ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. suwat.su

    suwat.su เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    7,643
    ค่าพลัง:
    +55,534
    ประมูลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี 18,500 บาทครับ
     
  2. widya

    widya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,095
    ค่าพลัง:
    +13,214
    ร่วมบุญประมูลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี 18,816.16 บาทครับ​
     
  3. เจษฎา เยี่ยมคำน

    เจษฎา เยี่ยมคำน เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,332
    ค่าพลัง:
    +5,413
    ขออนุโมทนาธรรมที่คุณน้ำใสและคุณตาลนำมาบอกเล่าให้เป็นข้อคิดในการเจริญสติ และขออนุโมทนาบุญกับทานบารมีที่ทุกท่านได้ทำไว้ดีแล้วนั้นด้วยครับ
     
  4. mooom

    mooom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +9,291
    ขอร่วมประมูลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี19000บาทครับ
     
  5. Giant 1

    Giant 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1,014
    ค่าพลัง:
    +9,211
    ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ร่วมประมูลทุกๆท่านครับ ขออนุโมทนาสาธุ​


    [​IMG]

    ประมูลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี เริ่มต้นประมูลที่ ๑๖,๙๙๙ บาท
     
  6. suwat.su

    suwat.su เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    7,643
    ค่าพลัง:
    +55,534
    ร่วมประมูลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี 19,500 บาทครับ
     
  7. วาสุเทพ

    วาสุเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +5,174
    ขอร่วมประมูลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี21000บาทครับ
     
  8. Giant 1

    Giant 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1,014
    ค่าพลัง:
    +9,211
    ขออนุญาตอัพเดตผลการประมูลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี

    [​IMG]

    ประมูลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี เริ่มต้นประมูลที่ ๑๖,๙๙๙ บาท
     
  9. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ก่อนอื่นขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ร่วมประมูลครั้งนี้ค่ะ

    และขออนุโมทนาบุญกับคุณวาสุเทพที่ได้ดูแลดวงแก้วพุทธพรหมมุนีต่อไปค่ะ

    พอดีเพิ่งกลับจากปล่อยปลา ๑๐๘ ตัว ครั้งที่ ๓ โดยคุณ phuya คุณจันทรกาล และน้องหนูดีมาร่วมปล่อยปลาครั้งนี้ค่ะ รายละเอียดคุณ phuya จะลงภาพให้โมทนาบุญค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับคุณวาสุเทพ และทุกท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
  10. sun2555

    sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +6,619
    ขอแสดงความยินดี และขออนุโมทนาบุญกับคุณวาสุเทพที่ได้ดูแลดวงแก้วพุทธพรหมมุนีครับผม
     
  11. Giant 1

    Giant 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1,014
    ค่าพลัง:
    +9,211
    ขออนุโมทนาบุญกับผู้มีบุญทุกท่านที่ร่วมประมูลในครั้งนี้ด้วยครับ และขอแสดงความยินดีกับคุณวาสุเทพที่ได้เป็นผู้ดูแลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี ขอนุโมทนาสาธุ


    [​IMG]

    ประมูลดวงแก้วพุทธพรหมมุนี เริ่มต้นประมูลที่ ๑๖,๙๙๙ บาท
     
  12. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์ ตอน ๑ การผูกเวรระหว่างนาคและครุฑ


    ย้อนหลังประมาณ ๑๘๕,๐๐๐ ปี ก่อนสมัยพุทธกาลของสมเด็จพระพุทธสุมังคลพุทธเจ้า มีเมืองหนึ่งนามว่า “มหัทธศิฐีนคร” ปกครองโดยพระเจ้าอนันตราช (ท่าน widya)มีพระมเหสีพระนามว่า พระนางปวาราณี (ท่านศศิมานรินทร์) มีพระโอรส ๓ พระองค์คือ เจ้าชายพลสิทธิ์(ท่านมุจลินทร์) เจ้าชายดิเรกฤทธิ์(คุณ Prapaanpong) และเจ้าชายมหัทธโชติ(คุณวาสุเทพ) ได้เติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว แต่ยังไม่ได้อภิเษกสมรส

    ในเมืองนี้มีพราหมณ์มหาศาลตระกูลใหญ่ ผู้เป็นบิดานามว่า “มหาศนชาตะพราหมณ์” มีภรรยานามว่า “มหาศินีพราหมณี” ทั้งสองประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลธรรม ทุกวันธรรมสวนะได้ถืออุโบสถศีล เป็นประจำ ทำให้ทั้งสองมีบุญที่เปี่ยมด้วยบุญญาธิการถึง ๗ คน นามว่า “สุทธิชาตะ-ชีวญาณชาตะ-อัครญาณ-สุทธิธรรม-ญาณชาตะ-มังคลชาตะ และวรมังคลชาตะ”

    ภายหลังบุตรของพราหมณ์ทั้ง ๗ นั้นได้ออกบวชเป็นพระดาบสทั้ง ๗ คน มหาศินีพราหมณีได้พบกับหญิงสาวผู้มีบุญนามว่า “มัทธานา” นางมัทธานานั้นได้สูญเสียมารดาที่ตาบอดในกาลต่อมา หลังจากจัดการเรื่องศพของมารดาเรียบร้อยแล้ว มหาศินีพราหมณีรับนามมาเป็นบุตรบุญธรรม นางได้ตั้งโรงทาน ๔ แห่งในเมืองนั้น และได้ดูแลพราหมณ์ทั้งสอง ดุจบิดามารดาของตน ใช้ชีวิตสุขสงบเรื่อยมา

    พระดาบสทั้ง ๗ จนสำเร็จฌานสมาบัติ ๘ ในระหว่างนั้นพระดาบสทั้ง ๗ ได้พบกับเหล่าคนธรรพ์ ยักษ์ นาคและครุฑ ได้พบกับธิดานาคินทร์นามว่า สัตตรินทรมาณวิกา (น้องขาล) ซึ่งนางได้รับการช่วยเหลือจากพระนางศิรวรตยักษิณี ให้รอดพ้นจากการทำร้ายของพญาสีหวิมานครุฑา
    ภายหลังนางศิรวรตยักษิณีได้จุติไปเกิดบนสวรรค์ชั้น ๕ จากการดื่มน้ำผสมพิษนาคร้ายแรง ต่อมาพญาสุจิตตยักษ์ ผู้เป็นพระสวามีทราบข่าวได้ตรอมใจได้จุติไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ท้าวมหาปทุมมัตรนาคราช พระบิดาของสัตตรินทรมาณวิกา มีหน้าที่ดูแลกายสังขารของพระดาบส-พระดาบสินี ๖ ตน ซึ่งจะได้เข้าสมาบัติ ๓๑ กัป และกำลังจะออกจากสมาบัติ ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ เพื่ออธิษฐานจักรแก้ว ท้าวมหาปทุมมัตรนาคราช มีพระโอรส-ธิดา ๗ ตนคือ

    -พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช (ท่านอัคคีตาปะโพธิสัตว์) –พระโอรสองค์โต

    -พญาวสุธนน์นาคราช (คุณ sun2555)

    -สิรินทรมาณวิกา (คุณเพชร 2545) –พระธิดาองค์ที่ ๓

    -มิตตวาทนาคราช (เข้าพระนิพพานแล้ว) –พระโอรสองค์ที่ ๔(พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธปทุมมพุทธเจ้า)

    -โมทยวาทนาคราช(เข้าพระนิพพานแล้ว) –พระโอรสองค์ที่ ๕ (พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธปทุมมพุทธเจ้า)

    -ศีรวัตรนาคราช (คุณ am12) –พระโอรสองค์ที่ ๖ ปกติเจ้าชายศีรวัตรนาคราชนั้น ถือพรตบำเพ็ญตะบะ มีหน้าที่คอยเฝ้าปากถ้ำ ในระหว่างที่พระดาบส-พระดาบสินีทั้ง ๖ เข้าสมาบัติ

    -สัตตรินทรมาณวิกา (น้องขาล)


    ฝ่ายพระดาบสทั้ง ๗ เกิดความศรัทธาในปฏิปทาของพระดาบส-พระดาบสินีทั้ง ๖ จึงเข้าเข้าสมาบัติ เพื่ออธิษฐานดวงแก้วเป็นที่ระลึกในการบูชาความดีของพระดาบส-พระดาบสินี

    ระหว่างนั้นมีพญานกหงส์หยก (คุณ mooom) เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระสุทธิธรรมและพระมโหสถนะยะกะดาบส จึงได้สั่งบริวารให้บินไปหาผลไม้ที่มีรสหวานและอ่อนนุ่มเหมาะกับที่จะขบฉันหลังออกจากสมาบัติ ทำให้พญาเวสปริสสะยักษ์เกิดความศรัทธาสั่งให้สัตตบุษเสนายักษ์ เป็นหัวหน้าดูแลความปลอดภัยของเหล่านกหงส์หยกทั้งหลาย นำผลไม้มาถวายแด่พระดาบสทั้ง ๗ ได้ทันเวลา
     
  13. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์ ตอน ๒

    เมื่อถึงวันออกสมาบัติ พระดาบสทั้ง ๗ ได้อธิษฐานดวงแก้วมณี ๗ ดวงดังนี้

    ๑.ดวงแก้วนพฤทธิ์วรธรรพ์ โดยพระสุทธิชาตะ(คุณ KoKowalk เจ้าของ -เพิ่งขึ้นก่อนมาฆบูชา) ,
    ๒.อภิธรรมสิริโชติ -พระชีวญาณชาตะ (ท่าน widya เจ้าของ)
    ๓. โชติกมัยรัตนะ โดยพระอัครญาณชาตะ( คุณ pizza4G เจ้าของ เพิ่งขึ้นมาพร้อมกับแก้วนพฤทธิ์วรธรรพ์)
    ๔. อัครมงคลธรรม โดยพระญาณชาตะ(คุณวาสุเทพ เจ้าของ)
    ๕. สุทธิธรรมฤทธิ์ โดยพระสุทธิธรรม (คุณเพชร2545 เจ้าของ )
    ๖. วสิทธิ์ธรรมโชติ โดย พระมโหสถนะยะกะ (คุณ mooom เจ้าของ)-
    ๗. โรจนมณีฤทธิ์ โดยพระมังคลชาตะ (คุณ Phuya เจ้าของ )


    ในวันที่ดวงแก้วทั้ง ๗ ปรารฎ ก็ปรากฏดวงแก้วขึ้นมา อีก ๑ ดวง นามว่า “ดวงแก้วสหัสสนัยไตรภพ”

    หลังจากที่พระดาบสทั้ง ๗ ออกจากสมาบัติ และได้อธิษฐานดวงแก้วทั้ง ๗ ดวงแล้ว เหล่าเสนาบดีนาคราชทั้งหลาย ได้อาราธนาพระดาบสทั้ง ๗ ขึ้นยานแก้ว(ราชรถแก้ว) เคลื่อนไปยังถ้ำก่อนปากทางเข้านาคพิภพ พร้อมกับเชิญบรรดาศิษย์ของพระดาบสทั้ง ๗ เป็นยักษ์ คนธรรพ์ นาคและกินนร กินรี (ยกเว้นพวกครุฑ) ให้ไปรอรับการออกจากสมาบัติของพระดาบส-พระดาบสินีทั้ง ๖ ตน โดยพระดาบสได้มอบดวงแก้วทั้ง ๗ ให้แก่ผู้ดูแลรักษาดังนี้

    ๑.ดวงแก้วนพฤทธิ์วรธรรพ์ อธิษฐานโดยพระสุทธิชาตะดาบส ได้มอบแก่ท้าววรธรรพ์เทพบุตร อันเป็นหัวหน้าคนธรรพ์เวลานั้น ,
    ๒. ดวงแก้วอภิธรรมสิริโชติ อธิษฐานโดยพระชีวญาณชาตะดาบส ได้มอบให้พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช เป็นผู้ดูแล
    ๓. ดวงแก้วโชติกมัยรัตนะ อธิษฐานโดยพระอัครญาณชาตะดาบส ได้มอบให้พญาวสุธนน์นาคราช พระอนุชาของพญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช
    ๔. ดวงแก้วอัครมงคลธรรม อธิษฐานโดยพระญาณชาตดาบส ได้มอบแด่พญาวารนารทกินนร ผู้นำของเหล่ากินนร
    ๕. ดวงแก้วสุทธิธรรมฤทธิ์ อธิษฐานโดยพระสุทธิธรรม ได้มอบให้พญาเวสภูปริสสยักษ์
    ๖. ดวงแก้วสิทธิ์ธรรมโชติ อธิษฐานโดย พระมโหสถนะยะกะดาบส ได้มอบไว้กับมหาปวารณาเสนายักษ์ ตำแหน่งรองจากพญาเวสภูปริสสยักษ์
    ๗. ดวงแก้วโรจนมณีฤทธิ์ อธิษฐานโดยพระมังคลชาตะดาบส ได้มอบไว้แก่พญาวสุธิสสากินนร ซึ่งเป็นน้องชายของพญาวารนารทกินนร


    ในขณะที่ขบวนกำลังเคลื่อนย้ายดวงแก้วในยังนาคพิภพนั้น แสงของดวงแก้วมณีได้กระทบสายตาของพญาสีหวิมานครุฑา ทำให้เกิดความอยากได้ดวงแก้วมณีไปครอบครอง จึงได้ทำร้ายพญาวสุธนน์นาคราช(คุณ sun2555) พระโอรสองค์ที่ ๒ ของท้าวมหาปทุมมัตรนาคราชบาดเจ็บหนัก

    แต่ได้ยาที่ปรุงโดยพระมโหสถนะยะกะดาบสช่วยรักษากายสังขารได้ ๓ ราตรี จากนั้นพญาวสุธนน์นาคราชจุติด้วยสิ้นอายุขัย

    ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ก่อนที่พญาวสุธนน์นาคราชจะจุตินั้น เกิดเหตุการณ์ขึ้นหลายประการตามลำดับ คือ

    ๑.โอภสสุวัณณเทวบุตร(หรือพญาสุจิตตยักษ์ในอดีต )เคลื่อนออกจากสมาบัติไปจุติยังพระครรภ์ของพระวาสินีเทวี พระอัครมเหสีของพระเจ้าพันธุรัตน์ เมืองโกลิยนคร

    ๒.สิริรัตนเทพธิดา หรืออดีตนางยักขินีรู้สึกตัวว่า ตนเองจุติ จึงได้ไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช เพื่อบอกเรื่องการออกสมาบัติของพระดาบส-พระดาบสินีทั้ง ๖ เพื่ออธิษฐานจักรแก้ว


    ๓. ท้าวสักกเทวราชสั่งให้นาฏตยเทพธิดา นำอาหารทิพย์ไปถวายแก่พระดาบส-พระดาบสินีทั้ง ๖ พร้อมเคลื่อนขบวนเทพบุตรเทพธิดาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปยังนาคพิภพ
    ๔. เมื่อท้าวสักกเทวราชพบพระดาบสทั้ง ๗ จึงทราบว่า ล้วนแต่เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร จึงเกิดความปิติสั่งให้เทพธิดา ๗ ตน นำผ้าทิพย์มาเช็ดเท้าของพระดาบสทั้ง ๗ และเตรียมผ้าทิพย์อีก ๖ ผืนเพื่อรอการออกจากสมาบัติของพระดาบส-พระดาบสินีทั้ง ๖ ด้วย


    ๕. เกิดดวงแก้วมณีขึ้นมาจากการอธิษฐานของพระดาบสทั้ง ๗ นามว่า “วัชรพุทธางกูร” อันเกิดจาก พสุวัฒนเทวบุตร(คุณ suwat.su) เป็นเทพบุตรจากสวรรค์ชั้น ๖ จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงอธิษฐานสละผ้าทิพย์ของตนนำไปเช้าเท้าของพระดาบสทั้ง ๗ จากนั้นได้นำยกขึ้นเหนือเศียรของตน ทำทักษิณาวัตร ๓ รอบ เพื่อเป็นการบูชาคุณของพระดาบสทั้ง ๗ ภายหลังได้ถวายดวงแก้ว“วัชรพุทธางกูร” แก่ท้าวสักกเทวราช ซึ่งเป็นนายของตน

    ๖.ท้าววรธรรพ์เทพบุตร (คุณ KoKowalk)จากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชได้เห็นการกระทำของพสุวัฒนเทวบุตร จึงเกิดความเลื่อมใสที่ถวายของมีค่าแก่ท้าวสักกเทวราช จึงได้ถวายดวงแก้ว “นพฤทธิ์วรธรรพ์” แก่ท้าวธตรฐผู้เป็นนายเช่นกัน

    ทั้งสองเหตุการณ์เหล่าเทพบุตร-เทพธิดา นักสิทธิ์ คนธรรพ์ ยักษ์ นาค และกินนรต่างโมทนาสาธุการในการเสียสละของเทพบุตรทั้งสอง
    ๗. เป็นวันที่พระดาบส-พระดาบสินีทั้ง ๖ ออกจากสมาบัติอธิษฐานจักรแก้วดังนี้ สำหรับจักรทั้ง ๖ มีนามต่อไปนี้

    ๑. มหาจักรไวยวจนะ อธิษฐานโดยพระไวยวจนะดาบส(คุณ NamfonBaanfaเป็นเจ้าของ)
    ๒. จักรภัทรมาตาวสุทธิ์ อธิษฐานโดยพระสุทธิมาตาดาบสินี(คุณ NamfonBaanfaเป็นเจ้าของ)
    ๓. จักรวสไวยยนะ อธิษฐานโดยพระวสไวยยนะฤาษี(คุณ sun2555 เจ้าของ)
    ๔. จักรวัธนมาตาฤทธิ์ อธิษฐานโดยพระวัธนวิสสมาตาดาบสินี (น้องขาล เป็นเจ้าของ)
    ๕. จักรนวสิทธิ์มหาเวทย์ อธิษฐานโดยพระนวสิทธิ์ดาบส(คุณวาสุเทพ เป็นเจ้าของ)
    ๖. จักรนวเกศอภิมงคล อธิษฐานโดยพระนวเกศดาบส ( คุณ sereenon เป็นเจ้าของ)


    จากนั้นท้าวสักกเทวราช และเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลาย ต่างพากันกลับยังวิมานของตน ส่วนพระดาบสทั้ง ๗ ได้พำนักอยู่นาคพิภพ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับพระดาบสทั้ง ๔ เป็นเวลา ๓ เดือน

    ฝ่ายสัตตนรินทร์มาณวิการู้สึกผิดที่พระเชษฐาคือ พญาวสุธนน์นาคราชจุติ และดวงแก้วประจำเมืองของตนถุกฝ่ายครุฑแย่งไป ชิงเกิดความปรารถนาจะแย่งชิงดวงแก้วมณีกลับคืน จึงรักษาศีลและอธิษฐานให้สิริรัตนเทพธิดามาช่วยตน ฝ่ายสิริรัตนเทพธิดานั้นตัดสินใจช่วยเหลือสัตตนรินทร์มาณวิกาไม่ได้ใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดี ได้ไปชวนพญาเวสภูปริสสยักษ์ให้เข้าช่วยเหลือ แต่ได้รับการปฏิเสธ


    นางจึงสอนวิชาแปลงให้แก่สัตตนรินทร์มาณวิกา และบริวาร รวมทั้งนางก็ได้แปลงกายเป็นนางครุฑา ช่วยเหลือในการแย่งชิงดวงแก้ว นำไปยังเมืองบาดาลจนสำเร็จ แต่ครั้งนี้กลับทำให้สัตตนรินทร์มาณวิกา และบริวารถูกฝ่ายครุฑทำร้าย และกินเป็นอาหาร

    หลังจากขึ้นมาจากเมืองบาดาล นางใช้ฤทธิ์ประหัตประหารฝ่ายครุฑจนย่อยยับ รวมทั้งพญาสีหวิมานครุฑาด้วย สร้างความเจ็บแค้นแก่ฝ่ายครุฑที่ผูกพยาบาทจองเวรกันไม่จบสิ้น ผลจากการฝืนกฎแห่งกรรม ทำให้สิริรัตนเทพธิดาถูกลดขั้น เคลื่อนจากสวรรค์ชั้นนิมมานรตีลงมาอยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราช มีหน้าที่เฝ้าโบราณสถาน ทำให้นางรู้สึกเสียใจในความใจร้อนของตน นางจึงได้แต่เข้าสมาบัติไม่ออกมาทำหน้าที่ โดยโอนทิพยสมบัติของตนส่วนหนึ่งให้แก่วรธรรมเทพบุตร (ชั้นจาตุมหาราช ในความดูแลของท้าวธตรฐ)ซึ่งเคยเป็นใหญ่ในสถานที่นี้ ให้เป็นใหญ่ต่อไป

    กล่าวถึงพระดาบส-พระดาบสินีทั้ง ๑๑ รู้สึกสลดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระอัครญาณชาตะดาบสนั้น รู้สึกเศร้าใจที่ดวงแก้วที่ท่านอธิษฐานเป็นเหตุให้มีการแย่งชิงกัน จึงได้ตัดสินใจอีกครั้ง โดยเข้าสมาบัตินานเป็นเวลา ๑๐๐๐๐ ปี พระมังคลชาตะดาบส จึงได้ขอเข้าสมาบัติพร้อมกัน


    พระวสไวยยนดาบส พระนวสิทธิ์ดาบส และพระนวเกศดาบส เห็นปฏิปทาของพระอัครญาณชาตะดาบส จึงขอเข้าสมาบัติร่วมด้วย รวมเข้าสมาบัติทั้งสิ้น ๕ ตน โดยพระนวเกศดาบสนั้น เห็นความศรัทธาของพญาสีหวิมานครุฑา จึงได้เปล่งวาจาอธิษฐานว่า
    “การเข้าสมาบัติครั้งนี้ เราปรารถนาจะสงเคราะห์แก่เหล่าพญาครุฑทั้งหลาย มิให้มีความแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ เพื่อให้ฝ่ายครุฑมีดวงแก้วมณีได้เป็นที่สักการบูชาในอนาคตกาล”

    พระดาบส-พระดาบสินีองค์อื่น ๆ ได้โมทนาสาธุการ ท้าวมหาปทุมมัตรนาคราช ได้สั่งการว่า ..

    “นับแต่นี้ห้ามมีพญานาคตนใดคิดล้างแค้นแก่พญาครุฑ ขอให้ระงับการจองเวรกัน หากใครฝ่าฝืนจะโดนลงทัณฑ์ขั้นหนัก”


    จากนั้นจึงได้สั่งการให้เหล่าเสนานาคพลัดกันคุ้มกัน พระดาบสทั้ง ๕ เพื่อเข้าสมาบัติต่อไป
     
  14. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์ ตอน ๓ พระนางปวาราณีบวงสรวง

    กล่าวถึงสิริรัตนเทพธิดาถึงเวลาออกจากสมาบัติ ถึงแม้ว่าจะมีการลดชั้นลงมาอยู่ในโลกมนุษย์ แต่นางยังคงมีฤทธิ์เหมือนเดิม เป็นเทพธิดาอยู่ในความดูแลของท่านท้าวเวสสุวรรณ หลังออกจากสมาบัติแล้ว นางได้ขออนุญาตจากท่านท้าวเวสสุวรรณมอบหมายให้วรธรรมเทพบุตร(คุณ Half wave) เป็นหัวหน้าโดยโอนทิพยสมบัติให้เพิ่ม

    ส่วนนางขอทำหน้าที่ในการเข้าสมาบัติ เพื่อมอบความสำเร็จแก่ผู้ที่มาขอพรในสถานที่นี้ โดยนางจะเข้าสมาบัติครั้งละ ๑๕ วัน จะออกสมาบัติในวันขึ้นและแรม ๑๕ ค่ำเท่านั้น เพื่อไปรายงานตัวต่อท่านท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งนางรู้สึกพอใจ เพราะจะได้พบกับพญาเวสภูปริสสยักษ์ และบริวารเก่า ได้ร่วมสนทนา


    พญาเวสภูปริสสยักษ์นั้นได้เอ่ยว่า “หากมีสิ่งใดที่ตนสามารถจะช่วยได้ โดยไม่ฝืนกฎของกรรม ฝ่ายตนและบริวารยินดีจะกระทำด้วยความเต็มใจ”

    สิริรัตนเทพธิดานั้นรู้สึกซึ้งน้ำใจในบริวารเก่าของตน ได้แต่บอกว่า การลงมาโลกมนุษย์นี้ เป็นการถูกลงโทษ เหตุเพราะความใจร้อนของนาง และยุ่งเรื่องคนอื่น ทำให้ต้องเดือดร้อน นางจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะนางอีก

    จากนั้นนางได้กลับมายังโบราณสถาน สถานที่วิมานของนางแปะอยู่บริเวณนั้น ได้ทำหน้าที่ให้พรแก่ผู้ที่มาบวงสรวง ทำให้สถานที่นี้มีชื่อเสียงในความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดขอพรมักจะได้ผล


    กล่าวถึงพระนางปวาราณี ซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้าอนันตราช(ท่าน widya) เวลาผ่านไปหลายปี พระโอรสทั้ง ๓ ไม่มีวี่แววว่าจะมีพระชายา นางปรารถนาจะให้พระโอรสมีผู้สืบสกุลต่อไป

    นางจึงปรึกษานางกำนัลนามว่า..“นางมัธรา” นางมัธรานั้น เป็นคนที่ชอบเซ่นทรวงบูชาเทวดา สถานที่ใดศักดิ์สิทธิ์นางจะทราบเสมอ เมื่อพระมเหสีมาปรึกษา ทำให้นางรู้สึกปิติยินดียิ่ง นางจึงแนะนำให้พระมเหสีไปบวงสรวงโบราณสถานที่สิริรัตนเทพธิดาอาศัย

    ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ซึ่งเป็นวันที่ชาวเมืองทราบว่า ใครขออะไรในวันนี้จะมีผลสำเร็จทุกประการ โดยการบวงสรวงนั้น ใช้เพียงเครื่องหอม ดอกไม้ น้ำเปล่า และน้ำผึ้ง จะเป็นที่พอใจของเทพเจ้าที่ดูแล

    กาลนั้นเป็นเวลาที่สิริรัตนเทพธิดาออกจากสมาบัติ พระนางปวาราณีจึงได้นำของดังกล่าวไปบวงสรวง โดยขอพระแก่พระโอรสทั้ง ๓ ให้มีผลสำเร็จได้พบเนื้อคู่โดยเร็ว เมื่อสิ้นอธิษฐานการอธิษฐาน สิริรัตนเทพธิดาได้ตรวจดูบุพกรรมพบว่า..
    พระโอรสทั้ง ๓ มีกรรมร่วมกันในอดีต ในการร่วมกันทำศึก และทำให้ครอบครัวผู้อื่นแตกแยก จะต้องแก้กรรมนี้โดยต้องจากบ้านเมืองไปนับปี จึงจะมีโอกาสได้พบคู่แท้ นางจึงได้อธิษฐานให้พระโอรสทั้ง ๓ ปรารถนาที่จะออกไปศึกษาวิชานอกเมือง
     
  15. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์ ตอน ๔ แสวงหาครูอาจารย์

    กล่าวถึงพระโอรสทั้ง ๓ คือ เจ้าชายพลสิทธิ์(ท่านมุจลินทร์) เจ้าชายดิเรกฤทธิ์(คุณ Prapaanpong) และเจ้าชายมหัทธโชติ(คุณวาสุเทพ) โดยมีพระชนมายุคือ ๑๙ ชันษา ๑๗ ชันษา และ ๑๖ชันษา ตามลำดับ (เทียบอายุมนุษย์ในปัจจุบัน)

    พระโอรสทั้ง ๓ พระองค์ไม่เคยรู้สึกพอพระทัยในหญิงใดเลย เคยมีกษัตริย์ต่างเมือง ถวายพระธิดาให้หลายครั้ง แต่ทุกพระองค์ดำริที่ไม่อยากออกเรือน จึงได้แต่บ่ายเบี่ยงเป็นเหตุให้พระมารดารู้สึกเป็นทุกข์ จึงได้ไปบวงสรวงยังสถานที่สิริรัตนเทพธิดาอาศัยอยู่

    ด้วยอำนาจฤทธิ์ของเทพธิดา หลังจากได้ไปบวงสรวงแล้ว พระโอรสทั้ง ๓ รู้สึกร้อนพระทัย ปรารถนาที่จะเสด็จออกนอกวัง เพื่อแสวงหาประสบการณ์แก่ตนเอง


    (ในยุคนี้ ผู้ที่เป็นพระโอรสของกษัตริย์ ส่วนใหญ่จะไม่เสด็จออกนอกวัง ไม่มีภาระหน้าที่อะไร เนื่องจากขอบเขตของวังนั้นกว้างขวางมาก มีทุกอย่างครบ พร้อมปราสาท ๓ ฤดู จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำกิจการใด เพียงศึกษาวิชาการทหาร การปกครองที่จะดูแลเมืองต่อจากพระบิดาเท่านั้น)

    พระเจ้าอนันตราชนั้น เมื่อพระโอรสประสงค์เช่นนั้น ก็ทรงอนุญาต โดยมอบม้า และคนสนิทให้ไปด้วยองค์ละคน เมื่อออกจากเมืองไปทางทิศตะวันออก ถึงทางแยก ๓ ทาง เจ้าชายทั้ง ๓ คิดว่า หากไปด้วยกันอาจจะไม่ได้อะไรเลย จึงนัดกันว่า ๑ ปีข้างหน้า จะมาพบกันในสถานที่นี้ จากนั้นจึงต่างแยกย้ายพร้อมกับคนสนิทของตน เจ้าชายพลสิทธิ์ได้ออกไปทางตรง ซึ่งเป็นป่าใหญ่ ส่วนเจ้าชายดิเรกฤทธิ์ออกไปทางซ้าย ซึ่งมีภูเขาใหญ่อยู่ด้านหน้า

    ส่วนเจ้าชายมหัทธโชติไปทางขวา เป็นทางเลียบแม่น้ำแห่งหนึ่ง เป็นเส้นทางข้ามฝั่งไปอีกเมืองหนึ่ง ทั้งสามต่างแยกย้ายกันไป โดยมุ่งหวังว่าจะพบครูบาอาจารย์ให้ประสิทธิประสาทวิชาต่อไป
     
  16. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์ ตอน ๕ เจ้าชายพลสิทธิ์พบเนื้อคู่

    กล่าวถึง“มัทธานา” บุตรบุญธรรมของมหาศนชาตะพราหมณ์ และมหาศินีพราหมณี เวลาผ่านไป ๑ ปีหลังจากมารดาเสียชีวิตไม่นาน นางได้สร้างเจดีย์ บรรจุอัฐิของบิดามารดาของนางไว้ เพื่อกราบไหว้บูชา นางจึงของอนุญาตบิดามารดาบุญธรรมมายังบ้านเดิมของนาง อยู่ในป่าใหญ่

    ปัจจุบันเริ่มมีผู้มาอยู่เพิ่มเติมเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ เพียงกว่า ๑๐ ครัวเรือน เมื่อครบรอบเสียชีวิตมารดา นางจึงเดินทางมาสถานที่นี้ ได้นำข้าวของมาแจกชาวบ้านยากจน น้อมกุศลเหล่านั้นอุทิศให้แก่บิดามารดา ผู้ล่วงลับไปแล้ว


    ฝ่ายเจ้าชายพลสิทธิ์ และอัฐวะทหารคนสนิท หลังจากเดินทางออกจากราชวัง เป็นเวลากว่า ๑๐ วัน ได้เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อเจ้าชายพลสิทธิ์ได้เห็นภาพนางมัทธานา เกิดความรักแรกพบ จึงได้เข้าไปขออาหาร และน้ำดื่ม โดยบอกเพียงว่า ตนเป็นนักเดินทางแสวงหาครูอาจารย์ อยากจะเรียนรู้วิชา เพื่อป้องกันตัว โดยแนะนำว่า อัฐวะเป็นเพื่อนสนิท และสั่งห้ามไม่ให้อัฐวะบอกความจริงว่า ตนเป็นเจ้าชาย

    นางมัทธานานั้นได้ดูลักษณะของเจ้าชายพลสิทธิ์คิดว่า ชายผู้นี้น่าจะเป็นผู้มีสกุลดี จึงกล่าวว่า..

    “อันบิดาบุญธรรมของดิฉัน มีวิชาความรู้ดี บุตรชายของท่านทั้ง ๗ ได้ออกบวชเป็นพระดาบส โดยท่านเป็นผู้สอนวิชาต่าง ๆ หากท่านปรารถนาจะเรียนวิชา บิดาบุญธรรมของดิฉันอาจจะช่วยได้”


    จากนั้นจึงได้พาบุรุษทั้ง ๒ ไปยังเรือนของพราหมณ์ และพราหมณี ผู้เป็นบิดามารดาบุญธรรม มหาศนชาตะพราหมณ์นั้น เมื่อได้พบเจ้าชายพลสิทธิ์ดูลักษณะ เป็นผู้มีบุญญาธิการ จึงได้รับเป็นศิษย์สอนวิชาต่าง ๆ

    ระหว่างที่ฝึกวิชาอยู่นั้น ได้มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับมัทธานา บุตรบุญธรรมของอาจารย์ ความสนิทสนมนั้น ก่อให้เกิดความรักระหว่างทั้งสองขึ้น โดยอยู่ในสายตาของนางพราหมณี คิดว่า..

    พลสิทธิ์มานพนี้ แม้จะเป็นผู้มีลักษณะดี แต่ไม่ทราบหัวนอนปลายเท้า ย่อมไม่เป็นผลดี นางจึงพยายามมิให้ทั้งสองได้มีโอกาสอยู่กันสองต่อสอง


    เจ้าชายพลสิทธิ์ใช้เวลาศึกษาวิชาต่าง ๆ ถึง ๗ เดือน เมื่อสำเร็จวิชาแล้วจึงได้บอกความจริงแก่มหาศนชาตะพราหมณ์ว่า ตนเป็นเจ้าชายของเมืองนี้ ตนจะกลับไปนำทรัพย์มา เพื่อเป็นค่าบูชาครู

    มหาศนชาตะพราหมณ์ไม่ได้ปรารถนาทรัพย์ แต่ขัดความตั้งใจของเจ้าชายมิได้ เจ้าชายได้ลากลับเมือง ก่อนกลับเมือง เจ้าชายได้มีกราบขอขมามหาศินีพราหมณีที่ปิดบังความจริงไว้ เพียงเพื่อต้องการทดสอบใจของนางมัทธานาว่า

    หากตนเป็นผู้ไม่มีสมบัติอะไร นางจะยังมีความรักในตนหรือไม่ กาลเวลาก็พิสูจน์ได้ว่า นางไม่ได้รักด้วยทรัพย์สมบัติ จากนั้นก็กราบลาพราหมณ์ทั้งสองกลับยังพระนคร
     
  17. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์ ตอน ๖ เจ้าชายพลสิทธิ์หมั้นหมาย

    เจ้าชายพลสิทธิ์ใช้เวลาเดินทาง ๑๕ วันกลับถึงพระนคร(มหัทธศิฐีนคร) ได้แจ้งข่าวว่า ตนได้เรียนวิชาต่าง ๆ จนสำเร็จ และได้พบกับนางมัทธานา ปรารถนาจะหมั้นหมายนางไว้ และจะทำการอภิเษกกับนาง หลังจากที่พระอนุชากลับมา สร้างความปิติใจแก่พระเจ้าอนันตราช และพระนางปวาราณี

    หลังจากเจ้าชายหายเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว จึงให้เสด็จไปยังเรือนมหาศนชาตะพราหมณ์ พร้อมพราหมณ์ ๘ คน โดยจัดทรัพย์สมบัติจำนวนมาก เพื่อเครื่องบูชาครู และสู่ขอหมั้นหมายกับนางมัทธานาในกาลต่อมา โดยให้หมั้นหมายจนกว่าพระโอรสทั้ง ๒ จะเสด็จกลับมา


    ฝ่ายพระนางปวาราณีคิดว่า ความปรารถนาของนางสำเร็จแล้ว นางจึงได้นำเครื่องเซ่นทรวง เป็นผลไม้ ๙ อย่าง ดอกไม้ ๙ ชนิด เครื่องหอม ๙ ชนิด และน้ำผึ้ง ๙ กระบอก เพื่อเซ่นสรวงบูชาเทวดา และเทพธิดายังโบราณสถาน อันมีวิมานของให้วรธรรมเทพบุตร และวิมานของสิริรัตนเทพธิดาแปะอยู่

    จากนั้นพระนางได้ขออนุญาตพระเจ้าอนันตราช บูรณะโบราณสถานแห่งนี้ให้มีความร่มรื่น สวยงามโดยให้บุรุษนำต้นดอกไม้หอมมาปลูกโดย แพ้วถางทางให้ผู้คนได้มาสักการะเทวสถานแห่งนี้ได้ง่าย จัดให้บุรุษดูแลสถานที่ให้สะอาด น่าเข้ามากราบไหว้บูชา ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลมาบูชามากขึ้น


    ทำให้วรธรรมเทพบุตร( คุณ Half wave) จนเทวดาเจ้าหน้าที่เขตเสนอท้าวสักกเทวราชได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในกาลต่อมา ท้าวสักกเทวราชได้มอบนางฟ้าลงมาดูแล ๑๐๘ นาง

    วรธรรมเทพบุตรเห็นคุณของสิริรัตนเทพธิดาที่คอยช่วยเหลือตน โดยใช้ฤทธิ์บันดาลต่าง ๆ แก่ชนทั้งหลาย สำเร็จในความปรารถนา จึงขอเปลี่ยนจากการประทานนางฟ้า มาเป็นส่งให้สิริรัตนเทพธิดาเคลื่อนสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์


    ท้าวสักกเทวราชได้เรียกสิริรัตนเทพธิดามาเข้าเฝ้า โดยให้นางกลับมายังวิมานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไม่ต้องไปประจำโบราณสถาน โดยพระองค์จะมอบหมายให้เทพบุตรองค์อื่น ๆ ไปช่วยวรธรรมเทพบุตรแทน

    สิริรัตนเทพธิดานั้นรู้สึกปิติใจ แต่พอระลึกได้ว่า เมื่อครั้งได้ลงไปนาคพิภพ เคยปวารณาจะช่วยเหลือมหาศนชาตะพราหมณ์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ จึงขออนุญาตท้าวสักกเทวราช ไปยังเรือนมหาศนชาตะพราหมณ์ เพื่อคอยช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ
    ท้าวสักกเทวราชได้ตรวจดูอายุขัยของสิริรัตนเทพธิดา ทราบว่า อีกไม่นานนักสิริรัตนเทพธิดาจะต้องจุติ หากเป็นสิ่งที่นางปรารถนาก่อนจะจุติ จึงอนุญาต และกล่าวให้พรว่า..

    “สิริรัตนะ วันใดที่แสงสว่างของเธอมัวหมอง ทิพยสมบัติเศร้าหมอง ขอเธอจงกลับมา หรือเข้าสมาบัติทันที กาลนั้น คือเธอจะหมดอายุขัย ต้องไปจุติเป็นมนุษย์ ”


    สิริรัตนะเทพธิดาจึงรับคำ จากนั้นได้เคลื่อนวิมานไปยังเรือนมหาศนชาตะพราหมณ์ทันที นางได้ช่วยเหลือมหาศนชาตะพราหมณ์ และนางพราหมณีโดยการดลใจให้ผู้ที่อยู่ในเรือนมีสัมมาทิฐิ ผู้ใดเป็นมิจฉาทิฐิให้ออกจากเรือนไป รวมทั้งติดตามผู้ที่เป็นลูกหนี้ของพราหมณ์ทั้งสองให้มาใช้หนี้

    มหาศนชาตะพราหมณ์ทราบว่า มีเทพยดาคอยให้คุณแก่ตน จึงสั่งให้นางมัทธานาตั้งเครื่องบวงสรวงแก่เทพยดาที่ช่วยเหลือตน แต่ไม่ทราบว่าจะต้องบวงสรวงด้วยสิ่งใด คืนนั้นเองสิริรัตนเทพธิดาปรากฏกายขึ้น กล่าวแก่พราหมณ์ว่า ..


    “ข้าฯ แต่มหาศนชาตะพราหมณ์ ข้าพเจ้าอยู่อีกไม่นานจะต้องจุติแล้ว ข้าฯมิปรารถนาจะได้เครื่องบวงสรวงจากท่าน เพียงแต่เห็นคุณของพระดาบสทั้ง ๗ อดีตบุตรชายของท่าน เคยเกื้อกูลแก่ข้าฯ มาก่อน
    ขณะนี้พระดาบสทั้ง ๗ อยู่ที่เมืองสารณนาตะนคร อันเป็นเมืองที่เชื่อมต่อกับภพบาดาล ขอท่านส่งคนเชิญพระดาบสทั้ง ๗ เพื่อสงเคราะห์ชาวเมืองเถิด”


    มหาศนชาตะพราหมณ์รู้สึกปิติใจ จนไม่สามารถข่มใจหลับตาได้ รุ่งเช้าจึงเรียกคนรับใช้ ๗ คนให้เดินทางไปยังเมืองสารณนาตะนคร เพื่อตามหาพระดาบสทั้ง ๗
     
  18. mooom

    mooom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +9,291
    ขอแสดงความยินดี และขออนุโมทนาบุญกับคุณวาสุเทพด้วยครับ
     
  19. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์ ตอน ๗ เจ้าชายดิเรกฤทธิ์พบสหายชาวบาดาล

    เจ้าชายดิเรกฤทธิ์(คุณ Prapaanpong) และณษิสะทหารคนสนิท หลังจากได้แยกทางจากพระโอรสทั้ง ๒ ได้เดินทางไปยังภูเขาสูง สถานที่นี้เป็นเมืองของพญาเวสภูปริสสยักษ์

    ภายหลังได้อาราธนาพระสุทธิชาตะดาบส และพระมโหสถนะยะกะดาบส มาพำนักใกล้บริเวณเมืองของตน โดยอาศัยอยู่ในถ้ำก่อนถึงเมืองยักษ์
    เจ้าชายได้พบพระดาบสทั้งสอง กำลังนั่งสมาธิจึงรู้สึกมีความศรัทธาเลื่อมใส จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของพระดาบสทั้งสอง

    กาลนั้นศีรวัตรนาคราช(คุณ am12) พระโอรสองค์ที่ ๖ ของท้าวมหาปทุมมัตรนาคราชได้ติดตามมา เพื่ออุปัฏฐากโดยศีรวัตรนาคราชได้บำเพ็ญพรต จนสำเร็จวิชาแปลงกายเป็นมนุษย์ใช้นามว่า “ศีรวัตร” สามารถทรงขันธ์ในกายมนุษย์ได้นานถึง ๑๕ วัน จากนั้นจะต้องอธิษฐานต่อใหม่


    เจ้าชายดิเรกฤทธิ์จึงเข้าใจว่า ศีรวัตรนาคราชเป็นมนุษย์ไม่ได้มีความสงสัยแต่อย่างใด ทั้งสองมีความสนิทสนมกันมาก จึงสาบานเป็นเพื่อนสนิท ศีรวัตรนาคราชจึงได้บอกว่า ตนคือพระโอรสของพญานาคราช เจ้าชายดิเรกฤทธิ์มิได้รังเกียจแต่อย่างใด

    เจ้าชายดิเรกฤทธิ์ใช้เวลาฝึกวิชาต่าง ๆ ถึง ๙ เดือน จึงสำเร็จวิชา ศีรวัตรนาคราชได้จึงได้ขออนุญาตพระดาบสทั้ง ๒ พาเจ้าชายดิเรกฤทธิ์ และณษิสะทหารคนสนิทลงไปยังนาคพิภพ ๓ วัน เพื่อเป็นประสบการณ์ จากนั้นจึงได้ใช้ฤทธิ์ส่งเจ้าชาย และคนสนิทกลับเมือง โดยใช้ทางผ่านในสระน้ำในอุทยานของเมือง
    เจ้าชายดิเรกฤทธิ์ จึงได้พาศีรวัตรนาคราช (ในร่างมนุษย์) เข้าเฝ้าพระเจ้าอนันตราช และพระนางปวาราณี แนะนำว่า เป็นพระสหายจากนาคพิภพ
    พระนางปวาราณี ได้เชิญเจ้าชายศีรวัตร และพระบิดาร่วมในงานอภิเษกของเจ้าชายพลสิทธิ์ในเดือนต่อไป จากนั้นศีรวัตรนาคราชจึงลากลับนาคพิภพต่อไป


    ___________________________________________


    ประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์

    ตอน ๘ พญาวสุธนน์นาคราช และสิริรัตนะเทพธิดาจุติ​


    กล่าวถึงเมืองโสฬสสนคร เช้าตรู่ของวันนั้นพระนางสุนทรีย์เทวี พระอัครมเหสีของพระเจ้าสีหบดินทร์ ผู้ครองนครแห่งนี้ ได้ประสูติพระโอรสองค์แรกให้นามว่า “สีหราชกุมาร” สร้างความปิติยินดีแก่พระราชา และไพร่ฟ้าประชาชน

    แท้จริงสีหราชกุมาร นี้ก็คือ พญาวสุธนน์นาคราช พระโอรสองค์รองของท้าวมหาปทุมมัตรนาคราชนั่นเอง และในวันประสูตินั้น ท้าวมหาปทุมมัตรนาคราชได้ให้พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช นำดวงแก้วมณีส่งทางสระน้ำในอุทยาน สร้างความปิติใจแก่พระเจ้าสีหบดินทร์ พระมเหสี และชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าพระโอรสนี้ เป็นผู้มีบุญญาธิการสูง ประสูติมาพร้อมกับดวงแก้วมณี จึงจัดให้มีมีงานนักขัตฤกษ์ เป็นเวลา ๑๕ วัน
    เมืองโสฬสนครนี้สัตตนรินทร์มาณวิกา ได้จุติเป็นธิดาของนายหัตถะ มีนามว่า “สิริโสภา” นางมีอายุได้ ๑๕ ปี มารดาของนางเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก นายหัตถะมีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ ได้เดินทางไปค้าขายหลายเมือง ตั้งใจว่า เสร็จงานนักขัตตฤกษ์จะเดินทางไปค้าขายยังเมืองมหัทธศิฐีนคร ในงานฉลองการอภิเษกของเจ้าชายพลสิทธิ์ต่อไป

    กล่าวถึงสิริรัตนะเทพธิดา หลังจากที่มาอาศัยอยู่ในเรือนของมหาศนชาตะพราหมณ์ หลังจากเจ้าชายสีหราชกุมารประสูติได้ ๗ วัน นางได้เห็นกายของตนเองเศร้าหมอง จึงได้ไปลามหาศนชาตะพราหมณ์ เพื่อเคลื่อนภพ (เนื่องจากในเรือนนั้นมหาศนชาตะพราหมณ์ติดต่อนางได้เพียงคนเดียว)
    จากนั้นได้ขึ้นไปกราบขอพรท้าวสักกเทวราช ระลึกได้ว่า ตนเคยเป็นคู่ของพญาสุจิตตยักษ์ จึงขอพรจากท้าวสักกเทวราชว่า..


    “ขอให้หม่อมฉันได้จุติในตระกูลเศรษฐีผู้ใจบุญ ได้สั่งสมบุญบารมีเพิ่ม

    ขอให้หม่อมฉันเป็นผู้มีครูอาจารย์ดี ครูอาจารย์ที่เลิศ

    และขอให้ได้ครองคู่กับพญาสุจิตตยักษ์ พระสวามีในอดีตด้วยเถิด”


    เมื่อท้าวสักกเทวราชประทานพรแล้ว นางได้จุติในครรภ์ของนางนิลมณี ภรรยาของอนุเศรษฐีนามว่า “สัทธาเศรษฐี” ในเมืองมหัทธศิฐีนครนั่นเอง

    การจุติของนางมีอายุกับเจ้าชายไวยยจักร พระโอรสของพระเจ้าพันธุรัตน์ แห่งเมืองโกลิยนครถึง ๑๕ ปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2014
  20. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์ ตอน ๙ พญาสิงหลนาคราช..

    กล่าวถึงนครบาดาลหนึ่ง นามว่า สารนารทหิรัญ ปกครองโดยพญาสิงหลนาคราช(คุณ Prapart54) ซึ่งเป็นพระนัดดาของท้าวมหาปทุมมุตรนาคราช เมืองนี้จะห่างจากเมืองของท้าวมหาปทุมมัตรนับร้อยโยชน์
    พญาสิงหลนาคราช เป็นพญานาคตระกูลสีทอง มีฤทธานุภาพสูง ปกครองเมืองด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา สำหรับนาคานาคีในเมืองนี้ พญาสิงหลนาคราชได้สอนวิชาแปลงกาย เพื่อให้ปลอดภัยจากอันตรายจากเหล่าครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย วิชานี้ได้รับการถ่ายทอดจากพระฤาษีนามว่า “เมตตปาละฤาษี” ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเจ้าชายศีรวัตรนาคราชนั่นเอง


    พญาสิงหลนาคราชนั้นมีพระธิดา ๓ ตนนามว่า สิริธารณี(คุณ sereenon) สิริมารตี(น้อง Marisa) และสิริรัตนา พระธิดาทั้งสาม ต่างก็มีสิริโฉมงดงามยิ่งนัก
    เดิมทีท้าวมหาปทุมมัตรนาคราชได้หมั้นหมายเจ้าหญิงสิริธารณีแก่พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช แต่เจ้าหญิงสิริธารณีนั้น ไม่ได้สนใจพญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช กลับมีใจแก่เจ้าชายศีรวัตรนาคราช พระโอรสองค์ที่ ๖

    เจ้าชายศีรวัตรนาคราชนั้น ไม่ต้องการเกิดความบาดหมางกับพระเชษฐา จึงตัดสินใจประพฤติพรหมจรรย์ นับแต่นั้น เหตุการณ์นี้เกิดก่อนการออกสมาบัติของพระดาบส-พระดาบสินีทั้ง ๖

    ทำให้เจ้าหญิงสิริธารณีรู้สึกเสียพระทัยมาก คิดว่าเจ้าชายศีรวัตรนาคราชรังเกียจตนเอง จึงเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ ได้แต่เก็บตัวอยู่แต่ในวิมานของตนเป็นเวลานาน

    ในงานนักขัตฤกษ์ของเมืองโสฬสสนคร พญาสิงหลนาคราชได้อนุญาตพระธิดาทั้ง ๓ พร้อมกับบริวารอีก ๕ ตนแปลงกายเป็นมนุษย์ เพื่อเที่ยวงานนักขัตตฤกษ์นั้น ธิดาพญานาคทั้ง ๓ ต่างก็มีความสุขมาก โดยเฉพาะเจ้าหญิงสิริธารณีนั้น ทำให้ลืมความทุกข์ชั่วคราว


    กล่าวถึงเจ้าชายมหัทธโชติ(คุณวาสุเทพ) กับวาตมัยยะ นายทหารคู่ใจ หลังจากแยกย้ายกับพระเชษฐาทั้งสองได้เดินทางเลียบแม่น้ำหิรัญพฤกษ์ เป็นเวลานับเดือน ได้เดินทางมาถึงโสฬสนคร

    ซึ่งเป็นนครที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ในวันนั้น งานนักขัตตฤกษ์ในวันที่ ๑๕ พอดี จึงนึกสนุกเข้าไปเที่ยวชมงานด้วยความเพลิดเพลิน

    พลันพระเนตรของเจ้าชายได้ประสบพักตร์ของเจ้าหญิงสิริธารณีจึงเกิดความเสน่หาทันที จึงได้ให้วาตมัยยะสะกดรอยตาม หลังจากเจ้าหญิงทั้ง ๓ ได้เที่ยวชมงานเสร็จแล้ว จึงได้เดินลงแม่น้ำหายไปทันที สร้างความตระหนกแก่วาตมัยยะ เป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่กล้านำความนี้ไปกราบทูลแก่เจ้าชาย เพียงบอกเจ้าชาย ตนหาไม่พบ สร้างความผิดหวังแก่เจ้าชายอย่างมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2014
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...