พบปะ พูดคุย ประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ แบบกันเอง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย tiger-k007, 6 มิถุนายน 2011.

  1. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,321
    :cool:สวัสดีครับ เสี่ยอั๋น
    ชะอำฝนตกแล้ว ดีใจจังเลย
    ดีนะนี่ ใส่บาตรเสร็จพอดีเลย สาธุ เอิ้ก เอิ้ก
     
  2. puedpunon

    puedpunon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    7,130
    ค่าพลัง:
    +16,090
    สวยงามเข้มขลังและมีเอกลักษณ์ครับผม :cool:
     
  3. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดีค่ะ พี่เสือ พี่รุ่ง นั้องอั่น คุณหนู น้องปื้ด ฯลฯ
    ยังนั่งอยู่ที่ทำงานค่ะ ทำพวงมาลา เดี่ยวกลับแล้วค่ะ พรุ่งนี้มาต่อ

    วันนี้ทำง่าน..โรย ถั่ว โรยงา ค่ะ (ไม่มีผักชีนะคะ :d)

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1130602.jpg
      P1130602.jpg
      ขนาดไฟล์:
      349.8 KB
      เปิดดู:
      22
    • P1130601.jpg
      P1130601.jpg
      ขนาดไฟล์:
      517.2 KB
      เปิดดู:
      99
  4. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    วัดคลองพระยา....ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ. สงขลา

    เมื่อครั้งที่องค์หลวงพ่อทวด องค์สมเด็จโต และพ่อท่านคล้าย
    อันเชิญประดิษฐาน บนเรือสุพรรณหงส์ค่ะ....

    เมื่อก่อนเป็นสำนักสงฆ์ค่ะ วันนี้เป็นวัดแล้วค่ะ

    ที่วัดนี้มีจัดโครงการ...ปฏิบัติธรรม ให้กับ ข้าราชการ ประชาชน นักเรียน ฯลฯวัดกำลังสร้างที่พักให้กับผู้มาปฏิบัติธรรมค่ะ

    [​IMG]

    ลิงค์ของวัดค่ะ...

    พระมหาไพศาล โสภา | Facebook
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กันยายน 2012
  5. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,321
    :cool:อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  6. KonDernTaang@ตากลม

    KonDernTaang@ตากลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +171
    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  7. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    อรุณสวัสดิ์ครับทุกๆท่าน:cool:
     
  8. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดียามเที่ยงค่ะ....
    เที่ยงวันนี้ที่หาดใหญ่ ร้อนมากค่ะ ที่อื่นเป็นอย่างไรบ้าง.....

    เห็นกระทู้เงียบๆ อ่านเจอมาค่ะ

    ทำไมการเกิดถึงเป็นทุกข์?

    by guopai

    ในพระพุทธศาสนา การที่เราจะพ้นจากความทุกข์ได้ ต้องเข้าใจกฏธรรมชาติ 3 ประการ หรือกฏไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง), ทุกขัง (ความเป็นทุกข์), และอนัตตา (ความไม่มีตัวตน) และมองเห็นธรรมชาติทั้งสามประการนี้ในทุกสิ่ง
    ตั้งแต่เริ่มศึกษาพุทธศาสนาเป็นต้นมา ผมพบว่าธรรมชาติสามประการนี้ ข้อที่เข้าใจได้ไม่ยาก คืออนิจจัง เพราะเราสามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผล ว่าสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไม่มีทางหยุดนิ่ง หรือถ้าฝึกวิปัสสนา ก็จะ “เห็น” ความไม่หยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงเสมอของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะร่างกายและจิตใจของเราอย่างถ่องแท้ ส่วนเรื่องอนัตตา ถึงแม้จะเข้าใจยากขึ้นอีกนิด ก็ไม่ยากจนเกินไป เพราะเมื่อเข้าใจอนิจจังแล้ว ย่อมเข้าใจและเห็นต่อได้ ว่าการที่สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย หมายถึงไม่มีอะไรคงอยู่เป็นรูปเป็นร่าง เป็นตัวเป็นตนได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
    แต่ยังมีอีกข้อที่เหลือ คือทุกขัง หรือการเกิดนั่นเป็นทุกข์ ที่ทำอย่างไรผมก็ไม่สามารถเข้าใจหรือมองเห็นได้ชัดๆ เสียทีเดียว การเกิดจะเป็นทุกข์ “เสมอไป” ได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตของเราต้องเจอทั้งทุกข์ ทั้งสุข ผสมปนเปกันไป ในเวลาที่เราทุกข์ นั่นเราสัมผัสได้ แต่ในเวลาที่เรามีความสุข เราก็สัมผัสได้ถึงความสุข ประสบกับมันตรงหน้า จะทุกข์ไปได้อย่างไร?
    แต่เมื่อไม่นานมานี้ ผมคิดว่าผมเริ่มค้นพบคำตอบ ว่าทำไมการเกิดจึงเป็นทุกข์ วิธีการเห็นความจริงข้อนี้ คือลองมองดูว่า เมื่อคนเราเกิดมา เราต้องใช้ความพยายามมากมาย เพื่อทำให้มีชีวิตรอด เพื่อรักษาสมดุลให้ชีวิตนี้อยู่ไปได้ เราต้องหาอะไรมากินให้ได้วันละสามมื้อ ต้องหาเครื่องแต่งตัวทำให้ร่างกายไม่หนาวหรือไม่ร้อนเกินไป ต้องหาที่อยู่ที่ไม่ใกล้เมืองนักเพราะมลภาวะเยอะ แต่ก็ไม่ไกลเกินไปจนเดินทางไม่สะดวก ต้องคอยออกกำลังกายเพื่อล้างพลังงานสะสมส่วนเกินที่ได้จากการกิน (ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จะเป็นอีกนั่นล่ะ) ต้องทำงานเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงชีวิต ต้องหาอุปกรณ์เครื่องใช้มาประกอบการทำงาน ต้องเรียนให้สูงๆ จะได้เป็นทุนในอนาคต ต้องคอยศึกษาหาความรู้เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
    ชีวิตคนเราตั้งแต่เกิดมา อยู่เฉยๆ ไม่ได้เลย ต้องถูกเหตุปัจจัยบังคับให้ต้องทำโน่นทำนี่ตลอด และทุกสิ่งที่ทำ ก็เพื่อให้ตัวเองพ้นทุกข์ มีชีวิตรอด ทำด้วยแรงผลักดันจากสองสิ่งเท่านั้น คือความกลัว และความอยาก
    การเกิดมาของคนเรา มีเหตุมีที่มาที่เราควบคุมไม่ได้ มองไม่เห็น พอเกิดมาแล้ว ก็ถูกผลักดันด้วยความกลัวและความอยาก ทำสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา คนที่ทำอ่อนเกินไป ก็จะยังพบกับความทุกข์เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ส่วนคนที่ทำมากเกินไป ก็พบกับความทุกข์เช่นกัน เพราะไปสร้างความอยากและความขัดแย้งต่อไม่รู้จักจบ
    แต่คนที่มีปัญญา เมื่อเกิดมาพบกับความทุกข์แล้ว ย่อมดำเนินชีวิตบนทางสายกลาง เพราะทางสายกลาง เป็นทางที่ทำให้ดับทุกข์ได้มากที่สุด และสร้างทุกข์ใหม่น้อยที่สุด ทางสายกลางเป็นจุดสมดุลที่ละเอียดอ่อน ระหว่างการกระทำที่อ่อนและแข็งจนเกินไป จุดสมดุลนี้เข้าถึงได้ยาก เพราะมันอยู่บนเส้นบางๆ แต่เมื่อเข้าถึงด้วยสติปัญญาแล้ว จะทำให้ชีวิตเบาสบายและมีโอกาสพ้นทุกข์อย่างแท้จริงได้มากที่สุด
    การเกิดมาพบกับความทุกข์ เราไม่สามารถเลือกและกำหนดได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการเลือกใช้ชีวิตให้สมดุล บนเงื่อนไข เหตุ ปัจจัย สภาพแวดล้อมของแต่ละคน เพื่อลดความทุกข์จากการเกิดมาให้ได้มากที่สุด จนไปถึงการพ้นทุกข์ในที่สุด เมื่อคนคนนั้นมองเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ดีพอ จนทำให้ละสิ่งที่ละยากที่สุด นั่นคือตัวตนของเรานั่นเอง

    อ้างอิง
    ทำไมการเกิดถึงเป็นทุกข์?
     
  9. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,321
    :cool:อ่าน ***วันนี้โดนอีกหนึ่งแผล อิอิ***
     
  10. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดีค่ะพี่รุ่ง :d
     
  11. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    การสอนธรรมะของครูอาจารย์
    พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
    วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี
    คัดลอกจาก IsanGate.com : ประตูสู่อีสานบ้านเฮา
    [​IMG]

    ท่านทั้งหลายได้นับถือพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานาน เคยได้ยินได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับธรรมในพระพุทธศาสนามาจากครูบาอาจารย์มาก็มาก ซึ่งบางท่านก็สอนอย่างพิสดารกว้างเกินไป จนไม่ทราบว่าจะกำหนดเอาไปปฏิบัติได้อย่างไร บางท่านก็สอนลัดเกินไป จนผู้ฟังยากที่จะเข้าใจ เพราะว่ากันตามตำรา บางท่านก็สอนพอปานกลาง ไม่กว้างและไม่ลัด เหมาะที่จะนำไปปฏิบัติจนตัวเองได้รับประโยชน์จากธรรมนั้นๆ พอสมควร
    อาตมาจึงใคร่อยากจะเสนอข้อคิดและการปฏิบัติ ซึ่งเคยดำเนินมา และได้แนะนำศิษย์ทั้งหลายอยู่เป็นประจำให้ท่านทั้งหลายได้ทราบบางทีอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจอยู่บ้างก็เป็นได้
    ผู้ที่จะเข้าถึงพุทธธรรมนั้น เบื้องต้นจะต้องทำตนให้เป็นคนมีความซื่อสัตย์สุจริตอยู่เป็นประจำ และเข้าใจความหมายของคำว่าพุทธธรรมต่อไปว่า

    พุทธะ หมายถึงท่านผู้รู้ตามเป็นจริง จนมีความสะอาด สงบ สว่างในใจ

    ธรรม หมายถึงตัวความสะอาด สงบ สว่าง ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้น ผู้ที่เข้าถึงพุทธธรรม ก็คือ คนเข้าถึงศีลสมาธิ ปัญญา นี่เอง

    การสอนธรรมะของครูบาอาจารย์
    การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรม
    ตามธรรมดาการที่บุคคลจะไปถึงบ้านถึงเรือนได้นั้น มิใช่บุคคลที่มัวนอนคิดเอา เขาเองจะต้องลงมือเดินทางด้วยตนเอง และเดินทางให้ถูกทางด้วย จึงจะมีความสะดวก และถึงที่หมายได้ หากเดินผิดทาง เขาจะได้รับอุปสรรค เช่น พบขวากหนามเป็นต้น และยังไกลที่หมายออกไปทุกที หรือบางทีอาจจะได้รับอันตรายระหว่างทาง ไม่มีวันที่จะเข้าถึงบ้านได้ เมื่อเดินไปถึงบ้านแล้วจะต้องขึ้นอยู่อาศัยพักผ่อนหลับนอนเป็นที่สบายทั้งกายและใจ จึงจะเรียกว่าคนถึงบ้านได้โดยสมบูรณ์
    ถ้าหากเป็นแต่เพียงเดินเฉียดบ้าน หรือผ่านบ้านไปเฉยๆ คนเดินทางผู้นั้นจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากการเดินทางของเขา ข้อนี้ฉันใด การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรมก็เหมือนกัน ทุกๆ คนจะต้องออกเดินทางด้วยตนเอง ไม่มีการเดินแทนกัน และต้องเดินไปตามทางแห่งศีล สมาธิ ปัญญา จนถึงซึ่งที่หมาย ได้รับความสะอาด สว่าง สงบสว่าง นับว่าเป็นประโยชน์เหลือหลายแก่ผู้เดินทางเอง แต่ถ้าหากผู้ใดมัวแต่อ่านตำรา กางแผนที่ออกดูอยู่ตั้งร้อยปีร้อยชาติ ผู้นั้นไม่สามารถไปถึงที่หมายได้เลย เขาจะเสียเวลาไปเปล่าๆ ปล่อยประโยชน์ที่ตนจะได้รับให้ผ่านเลยไป ครูบาอาจารย์เป็นผู้บอกให้เท่านั้น เราทั้งหลายได้ฟังแล้วจะเดินหรือไม่เดิน และจะได้รับผลมากน้อยเพียงใด นั้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตน

    อย่ามัวอ่านสรรพคุณยาจนลืมกินยา
    อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนหมอยายื่นขวดยาให้คนไข้ ข้างนอกขวดเขาเขียนบอกสรรพคุณของยาไว้ว่า แก้โรคชนิดนั้นๆ ส่วนตัวยาแก้โรคนั้นอยู่ข้างในขวด ที่คนไข้มัวอ่านสรรพคุณของยาที่ติดไว้ข้างนอกขวด อ่านไปตั้งร้อยครั้งพันครั้ง คนไข้ผู้นั้นจะต้องตายเปล่า โดยไม่ได้รับประโยชน์จากตัวยานั้นเลย และเขาจะมาร้องตีโพยตีพายว่าหมอไม่ดี ยาไม่มีสรรพคุณ แก้โรคอะไรไม่ได้ เขาจึงเห็นว่ายาที่หมอให้ไว้ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยเปิดจุกขวดรินยาออกกินเลย เพราะมัวแต่ไปติดใจอ่านฉลากยา ซึ่งติดอยู่ข้างขวดเสียจนเพลินแต่ถ้าหากเขาเชื่อหมอจะอ่านฉลากครั้งเดียวหรือไม่อ่านก็ได้ แต่ลงมือกินยาตามคำสั่งของหมอ ถ้าคนไข้เป็นน้อย เขาก็หายจากโรค แต่ถ้าหากเป็นมาก อาการของโรคก็จะทุเลาลง และถ้าหากกินบ่อยๆ โรคก็จะหายไปเอง ที่ต้องกินยามากและบ่อยครั้ง ก็เพราะโรคเรามันมาก เรื่องนี้เป็นธรรมดาเหลือเกิน ดังนั้นท่านผู้อ่านจงใช้สติปัญญาพิจารณาให้ละเอียดจริงๆ จึงจะเข้าใจดี

    สรีรโอสถและธรรมโอสถ
    พวกแพทย์พวกหมอเขาปรุงยาปราบโรคทางกาย จะเรียกว่าสรีรโอสถ ก็ได้ ส่วนธรรมของพระพุทธเจ้านั้นใช้ปราบโรคทางใจ เรียกว่า ธรรมโอสถ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงเป็นแพทย์ผู้ปราบโรคทางใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โรคทางใจเป็นได้ไวและเป็นได้ทุกคน ไม่เว้นเลย เมื่อท่านรู้ว่าท่านเป็นไข้ใจ จะไม่ใช้ธรรมโอสถรักษาบ้างดอกหรือ
    เข้าถึงพุทธธรรมด้วยใจ


    พิจารณาดูเถิด การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรมมิใช่เดินด้วยกายแต่ต้องเดินด้วยใจจึงจะเข้าถึงได้ ได้แบ่งผู้เดินทางออกเป็น 3 ชั้น คือ
    1. ชั้นต่ำ ได้แก่ ผู้รู้จักปฏิญาณตนเองเอาพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอาศัย ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนด้วยดี ละทิ้งประเพณีที่งมงายและเชื่อมงคลตื่นข่าว จะเชื่ออะไรต้องพิจารณาเหตุผลเสียก่อน คนพวกนี้เรียกว่า สาธุชน
    2. ชั้นกลาง หมายถึง ผู้ปฏิบัติจนเชื่อต่อพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย รู้เท่าทันสังขาร พยายามสละความยึดมั่นถือมั่นให้น้อยลง มีจิตเข้าถึงธรรมสูงขึ้นเป็นขั้นๆ ท่านเหล่านี้เรียกว่าพระอริยบุคคล คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี
    3. ชั้นสูง ได้แก่ผู้ปฏิบัติจนกาย วาจา ใจ เป็นพุทธะ เป็นผู้พ้นจากโลก อยู่เหนือโลก หมดความยึดถืออย่างสิ้นเชิง เรียกว่า พระอรหันต์ ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด
    การทำตนให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์


    ศีลนั้น คือระเบียบควบคุมรักษากายวาจาใจให้เรียบร้อย ว่าโดยประเภทมีทั้งของชาวบ้านและของนักบวช แต่เมื่อกล่าวโดยรวบยอดแล้วมีอย่างเดียว คือ เจตนา ในเมื่อเรามีสติระลึกได้อยู่เสมอเพื่อควบคุมใจให้รู้จักละอายต่อการทำชั่วเสียหาย และรู้สึกตัวกลัวผลของความชั่วจะตามมา พยายามรักษาใจให้อยู่ในแนวทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกที่ควรเป็นศีลอย่างดีอยู่แล้ว ตามธรรมดา เมื่อเราใช้เสื้อผ้าที่สกปรกและตัวเองก็สกปรก ย่อมทำให้จิตใจอึดอัดไม่สบาย แต่ถ้าหากเรารู้จักรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ย่อมทำให้จิตใจผ่องใสเบิกบาน ดังนั้นเมื่อศีลไม่บริสุทธิ์เพราะกายวาจาสกปรก ก็เป็นผลให้จิตใจเศร้าหมอง ขัดต่อการปฏิบัติธรรม และเป็นเครื่องกั้นใจมิให้บรรลุถึงจุดหมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิตใจที่ได้รับการฝึกมาดีหรือไม่เท่านั้น เพราะใจเป็นผู้สั่งให้พูดให้ทำ ฉะนั้นเราจึงต้องมีการฝึกจิตใจต่อไป

    การฝึกสมาธิ
    การฝึกสมาธิ ก็คือการฝึกจิตของเราให้ตั้งมั่นและมีความสงบเพราะตามปกติ จิตนี้เป็นธรรมชาติดิ้นรน กวัดแกว่ง ห้ามได้ยาก รักษาได้ยาก ชอบไหลไปตามอารมณ์ต่ำๆ เหมือนน้ำชอบไหลสู่ที่ลุ่มเสมอ พวกเกษตรกรเขารู้จักกั้นน้ำไว้ทำประโยชน์ในการเพาะปลูกต่างๆ มนุษย์เรามีความฉลาดรู้จักเก็บรักษาน้ำ เช่น กั้นฝาย ทำทำนบทำชลประทาน เหล่านี้ก็ล้วนแต่กั้นน้ำไว้ทำประโยชน์ทั้งนั้น พลังงานไฟฟ้าที่ให้ความสว่างและใช้ทำประโยชน์อื่นๆ ก็ยังอาศัยน้ำที่คนเรารู้จักกั้นไว้นี่เอง ไม่ปล่อยให้มันไหลลงที่ลุ่มเสียหมด ดังนั้นจิตใจที่มีการกั้นการฝึกที่ดีอยู่ ก็ให้ประโยชน์อย่างมหาศาลเช่นกัน ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า "จิตที่ฝึกดีแล้ว นำความสุขมาให้ การฝึกจิตให้ดีย่อมสำเร็จประโยชน์" ดังนี้เป็นต้น
    เราสังเกตดูแต่สัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ก่อนที่เราจะเอามาใช้งานต้องฝึกเสียก่อน เมื่อฝึกดีแล้วเราจึงได้อาศัยแรงงานมันทำประโยชน์นานาประการ
    จิตที่ฝึกดีแล้วมีคุณค่ามากมาย
    ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้ว จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมมีคุณค่ามากมายกว่ากันหลายเท่า ดูแต่พระพุทธองค์และพระอริยสาวก ได้เปลี่ยนภาวะจากปุถุชนมาเป็นพระอริยบุคคล จนเป็นที่กราบไหว้ของคนทั่วไปและท่านยังได้ทำประโยชน์อย่างกว้างขวางเหลือประมาณที่เราๆ จะกำหนด ก็เพราะพระองค์และสาวกได้ผ่านการฝึกจิตมาด้วยดีแล้วทั้งนั้น
    จิตที่เราฝึกดีแล้วย่อมเป็นประโยชน์แก่การประกอบอาชีพทุกอย่าง ยังเป็นทางให้รู้จักทำงานด้วยความรอบคอบ ไม่เป็นคนหุนหันพลันแล่น ทำให้ตนเองมีเหตุผล และได้รับความสุขตามสมควรแก่ฐานะ

    การฝึกอานาปานสติภาวนา
    การฝึกจิตมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่เห็นว่ามีประโยชน์และเหมาะสมที่สุด ใช้ได้กับบุคคลทั่วไป วิธีนั้นเรียกว่า อานาปานสติ-ภาวนา คือ มีสติจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าและหายใจออก ที่สำนักนี้ให้กำหนดลมที่ปลายจมูกโดยภาวนาว่าพุทโธ ในเวลาเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ก็ภาวนาบทนี้ จะใช้บทอื่น หรือจะกำหนดเพียงการเข้าออกของลมก็ได้ แล้วแต่สะดวก ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าพยายามกำหนดลมเข้าออกให้ทันเท่านั้น การเจริญภาวนาบทนี้จะต้องทำติดต่อกันไปเรื่อยๆ จึงจะได้ผล ไม่ใช่ว่าทำครั้งหนึ่งแล้วหยุดไปตั้งอาทิตย์สองอาทิตย์ หรือตั้งเดือนจึงทำอีก อย่างนี้ไม่ได้ผล พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า ภาวิตา พหุลีกตา อบรมกระทำให้มาก คือทำบ่อยๆ ติดต่อกันไป

    ใช้สติกำหนดลมหายใจเพียงอย่างเดียว
    การฝึกจิตใหม่ๆ เพื่อให้ได้ผล ควรเลือกหาที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน เช่น ในสวนหลังบ้าน หรือต้นไม้ที่มีร่มเงาดีๆ แต่ถ้าเป็นนักบวชควรแสวงหาเรือนว่าง (กระท่อม) โคนไม้ ป่า ป่าช้า ถ้ำ ตามภูเขา เป็นที่บำเพ็ญ เหมาะที่สุด เราจะอยู่ที่ใดก็ตาม ใช้สติกำหนดลมหายใจอย่างเดียว แม้จิตใจจะคิดไปเรื่องอื่น ก็พยายามดึงกลับมาทิ้งเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด โดยไม่พยายามคิดถึงมัน รู้ให้ทันกับความคิดนั้นๆ เมื่อทำเข้าบ่อยๆ จิตจะสงบลงเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นแล้ว ถอยจิตนั้นมาพิจารณาร่างกาย ร่างกายคือขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หาตัวตนไม่ได้ มีแต่ธรรมชาติไหลไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น สิ่งทั้งปวงตกอยู่ในลักษณะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น ความยึดมั่นต่างๆ จะน้อยลงๆ เพราะเรารู้เท่าทันมัน เรียกว่าเกิดปัญญาขึ้น

    ปัญญาเกิดเมื่อจิตดีแล้ว
    เมื่อเราใช้จิตที่ฝึกดีแล้วพิจารณารูปนามอยู่อย่างนี้ ให้รู้แจ้งแน่ชัดว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ปัญญารู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงของสังขารที่เกิด เป็นเหตุให้เราไม่ยึดถือหรือหลงใหล เมื่อเราได้อะไรมาก็มีสติ ไม่ดีใจจนเกินไป เมื่อของสูญหายไป ก็ไม่เสียใจจนเกิดทุกขเวทนา เพราะรู้เท่าทัน เมื่อประสบความเจ็บไข้หรือได้รับทุกข์อื่นๆ ก็มีการยับยั้งใจ เพราะอาศัยจิตที่ฝึกมาดีแล้ว เรียกว่ามีที่พึ่งทางใจเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเกิดปัญญารู้ทันตามความเป็นจริง ที่จะเกิดปัญญาเพราะมีสมาธิ สมาธิจะเกิดเพราะมีศีล มันเกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนี้ ไม่อาจแยกออกจากกันไปได้
    ลมหายใจกับศีล สมาธิ ปัญญา

    สรุปได้ความดังนี้ อาการบังคับตัวเองให้กำหนดลมหายใจ ข้อนี้เป็นศีล การกำหนดลมหายใจได้และติดต่อกันไปจนจิตสงบ ข้อนี้เรียกว่าสมาธิ การพิจารณากำหนดรู้ลมหายใจว่าไม่เที่ยง ทนได้ยากมิใช่ตัวตน แล้วรู้การปล่อยวาง ข้อนี้เรียกว่า ปัญญา การทำอานาปานสติภาวนา จึงกล่าวได้ว่าเป็นการบำเพ็ญทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมกัน และเมื่อทำศีล สมาธิ ปัญญา ให้ครบ ก็ชื่อว่าได้เดินทางตามมรรคมีองค์แปด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทางสายเอกประเสริฐกว่าทางทั้งหมด เพราะจะเป็นการเดินทางเข้าถึงพระนิพพานเมื่อเราทำตามที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าเป็นการเข้าถึงพุทธธรรมอย่างถูกต้องที่สุด
    ผลจากการปฏิบัติสมาธิภาวนา


    เมื่อเราปฏิบัติตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ย่อมมีผลปรากฏตามระดับจิตของผู้ปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งแบ่งเป็น 3 พวก ดังต่อไปนี้
    1. สำหรับสามัญชนผู้ปฏิบัติตาม ย่อมทำให้เกิดความเชื่อในคุณพระรัตนตรัย ถือเอาเป็นที่พึ่งได้ ทั้งเชื่อตามผลกรรมว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว จะทำให้ผู้นั้นมีความสุขความเจริญยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนได้กินขนมที่มีรสหวาน
    2. สำหรับพระอริยบุคคลชั้นต่ำ ย่อมมีความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย เป็นผู้มีจิตใจผ่องใส ดิ่งสู่นิพพานเปรียบเหมือนคนได้กินของหวาน ซึ่งมีทั้งรสหวานและมัน
    3. สำหรับท่านผู้ได้บรรลุอรหัตตผล ย่อมมีความหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ทั้งปวง เพราะเป็นพุทธะแล้ว พ้นจากโลก อยู่จบพรหมจรรย์เปรียบเหมือนได้กินของหวาน ที่มีทั้งรสหวาน มัน และหอม
    จงรีบสร้างบารมีด้วยการทำดี
    เราท่านทั้งหลายได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เป็นการยากแท้ที่สัตว์ทั้งหลายล้านตัวไม่มีโอกาสอย่างเรา จงอย่าประมาท รีบสร้างบารมีให้แก่ตนด้วยการทำดี ทั้งชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง อย่าปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าปราศจากประโยชน์เลย
    ฉะนั้น ควรจะทำตนให้เข้าถึงพุทธธรรมเสียแต่วันนี้ ขอฝาก ภาษิตว่า "เที่ยวทางเวิ้งเหิงนานมันสิค่ำ เมานำต่าบักหว้ามันสิช้าค่ำทาง"
    [​IMG]
    <!--BEGIN WEB STAT CODE----><SCRIPT language=javascript1.1> page="การสอนธรรมะของครูอาจารย์ หลวงพ่อชา";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.1 src="http://hits.truehits.in.th/data/i0017685.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_donate_1.8.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_donate_1.8.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_donate_1.8.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กันยายน 2012
  12. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    [​IMG]
    [​IMG]


    อย่า‘ผิดนาน’มันไม่ดี !: วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม

    เราทุกคนต่างเคยทำผิดพลาดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งสำคัญคืออย่าปล่อยให้ความรู้สึกผิดนั้นคาใจนานเกินไปเพราะทำให้บั่นทอนกำลังใจในการดำเนินชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ ความรู้สึกทุกข์ใจร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุขอันเนื่องมาจากความผิดที่ตนเคยทำไว้เรียกว่า ‘วิปฏิสาร’ (อ่านว่า วิบ -ปะ-ติ-สาน) บ่อยครั้งคนเรามักเก็บวิปฏิสารไว้นานจนเวลาล่วงผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าความผิดนั้นจะร้ายแรงเพียงใดเราควรละวางวิปฏิสารนั้นแล้วเรียนรู้ที่จะเริ่มต้นใหม่

    ในพระไตรปิฎกมีเรื่องเล่าว่าในสมัยพระพุทธเจ้านามว่ากัสสปะ ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถ้ำติดชายทะเลอยู่เพียงรูปเดียว วันหนึ่งขณะสรงน้ำมีเรือแล่นผ่านมา ท่านเห็นตะไคร่น้ำเป็นพุ่มยาวออกมาจากใต้ท้องเรือจึงนึกสนุกโผกายเข้าไปจับตะไคร่น้ำแล้วปล่อยให้เรือลากตัวท่านไปจนตะไคร่น้ำขาดออกจากกัน ขณะนั้นท่านรู้ตัวว่าตนเองต้องอาบัติเสียแล้วเพราะมีพุทธบัญญัติข้อหนึ่งระบุว่าห้ามภิกษุพรากของเขียว หมายถึงห้ามภิกษุตัดต้นไม้หรือทำพืชทุกชนิดขาดออกจากกัน หากทำเช่นนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์

    อาบัติปาจิตตีย์จะระงับได้ต่อเมื่อภิกษุได้แสดงอาบัตินั้นแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง แต่ภิกษุรูปนี้จำพรรษาอยู่ในถ้ำริมทะเลเพียงรูปเดียวยังหาภิกษุอื่นมาร่วมแสดงอาบัติไม่ได้ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่าหากพบเจอภิกษุท่านใดผ่านมาจะแสดงอาบัติทันทีเมื่อมีโอกาส จนกระทั่งมีเหตุให้ภิกษุรูปนี้เสียชีวิตไปในขณะที่ยังหาภิกษุรูปอื่นมาปลงอาบัติไม่ได้ ในใจก็ยังติดข้องอยู่ในอาบัตินั้น ความติดข้องนี้เป็นเหตุให้ภิกษุรูปดังกล่าวไปเกิดเป็นพญานาคทั้งๆ ที่ท่านบำเพ็ญเพียรมานานน่าจะไปจุติบนพรหมโลกหรือไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่า แต่ก็ไม่สามารถไปเกิดได้เพราะจิตติดข้องอยู่กับอาบัติเพียงตัวเดียว

    แท้จริงแล้วอาบัติปาจิตตีย์เป็นเพียงอาบัติเล็กน้อย การทำตะไคร่น้ำขาดมิได้เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจึงไม่น่ามีผลให้ภิกษุรูปดังกล่าวต้องไปเกิดเป็นพญานาค พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทข้อนี้ขึ้นมามีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันมิให้ภิกษุทำลายต้นไม้ทำลายธรรมชาติ แต่ด้วยจิตที่ติดข้องอยู่กับอาบัติเพียงเล็กน้อยทำให้ต้องไปเกิดเป็นพญานาค และเป็นพญานาคที่มีลักษณะแตกต่างจากพญานาคทั่วไป ตามลำตัวมีเกล็ดเหมือนตะไคร่น้ำลุ่มล่ามนุงนังไปหมด เนื่องจากขณะวาระจิตใกล้ดับจิตปรุงแต่งแต่เรื่องที่ตนเคยทำตะไคร้น้ำฉีกขาดเมื่อไปเกิดเป็นพญานาคจึงทำให้มีเกล็ดคล้ายตะไคร่น้ำไปด้วย หากภิกษุรูปดังกล่าวสามารถทำความเข้าใจได้ว่าอาบัติข้อนี้พระพุทธองค์บัญญัติขึ้นมาเพื่อป้องกันมิให้ภิกษุตัดไม้ทำลายป่า และการทำตะไคร่น้ำฉีกขาดก็ไม่ได้เป็นบาปกรรมอะไรก็คงไม่ต้องไปเกิดเป็นพญานาคเช่นนั้น

    เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนสนิทของผู้เขียนที่เรียนมาด้วยกันตอนมัธยมเพิ่งมาเล่าให้ฟังว่าตอนอยู่ ม.ปลายตนเองท้องแล้วไปทำแท้ง สาเหตุเนื่องจากเวลานั้นพ่อแม่ทะเลาะกันรุนแรงตั้งแต่เช้าวันหนึ่งไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน (พ่อแม่ที่ชอบทะเลาะกันให้ลูกเห็นควรหยุดพฤติกรรมดังกล่าวเสีย เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบกับเด็กๆ เหมือนอย่างกรณีนี้) เธอรู้สึกทุกข์ใจมากที่เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันรุนแรงทุกวัน จึงไม่อยากกลับบ้านเพราะบ้านกลายเป็นนรกไปแล้ว ด้วยความเป็นวัยรุ่นยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอจึงไปอยู่กับแฟนซึ่งเรียนอยู่ระดับเดียวกันในที่สุดก็ตั้งท้องขึ้นมา

    เวลานั้นเธอตัดสินใจว่าถ้าไม่ยุติการตั้งครรภ์ อนาคตของเธอและของแฟนคงดับวูบเพราะยังเรียนหนังสือกันอยู่ พ่อแม่ก็พึ่งไม่ได้เพราะเอาแต่ทะเลาะกันทุกวันในที่สุดจึงตัดสินใจไปทำแท้ง

    ผู้เขียนได้ฟังก็รู้สึกสงสารที่เพื่อนต้องพบเจอกับประสบการณ์ที่รุนแรงในชีวิตและเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานานกว่า ๒๐ ปีแล้ว แต่เพื่อนก็ยังเก็บความรู้สึกผิดที่ตนเคยทำแท้งไว้ในใจตลอดมา จึงให้ธรรมะไปว่าให้ละความรู้สึกผิดนั้นไปเสีย เหตุการณ์ได้ผ่านมานานแล้ว การที่รู้สึกผิดมาตลอด ๒๐ กว่าปีก็ถือว่าเป็นการสำนึกผิดที่นานพอแล้ว ระหว่างนั้นเธอทำบุญมาตลอด เชื่อว่าป่านนี้ดวงวิญญาณคงไปเกิดเป็นลูกคนอื่นไปแล้วเพราะในสังสารวัฏฏ์นี้มีการหมุนเวียนกันตลอดเวลา ไม่มีใครอยู่ในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งอย่างถาวร

    แต่ถ้ายังรู้สึกไม่ดีก็ควรแผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณที่ได้ทำพลาดไป แผ่เมตตาให้เขาทุกวันเท่าที่สามารถระลึกได้ ไม่จำเป็นต้องไปทำบุญแก้กรรมเสียเงินเป็นหมื่นเหมือนอย่างที่บางวัดจัดงานแก้กรรมทำแท้งกันเอิกเกริก แค่สวดมนต์เจริญเมตตาภาวนาให้เขาทุกๆ วันก็ถือว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมและเป็นสัมมาทิฏฐิที่สุด แล้วดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความมีเมตตากรุณากับคนอื่นๆ ช่วยเหลือคนทุกข์ยากเท่าที่จะช่วยได้ แล้วเรียนรู้ที่จะไม่ทำพลาดอีก

    "โอวาทปาติโมกข์" ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมในวันมาฆบูชาก็กล่าวไว้ชัดเจนว่าให้ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส ในขณะที่เรายังเป็นปุถุชนบางครั้งก็ยังทำผิดพลาดกันได้ การทำจิตใจให้ผ่องใสเบิกบานจึงเป็นหัวใจของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ชีวิตของคนเราจะดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างมีคุณภาพก็ต่อเมื่อมีจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน หากจิตใจติดขัดด้วยความรู้สึกผิดอันเกิดจากการทำพลาดในอดีต ชีวิตทั้งชีวิตก็เปรียบเหมือนกับการตกนรกทั้งเป็น หากจิตใจไร้ความสุขเสียแล้วจะมีผลกระทบกับการดำเนินชีวิต ดังนั้นเราควรเรียนรู้ที่จะละทิ้งความรู้สึกผิดในตัวเองออกไปเสีย

    ผู้เขียนเคยไปเที่ยววัดๆ หนึ่ง ในวัดแขวนป้ายไว้น่ากลัวว่า “ทำแท้ง รีดลูกบาป ตกนรก ตกอับ หากินไม่เจริญ”

    เราเข้าใจดีถึงเจตนารมณ์ของคนเขียนป้ายว่าคงเป็นห่วงผู้หญิงและชีวิตน้อยๆ ในครรภ์ แต่ป้ายคำสอนลักษณะนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการซ้ำเติมคนที่กำลังเป็นทุกข์ ทำให้คนที่ทุกข์ใจอยู่แล้วไม่สามารถหลุดพ้นไปจากความทุกข์ได้ หากบังเอิญมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งเคยทำแท้งมาเจอป้ายนี้เข้า การมาวัดของเธอเพื่อหวังจะได้ความสงบใจก็อาจจะตกนรกไปในบัดดล เพราะหลังจากเธอเห็นป้ายนั้นเธอคงตราตรึงไปกับความรู้สึกผิดบาปไปอีกนานจนยากจะแกะออก และอย่าเข้าใจผิดว่าผู้หญิงเท่านั้นที่รู้สึกผิด แม้ผู้ชายเองก็รู้สึกผิดได้เช่นกัน

    เคยมีโยมผู้ชายคนหนึ่งเล่าความทุกข์ใจให้ฟังว่าตนเองเคยสนับสนุนภริยาให้ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์เพราะเศรษฐกิจในครอบครัวเวลานั้นยังไม่พร้อมจะมีบุตร ซึ่งในที่สุดผู้เขียนก็ต้องให้ธรรมะปลอบใจไม่ซ้ำเติมเพื่อให้ชายคนนั้นมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป ชายผู้นั้นจึงรู้สึกดีขึ้น

    การเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดามักเผชิญกับความทุกข์ใจจากการทำผิดพลาดในอดีตอยู่เสมอ การรักษาจิตใจให้แจ่มใสเบิกบานจึงเป็นสิ่งจำเป็น จิตใจที่แจ่มใสเบิกบานเป็นที่มาของชีวิตที่เป็นสุข จิตใจที่แจ่มใสเบิกบานยังเป็นมงคลข้อสุดท้ายในมงคล ๓๘ ประการ นั่นคือมี ‘จิตอันเกษม’
    <!-- inside news --><SCRIPT type=text/javascript src="http://partner.googleadservices.com/gampad/google_service.js"> </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript> GS_googleAddAdSenseService("ca-pub-1114872005097511"); GS_googleEnableAllServices(); </SCRIPT><SCRIPT src="http://partner.googleadservices.com/gampad/google_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript> GA_googleAddSlot("ca-pub-1114872005097511", "Insidenews"); </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript> GA_googleFetchAds(); </SCRIPT><!-- Insidenews --><SCRIPT type=text/javascript> GA_googleFillSlot("Insidenews"); </SCRIPT><SCRIPT src="http://pubads.g.doubleclick.net/gampad/ads?correlator=4055022901698608&output=json_html&callback=GA_googleSetAdContentsBySlotForSync&impl=s&client=ca-pub-1114872005097511&slotname=Insidenews&page_slots=Insidenews&cookie=ID%3D42e3bd20f0ec9843%3AT%3D1347973995%3AS%3DALNI_MapsNnK1uWqvFLgv_YcNpSG4L14vQ&url=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2Fdetail%2F20120817%2F137845%2F%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E2%2580%2598%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E2%2580%2599%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B5!.html&trunc=1"></SCRIPT>แต่การจะมี ‘จิตอันเกษม’ ได้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่เราทำลงไป ชีวิตของแต่ละคนมักตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกทดสอบให้ทำผิดพลาดกันได้เสมอ หากเราไม่อยากเผชิญกับวิปฏิสารจากเรื่องผิดพลาด เราควรมีสติคิดถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังกับทุกเรื่องที่เรากำลังตัดสินใจกระทำลงไป เพราะเมื่อพลาดไปแล้วเราก็ต้องกลับไปสู่วังวนของความทุกข์ใจที่ยากจะหลุดพ้น
    สิ่งที่ดีที่สุดคือการดำเนินชีวิตด้วยความมีสติรอบคอบ มีชีวิตที่ไม่ประมาท แต่หากพลาดพลั้งไปก็ควรเริ่มต้นใหม่ด้วยการทำความดีและไม่หวนกลับไปพลาดซ้ำอีก
    หากผู้เขียนเป็นเจ้าอาวาสวัดนั้น เราจะนำป้ายนั้นออกแล้วเขียนเสียใหม่ว่า
    “สิ่งใดทำไปแล้ว
    มันเป็นอดีตไปแล้ว
    วันนี้เริ่มต้นทำความดีกันใหม่ดีกว่า”
    บางทีป้ายใหม่อันนี้อาจช่วยแก้ปมวิปฏิสารของคนที่เข้ามาวัดได้มากมายมหาศาลทีเดียว ขณะเดียวกันก็อย่าเผลอทำผิดซ้ำ...ผิดซ้ำผิดนานมันไม่ดี

    อ้างอิง
    www.komchadluek.net/detail/20120817/137845/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E2%80%98%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E2%80%99%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5!.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กันยายน 2012
  13. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    สวัสดีวันหยุดวันครอบครัวครับผม:cool:
     
  14. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,321
    :cool:สวัสดีครับ ทิดพล
    เป็นพ่อแม่ ที่ดีเลิศ ประเสร็จศรีเลยครับ
    ขอให้ครอบครัวทิดพล มีความสุขเยอะๆ มีเงินเยอะๆด้วยนะครับ เอิ้ก เอิ้ก
     
  15. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,321
    :cool:สวัสดีครับ คุณ นวล คนงาม
    กราบขอบพระคุณ สำหรับ การเอาบทความธรรมะ ของ ลป.ชา
    มาฝากนะครับ จะพยายามทำตามให้ได้ครับ แหะ
     
  16. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    สวัสดีครับทุกๆท่าน....พี่นวลเราเก็บเรื่องราวดีๆมาฝากทุกวันเลยครับ:cool:
     
  17. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,321
    :cool:สวัสดีครับ เสี่ยอั๋น รวยนะครับ
     
  18. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,744
    ค่าพลัง:
    +2,105
    "ขอบคุณมากครับคุณpuedpunon"
     
  19. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,744
    ค่าพลัง:
    +2,105
    "ขอบคุณมากครับคุณรุ่ง"
     
  20. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,744
    ค่าพลัง:
    +2,105
    [​IMG]
    "พระเนื้อผงพิมพ์เล็บมือ หลวงพ่ออ้น วัดบางจากครับ"
     

แชร์หน้านี้

Loading...