอาไม่อยู่ แต่เนื่องจากเขาเคยเจริญสติมาก่อน จึงเอาสติมาใช้งาน คนไข้คนนี้พูดตามสำนวนของเขาว่า สติเอาจิตมาตั้งที่หัวไหล่ แล้วดูกายที่เจ็บปวด ปรากฏว่า ความทุกข์ทรมานหายใจ จิตเป็นปกติ สงบเย็น แต่พอเผลอสติ จิตไปรวมกับกาย ก็ทุกข์มากเหมือนกับโลกจะแตก จนเมื่อมีสติกลับมา ใจก็แยกออกจากกาย เห็นความปวดกายแต่ใจไม่ทุกข์

    การมีสติช่วยให้เกิดการรับรู้แบบผู้สังเกต ผู้เห็น ไม่ใช่ผู้เป็น เมื่อมีสติ จิตก็รับรู้ความปวดหรือทุกขเวทนา แต่จิตไม่ปวดด้วย เพราะไม่ได้ยึดมันว่าเป็นของเรา พูดอีกอย่างคือ เห็นความปวด แต่ไม่มีผู้ปวด กายปวด แต่จิตไม่ปวด มีแต่ทุกขเวทนา แต่ไม่มีความทุกข์ทรมาน ทุกขเวทนากับทุกข์ทรมาน สองอย่างนี้ต่างกัน ทุกขเวทนาเป็นเรื่องกาย แต่ทุกข์ทรมานเป็นเรื่องใจ ทุกขเวทนาเป็นของจริง แต่ทุกข์ทรมานเกิดจากการปรุงแต่งของใจ เมื่อใจไม่มีสติก็ไปยึดความเจ็บปวดว่าเป็นตัวกูของกู มีตัวกูผู้ปวดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง มีแต่ความปวด ไม่มีผู้ปวด ตัวกูผู้ปวดนั้นเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นเมื่อไม่มีสติ

    ความกลัวก็เช่นกัน ถ้ามีสติเห็นความกลัว ความกลัวก็ทำอะไรให้ทุกข์ใจไม่ได้ คุณหมอวิธาน ฐานวุฒ ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ เล่าว่า เวลาทำการผ่าตัดเล็ก เช่นผ่าไฝ คนไข้บางคนจะกลัวมาก กลัวแม้กระทั่งเข็มฉีดยาชา ต้องให้ยานอนหลับก่อนจึงจะฉีดยาชาได้ แต่บางทีก็ไม่ได้ผล เพราะยานอนหลับออกฤทธิ์ตอนที่กลับบ้านแล้ว หมอถามคนไข้ว่าที่กลัวนี่กลัวอะไร คนไข้บอกกลัวเจ็บ พอฉีดยาชาให้ก็ถามว่ากลัวอีกหรือเปล่า คนไข้ก็ยังกลัว ถามว่ากลัวอะไร ฉีดยาชาแล้วไม่มีอะไรน่ากลัว แต่คนไข้ก็ยังกลัวอยู่ ความกลัวมันก็ทำให้ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ทั้งที่ฉีดยาชาเข้าไป คุณหมอก็พยายามอธิบายว่ามันไม่น่ากลัวนะ ฉีดยาชาไม่เจ็บหรอกแต่ก็ไม่สำเร็จ แม้อธิบายว่ามันไม่อันตรายหรอกผ่าตัดเล็กแค่นี้ คนไข้ก็ยังรู้สึกกลัวอยู่นั่นเอง

    สุดท้ายก็ใช้วิธีให้คนไข้สังเกตดูความกลัว แต่ก่อนพอคนไข้บอกว่ากลัว หมอก็บอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก แต่ตอนหลังพอคนไข้บอกว่ากลัว หมอก็เปลี่ยนคำพูดใหม่บอกว่า กลัวก็ดีแล้วอย่าพยายามไม่กลัว แต่ให้สังเกตความกลัวของตัว ลองดูว่ากลัวเท่าไรถ้าคะแนนเต็ม ๑๐ จะให้คะแนนความกลัวเท่าไหร่ แล้วก็ให้สังเกตกายของคุณด้วย ว่าปฏิกิริยาทางกายเป็นอย่างไร หัวใจเต้นอย่างไร ลมหายใจเป็นอย่างไร หลังจากสังเกตแล้วต่อมาก็ให้ยอมรับความกลัว ศิโรราบต่อมัน ไม่พยายามผลักไสหรือกดข่มมัน ให้รู้สึกเหมือนว่าคุณไปนั่งอยู่ตรงใจกลางความกลัวเลย หมอวิธานเล่าว่าเมื่อใช้วิธีนี้ ความกลัวของคนไข้ลดลงจาก ๘-๙ เป็น ๔-๕ เลย

    นี้เป็นการใช้สติในการจัดการกับความกลัว คือรับรู้เฉย ๆ โดยไม่หนี หรือเอาใจออกห่างจากความกลัวหรือสิ่งที่เรากลัว เป็นการดูความกลัวโดยไม่เป็นผู้กลัว และยอมรับมันโดยไม่ผลักไสมัน เวลาเราพยายามผลักไสหรือกดข่มอะไรก็ตาม มันจะหายไปชั่วขณะ แล้วก็จะผุดโผล่มา ยิ่งผลักไสความโกรธความเกลียดความปวด ก็จะยิ่งโกรธ ยิ่งเกลียด ยิ่งปวดมากขึ้น แต่เมื่อเรายอมรับมัน ใจก็สงบ และช่วยให้กายสงบด้วย ไม่ใช่สงบต่อความปวดเท่านั้น หากยังช่วยให้เราสงบเมื่อเผชิญกับความตายได้ด้วย

    มีหลายคนที่เมื่อยอมรับความตายได้ ใจก็สงบนิ่ง มีเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เคยไปว่ายน้ำที่สมุยแล้วจู่ ๆ โดนกระแสน้ำซัดออกนอกฝั่งไปเรื่อยๆ เธอกลัวมาก พยายามว่ายเข้าฝั่ง แต่ยิ่งว่ายก็ยิ่งถูกกระแสน้ำพัดออก ยิ่งว่ายก็ยิ่งเหนื่อย เพื่อนเห็นก็เข้าไปช่วยไม่ได้เพราะกลัวถูกกระแสน้ำซัดออกไปด้วย ทีแรกเธอตกใจมาก แต่ตอนหลังพอรู้แน่ว่าจะต้องตายก็ทำใจได้ ตายก็ตาย พอทำใจได้อย่างนั้นใจก็สงบ ไม่ดิ้นรน ลอยคออยู่นิ่ง ๆ ไม่กระเสือกกระสนอีกต่อไป ปรากฏว่าถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่าคลื่นค่อย ๆ ซัดเข้าหาฝั่งเอง เพื่อนก็เลยว่ายมาช่วยเธอ พาเข้าฝั่ง เธอเล่าว่าการที่เธอยอมรับความตายได้ทำให้รอดชีวิตมาได้ ถ้าไม่พร้อมที่จะตาย เธอจะต้องพยายามว่ายเข้าหาฝั่ง ซึ่งในที่สุดก็จะหมดแรง มีหลายคนที่ตายเพราะพยายามว่ายเข้าฝั่งจนหมดแรงในที่สุด

    คนเราเมื่อกลัวตายก็พยายามขัดขืน แต่เมื่อยอมรับมัน ใจก็สงบได้ นี่คือประโยชน์ของสติอาตมาคิดว่าการเผชิญความเจ็บปวดด้วยวิธีนี้ คือการยอมรับความเจ็บปวด และศิโรราบต่อมัน จะทำให้ใจทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บปวดน้อยลง ความทุกข์หรือความเจ็บปวดอาจจะหารสองหารสาม ตรงกันข้ามถ้าเราขัดขืน พยายามปฏิเสธ ผลักไสมัน ความทุกข์หรือความเจ็บปวดก็จะคูณสองคูณสาม ความพยายามผลักไสต่อสู้ทำให้ใจทุกข์เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เฉพาะเวลามีความเจ็บปวดเท่านั้น แต่รวมถึงเวลาของหาย อกหัก สูญเสียคนรักด้วย มันเป็นเรื่องเดียวกัน คือยิ่งต่อสู้ยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งทุกข์ ความทุกข์คูณสองคูณสามทันที เหมือนกรณีที่อาตมาเล่าถึงความกลัวเวลาถูกจีดยา ถ้ากลัวเข็ม พอเข็มแทงความเจ็บจะเพิ่มขึ้นเป็น ๓ เท่าของคนที่ไม่กลัว แต่ถ้ามีสติเห็นความกลัว รู้ว่าความกลัวเกิดขึ้นโดยไม่ผลักไส ความกลัวก็จะคลายลง ใจก็จะนิ่ง ทำให้ความเจ็บจากการถูกเข็มแทงลดลงด้วย

    ประการที่เจ็ด ที่อาตมาอยากจะเพิ่มคือการสวดมนต์ การสวดมนต์เป็นวิธีการที่ช่วยให้เกิดสมาธิ หรือจะเรียกว่าทำให้จิตเบี่ยงเบนออกจากความเจ็บปวด มารับรู้สิ่งที่ดีงามหรือสิ่งที่ศรัทธา ทำให้ใจสงบได้ อาจจะมีเอ็นโดรฟินหลั่งมา ช่วยให้ความเจ็บปวดทุเลาลง ถ้าเรามีความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ สวดมนต์อยู่เสมอ ก็จะช่วยบรรเทาความปวดได้ ถึงแม้ไม่ได้สวดมนต์เอง แต่ให้คนอื่นสวดให้ ความปวดก็ลดลงได้เช่นกัน

    มีการทดลองซึ่งมีชื่อมาก คือการให้คนจากศาสนาต่างๆ กัน ยิว พุทธ คริสต์ โปรแตสแตนท์ สวดมนต์ให้แก่คนไข้ โดยรู้ว่าคนไข้เป็นใครชื่ออะไร อยู่ที่ไหน แต่ไม่รู้จักกัน แล้วก็น้อมจิตส่งใจไปให้ ปรากฏว่าคนไข้เหล่านี้อาการดีขึ้น เขาแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มแรกเยียวยาด้วยการบำบัดรักษาทางกาย กลุ่มที่สองบำบัดด้วยเสียงเพลง แล้วก็การสร้างจินตภาพถึงสิ่งที่ดีงาม และกลุ่มที่สามโดยการสวดมนต์ให้แก่คนไข้ พบว่ากลุ่มที่สามมีการตอบสนองที่ดีขึ้นกว่าสองกลุ่มแรกด้วยซ้ำ ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาต่อไปว่าเป็นเพราะเหตุใด

    ทั้งหมดนี้การแพทย์ยังสงสัยอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร ทำงานอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะแม้กระทั่งยานอนหลับ หรือยาสลบ ทุกวันนี้เราก็ยังรู้ไม่ชัดว่ามันทำงานได้อย่างไร มียาหลายตัวมากที่เราไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร แต่มันสามารถเยียวยาและรักษาให้หายได้ ทำนองเดียวกันกับวิธีการทางจิตใจ หรือบางครั้งเรียกว่าวิธีการทางจิตวิญญาณ วิธีการทางศาสนา ทุกวันนี้มีหลายกรณีที่เราไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร ต่อระบบประสาท ต่อร่างกายของเรา แต่ที่แน่ๆ คือมันได้ผล สามารถช่วยลดความเจ็บปวดได้

    วิธีการทางจิตใจที่อาตมาประมวลมาข้างต้น ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถลดความเจ็บปวดได้ หลายวิธีการก็เป็นสิ่งที่ทุกท่านอาจจะได้ยินได้ฟังจากการบรรยายที่ผ่านมา ได้ประสบพบเห็นกับตัวเองแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรใหม่ อาตมาเพียงแต่ประมวลเพื่อให้เห็นภาพได้กว้างขึ้น เรื่องการบำบัดหรือเยียวยาความปวดนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของหมอ ของยา หรือของเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องของตัวผู้ป่วยเองด้วย ซึ่งหากวางจิตวางใจให้ถูกต้อง มีการเจริญสติ การทำสมาธิ การสวดมนต์ การรู้จักให้อภัยหรือว่าการมองโลกในแง่ดี ไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด ก็ช่วยให้ความปวดบรรเทาลงได้

    อาตมาใช้เวลาพอสมควรแล้วก็ขอยุติเพียงเท่านี้
    :- https://visalo.org/article/D_dhammachatBumbud10.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,350
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,060
    สงบด้วยสติและปัญญา
    พระไพศาล วิสาโล
    เรามักจะดำเนินชีวิตและทำงานด้วยการวางแผนล่วงหน้า อยากให้ชีวิตและงานเป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง บ่อยครั้งแม้เราจะเตรียมการทุกอย่างเป็นอย่างดีแต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด มักจะมีเหตุปัจจัยต่างๆ แทรกเข้ามาทำให้สถานการณ์ไม่เป็นไปตามแผน เกิดปัญหา จึงเกิดความทุกข์ แต่จริงๆ แล้ว ความไม่คาดฝันเหล่านี้ไม่จำเป็นจะต้องก่อทุกข์ หรือก่อผลทางลบเสมอไป ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะมีท่าทีอย่างไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเรามีท่าทีที่ไม่ถูกต้อง ปัญหาก็ตามมามากมาย แต่ถ้าเรามีท่าทีที่ถูกต้อง สถานการณ์ก็อาจเปลี่ยนไปในทางที่ดี

    ไม่ใช่วันของเรา

    มีนักธุรกิจคนหนึ่งทุกเช้าเขาจะขับรถส่งลูกสาวไปโรงเรียนจากนั้นจึงต่อไปที่ทำงาน เป็นที่รู้กันว่าการจราจรในกรุงเทพ ฯ แย่มาก จึงจำเป็นต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อจะได้ไปถึงโรงเรียนและถึงที่ทำงานทันตามกำหนดเวลา

    เช้าวันหนึ่งในขณะที่กำลังรับประทานอาหารเช้ากับลูกสาว ลูกสาวเผลอปัดแก้วน้ำตกแตก พื้นเลอะเทอะ เขาไม่พอใจมาก ดุลูกสาวอย่างรุนแรงจนลูกร้องไห้ เมื่อภรรยาเห็นอย่างนั้นจึงต่อว่าเขา เขายิ่งโมโหจึงหันมาทะเลาะกับภรรยา โต้เถียงกันไปมาอยู่นาน กว่าจะรู้ตัวก็เลยเวลามากแล้ว จึงรีบขึ้นไปคว้ากระเป๋าเอกสารแล้วออกไปทำงานทันที แต่เนื่องจากเขาออกจากบ้านช้า จึงเจอรถติดแน่นขนัด กว่าลูกจะถึงโรงเรียนก็สายแล้ว ถูกครูลงโทษ ตัวเขาเองก็ไปถึงที่ทำงานช้า เลยเข้าประชุมสาย ถึงตรงนั้นจึงรู้ว่าลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บ้านเพราะรีบคว้ากระเป๋าออกมาโดยไม่ดูให้ถี่ถ้วน การประชุมเช้านั้นจึงไม่ได้ผลดี เขาถูกเจ้านายต่อว่า จึงมีอารมณ์หงุดหงิดตกค้างมาถึงช่วงบ่าย พอเจอเพื่อนร่วมงานพูดไม่ถูกหู จึงเกิดการโต้เถียงกัน สุดท้ายก็ไม่มีอารมณ์ทำงาน เรียกว่าเสียงานไปทั้งวัน ระหว่างขับรถกลับบ้านด้วยความหงุดหงิดเขาก็เลยเฉี่ยวชนรถอีกคัน ทำให้เสียเวลาและเสียอารมณ์หนักขึ้นบนท้องถนน กว่าจะจัดการให้เรียบร้อย กลับถึงบ้านก็ค่ำ ถึงเวลาอาหาร ยังมีอารมณ์ตกค้าง จึงทะเลาะกับภรรยาอีกรอบ ลูกสาวเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันทั้งเช้าทั้งค่ำก็เครียด นอนไม่หลับ ตัวพ่อกับแม่เองก็นอนไม่หลับทั้งคู่ นี่คือปรากฏการณ์ที่มักจะเกิดกับหลายคนจนอาจกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

    สำหรับนักธุรกิจคนนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนั้นผิดแผนไปหมด บางคนอาจเรียกวันแบบนี้ว่าเป็นวันซวย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากจุดเล็ก ๆ แล้วส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ จุดเล็ก ๆ นั้นก็คือลูกสาวทำแก้วน้ำตกแตก จากนั้นก็เกิดเรื่องแย่ ๆ ตามมามากมาย ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เหมือนกับว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แต่ลองมองดูดีๆ การที่ลูกสาวทำแก้วน้ำตกแตกจะต้องส่งผลแย่ๆ อย่างนี้เสมอไปหรือเปล่า

    ใช้สติกำกับชีวิต

    สมมุติว่าลูกทำแก้วน้ำตก พ่อเกิดขุ่นเคืองใจขึ้นมา แต่มีสติ รู้ทันอารมณ์นั้น แทนที่จะด่าว่าก็เงียบเสีย ถ้าจะตักเตือนก็พูดดีๆ “กินอาหารอย่าใจลอยสิลูก” ไม่ด่าว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง เมื่อพ่อพูดดีๆ ก็ไม่มีเหตุให้ทะเลาะกับภรรยา เมื่อถึงเวลาก็ไปจัดเอกสารใส่กระเป๋า เสร็จแล้วก็ขับรถไปส่งลูก ถึงโรงเรียนและที่ทำงานทันเวลาเพราะออกตามเวลา สามารถเข้าประชุมตามกำหนด ไม่ลืมเอกสารสำคัญ การประชุมก็ราบรื่น เจ้านายชม ตกบ่ายอารมณ์ดี แม้เพื่อนร่วมงานพูดผิดหู ลูกน้องทำงานผิดพลาดก็ไม่ฉุนเฉียว ไม่มีการทะเลาะกัน ทำงานก็ราบรื่นเพราะไม่มีอารมณ์หงุดหงิด เมื่อขับรถกลับบ้าน ก็ไม่มีเหตุให้เฉี่ยวชน ถึงบ้านด้วยความรู้สึกสบาย ๆ ได้กินข้าวพร้อมหน้า พูดคุยหยอกล้อกัน คืนนั้นทุกคนเข้านอนอย่างมีความสุข ไม่มีอะไรต้องกลุ้มอกกลุ้มใจ

    เราลองเปรียบเทียบดู 2 เหตุการณ์นี้ ต่างกันมาก ทั้งที่มีจุดเริ่มต้นเหมือนกัน

    เหตุการณ์แรกที่มีเรื่องแย่ ๆ ตลอดทั้งวัน ดูให้ดี สาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่เพราะลูกสาวทำแก้วน้ำแตก เพราะเหตุการณ์ที่สอง ลูกสาวก็ทำแก้วน้ำตกเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้น จุดชี้ขาดหรือจุดสำคัญอยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่ปฏิกิริยาของพ่อเมื่อเห็นลูกทำแก้วน้ำแตก ถ้าพ่อไม่มีสติ มันก็ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทำให้วันนั้นกลายเป็นวันซวย แต่ถ้าพ่อมีสติ ยับยั้งชั่งใจ พูดกับลูกดีๆ ก็สามารถส่งผลกระทบในทางที่ดี ทำให้ทั้งวันเป็นไปอย่างราบรื่น

    มองอย่างนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเคราะห์กรรมหรือความซวย แต่มันเกิดขึ้นจากการกระทำของนักธุรกิจคนนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ คือถ้าเขาวางใจไม่ถูก ไม่มีสติ พอเจออะไรมากระทบ ก็มีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ไปในทางลบ แล้วส่งผลเสียตามมาเป็นลูกโซ่ แต่ไม่ว่าจะมีอะไรแย่ ๆ เกิดขึ้น หากเรามีปฏิกิริยาหรือท่าทีที่ถูกต้อง ก็สามารถหลีกเลี่ยงปัญหา หรือเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ในทุกจังหวะหรือทุกเหตุการณ์

    พูดอีกอย่างก็คือ ชีวิตนั้นมีทางเลือก หรือมีทางแยกให้เลือกเสมอ เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เราเลือกได้ว่าจะมีปฏิกริยาในทางบวกหรือลบ เราเลือกได้ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราเลือกได้ว่าจะปล่อยให้มันพาเราไปในทางที่ย่ำแย่ หรือจะไม่ยอมให้มันบงการชีวิตเรา เมื่อลูกทำแก้วน้ำตก เราเลือกได้ว่า จะโกรธ หรือไม่โกรธลูก จะดุด่า หรือพูดกับลูกดี ๆ ตรงนี้สติมีความสำคัญมาก ถ้าไม่มีสติ เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เป็นทุกข์ และทำให้เรามีปฏิกิริยาในทางลบ นำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ตามมา แต่ถ้าเรามีสติ เราก็ไม่ทุกข์ และทำให้เรื่องจบลงด้วยดี

    เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัย ไม่คาดฝัน ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องทุกข์เสมอไป เราเลือกที่จะไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าเราไม่มีสติ ก็หลงในอารมณ์ เสร็จแล้วก็สร้างปัญหาตามมา แต่ถ้าเรามีสติ ก็จะรู้ตัวได้ไว ไม่ก่อปัญหาตามมา พูดง่าย ๆ หลงพาไปสู่ทุกข์ ตื่นพาไปสู่ความไม่ทุกข์ คนเราบางช่วงอาจจะหลง เช่น เผลอดุลูกจึงทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยา แต่แล้วก็มีสติ ระลึกได้ว่าถึงเวลาทำงานแล้ว ก็เลยหยุดทะเลาะกับภรรยา ไปเก็บเอกสารครบทุกชิ้นโดยไม่รีบร้อน แล้วก็ไปส่งลูกตามเวลา เหตุการณ์วันนั้นก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น หรือถึงแม้ว่าจะไปทำงานสาย ลืมเอกสาร เพราะมัวทะเลาะกับภรรยาจนเลยเวลา แต่ถ้าสติมาทันก็สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น แม้จะถูกเจ้านายต่อว่าก็ไม่หัวเสียไปทั้งวัน มีสมาธิอยู่กับงาน แม้เพื่อนจะพูดผิดหู ก็ไม่โมโหจนทะเลาะกับเขา สามารถมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานได้ ครั้นกลับบ้าน ก็มีสติ ไม่ฉุนเฉียวจนเกิดเหตุเฉี่ยวชน เหตุการณ์ทั้งหลายแม้ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แต่เราเลือกได้ว่าจะทำอย่างไร หรือมีท่าทีอย่างไรเพื่อให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด
    ทุกจังหวะชีวิต เหตุร้าย ไม่คาดฝัน สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ โดยที่เราไม่อาจควบคุมได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทุกข์เสมอไป เราเลือกที่จะไม่ทุกข์ก็ได้ ทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าร้ายหรือดี มีทางแยกให้เราเดินเสมอ ทางหนึ่งคือทางสู่ความทุกข์ เต็มไปด้วยปัญหา อีกทางหนึ่งคือทางไม่ทุกข์ ไร้ซึ่งปัญหา มีหลายคนบ่นว่า ตัวเองโชคไม่ดี ไหนจะเจ็บป่วย ที่ทำงานก็แย่ เพื่อนร่วมงานก็ไม่ดี ทำไมฉันซวยอย่างนี้ เรื่องเหล่านี้แม้จะเป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องสมมุติ แต่เราเลือกเส้นทางที่ไม่ทุกข์ได้เสมอ ที่เราเลือกได้เพราะเรามีสติ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,350
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,060
    (ต่อ)
    ปัญญาเป็นอีกสิ่งที่ทำให้เราสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี ไม่ว่าจะเจ็บป่วย พิการ เกิดปัญหาทำให้การงานไม่สำเร็จ หากมีสติและปัญญาก็เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเกิดเมื่อทุกอย่างพร้อม เราอาจขาดแคลนเงิน ทุนไม่พอ คนก็น้อย แต่เราสามารถทำให้ชีวิตมีความสุข งานสำเร็จได้ เหมือนแม่ครัวที่ฉลาดและมีฝีมือ แม้เครื่องครัวไม่พร้อม วัตถุดิบก็ขาดแคลน แต่ก็สามารถปรุงอาหารได้เอร็ดอร่อย ตรงข้ามกับบางคนมีทุกอย่างพร้อมมูล แต่ปรุงอาหารไม่อร่อยเลย คนที่มีต้นทุนน้อย แต่ไม่บ่น ไม่ตีโพยตีพาย หากพยายามใช้สติ ใช้ปัญญา มีความเพียร สามารถใช้สิ่งที่มีน้อยนิดให้เกิดความสำเร็จ เกิดผลที่พึงปรารถนาได้ นักเล่นไพ่บางคนจั่วได้ไพ่ไม่ดีเลย ตัวเลขต่ำๆ ทั้งนั้น แต่สามารถเอาชนะได้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่มัวบ่นที่ได้ไพ่แบบนั้น แต่เขาตั้งสติ ใช้ปัญญา เพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่อย่างเต็มที่ อาจจะบลั๊ฟหรือเกทับก็แล้วแต่ จนคนอื่นยอมแพ้ทั้ง ๆ ที่มีไพ่ในมือดีกว่าเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา แต่ถ้าเรามีสติ ใช้ปัญญาก็สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ อย่าให้เหตุการณ์เฉพาะหน้าพาเราเข้ารกเข้าพง พยายามใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    สุขทุกที

    ชีวิตของเรานั้นมีอิสระและไม่จำต้องถูกกำหนดด้วยเหตุการณ์เสมอไป อย่าคิดว่าเราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อทุกอย่างพร้อม อย่าคิดว่า เราจะมีสุขเมื่อสุขภาพดี มีเงินทองพรั่งพร้อมเหลือเฟือ มีเจ้านายน่ารัก มีเพื่อนร่วมงานดี แม้บางครั้งเรามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ต้นทุนต่ำ แต่เราอาจนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จได้ นี้เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ อย่าให้เหตุปัจจัยแวดล้อมมากำหนดชีวิตเรา คนอื่นเขาพูดกับเราอย่างไร เราก็เป็นสุขได้โดยไม่ต้องรอให้เขาพูดดีๆ ผู้คนมักจะคาดหวังให้คนอื่นเข้ามาทำดีกับเรา แล้วเราจึงมีความสุข เวลาทำบุญก็อยากให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเรา ขอให้ร่ำรวย มีงานดี ครอบครัวอบอุ่น เพราะคิดว่าต่อเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจึงจะมีความสุข การคิดเช่นนี้แสดงว่าเราเอาชีวิตและความสุขไปผูกติดกับสิ่งภายนอก เรายอมให้สิ่งอื่นภายนอกมากำหนดตัวเรา เราจะสุขก็ต่อเมื่อทุกอย่างราบรื่น แต่พุทธศาสนามองว่า แม้ทุกอย่างไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับชีวิต เราก็เป็นสุขได้ นี้เป็นอิสรภาพที่เราทุกคนมีเท่ากัน เราสามารถเสกสรรค์ เนรมิต ให้ชีวิตของเราเจริญงอกงามได้ ตัวชี้ขาดคือสติและปัญญา อย่าปล่อยให้สิ่งต่างๆ ขับไสไล่ส่งให้เราเป็นทุกข์ ได้ยินเสียงดังก็ไม่ต้องหงุดหงิด ได้ยินคำต่อว่าด่าทอ ก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ เราสามารถรักษาใจให้ปกติได้

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร เป็นพระที่มีอายุยืนมากถึง 101 ปี มรณภาพเมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งท่านรับนิมนต์ไปฉันเพลที่บ้านโยมที่กรุงเทพ เมื่อฉันเสร็จท่านก็จะกลับวัดที่สิงห์บุรี แต่โยมอยากให้ท่านพักก่อนเพราะท่านอายุมากแล้ว จึงนิมนต์ให้ท่านจำวัดสักพัก โดยมีลูกศิษย์ 4-5 คน นั่งเป็นเพื่อนในห้องที่จัดไว้ให้ บังเอิญห้องนั้นติดกับร้านขายของชำ เจ้าของร้านเป็นคนจีนใส่เกี๊ยะไม้ เวลาเดินขึ้นลงบันไดจึงเกิดเสียงดังเข้ามาในห้อง ลูกศิษย์ได้ยินก็บ่นขึ้นมาว่า เดินไม่เกรงใจกันเลย หลวงปู่แม้นอนอยู่แต่ไม่ได้หลับ จึงพูดเปรยขึ้นว่า “ เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะของเขาเอง”
    เสียงดังก็จริง แต่เราไม่จำเป็นต้องทุกข์ก็ได้ เขาเดินเสียงดังถ้าเราไม่เอาหูไปรองเกี๊ยะของเขา เราก็ไม่ทุกข์ เราเลือกได้ว่าจะเอาหูไปรองเกี๊ยะหรือไม่ สุขหรือทุกข์เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของการวางใจ ถ้าวางใจเป็นก็ไม่ทุกข์

    เลือกได้เพราะวางใจเป็น

    หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร เป็นผู้บุกเบิกวัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง ซึ่งเดิมเป็นวัดร้าง สมัยก่อนที่นั่นมีนักเลงคุมอยู่และคงอยากจะฮุบที่วัด คนเหล่านี้จึงกลั่นแกล้งพระและแม่ชีต่างๆ นานา บางครั้งพระบิณฑบาตเขาก็แกล้งมาเดินชนจนบาตรกระเด็น พระตกคูน้ำก็มี ทั้งนี้เพราะไม่อยากให้พระมาอยู่วัด อยากให้เป็นวัดร้างต่อไป หลวงพ่อประสิทธิ์เคยคิดจะย้ายไปที่อื่น แต่ท่านเห็นว่าถ้าท่านอยู่ก็ช่วยคนได้เยอะท่านจึงไม่หวั่นไหว วันหนึ่งท่านเดินผ่านบ้านของนักเลงหัวไม้คนหนึ่ง นักเลงคนนั้นพอเห็นท่าน ก็ด่าว่าท่านด้วยถ้อยคำรุนแรง แทนที่ท่านจะโกรธหรือเอาหูทวนลม ท่านกลับเดินเข้าไปหานักเลงหัวไม้คนนั้น จับแขนเขย่าแล้วถามว่า “มึงด่าใครๆ ” นักเลงหัวไม้คนนั้นตอบว่า “ก็ด่ามึงน่ะสิ” ท่านยิ้มแล้วบอกว่า “เออ แล้วไป ที่แท้ก็ด่ามึง อย่าด่ากูแล้วกัน”

    ท่านไม่ทุกข์เพราะท่านไม่ได้เอา’ตัวกู’ ไปรับคำด่า นี่เป็นการใช้ปัญญา เราเลือกได้ว่าจะโกรธหรือไม่โกรธ เราเลือกได้เพราะวางใจเป็น ถ้าเอาอัตตาเข้าไปรับ “ตัวกู”ก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา แต่ถ้าเอาปัญญาออกหน้าก็ไม่ทุกข์หากวางใจเป็น ทำใจให้เหมือนอากาศธาตุ ไร้ตัวตน เวลามีใครเอาแขนมาฟาด มาเตะต่อย ก็ไม่เป็นไร แต่การจะทำใจให้เหมือนอากาศธาตุ ไร้ตัวตน ก็ต้องมีสติเป็นเบื้องต้น ถ้าไม่มีสติ จิตก็ปรุงตัวตนขึ้นมารองรับการกระทำเหล่านั้น ทำให้ “กู”รู้สึกเจ็บปวด ถ้ามีสติ หรือมีปัญญา ไม่ปรุงแต่งตัวตนขึ้นมา ก็ไม่มี “กู” ผู้เจ็บ ขอให้เราตระหนักว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม เรามีอิสระที่จะไม่ทุกข์ ทำงานได้อย่างเป็นสุข แม้ว่าสภาพรอบตัวไม่เป็นใจก็ตาม

    รู้เฉยๆ

    สติและปัญญา จะบอกเราว่า กำลังไปสู่ความทุกข์ หรือ ไม่ทุกข์ เมื่อรู้ทันอารมณ์ที่เกิดในใจ เราก็เลือกได้เสมอว่าจะเดินไปหาทุกข์ หรือความไม่ทุกข์ บางครั้งยังไม่ต้องทำอะไรมาก แค่รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็ช่วยได้เยอะแล้ว เพียงแค่รู้เฉยๆ เห็นเฉยๆ ก็พอแล้ว แต่บางคนพยายามกดข่มอารมณ์เอาไว้ เคยมีคนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ซึ่งศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงปู่มั่น ว่า “หลวงปู่ ทำอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาด” ท่านตอบว่า “ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทันมันก็จะดับไปเอง” การตัดหรือกดข่มความโกรธ ทำไม่สำเร็จหรอกนะ ต้องรู้ทันมัน มันก็จะดับไป การที่ความโกรธเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเราเผลอ ลืมตัว แต่ทันทีที่มีสติ รู้ตัว รู้ตัว ความโกรธก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ลืมตัวหรือหลงเมื่อไรใจเป็นต้องปรุงแต่งเป็นตัวกูของกูขึ้น หรือเผลอให้อารมณ์ครอบงำใจ เมื่อมีสติ ความหลงหาย ความโกรธก็ดับเหมือนไฟหมดเชื้อ การกดข่มอารมณ์เหมือนกับการเติมฟืน เติมเชื้อ ยิ่งลุก ยิ่งไหม้ การรู้ทัน การเห็นอารมณ์มีอานุภาพมากนะ

    มีนักศึกษาคนหนึ่งเรียนมาทางด้านสังคมสงเคราะห์ ปีสุดท้ายต้องไปฝึกงาน เขาอยากฝึกงานกับเอ็นจีโอที่ทำงานกับชาวบ้านในภาคอิสาน แต่อาจารย์อยากให้ไปฝึกงานกับหน่วยงานราชการในภาคเหนือ จึงเจรจาต่อรองกันสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าไปฝึกงานกับองค์กรที่ทำงานกับชาวเขาในภาคเหนือ ทีแรกเขาคิดว่าจะได้ไปทำงานกับหน่วยงานเอ็นจีโอ แต่พอไปถึงเชียงใหม่ กลับถูกมอบหมายให้ฝึกงานกับกรมประชาสงเคราะห์ เขาไม่พอใจมากที่อาจารย์ทำอย่างนี้ เขารู้สึกขุ่นเคืองตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นอาจารย์ที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งมาเยี่ยม เขาจึงต่อว่าอาจารย์ยาวเหยียด อาจารย์ก็นั่งฟัง ช่วงหนึ่งอาจารย์ก็ทักขึ้นมาว่า “คิ้วของเธอผูกเป็นโบว์เลยนะ” ทันทีที่ได้ยินอาจารย์พูดเช่นนั้น เขาก็ได้สติ พอรู้ว่าตัวเองกำลังโกรธ เห็นความโกรธของตน ความโกรธก็หายไปเลย รู้สึกเบาลงมาก เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าสติมีอานุภาพมาก

    นักศึกษาคนนี้หายโกรธเพราะอาจารย์ทัก แต่ถ้าเรารอให้คนอื่นมาทักถึงจะรู้ตัว ก็คงไม่ทันการณ์ เราจึงควรรู้จักทักตัวเอง ด้วยการหมั่นตามดู รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น อย่าปล่อยให้มันเล่นงานเราจนหมดเนื้อหมดตัว อารมณ์ใด ๆ ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเรามีสติหรือรู้ตัว อารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความโกรธ ความเศร้า ความเสียใจ มีพลังมากถ้าเราไม่รู้ทัน และเพราะมันมีพลังมากนี้แหละการกดข่มมันจึงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเรารู้ทันมัน มันก็จะดับไปเองเพราะไม่มีเชื้อคือความหลงมาเติมพลังให้มัน

    สงบเพราะรู้

    ความสงบมี 2 แบบ คือ สงบแบบไม่รับรู้ ปิดหูปิดตา หลายคนพบว่าบ้านวุ่นวายก็หนีไปอยู่ที่วัด หรือเก็บตัวอยู่ในห้องพระ ปิดโทรทัศน์-วิทยุ จิตก็เลยสงบ สงบแบบนี้เพราะตัดการรับรู้ แต่การเจริญสติ ทำให้เราสงบเพราะรู้ รู้ทันอารมณ์ เสียงดัง ใจหงุดหงิด รู้ทัน รู้แล้ววาง คนด่าว่า รู้สึกโมโห พอรู้ทัน ก็วางมันลง อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ ความสงบชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกที่ แม้อยู่ท่ามกลางผู้คน อยู่กลางถนนก็สงบได้

    การรู้ทันอารมณ์เราเรียกว่า สติ แต่การรู้ธรรมชาติความเป็นจริงของสรรพสิ่งเราเรียกว่า ปัญญา เช่นการรู้ว่าความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา คนที่เป็นมะเร็ง เมื่อตระหนักว่าความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของชีวิต ก็ยอมรับมันได้ ใจสงบ ไม่เอะอะโวยวาย หรือก่นด่าชะตากรรม อย่างนี้เรียกว่าเป็นการรู้ด้วยปัญญา แต่ไม่ว่า รู้ด้วยสติ หรือรู้ด้วยปัญญาก็ทำให้เราสงบได้ทั้งนั้น เราควรทำความรู้จักความสงบชนิดนี้ด้วย อย่าแสวงหาความสงบด้วยการตัดการรับรู้ ปิดหูปิดตา หรือหนีปัญหาอย่างเดียว

    การเจริญสมาธิเป็นการหนีความวุ่นวายเพื่อเข้าหาความสงบแบบหนึ่ง บางคนรู้สึกว่าจิตฟุ้งซ่าน ทนไม่ไหว จึงบังคับจิตให้เพ่งอยู่กับลมหายใจ มือ เท้า หรือคำบริกรรม เพื่อไม่ให้จิตรับรู้สิ่งอื่น วิธีนี้ก็ทำให้จิตสงบได้ แต่เมื่อทำไปนานๆ อาจจะเครียด การปฏิบัติตามแนวทางหลวงพ่อเทียนนั้นไม่ได้เพ่งอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ไม่เน้นเรื่องความสงบ จิตยังสามารถรับรู้อารมณ์ แต่ไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ เมื่อเห็นอารมณ์ก็สลัดได้ นี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ ถ้ารู้ก็สงบได้ เดินบนกรวด แม้เจ็บปวด ใจก็สงบได้
    :- https://visalo.org/article/D_dhamBumbud15_1.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...