ปัตตานุโมทนามัย... อนุโมทนากับคนที่ทำบุญ เราก็ได้บุญด้วย

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย piromsuparp, 7 กุมภาพันธ์ 2005.

  1. porapatr

    porapatr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    599
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ขออนุญาติ คุณ piromsuparp กับ Mr.kim นำข้อความของทั้ง 2 ท่าน เก็บเป็นไฟล์ชื่อว่าปัตตานะโมทนามัยไว้พิมพ์และส่ง Email ไว้ให้ผู้อื่นได้อ่าน และ อนุโมทนา ด้วยคะ ขอบคุณสำหรับสิ่งดี ๆ ที่มอบให้แก่กันค่ะ(smile)
     
  2. ฟู่อิง

    ฟู่อิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +128
    บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา ดีจริงๆ สำหรับคนที่ไม่มีปัจจัยจะทำบุญ
     
  3. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    การอนุโมทนาบุญกุศลที่ผู้อื่นกระทำ(นำมาให้อ่านทั้งหมดครับ)

    ๖. วิหารวิมานว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในวิหารวิมาน

    เล่มที่๒๖
    ท่านพระอนุรุทธเถระได้ถามนางเทพธิดาตนหนึ่งว่า
    [๔๔] ดูกรนางเทพธิดาท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศสถิตอยู่เหมือนดาวประกายพฤกษ์ เมื่อท่านฟ้อนอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์น่าฟังรื่นรมย์ใจ ย่อมเปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน ทั้งกลิ่นทิพย์อันหอมหวนยวนใจก็ฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน เมื่อท่านไหวกายกลับไปมาเสียงของเครื่องประดับช้องผมก็ดัง เสียงไพเราะดุจเสียงดนตรีเครื่อง ๕
    อนึ่งเสียงมงกุฎที่ถูกลมรำเพยพัดให้หวั่นไหว ก็กังวานไพเราะดุจเสียงดนตรีเครื่อง ๕แม้พวงมาลัยบน เศียรเกล้าของท่านมีกลิ่นหอมชวนให้เบิกบานใจหอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศดุจต้นอุโลก
    ฉะนั้น ดูกรนางเทพธิดา อาตมาถามท่านแล้วขอท่านจงบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร?
    นางเทพธิดาตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญนางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นสหายของดิฉัน อยู่ในเมืองสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์
    ดิฉันเห็นมหาวิหารนั้นแล้วมีจิตเลื่อมใสอนุโมทนา
    ก็วิมานอันเป็นที่รักนี้อันดิฉันได้แล้วเพราะการอนุโมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์แต่อย่างเดียวเท่านั้นวิมานนี้เป็นวิมานอัศจรรย์น่าดูน่าชม โดยรอบสูง ๑๖ โยชน์ เลื่อนลอยไปในอากาศได้ตามความปรารถนาของดิฉัน ดิฉันมีปราสาทเป็นที่อยู่อาศัยอันบุญกรรมจัดแจงเนรมิตให้เป็นส่วนๆ งามรุ่งโรจน์ตลอดร้อยโยชน์โดยรอบทิศ
    อนึ่งที่วิมานของดิฉัน มีสระโบกขรณีเป็นที่อาศัยของหมู่มัจฉาชาติ มีน้ำใสสะอาดมีท่าอันลาดด้วยทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมชาตินานา ชนิดพร้อมทั้งบัวขาวเกษรแห่งบัวทั้งหลายอันลมรำเพยพัด ย่อมหอมฟุ้งเจริญใจ มีรุกขชาติต่างๆอันบุญกรรมปลูกไว้ใกล้วิมาน คือ ไม้หว้า ขนุน ตาล มะพร้าววิมานนี้กึกก้องไปด้วยเสียงดนตรีต่างๆ และกึกก้องไปด้วยหมู่นางอัปสรแม้นรชนใดได้เห็นวิมานนี้ด้วยความฝัน นรชนนั้นก็พึงปลื้มใจวิมานอันมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ น่าอัศจรรย์ น่าดูน่าชมเช่นนี้เกิดแต่ดิฉันเพราะกุศลกรรมทั้งหลาย ควรทำบุญโดยแท้.

    พระอนุรุทธเถระเมื่อจะให้นางเทพธิดาบอกที่เกิดของนางวิสาขามหาอุบาสิกาจึงกล่าวถามด้วยคาถาความว่า วิมานอันอัศจรรย์น่าดูน่าชมนี้ท่านได้แล้วเพราะการอนุโมทนาด้วยจิตอันบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น
    นางนารีอันมีนามว่าวิสาขาได้ถวายทานและได้สร้างมหาวิหาร ไปเกิดที่ไหนขอท่านจงบอกคติของนางวิสาขานั้นแก่อาตมาด้วยเถิด?
    นางเทพธิดานั้นตอบว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ นางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นสหายของดิฉันได้สร้างมหาวิหารถวายแด่สงฆ์และได้ถวายทานแด่สงฆ์ เป็นผู้รู้ธรรมแจ่มแจ้งเธอได้บังเกิดในหมู่ทวยเทพชั้นนิมมานรดี เป็นประชาบดีของท้าวสุนิมมิตวดีผู้เป็นใหญ่ในชั้นนิมมานรดีนั้น วิบากแห่งกรรมของนางวิสาขามหาอุบาสิกานั้นอันใครไม่ควรคิด ข้าแต่ท่านผู้เจริญดิฉันได้พยากรณ์ที่เกิดของนางวิสาขาที่พระคุณเจ้าถามว่า นางวิสาขานั้นบังเกิด ณที่ไหน โดยถูกต้องแล้ว ถ้าอย่างนั้น ขอพระคุณเจ้าได้ชักชวนแม้ชนเหล่าอื่นว่าท่านทั้งหลายจงปลื้มใจถวายทานแด่สงฆ์เถิด และจงมีใจเลื่อมใสฟังธรรมการได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์เป็นการได้ด้วยแสนยาก อันพวกท่านได้แล้วพระพุทธเจ้ามีพระสุรเสียงดุจเสียงพรหม มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ เป็นอธิบดีแห่งมรรคาได้ทรงแสดงธรรมใดไว้ว่า เป็นทางสวรรค์ ทางนั้นเป็นทางอันประเสริฐท่านทั้งหลายจงปลื้มใจถวายทานแด่สงฆ์ ที่บุคคลถวายทักษิณาแล้วมีผลมากบุคคลเหล่าใดอันพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้วว่า
    คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘เหล่านี้ บุคคลเหล่านั้นเป็นพระทักขิไณยบุคคล สาวกแห่งพระสุคตทานอันบุคคลถวายแล้วในพระทักขิไณยบุคคลเหล่านั้น มีผลมากท่านผู้ปฏิบัติเพื่ออริยมรรค ๔ จำพวก
    และท่านผู้ตั้งอยู่ในอริยผล ๔ จำพวกพระอริยบุคคล ๘ จำพวกนี้ ชื่อว่าสงฆ์ เป็นผู้ปฏิบัติซื่อตรงดำรงมั่นอยู่ในปัญญาและศีล
    เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญถวายทานในท่านเหล่านี้ หรือทำบุญปรารภการเวียนเกิดเวียนตายทานที่ถวายในสงฆ์ย่อมมีผลมาก พระสงฆ์นี้เป็นผู้มีคุณความดีอันยิ่งใหญ่ยังผลให้เกิดแก่ผู้ถวายทานในท่านอย่างไพบูลย์ ยากที่จะปริมาณได้ว่าเท่านี้ๆเหมือนทะเลยากที่จะคาดคะเนได้ว่ามีน้ำเท่านี้ๆ ฉะนั้น พระสงฆ์เหล่านี้แลเป็นผู้ประเสริฐ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียรเป็นเยี่ยมในหมู่นรชนเป็นแหล่งสร้างแสงสว่าง คือ ญาณของชาวโลก ได้แก่ นำเอาแสงสว่างคือ พระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้แล้วมาชี้แจง ปวงชนผู้ใคร่ต่อบุญเหล่าใดถวายทานมุ่งตรงต่อสงฆ์ ทักษิณาของเขาเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นทักษิณาที่ถวายดีแล้วเป็นยัญวิธีที่เซ่นสรวงถูกต้อง จัดเป็นบูชากรรมที่บูชาแล้วชอบเพราะทักษิณานั้นจัดเป็นสังฆทาน มีผลมากอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลก ทรงสรรเสริญชนเหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในโลก มาหวนระลึกถึงบุญเช่นนี้ได้ เกิดปีติโสมนัสก็จะกำจัดมลทิน คือ ความตระหนี่ พร้อมทั้งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ความลังเลใจและการตีตนเสมอท่าน อันเป็นมูลฐานเสียได้ทั้งจะไม่เป็นผู้อันผู้รู้ติเตียน แต่นั้นก็จะเข้าถึงสถานที่อันเป็นแดนสวรรค์.
    จบวิหารวิมานที่ ๖[​IMG][​IMG][​IMG]<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กุมภาพันธ์ 2008
  4. golf135

    golf135 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +652
    ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้ว สำหรับคนรู้น้อยอย่างผม อนุโมทนา สาธุ คับ
     
  5. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    ผมได้นำเอาบุญกิริยาวัตถุ 10ประการ ตามพระไตปิฏกมาให้ท่านดูครับว่าการอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นกระทำนั้นมีกล่าวไว้จริงๆครับ
    ๑. ทานมัยบุญเกิดจากการให้ทาน
    ๒. สีลมัยบุญเกิดจากการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัยบุญเกิดจากการเจริญภาวนา
    ๔. อปจายนมัยบุญเกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
    ๕. เวยยาวัจจมัยบุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่ชอบ
    ๖. ปัติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ
    ๗.ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญ
    ๘. ธัมมัสสวนมัยบุญเกิดจากการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม
    ๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรงffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
     
  6. porapanw

    porapanw สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +11
    อนุโมทนาเจ้า
    ยินดีกับผู้ทำดี
    ตักเตือนผู้ทำชั่ว
    สิ่งใดเล่ายิ่งใหญ่กว่ากรรม
     
  7. porapatr

    porapatr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    599
    ค่าพลัง:
    +1,282

    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD width=79>[​IMG]</TD><TD width=567>หลวงพ่อเจ้าคะ คนที่ชอบอนุโมทนาบุญกับคนที่ชอบอนุโมทนาบาป จะมีผลอย่างไร?</TD></TR><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD><TD> ถ้าตอบแบบย่อๆ อนุโมทนาบุญก็ได้บุญ อนุโมทนาบาปก็ได้บาป แต่เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า อนุโมทนาคืออะไร ?

    อนุโมทนา แปลว่า ดีใจด้วย ยินดีด้วย เห็นชอบด้วย หรือว่าสนับสนุน

    เพราะฉะนั้น การอนุโมทนาบุญ คือ ดีใจด้วยกับการที่คนอื่นทำความดี
    เช่น พอเห็นใคร ทำความดี เราก็ไปอนุโมทนาบุญด้วย ดีใจด้วย ซึ่งจะเป็นทั้งความชื่นใจ ที่เกิดกับตัวเราเอง แล้วก็เป็นการให้กำลังใจกับคนที่ทำความดี ให้เขามีกำลังใจที่จะทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป
    ส่วนการอนุโมทนาบาป คือ ดีใจด้วยกับการที่คนอื่นทำความชั่ว พอเห็นใครทำความชั่ว " แหม ดีเหลือเกิน"

    เช่น เวลาเห็นคนที่เราไม่ค่อยรัก ไม่ค่อยชอบหน้าสักเท่าไหร่ ถูกรังแก เราก็ดีใจ ไปสมน้ำ หน้าเขา นั่นเป็นการอนุโมทนาบาป เต็มที่เลย ก็จะมีผลทำให้เราพลอยได้บาปไปด้วยเพราะถึง เขาไม่ค่อยจะถูกกับเรา ก็เป็นคนละเรื่องกัน

    ยิ่งกว่านั้น ในกรณีที่เห็นใครได้รับความเดือดร้อน ได้รับความทุกข์ยาก แม้ว่าเขาจะเป็น คนชั่ว เป็นคนไม่ดี ก็อย่าไปโมทนากับเขา

    ยกตัวอย่าง พ่อค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นคนชั่วอย่างแน่นอน โดยกฎหมายมีโทษว่าต้อง ประหาร ชีวิต เพราะทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นมามากมายเหลือเกิน ขืนปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เดี๋ยวจะมี คนติดยาเสพติดของเขา จนต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนกันทั่วบ้านทั่วเมือง

    พอมีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่า พ่อค้ายาเสพติดผู้นี้ถูกศาลตัดสินให้ประหารชีวิต ด้วยวิธียิง เป้าเท่านั้น คนสาธุกันลั่นเมืองทีเดียวโดยหารู้ไม่ว่า ได้อนุโมทนาบาปเข้าไปแล้ว เพราะไป ยินดีต่อ การที่ จะต้องฆ่าคน ยินดีต่อการที่จะมีคนถูกฆ่า แม้ทางโลกอาจจะมองว่า ในเมื่อเขาทำ ความชั่วมาเยอะ ก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกฆ่าให้ตาย

    แต่ทางธรรม เมื่อเกิดมีการฆ่ากันขึ้นมา เราจะไม่พูดในแง่ของกฎหมาย แต่เราจะพูดในแง่กฎของวัฏฏสงสาร คือ ในเมื่อเราก็ไม่ได้เป็นผู้ที่สร้างชีวิต ไม่ได้เนรมิตชีวิตใครขึ้นมา เพราะฉะนั้น ใครๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปฆ่าใคร ถ้าไปฆ่าใครเข้า บาปก็เกิดแก่ผู้ฆ่าทันที

    แล้วถ้าหากไปอนุโมทนาต่อการฆ่านั้น เราก็จะพลอยได้บาปไปด้วย เพราะทันทีที่เห็น ดีเห็นงาม ต่อการทำบาป ใจของเราก็จะขุ่นมัว ซึ่งพวกเราก็คงจำกันได้ดีว่า เมื่อใจขุ่นมัว ไม่ผ่องใส ถ้าตายขณะนั้น ย่อมมีทุคติเป็นที่ไป

    ยังไม่พอ ตัวของเรายังได้เพาะเชื้อแห่งการขาดความเมตตากรุณาตามเขาไปด้วย เพราะว่า เจ้าคนที่ถูกประหารชีวิต เขามีเชื้อแห่งการขาดความเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมโลกอยู่ในตัว เขาจึงค้ายา เสพติด วันนี้เขาถูกฆ่าตาย แล้วเราก็ดีใจ โดยหารู้ไม่ว่าเราก็กำลัง เพาะเชื้อแห่งการ ขาด ความเมตตา กรุณาต่อสัตวโลกเช่นกัน
    <TABLE width=200 align=right border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> เพราะฉะนั้น จึงฟ้องว่าจะชาตินี้ หรือชาติไหนก็ตาม เราก็พร้อมที่จะทำบาปคล้ายๆ กับเขานั่นแหละ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้เพาะนิสัยจับแง่คิดไม่เป็นขึ้นมาอีกด้วย เพราะการที่ใครคนใด คนหนึ่ง ไปทำเรื่องร้ายๆ จนกระทั่งต้องถูกประหารชีวิต ถามว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น ?

    ความจริงไม่ใช่เขาอยากจะเป็นคนเลว เขาเองก็อยากเป็นคนดี แต่เนื่องจากว่าใจของเขา ขุ่นหมองมาตั้งแต่เกิด ทำให้มีสติปัญญาน้อย เลยคิดว่าการที่ไปค้ายาเสพติดอย่างนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว

    เพราะฉะนั้น การฆ่าเขาให้ตายจึงไม่ใช่วิธีแก้ไขที่ถูกต้อง เพราะตายแล้วเขาก็ยังต้องเกิด ต่อไปอีก ถึงคราวได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ ใจของเขาก็ยังขุ่นเหมือนเดิมนั่นแหละแล้วก็คงจะ ก่อเวร ก่อกรรมเช่นเดียวกับชาตินี้อีก

    แต่ถ้าจะให้เขาเลิกก่อเวรก่อกรรม ไม่ไปค้ายาเสพติดอีก ก็มีวิธีเดียว คือ จับเขามาสอน ให้รู้จักบุญ ให้รู้จักบาป เสียตั้งแต่ชาตินี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเขาเลย

    แก้ไขให้ดีก็ไม่ได้ แถมยังจะเลวเหมือนเดิม เราก็ได้แต่ความสะใจ แล้วก็ได้บาป ติดตัว ไปเท่านั้นเอง

    บางครั้งมีการตายหมู่เกิดขึ้น เมื่อท่านผู้มีธรรมไปตรวจดูปรากฏว่า พวกหนึ่งที่ไปตายหมู่ ร่วมกับเขา คือ พวกที่เคยฆ่าคนอื่นเอาไว้

    ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือ พวกที่ไปอนุโมทนาบาป ไปสนับสนุนให้เกิดการฆ่า ถึงเวลาเลยต้อง มาตายด้วยกัน นี่คือฤทธิ์ของการอนุโมทนาบาป
    <TABLE width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> เพราะฉะนั้น อย่าได้ไปอนุโมทนาบาป กับใครทีเดียว ถ้าได้ข่าวการตัดสิน ประหารชีวิต อย่างมาก ก็ทำใจเพียงแค่รับรู้ว่า เป็นกรรม ของสัตวโลก ใครทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น ทำใจให้เป็นอุเบกขา อย่างนี้ เชื้อบาปจะได้ ไม่เกิดกับเรา

    ตรงกันข้าม ถ้าทราบว่าใครทำบุญ ให้รีบอนุโมทนาบุญกับเขาใจของเราจะ ได้สดชื่นแจ่มใส มีกำลังใจที่จะทำความดีตาม อย่างเขาบ้าง แล้วคนที่เราไปอนุโมทนาบุญด้วยเขาก็จะได้มีกำลังใจที่จะทำ ความดี ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

    ทำกันให้ได้อย่างนี้ เดี๋ยวทั้งเขาและเราคงจะได้ไปสร้างบุญร่วมกันในภายภาคหน้า ต่อไปอีก ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหน ก็มีแต่ว่าจะเอาบุญไปต่อบุญ เอาความดีไปต่อความดี อย่างนี้ถึง จะน่าอนุโมทนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  8. ait_aa

    ait_aa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +74
    ขออนุโมทนาด้วยคะ...ตายไปเมื่อได้ขอไปนิพาน แต่หากไม่ถึงพระนิพานเพียงได ขอคะว่า "ไม่มี" จงอย่าบังเกิดกับข้าพเจ้า ตราบจนเข้าสุ่พระนิพาน
     
  9. จาริกบุญ

    จาริกบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +228
    สงสัยมานานแล้วครับ

    ขอเรียนถามผู้เจริญ
    ในกรณีที่ผมเห็นวัดที่สวยงามหรือเขาสร้างพระประธานที่ใหญ่
    ผมรู้สึกปลื้มใจและดีใจทั้งที่เขาสร้างนานแล้ว จัดเป็นอนุโมทนาหรือเปล่า ครับ
     
  10. ทีนนี่

    ทีนนี่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +26
    เข้าวัดทุกครั้งรู้สึกสบายใจเหมือนว่ากำลังมีบางสิ่งที่คุ้มครองตัวเราให้มีความสุขยิ่ง

    (good) แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ งงอ่ะดิ
     
  11. ทีนนี่

    ทีนนี่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +26
    คนเราเกิดมาแล้ว สิ่งที่ควรทำคือความดี เพื่อให้คนที่อยู่ใกล้ตัวเรามีความสุข
     
  12. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    เผอิญเห็นคำถามของคุณระลึกบุญเมื่อวาน แต่ยังไม่มีเวลาตอบ วันนี้ก็เลยถือโอกาสตอบแล้วกันนะครับว่า สิ่งที่คุณระลึกบุญทำนั้น ถือว่าเป็นการอนุโมทนา เป็นสิ่งที่ทำถูกอยู่แล้ว และสมควรกระทำต่อไป ผมก็ทำอย่างนี้บ่อย

    บุญนั้นเป็นของมหัศจรรย์ แม้ว่าเจ้าของบุญตายไปแล้ว หรือไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว หรือแม้กระทั่งเจ้าของบุญไม่รู้ไม่เห็น ไม่ยินยอมให้เราอนุโมทนาบุญด้วย แต่เมื่อเราสามารถทำจิตใจให้ชื่นชมยินดีกับความดีของผู้นั้น ก็ล้วนแล้วแต่ถือว่าเป็นปัตตานุโมทนามัยทั้งสิ้น

    การอนุโมทนาบุญนั้น หากสังเกตดีๆ เราจะพบว่า ต่างกรรมต่างวาระกันนั้น ใจเราจะมีความซาบซึ้งดื่มด่ำในความดีของผู้อื่นไม่เท่ากัน บางคนหรือบางครั้งเราปลื้มปิติยินดีขนาดขนลุกซู่ น้ำตาจะริน บางครั้งเราก็นึกในใจว่า ก็ดีนะ ลองสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าความแตกต่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นที่ใจของเราทั้งสิ้น

    ไม่เพียงอนุโมทนาบุญเท่านั้น ก็ต้องมีจิตใจชื่นชมยินดีกับความดี ความสำเร็จของคนอื่นด้วย นอกจากนี้ที่สำคัญประการหนึ่งคือ การที่เราอนุโมทนาบุญนั้น หากเราอนุโมทนากับเพื่อนเรา กับคนที่เราเลื่อมใส หรือแม้กระทั่งคนที่เราไม่เคยรู้จัก แต่ก็ไม่ถึงกับแค้นเคือง ก็เป็นสิ่งที่อาจทำได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่เราไม่ชอบหน้า โกรธเค้า หมั่นไส้เค้า หากเราสามารถทำใจให้ชื่นชมในความดีในสิ่งดีๆที่เค้ากระทำได้นั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง หากทำได้ ก็นับว่าเป็นการขัดเกลากิเลส เป็นการบ่มเพาะความเมตตากรุณา ซึ่งที่สุดแล้ว นำไปสู่การให้อภัย นำไปสู่ความเข้าใจว่า ไม่มีเรา ไม่มีเขา ทุกคนเกิดมาใช้กรรม แล้วจะก่อกรรมกันไปทำไม

    ใจคนเราก็มีขุ่นมัวบ้าง มีมืดบอดบ้าง ทั้งนี้เป็นไปด้วยอำนาจอกุศลจิต ก็ต้องอาศัยธรรมะของพระพุทธองค์ในการขัดเกลาจิตใจให้ค่อยๆใส ค่อยๆสุกสกาวดั่งแก้วเนื้อดี ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี หรือผ่านภพผ่านชาตินับไม่ถ้วน แล้วแต่วาสนาบารมี

    สุดท้ายขอให้คุณระลึกบุญเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
     
  13. porapatr

    porapatr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    599
    ค่าพลัง:
    +1,282
    การอนุโมทนาจากเปรต เป็นเทวดา
    กุฏมพีเปรต

    ชีวประวัติของบุคคลอีกผู้หนึ่ง ซึ่งถูกตัตตากรรมฝ่ายอกุศลดลบันดาลให้ไปเกิดเป็นเปรตในเปตติวัสัยภูมินั้น ปรากฏมีดังต่อไปนี้
    ภูมิสถานตามพปัณณิทวีป มีพระสถูปเจดีย์องค์ใหญ่อยู่องค์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุแห่งสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ พระองค์ผู้เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้ว พุทธบริษัทผู้มีใจผ่องแผ่วเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ได้พากันจัดผ้าคลุมสีแดงว่า
    “ ผ้านี้ชาวพุทธขออุทิศถวายให้เป็นสมบัติของพระสถูปเจดีย์ ”
    กาลต่อมา ปรากฏว่าได้มีมพายุใหญ่พัดผ้าคลุมเจดีย์นั้นไปตกในที่นาแห่งกุฎมพีผู้มีฐานะดีคนหนึ่งในตามพปัณณิทวัป ครั้นกุฎมพีเจ้าของนาเห็นผ้านั้นแล้ว แทนที่จะเกิดความเห็นเป็นอันสุจริต กลับคิดว่า “ ผ้าผื่นนี้มีราคาแพงมาก หากเราเอาไปทำผ้าห่ม คงจักเป็นประโยชน์แก่เรามากทีเดียว ” แม้ว่าเขาจะได้พบอักษรจารึกไว้บนแผ่นผ้า และรู้ว่าเป็นสมบัติของพระมหาเจดีย์ ก็หาได้คำนึงถึงการที่จะนำเอาไปคืนให้แก่พระมหาเจดีย์ไม่ เพราะมีใจมักง่ายคิดเอาเองว่า “ เมื่อผ้านั้นมาตกในนาของเราก็ย่อมจะเป็นสมบัติของเรา บาปกรรมอะไรคงไม่มี ” คิดได้ดังนี้แล้วก็นำเอาผ้านั้นกลับมาบ้านทำเป็นผ้าห่ม เขาห่มผ้าอันเป็นสมบัติของพระมหาเจดีย์อยู่ไม่นาน ก็ถึงแก่กาลกิริยา กตัตตากรรมจึงชักพาให้เขาไปบังเกิดในเปรตวิสัย
    เป็นเปรตร่างทนทุกข์ทรมาน มีแผ่นเหล็กแดงหนากว่าแผ่นผ้านั้นตั้ง ๑,๐๐๐ เท่าคลุมตัวเขาอยู่ แผ่นเหล็กนั้นได้ลุกแดงเป็นเปลวไฟ เผาไหม้เขาอยู่ตลอดเวลา ได้รับทุกขเวทนา จะแกะเอาแผ่นเหล็กแดงนั้นออกก็มิได้ ได้แต่ร้องดิ้นทุรนทุราย จะตายไปก็ตายไม่ตาย เสวยทุกข์อันแสนสาหัสอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานนักหนา
    คราหนึ่ง เปรตอดีตกุฎมพีเจ้าของนาได้พยุงร่างอันพิลึกนั้น เดินร้องครวญครางไปตามยถากรรม จนกระทั้งไปพบพระมหาเถระผู้มีปรกติอยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่ง จึงโซซัดโซเซเข้าไป โดนหมายใจว่าจะให้ท่านช่วยเป็นที่พึ่งแห่งตน ครั้นไปถึงแล้ว ได้แสดงตนให้ปรากฏในครองจักษุพระมหาเถระนั้น
    “ ท่านเป็นใคร เหตุไฉนจึงมีรูปร่างพิลึกพิกลเช่นนี้ มีกายคลุมด้วยเหล็กแดงลูกเป็นไฟ ท่านไม่เร่าร้อนบ้างหรือไร ดูทีว่าท่านนี้คงจะมิใช่เป็นมนุษย์” พระภิกษุมหาเถระถามด้วยความแปลกใจ หลักจากได้เห็นสารรูปของมันแล้ว
    “ เปรต! ข้าพเจ้าเป็นเปรต ซึ่งได้รับทุกขเวทนามานานนักหนาแล้ว ไม่ได้กินข้าวกินน้ำ มีแต่แผ่นเหล็กแดงลุกเป็นไฟคลุมกายอยู่อย่างนี้ ที่ท่านถามว่า ไม่ร้อนหรืออย่างไรนั้น ข้าพเจ้าได้รับความเร่าร้อนแทบขาดใจ เพราะถูดไฟเผาไหมร่างอยู่ตลอดเวลา เฝ้าคิดอยู่แต่ว่า เมื่อไหรจะสิ้นกรรม ”
    “ ท่านทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มาเสวยทุกขเวทนาเห็นปานนี้ ” พระมหาเถระเจ้าถามถึงอดีตกรรมของเขา
    “ เมื่อก่อน ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์กุฎมพีมีฐานะมั่นคง ได้ถือเอาผ้าคลุมพระมหาเจดีย์ที่ลมพัดพามาตกในนาของข้าพเจ้า เอามาทำเป็นผ้าห่มเพื่อเป็นการประหยัดไม่ต้องซึ่งผ้าห่มใหม่ให้สิ้นเปลือง โดยไม่คิดว่าเรื่องร้ายในภายหน้าเช่นนี้จะเกิดขึ้น เพราะเห็นว่าไม่เป็นบาปเป็นกรรมอะไร แต่ทำไมพอข้าพเจ้าขาดใจตาย จึงได้มาเกิดเป็นเปรตเสวยทุกข์อยู่เช่นนี้ก็ไม่ทราบได้ ” เปรตเล่าอดีตประวัติแห่งตนให้พระมหาเถระเจ้าฟังดังนี้แล้ว ก็ได้ยกมือขึ้นท้วมศีรษะนมัสการพระมหาเถระและกล่าวอ้อนวอนว่า “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพเจ้าได้พบท่านในวันนี้แล้วดีใจนัก หวังจักของร้องให้ช่วยเหลือเป็นที่พึ่ง จึงสำแดงกายให้เห็น พระผู้เป็นเจ้าจะมีอุบายวิธีช่วยเหลือข้าพเจ้าได้อย่างไรก็สุดแต่จะกรุณาเถิด เจ้าข้า ” ว่าดังนี้แล้วเปรตผู้มีกรรมนั้นก็อันตธานหายวับไปกับตา
    พระมหาเถระผู้เป็นปกติอยู่ป่า เมื่อได้รับประสบการณ์เช่นนี้ ก็นอนตรองหาอุบายวิธีจะช่วยเหลือเปรตนั้นให้พ้นจากความทุกข์ทรมานอยู่หลายวัน ในที่สุดก็นึกได้วิธีหนึ่ง จึงออกจากกุฎีน้อยในป่า เข้าไปพักอยู่ในวิหารใกล้บ้านแห่งหนึ่ง เที่ยวเสาะหาแสวงหาผ้าตามสมณวิสัย ได้ผ้าที่ทานกเขามีศรัทธามาถวายผืนหนึ่งยาวประมาณ ๔ ศอกแล้วก็ดีใจนัก จึงเดินมุ่งหน้าไปสู่พระมหาเจดีย์ ครั้นเดินทางมาถึง จึงถวายบูชาพระเจดีย์ด้วยผ้าขาว ๔ ศอกที่ท่านได้ม่ แล้วตั้งจิตอุมิศให้แก่เปรตนั้น โดยหวังว่าถ้าเปรตผู้ตกยากซึ่งมีรูปร่างพิกลสามารถรับส่วนกุศลที่ตนอุทิศให้ได้แล้ว เขาคงจักพ้นจากความทุกข์ทรมานได้เป็นแน่แท้ เสร็จธุระแล้วก็กลับมาอยู่ที่กุฏิน้อยในป่าตามเดิม
    “ ท่านขอรับ ! ข้าพเจ้ามากราบเท้าของพระคุณท่าน ที่ได้ช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ยาก ” มีเสียงร้องเรียกพระมหาเถระเจ้าดังขึ้นว่าดังนี้ ในยามราตรีคืนหนึ่ง ซึ่งพระมหาเถระเจ้าผู้อยู่ป่าเป็นวัตรรูปนั้นแปลกใจมาก เมื่อท่านเหลี่ยวแลดูไปทางเสียงนั้น ก็ได้เห็นเทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีรู่งเรืองงดงามจึงได้ถามขึ้นว่า
    ท่านเป็นใคร ! และมากล่าวขอบคุณเราด้วยเรื่องอะไร? ” “ พระผู้เป็นเจ้าจำไม่ได้หรือ ข้าพเจ้าคือเปรตซึ่งมาขอความช่วยเหลือจากพระคุณเจ้าเมื่อเร็ว ๆ ยังไงเล่า ” เทวดานั้นได้แนะนำตนเอง แล้วกล่าวต่อไปอีกว่า “ ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้มาขอความช่วยเหลือ โดยถือเอาพระคุณเจ้าเป็นสรณะในวันนั้น แล้วก็เฝ้ารอคอยความอนุเคระห์จากพระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าถวายผ้าคลุมแก่พระมหาเจดีย์ แล้วอุทิศส่วนกุศลส่งมาให้ข้าพเจ้าด้วยจิตกรุณา ข้าพเจ้าก็ตั้งใจอนุโมทนาเกิดเป็นปัตตานุโมทนามัยกุศลบัดดลเจ้าแผ่นเหล็กร้ายลุกเป็นไฟที่หุ่มกายก็แตกกระจายพักพินาศไปสิ้น ผ้าทิพย์ผืนใหญ่พร้อมทั้งกายทิพย์ได้ปรากฏขึ้นแทน ซึ่งนั้นก็หมายความว่า ข้าพเจ้าได้ตายจากเปรตวิสัยมาอุบัติใหม่กลายเป็นเทวดามีรัศมี ด้วยอนุภาพแห่งปัตตานุโมทนามัยกุศล อันเป็นกุศลที่บังเกิดขึ้นเพราะได้อนุโมทนาส่วนบุญที่พระผู้เป็นเจ้าอุทิศให้ ข้าพเจ้ามาในราตรีนี้ มีความประสงค์จะมาขอบพระคุณในความเมตตากรุณาที่ได้ช่วยอนุเคราะห์ให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ ” เทวดาอดีตเปรตกล่าวแล้วก็น้อมกายถวายนมัสการพระมหาเถระผู้มีคุณแก่ตนอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงอันตรธานหายวับไปด้วยประการฉะนี้....
     
  14. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ด้วยสมาชิกกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติได้ร่วมกันสร้าง "ปรียนันท์ธรรมสถาน" ขึ้น ณ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อเป็นสถานปฏิบัติธรรมและเพื่อใช้เป็นสถานที่พักพิงและหลบภัยแก่ประชาชนทั่วไปเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น (รองรับคนได้ประมาณ 200 คน) รายละเอียดความเป็นมาและความคืบหน้าในการก่อสร้างติดตามอ่านรายละเอียดได้จากลิงค์ข้างล่างนี้


    http://palungjit.org/showthread.php?t=100889

    และ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=81557



    เนื่องจากการสร้างสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งตัวอาคารและระบบต่างๆ อาทิ ระบบระบายอากาศ ระบบน้ำใช้และระบบพลังงานภายในตัวอาคาร จำนวนประมาณ 5 - 7 ล้านบาท แต่ยังขาดปัจจัยอยู่เป็นจำนวนมาก


    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติจึงได้จัดทอดผ้าป่าสามัคคีขึ้นเพื่อรวบรวมปัจจัยสำหรับเป็นค่าก่อสร้าง และได้นมัสการเรียนเชิญพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เพื่อขอบารมีของท่านในการสร้างปรียนันท์ธรรมสถานให้สำเร็จลุล่วงสมดังเจตนารมย์ที่ตั้งไว้


    กำหนดวันทอดผ้าป่าสามัคคีในวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2551 ณ ปรียนันท์ธรรมสถาน อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
    โดยกำหนดศรัทธาในการร่วมทำบุญครั้งนี้ดังนี้

    ประธานกรรมการ 2,000 บาท ขึ้นไป

    รองประธานกรรมการ 1,000 บาท ขึ้นไป

    กรรมการ 500 บาท ขึ้นไป

    และทำบุญตามศรัทธาโดยไม่จำกัดจำนวน ทำได้ตั้งแต่ 1 บาท ขึ้นไป


    ท่านที่มีจิตศรัทธาจะร่วมบุญในการสร้างปรียนันท์ธรรมสถาน ขอเชิญร่วมลงชื่อเป็นประธาน รองประธาน และกรรมการผ้าป่า พร้อมโอนเงินเข้าบัญชีข้างล่างนี้ได้เลยครับ

    ชื่อบัญชี นายณัฐพัชร จันทรสูตร และ นางสุธาทิพ ภมรประวัติ
    ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาย่อย มธ.ศูนย์รังสิต
    เลขที่บัญชี 475 - 0 - 14569 - 6



    โดยเข้าไปโพสต์แจ้งร่วมทำบุญได้ที่กระทู้ที่ลิงค์มานี้

    http://palungjit.org/showthread.php?p=911460


    ขออานิสงส์ผลบุญที่ได้ร่วมกระทำกันในครั้งนี้ จงส่งผลให้ท่านและครอบครัวประสพความสุข ความเจริญ ในหน้าที่การงาน มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติทุกประการ ถ้ามาดแม้นท่านผู้ร่วมกระทำกุศลในครั้งนี้ปรารถนาซึ่งพระโพธิญาณก็ดี หรือพระโลกุตรธรรมในปัจจุบันชาติก็ดี ขออานิสงส์ผลบุญที่กระทำร่วมกันนี้จงให้ความมั่นคงเป็นพลวะปัจจัยหนุนนำให้ทุกๆท่านจงสมปรารถนาทุกประการอย่างสะดวกสบาย ไร้อุปสรรคทั้งปวง ในฉับพลันทันทีด้วยเทอญ


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    การโมทนา เขาแปลว่า ยินดีด้วย ต้องยินดีด้วยความจริงใจนะ สักแต่ว่า สาธุ มันไม่ได้อะไร คำว่า "สาธุ" ไม่จำเป็นต้องออกเสียง ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้ก็ได้ เอาใจยินดีใช้ได้เลย

    โมทนาครับ
     
  16. บัญชาคนสุพรรณ

    บัญชาคนสุพรรณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +77
    อนุโมทนาครับ ผู้ใดอยู่ในธรรม ผู้นั้นย่อมอยู่ในที่สว่าง ชีวิตจะไม่มืดมิดบุญจะคอยนำทางให้ได้พบกับสิ่งที่ดีๆ
     
  17. ตำสั่วปู ปลาร้า

    ตำสั่วปู ปลาร้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +462
    [​IMG]
     
  18. punket

    punket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +103
    ขออนุโมทนาจากใจ กับข้อมูลดีๆจากกระทู้นี้ และ จากเวบไซท์นี้ครับ

    สาธุ
     
  19. 999999999

    999999999 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +22
    สมาชิกใหม่ชื่อ อนุวัฒน์ ดวงพัตรา ขอรายงานตัวครับ (999999999)

    ผมเป็นคนหนึ่งชอบนั่งสมาธิ ฟังธรรม และชอบสะสมพระเครื่องไว้บูชา ศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์พระปฐม ถึง องค์ปัจจุบัน ศรัทธาในคำสอนของหลวงพ่อมานานแล้ว ดีใจที่ได้เป็นสมาชิกเว็ปพลังจิตของคุณ หวังว่า พระรุ่น เสาร์ ๕ พลังจิต ยังมีน่ะครับ เมื่อผมโอนเงินไปให้แล้ว ผมจะส่งข้อความไปบอกอีกครั้ง (ศรัทธา) ขอบคุณครับ
    [​IMG]





    ผู้ถาม มีคนฝากให่มาถามหลวงพ่อว่า พ่อแม่ไม่ค่อยทำบุญแต่เป็นคนดี คนซื่อ ถ้าบุตรหลานทำให้แล้วจะใส่ชื่อเขาด้วย อยากทราบว่า ท่านจะได้หรือไม่ครับ

    หลวงพ่อ เขาโมทนาด้วยหรือเปล่า ถ้าลูกไปบอกว่า "พ่อ(หรือแม่) ฉันทำบุญให้แล้ว ถ้าท่านยินดีด้วย ท่านได้แน่นอน ถ้าบอก กูไม่รูโว้ย ด่าตะเพิด อันนี้ไม่ได้แน่


    ผู้ถาม อย่างเลวาเลิกพระกรรมฐานแล้ว ก็มีคนไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ แต่หนูไม่มีของก็ยกมืออนุโมทนาด้วย อย่างนี้จะมีอานิสงส์ไหมคะ...?

    หลวงพ่อ อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็คือ ปัตตุนาโมทนามัย เป็นผลกำไรจากการเจริญพระกรรมฐานไม่ต้องลงทุน ถ้าตั้งใจจริงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เจ้าของได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เราได้ครั้งละ 90 ผ่านไป 10 คนเราได้ 900 มากกว่าเจ้าของ เอ้า! เยอะจริงๆ มันทำบารมีให้เต็มเร็ว เร็วมาก

    การโมทนา เขาแปลว่า ยินดีด้วย ต้องยินดีด้วยความจริงใจนะ สักแต่ว่า สาธุ มันไม่ได้อะไร คำว่า "สาธุ" ไม่จำเป็นต้องออกเสียง ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้ก็ได้ เอาใจยินดีใช้ได้เลย
    และการแสดงความยินดีมันก็คือ มุทิตา เป็นตัวหนึ่งใน พรหมวิหาร 4 นี่บุญตัวใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา" ถ้าก่อนตายจิตผ่องใส ก็ไปสู่สุคติ หมายถึง สวรรค์ ก็ได้ พรหมก็ได้ นิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังใจเรา

    และการโมทนานี่ทำให้ชุ่มชื่นใจ ใช่ไหม....เขาทำดีเรายินดีด้วย ยินดีกับความดีของเขา ไม่ช้าเราก็ดีตามเขา เพราะเราเห็นเขาดี เราก็ชอบดีไหม... แต่อย่าไปชอบดีเฉยๆ นะ ต้องทำดีด้วยนะ ทำบุญด้วยตนเองบ้าง


    ผู้ถาม หลวงพ่อครับ ปัตตานุโมทนามัย กับ ไวยาวัจจมัย นี่เหมือนกันไหมครับ

    หลวงพ่อ ไวยาวัจจมัย เขาแปลว่า ขวนขวายในกิจการงาน เช่น เขาส่งสตางค์มาทำบุญ เราช่วยส่งต่อ หรือพวกที่ช่วยขนสังฆทานนี่ ก็พลอยได้บุญไปด้วย มีอนิสงส์ต่ำกว่าบวรเณรนิดหนึ่ง ไม่เบานะ
    แต่ ปัตตานุโมทนามัย ไม่ต้องลงทุน แต่พวกถือมานี่ ยังต้องออกแรงนะ พวกโมทนานี่ไม่ต้องออกแรงเลย แต่อย่าลืมนะเอาแค่โมทนาอย่างเดียวไม่ดีนะ ต้องอาศัยคนต้นตลอด ถ้าไม่ได้อาศัยคนต้นจริงๆ จะสำเร็จมรรถผลไม่ได้ เช่นเดียวกับ พระนางพิมพา ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าตลอด


    ---------------------------------------------------------------


    อ่านต่อ
    คนร่ำรวยมีโอกาสสร้างกุศลผลบุญได้มากกว่าคนจนจริงหรือไม่?


    --------------------------------------------------------

    ข้อความด้านล่าง เขียนเพิ่มเติม โดย WebSnow

    สำหรับใครที่ตั้งกระทู้แล้วมีคนมา กดปุ่มอนุโมทนา
    ผู้ตั้งจะได้คะแนนชื่อเสียง 2 คะแนน
    ถ้า 2 คนกดใน1กระทู้ ผุ้ตั้งจะได้ 4 คะแนน
    ผล้วผู้ตั้งกระทู้สามารถรู้ว่าใครกดให้คะแนนบ้าง
    Reputation = ชื่อเสียง

    คะแนนชื่อเสียงคืออะไร ?
    อ่านต่อ
    http://www.palungjit.org/board/showp...07&postcount=8[/quote]
     
  20. ทีนนี่

    ทีนนี่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +26
    (ping-love มาที่เนี่ยที่ไร ก็สบายใจ อยากมาบ่อยๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...