พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    โมทนาสาธุ ด้วยครับ
     
  2. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    โมทนาสาธุ ด้วยครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หัดเยอรมันเป็นตอนท้องอันตราย

    หัดเยอรมันเป็นตอนท้องอันตราย



    [​IMG]


    หัดเยอรมันเป็นตอนท้องอันตราย (รักลูก)

    การติดเชื้อในสตรีตั้งครรภ์ เป็นหนึ่งในภาวะที่อาจส่งผลต่อความพิการหรือการเสียชีวิตของทารกในครรภ์ได้ค่ะโดยการติดเชื้อของทารกอาจเกิดตั้งแต่ขณะอยู่ในครรภ์ ผ่านทางรกหรือจากการคลอด โดยผ่านน้ำคัดหลั่งในช่องคลอด หรือเลือดของมารดาขณะคลอด รวมทั้งสามารถผ่านทางน้ำนมแม่หลังคลอด ซึ่งความรุนแรงของการติดเชื้อในทารกนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของตัวเชื้อช่วงระยะเวลาที่ติดเชื้อ รวมทั้งภาวะภูมิคุ้มกันทั้งของแม่และทารก ดังเช่น การติดเชื้อหัดเยอรมันที่จะพูดต่อไปค่ะ


    หัดเยอรมัน


    เป็นปัญหาของโรคติดเชื้อไวรัส ที่สำคัญแม้ว่าจะมีการให้วัคซีนกันแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็ยังพบการติดเชื้อนี้ในกลุ่มวัยรุ่น วัยเจริญพันธุ์ และแม่ตั้งครรภ์ได้บ่อย นำไปสู่ปัญหาสำคัญ คือ ภาวะทารกพิการโดยกำเนิดจากการติดเชื้อหัดเยอรมัน
    เนื่องจากเชื้อหัดเยอรมันเป็นไวรัสที่ติดจากการสัมผัสโดยตรงต่อสารคัดหลั่งจากโพรงจมูกและปากของผู้ติดเชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 14-21 วัน หลังจากสัมผัสเชื้อโรคโดยระยะเวลาแพร่กระจายเร็วคือ 7 วันก่อนผื่นขึ้น จนถึง 7 วันหลังผื่นขึ้น


    อาการแสดง

    ที่พบบ่อยๆ ได้แก่ มีไข้ต่ำ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะตาแดง คออักเสบ จากนั้นจะมีสภาพผื่นแดงเล็กๆ และมีต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะตรงบริเวณหลังหูและลำคอ นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 3 ของการติดเชื้อหัดเยอรมันจะไม่มีอาการแสดงใดๆ

    พบแม่ท้องติดเชื้อหัดเยอรมันได้ประมาณร้อยละ 0.1-0.2 การติดเชื้อจากแม่สู่ทารกสามารถติดต่อได้ขณะแม่ตั้งครรภ์ โดยความรุนแรงของโรคและความพิการของทารกขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ขณะที่มีการติดเชื้อ ซึ่งผลของการติดเชื้อหัดเยอรมันในขณะแม่ตั้งครรภ์ทำให้เกิดการแห้ง ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือพิการโดยกำเนิดได้ แต่มีบางส่วนที่ไม่พบการติดเชื้อและไม่มีความพิการใดๆ
    ความพิการโดยกำเนิดของทารกจะเกิดจะมากที่สุด เมื่อติดเชื้อช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ พบว่าทารกมีโอกาสติดเชื้อถึงร้อยละ 80 และจะพบทารกติดเชื้อในครรภ์ได้น้อยลง เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ถึงประมาณร้อยละ 54 ที่อายุครรภ์ 13-14 สัปดาห์ และร้อยละ 25 เมื่อติดเชื้อหลังไตรมาสที่ 2 เนื่องจากเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น จะเริ่มมีการส่งผ่านภูมิคุ้มกันจากแม่ไปยังลูกได้มากขึ้น
    อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อหัดเยอรมันของทารกในครรภ์มิได้ก่อให้เกิดความพิการในทารกทุกราย ซึ่งความพิการโดยกำเนิดของทารกที่พบ ได้แก่ความผิดปกติทางตา (ต้อกระจก ต้อหิน ตาเล็ก) ความผิดปกติของหัวใจ ความบกพร่องทางการได้ยิน ทารกเติบโตช้าในครรภ์ ม้ามโตมีเกร็ดเลือดต่ำ ภาวะซีด ตับ รวมทั้งความผิดปกติของโครโมโซม “การป้องกันหัดเยอรมันสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน” ซึ่งความผิดปกติที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อหัดเยอรมันในครรภ์ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก คือ

    1. กลุ่มที่ปรากฏความผิดปกติขึ้นชั่วคราว จะสามารถพบได้นานถึง 6 เดือนหลังจากคลอด ได้แก่ ตับ ม้ามโต ตัวเหลือง ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเกร็ดเลือดต่ำ ปอดอักเสบ
    2. กลุ่มความผิดปกติถาวร กลุ่มความผิดปกตินี้ ได้แก่ ความบกพร่องในการได้ยิน ความผิดปกติของหัวใจโดยกำเนิด ความผิดปกติทางตา ความผิดปกติทางสมอง รวมทั้งภาวะปัญญาอ่อน ซึ่งพบได้ร้อยละ 10-20
    3. กลุ่มที่ปรากฏความผิดปกติภายหลัง คือไม่มีอาการแสดงขณะแรกคลอด พบได้ประมาณ 1 ใน 3 ของทารกที่มีการติดเชื้อ แต่จะมีอาการแสดงออกภายหลังใน 10-30 ปี

    ความผิดปกติที่พบบ่อย ได้แก่ ความบกพร่องของต่อมไร้ท่อ เช่น โรคต่อมไทรอยด์ เบาหวาน และภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต รวมทั้งความบกพร่องในการได้ยินและการมองเห็น ความบกพร่องของหลอดเลือดความดันโลหิตสูง โดยความผิดปกติของสมองมักพบในทารกที่แม่ติดเชื้อตั้งแต่ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์


    การวินิจฉัย

    ภาวะติดเชื้อหัดเยอรมันจากอาการต่างๆ นี้ อาจสังเกตเห็นได้ยาก มีความแม่นยำค่อนข้างต่ำ เนื่องจากอาการแสดงต่างๆ สามารถพบได้ในโรคติดเชื้ออื่นๆ ด้วย ซึ่งแม่ตั้งครรภ์ที่มีประวัติสัมผัสโรค หรือมีอาการคล้ายหัดเยอรมันในช่วงอายุครรภ์ก่อน 16 สัปดาห์ ควรได้รับการตรวจยืนยันการติดเชื้อหัดเยอรมัน เพื่อช่วยในการตัดสินใจดูแลต่อไป ในทางปฏิบัตินั้นนิยมใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจระดับของ Immunoglobulin โดยจะส่งตรวจระดับของ Ig M.Specific Antibody ซึ่งสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่วันที่ 5 หลังผื่นขึ้น และคงอยู่ 4-6 สัปดาห์ ก็จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานการตรวจแยกเชื้อไวรัสโดยตรวจจากน้ำลายและคอได้

    การวินิจฉัยภาวะติดเชื้อหัดเยอรมัน

    ในทารกก่อนคลอดมีความสำคัญ โดยเฉพาะกรณีที่สงสัยการติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ แล้วผลการตรวจยืนยันในแม่ให้ผลไม่ชัดเจนทำได้โดยการตรวจ IgM ในเลือดลูก การเก็บเลือดจากสายสะดือโดยตรง เนื่องจาก IgM ไม่ผ่านจากแม่สู่ลูก ซึ่งตรวจได้หลังจากแม่ติดเชื้อแล้ว 7-8 สัปดาห์ และเมื่ออายุครรภ์ 20-22 สัปดาห์
    สำหรับการตรวจจากน้ำคร่ำสามารถทำได้ โดยมีโอกาสแท้งน้อยกว่า แต่มีความยุ่งยากในทารกแยกเชื้อไวรัส และความน่าเชื้อถือค่อนข้างต่ำ
    สำหรับการตรวจยืนยันทารกแรกคลอด ที่สงสัยมักทำในกรณีที่แม่มีประวัติติดเชื้อ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ ในแม่ตั้งครรภ์ที่เคยมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อหัดเยอรมันหรือมีอาการแสดง ควรได้รับการตรวจเชื้อทันที
    ในกรณีที่ตรวจพบการติดเชื้อแม่ควรได้รับให้คำแนะนำถึงความเสี่ยง และความพิการโดยกำเนิดของทารก รวมทั้งตรวจยืนยันการติดเชื้อของทารก โดยตรวจเลือดทารกหรือเจาะน้ำคร่ำ หลังแม่ได้รับการตรวจยืนยันว่าติดเชื้อจริงกรณีที่มีการติดเชื้อของทารกในครรภ์ด้วย แม่ควรได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับโอกาสเกิดความพิการโดยกำเนิดของทารก และการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ หากการติดเชื้อเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก สำหรับการให้ Immunoglobulin หลังจากคุณแม่สัมผัสโรค ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าช่วยลดการติดเชื้อของทารกในครรภ์ จึงไม่แนะนำให้ฉีดในทารกแรกคลอดที่ไม่มีอาการแสดงใดๆ ควรได้รับการแยกจากทารกปกติ เพื่อสังเกตอาการและประเมินความผิดปกติที่อาจเกิดภายหลัง

    การป้องกันหัดเยอรมัน สามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือนนะคะ


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก [​IMG]
    ฉบับเดือนมิถุนายน 2552
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรณี บทความ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ขโมยและขมาย ในทรัพย์สินทางปัญญา

    โดย กรมทรัพย์สินทางปัญญา

    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������

    ตามที่คุณนิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้ลงบทความในหนังสือพิมพ์มติชน เกี่ยวกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในหัวข้อ "ขโมยและขมายในทรัพย์สินทางปัญญา" นั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องขอขอบพระคุณ คุณนิธิ มา ณ โอกาสนี้ที่ให้การสนับสนุนการลงบทความรวมทั้งการติดตามและเสนอข่าวสารของกรมมาโดยตลอด

    ในประเด็นที่คุณนิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวถึงกรณีที่ได้มีการยกกำลังไปปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาว่า กระทรวงพาณิชย์ "ไม่ได้ทำอะไรอื่นมากกว่ายกกำลังเที่ยวปราบปราม" นั้น

    กรมทรัพย์สินทางปัญญาเห็นว่า คุณนิธิ อาจยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การคุ้มครองและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตลอดจนการดำเนินการของกรมในด้านต่างๆ จำนวนมาก คุณนิธิจึงแสดงความคิดเห็นซึ่งทำให้เข้าใจว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาดำเนินการเพียงด้านการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นภารกิจที่ถูกนำเสนอทางสื่อบ่อยครั้งเท่านั้น

    กรมทรัพย์สินทางปัญญา จึงขอให้ข้อมูล ให้ตัวอย่างการดำเนินการของกรม ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณนิธิหยิบยกขึ้นดังนี้

    ในชั้นแรก จำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ความรู้ที่ตกทอดจากบรรพบุรุษนั้น คนไทยย่อมมีสิทธิใช้ได้ ในเรื่องนี้ไทยมีกฎหมายให้ความคุ้มครองอยู่เพียงบางส่วน เช่น องค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย ซึ่งได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542

    การออกกฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หนึ่ง คือเพื่อสงวนรักษาภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทย ไม่ให้สูญหาย ถูกเบิดเบือนโดยการที่มีบุคคลโดยเฉพาะต่างชาตินำไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ

    ปัญหาที่เกิดขึ้นกับความรู้ของบรรพบุรุษ หรือภูมิปัญญาไทย ก็พบเห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ถูกต่างชาตินำไปใช้ประโยชน์บ่อยครั้ง อาจโดยคนไทยเองรับทุนเขามาทำวิจัยหรือขายงานวิจัยของตนไป พอเขาเอาไปใช้ เอาไปจดสิทธิบัตรเป็นของตนเองในต่างประเทศ คนที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงก็เรียกร้อง

    เราก็พยายามแก้ปัญหา โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ติดตามทวงสิทธิคืนมา

    ที่ผ่านมา การดำเนินการประสบปัญหาอย่างยิ่ง เพราะบางคนก็อ้างว่าเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชน ยิ่งเป็นประเทศอื่น ส่วนใหญ่ เขาก็ไม่รับรองคุ้มครองสิทธิในภูมิปัญญากัน เพราะถือว่าไม่ใช่ของใหม่ เพราะเป็นหลักการของสิทธิบัตรที่ประเทศทั่วโลกยอมรับ

    แต่กรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ได้ไปผลักดันการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศต่างๆ ร่วมกันมานานนับสินปี

    เช่น ให้มีความตกลงระหว่างประเทศกำหนดว่า ใครจะเอาภูมิปัญญาของอีกประเทศหนึ่งไปใช้ต้องขออนุญาตและแบ่งปันผลประโยชน์ให้ประเทศที่เป็นเจ้าของ

    เรื่องนี้ ชี้ให้เห็นว่า ในขณะที่คนไทยสามารถใช้ภูมิปัญญาของไทย ก็มีกรณีที่คนไทยหวงแหนไม่ต้องการให้ต่างชาติเอาไปใช้ และหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งกรมทรัพย์สินทางปัญญา จึงต้องไปหาแนวทางการคุ้มครองสิทธิของคนไทยด้วย

    เรื่องความรู้ของบรรพบุรุษก็เหมือนกับทรัพย์สินทางปัญญา แต่ต่างกันที่ความรู้ของบรรพบุรุษเป็นสิ่งที่มีอยู่นานแล้ว ไม่เข้าข่ายที่จะคุ้มครองตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

    ในปัจจุบัน กรมทรัพย์สินทางปัญญา เห็นปัญหาและความจำเป็นต้องคุ้มครองสิทธิของคนไทย แต่โดยที่กรมไม่อำนาจตามกฎหมายที่จะเข้าไปดำเนินการ และไม่ได้มีความใกล้ชิดกับองค์ความรู้ของบรรพบุรุษในสาขาใดสาขาหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้มีบทบาทเข้าไปแก้ไขปัญหาได้บางส่วน

    ส่วนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ ก็ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น กรมการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

    ระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเกิดขึ้นเพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้คิดค้นสิ่งใหม่ๆ โดยให้สิทธิแก่ผู้คิดค้นในการผลิตหรือขายสินค้าชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้คนที่คิดค้น จะได้คืนทุนที่ได้ลงไปในการคิดค้นได้กำไรบ้างเพื่อจูงใจให้เขาคิดของใหม่ๆ ต่อไป เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ของใหม่ๆ หลากหลายที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต

    อาจกล่าวได้ว่า ถ้าเราไม่มีระบบคุ้มครองสิทธิของคนคิด ในโลกยุคปัจจุบัน ใครจะมาลงทุนคิดให้คนอื่นใช้ฟรีๆ ต่างชาติก็คิด คนไทยก็คิด แล้วมาขอรับการคุ้มครอง ใครคิดเยอะก็ได้รับการคุ้มครองเยอะ

    ในอดีตคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือคิดแล้วไม่มาขอรับการคุ้มครอง กรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ไปส่งเสริมให้คนไทยคิดค้น สร้างงานทรัพย์สินทางปัญญา มาขอรับการคุ้มครอง เพื่อให้คนไทยเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น ก็ได้รับความสำเร็จมาโดยลำดับ

    ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีค่ายเพลง ค่ายหนัง นักเขียนหนังสือ ออกมาโวยวายว่า งานของตนถูกลอกเลียน ถูกเอารัดเอาเปรียบ ก็ย่อมแสดงชัดว่า คนไทยเริ่มเป็นเจ้าของและต้องการปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้นแล้ว

    เราและท่านก็คงต้องช่วยส่งเสริมในเรื่องนี้ เมื่อวิวัฒนาการของโลกเดินมาทางนี้ จะฝืนก็ไม่สำเร็จ เพราะโลกเขาก็ยังจะเดินต่ออยู่ดี ควรหันมาใช้ประโยชน์จากระบบทรัพย์สินทางปัญญากันดีกว่า

    ส่วนที่สำคัญและจำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างยิ่ง คือระบบทรัพย์สินทางปัญญาต่างจากระบบกรรมสิทธิ์ กรรมสิทธิ์ให้สิทธิแก่เจ้าของตลอดไป แต่ระบบทรัพย์สินทางปัญญา ให้สิทธิแก่เจ้าของเพียงระยะเวลาเดียวตามที่กล่าวข้างต้น

    นอกจากนี้ ระบบทรัพย์สินทางปัญญายังเปิดโอกาสประชาชนนำงานทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นไปใช้เป็นการส่วนตัวได้ในบางกรณี ลองนึกถึงระบบกรรมสิทธิ์ เราจะยอมให้คนอื่นใครก็ไม่ทราบ เอารถของเราไปใช้หรือไม่

    ส่วนการที่ระบบทรัพย์สินทางปัญญาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินทางปัญญาของเขาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ น่าจะเป็นเรื่องปกติถ้าเราจะคุ้มครองสิทธิ แต่คนอื่นเอาไปผลิตขายแข่งได้ แล้วการคุ้มครองจะมีความหมายอะไร

    ในเรื่องการปราบปรามที่คุณนิธิเห็นว่า เป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชน ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวในเคหสถาน แม้แต่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ในอินเตอร์เน็ตนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาเห็นว่า ไทยมีกฎหมายกำหนดกลไกวิธีการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นระบบ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้พยายามดำเนินการโดยให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดอยู่แล้ว

    เมื่อพูดถึงตรงนี้ เราคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า เรากำลังทำอะไรอยู่

    ถ้าเรากำลังคุ้มครองสิทธิของเจ้าของที่สร้างงานให้คนอื่นๆ ได้ใช้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามผู้กระทำความผิด ทำให้ผู้กระทำความผิดไม่ได้รับความสะดวกบ้าง คุณนิธิกำลังบอกว่า สังคมไทยรับไม่ได้หรืออย่างไร

    ที่กล่าวข้างต้น เพียงเพื่อให้หลายๆ ท่านที่ยังสับสนกับเรื่องบทบาทของกรมทรัพย์สินทางปัญญาในการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้เข้าใจก่อนว่า ทำไมภาครัฐถึงต้องคุ้มครอง ทำไมต้องปราบ ได้ทราบถึงแนวคิด เหตุผล และความจำเป็นต่างๆ

    ในครั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาจะขอโอกาสให้ข้อมูลเพิ่มเติมเป็นตัวอย่างว่าในช่วงที่ผ่านมา กรมได้ทำอะไรอีกบ้าง

    ด้านการส่งเสริมสร้างสรรค์และใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ เป็นภารกิจที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การเสริมสร้างความรู้ด้านทรัพย์สินทางปัญญา ผ่านการจัดนิทรรศการผลงานสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย และสิทธิบัตรของคนไทย นิทรรศการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์นานาชาติ การจัดงานตลาดนัดทรัพย์สินทางปัญญา (IP FAIR 2008) ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจัดการอบรมสัมมนาเผยแพร่ความรู้ด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่บุคลากรในวงการทรัพย์สินทางปัญญา ผู้ประกอบการ OTOP SMEs เป็นต้น

    ด้านการพัฒนาระบบและส่งเสริมการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ดำเนินการจัดระบบการคุ้มครองและพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง เช่น การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรม หรือการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (PCT: Patent Cooperation Treaty) โดยการเข้าเป็นภาคีดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกในการยื่นจดสิทธิบัตรของคนไทยในต่างประเทศ

    นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กับประชาคม (EC) ซึ่งไทยมีศักยภาพหลายรายการที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนใน EC เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้เป็นสินค้านำร่องสินค้าแรก เนื่องจากเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศไทย

    ด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากการปราบปรามแล้วยังได้ดำเนินการด้านการป้องปรามอีกมากมาย เช่น การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือการดำเนินการด้านการคุ้มครองสิทธิและแก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์

    รวมทั้งการระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เป็นต้น

    กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์และกำหนดวิสัยทัศน์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทรัพย์สินทางปัญญาที่มีการเปลี่ยนแปลง คือเป็นเลิศในการให้บริการ คุ้มครอง และบริหารจัดการด้านทรัพย์สินทางปัญญา (ด้วยการใช้นวัตกรรม และเครือข่ายทั้งในและระหว่างประเทศภายในปี 2555) โดยมียุทธศาสตร์และเป้าหมายหลักดังนี้

    ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมการสร้างสรรค์และการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ เพื่อให้คนไทยมีการสร้างสรรค์และใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น

    ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาระบบคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้คนไทยเข้าสู่ระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างทั่วถึงทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

    ยุทธศาสตร์ที่ 3 การป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และกำกับดูแลการใช้สิทธิอย่างเป็นธรรมเพื่อลดการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา สร้างความเป็นธรรมและวินัยทางการค้า

    ทั้งนี้ ยังมีภารกิจอีกหลากหลายด้านที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง หากคุณนิธิต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรมทรัพย์สินทางปัญญายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้รายละเอียดเพิ่มในแต่ละประเด็นตามที่ต้องการทราบ

    นอกจากนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาขอเรียนว่า กรมยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณนิธิเกี่ยวกับแนวคิดและระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มเติม
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "งดเหล้า เข้าพรรษา"

    โดย ชลวิทย์ เจียรจิตต์ ภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������

    ปัญหาเชิงสังคม คือ การรณรงค์ขององค์กรทางศาสนาและสถาบัน เชิญชวน งดเหล้าเข้าพรรษาทุกปี ถือเป็นธรรมเนียมทำดีแบบไม่หักด้ามพร้า ผู้เขียนชื่นชมกับผลงาน สสส.ตลอดมาในหลายบริบทกับความตั้งใจ ที่มีภาระทางใจทำงานมากกว่าหน้าที่ สิ่งที่ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตคือบริบทเปลี่ยนเป็นความจำเจเป็นการรณรงค์แบบเท่ มีสิ่งแปลกใหม่งานวิจัยลด ละ เลิกหรือไม่?

    การงดเหล้าเข้าพรรษา เพื่อมงคลของชีวิตตลอด 3 เดือน ถือเป็นมิติทางใจที่ตัวเองได้และพลอยทำให้ครอบครัว สังคมได้ สติของมนุษย์กลับคืนมา ไม่ใช่มีเหล้า การพนันจนขาดการไตร่ตรอง ขาดสติ ปัญญาถูกกดทับ

    นักดื่มจะปลอบตัวเองเสมอว่าดื่มเพื่อสังคม ได้ความคิดสร้างสรรค์ได้ความสำราญบานใจ มีความกล้าบ้าๆ บ่งบอกถึงชีวิตสำราญงานสร้างสรรค์ และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งที่คอทองแดงลืมไปคือ ปัญหาเชิงลึก การขาดการครองสติทำอะไรก่อนคิด ก่อนพูด ทำร้ายสังคมทุกมิติ อุบัติเหตุ ก่ออาชญากรรม ปล้น ฆ่า ข่มขืน บางส่วนมาจากคำว่า "กินเหล้าย้อมใจ"

    ทุกสิ่งไม่มีด้านมืด และด้านสว่างเพียงด้านเดียว สิ่งที่เรารณรงค์หวังว่า หยุดไม่ได้ จึงขอให้ยับยั้งชั่งใจลดจาก 12 เดือนเหลือสัก 9 เดือน งานวิจัยชี้ว่า ร้อยละ 24% งดเหล้าเข้าพรรษาแล้วจะเลิกตลอดไป

    แต่อีกหลายเปอร์เซ็นต์ที่ตบะแตกก่อนกำหนด บางส่วนกลับมาชดเชยกลายเป็นเสียผู้เสียคนก็แยะ

    ทำไมต้องรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษา ขอ สสส. องค์กรต่างๆ ทางศาสนา พระคุณเจ้า รัฐเอกชน สาธารณสุข ช่วยกันแบบน่านับถือหัวใจ ผู้เขียนขอมีมุมมองทำเพื่อชีวิตท่านแท้ๆ ดังนี้

    1.แตะเบรกกับชีวิตขาดสติคล้องใจ มาเป็นคนใส่ใจกับคุณภาพตนเอง

    2.พบว่าอุบัติเหตุ อาชญากรรมทุกๆ ด้านจะลดลงยามเข้าพรรษา ในอัตราเป็นที่น่าพอใจ

    3.เชื่อว่ามนุษย์หากลองหยุดอบายมุข อาจพบทางสว่าง ความมีเหตุผลน่าจะใช้ได้กับทฤษฎีงดเหล้าเข้าพรรษา

    4.ได้สติคนในสังคมมาพัฒนาตนเอง สังคม ประเทศชาติ มีความฉลาดเป็นตัวอย่างต่อครอบครัว ส่วนตัว สังคม ง่ายต่อการปรับตัวเชิงจริยธรรม

    5.ได้เห็นความร่วมมือรับผิดชอบของสังคม (CSR) ในองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันทางศาสนาเป็นภาพที่น่าชื่นใจ

    ที่กล่าวมาเป็นบริบทเล็กๆ ที่คิดได้ ซึ่งอยากให้คนในสังคมลองย้อนกลับสำรวจตนเองทำไมใจเราอ่อนแอ พ่ายแพ้ต่อน้ำเมา บุหรี่ เหล้า การพนัน เที่ยวกลางคืน อื่นๆ ทั้งเสียเวลา เสียทรัพย์ ไม่สมดุลทางร่างกาย

    คำตอบง่ายๆ คือ เราแพ้ใจตนเอง

    แย่กว่านั้นคือ เราไม่รักห่วงใยตนและคนรอบข้าง ทั้งๆ ที่ชีวิตเกิดก็ยาก อยู่ก็ไม่ง่าย การสร้างกำไรชีวิตน่าจะเป็นมิติแห่งการลด ละ เลิก จงอย่ารำคาญกับผู้มารณรงค์ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ให้งดเหล้าเข้าพรรษา แต่จงเพียรเรียกหาสติกลับมาทำได้ ทำไม่ได้ ทำไมเราจึงติดมัน

    ผู้เขียนขอวอนหน่วยงานสถาบันลดละเลิกงานเลี้ยงที่เสิร์ฟเหล้าโดยเฉพาะหน่วยงานราชการทุกๆ แห่ง นักการเมืองบางคนเมาแอ้มาสภาทำให้เราเห็นความบ้า น่าอายก็แยะ

    สถาบันการศึกษามีบทบาทเป็นสถาบันสีขาว รณรงค์แบบจริงจัง ห้ามนิสิตนักศึกษาดื่มเหล้าในสถาบันเด็ดขาด

    ดีใจที่กระทรวงสาธารณสุขมีการจัดการจะมีมาตรการห้ามจำหน่ายสุราใกล้เขตการศึกษา รณรงค์

    ช่วยกันเกิด แต่จะให้สุราหมดจากโลกนี้ไม่ได้ เพียงแต่เรียกร้อง ขอความร่วมมือใช้เวลาวันเข้าพรรษามาเป็นโอกาส สร้างชีวิตใหม่ปรับสมดุลทางร่างกาย คงให้กำลังใจคณะทำงาน สสส.สถาบันอื่นๆ ทำงานรณรงค์ให้เข้มแข็ง

    คงมีสักวันที่ฝันเห็นคนทั้งโลก มีความสุขโดยปราศจากสุรามาย้อมให้สุขแบบจอมปลอมกระมัง
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต้องแสดงความยินดีครับ

    ------------------------------------

    "น้องนก-นพวรรณ" คว้าแชมป์เยาวชนหญิงคู่อีกรายการ กลายเป็นดับเบิลแชมป์เยาวชนหญิงวิมเบิลดัน

    ˹ѧ��;������Ԫ��͹�Ź� : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>"น้องนก" นพวรรณ เลิศชีวกานต์ สาวเยาวชนมือหนึ่งของไทย ควงคู่กับแซลลี่ เพียร์ส สาวออสซี่ คว้าแชมป์เยาวชนหญิงคู่อีกรายการ เอาชนะคริสติน่า มลาเดโนวิช-ซิลเวีย นิริช ด้วยสกอร์ 6-1,6-1 กลายเป็นดับเบิลแชมป์เยาวชนหญิงวิมเบิลดัน 2009 อย่างสมบูรณ์แบบ หลังเพิ่งซิวแชมป์หญิงเดี่ยวเมื่อวันก่อน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "น้องนก" นพวรรณ เลิศชีวกานต์ สาวเยาวชนมือหนึ่งของไทย คว้าแชมป์เยาวชนหญิงคู่อีกรายการ กลายเป็นดับเบิลแชมป์เยาวชนหญิงวิมเบิลดัน 2009 อย่างสมบูรณ์แบบ หลังเพิ่งซิวแชมป์หญิงเดี่ยวเมื่อวันก่อน

    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>"น้องนก" นพวรรณ เลิศชีวกานต์ ยังคงฟอร์มสุดยอดในศึกวิมเบิลดัน เมื่อจับคู่ แซลลี่ เพียร์ส สาวออสซี่ ดวดแร็กเกต กับ คริสติน่า มลาเดโนวิช สาวฝรั่งเศส และ ซิลเวีย นิริช จากโครเอเชีย ซึ่งเป็นมือวางอันดับสองของรายการ เป็นคู่ที่สองของคอร์ตที่หนึ่ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยทั้งมลาเดโนวิชและนิริชต่างก็เป็นเหยื่อคมแร็กของสาวนกในประเภทเดี่ยวมาแล้วทั้งคู่ โดยคนแรกแพ้ในรอบชิงฯ ส่วนคนหลังพ่ายในรอบควอเตอร์ไฟนัล


    ผลปรากฎว่า คู่ของสาวไทยประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม ใช้เวลาแค่ 47 นาที ต้อนเอาคู่เต็ง 2 ของรายการ ไปอย่างขาดลอย 2 เซตรวด ด้วยสกอร์ 6-1,6-1 คว้าแชมป์เยาวชนหญิงคู่วิมเบิลดัน 2009 ไปครองอย่างสวยงาม และยังถือเป็นเวลาทองของน้องนกด้วย เนื่องจากเป็นดับเบิลแชมป์วิมเบิลดันจูเนียร์ ทั้งประเภทหญิงเดี่ยวและหญิงคู่ ในปีนี้


    "น้องนก" นพวรรณ เพิ่มสถิติการคว้าแชมป์ประเภทเยาวชนหญิงคู่ ในรายการระดับแกรนด์สแลมให้กับตัวเองเป็น 3 รายการแล้ว


    ผลงานในระดับแกรนด์สแลม "น้องนก" นพวรรณ ที่ผ่านมา คว้ารองแชมป์เยาวชนหญิงเดี่ยว "วิมเบิลดัน" ปี 2008 คว้าแชมป์เยาวชนหญิงคู่ โดยจับคู่กับ ซานครา โรมา จากสวีเดน ในศึก "ยูเอส โอเพ่น" ปี 2008 และเมื่อเดือนที่แล้วคว้าแชมป์ประเภทเยาวชนหญิงคู่ "เฟรนช์ โอเพ่น" 2009 ได้ โดยจับมือกับ เอเลนา บ็อกดาน จากโรมาเนีย ก่อนที่เธอจะมาคว้าแชมป์ทั้ง ในประเภทเยาวชนหญิงเดี่ยว และเยาวชนหญิงคู่ ในศึก"วิมเบิลดัน" ปีนี้อีก
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปั๊มแสบแอบนำบี 5 สวมรอยดีเซล
    Daily News Online > หน้าเศรษฐกิจ > ปั๊มแสบแอบนำบี 5 สวมรอยดีเซล

    ฟันกำไรเข้ากระเป๋าตุงลิตรละ 2.8 บาท พลังงานเร่งจับมือตำรวจไล่กวาดล้าง

    นายปราโมทย์ ญาณทักษะ ผู้อำนวยการสำนักคุณภาพเชื้อเพลิง กรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันปั๊มน้ำมันในต่างจังหวัดหลายรายแอบนำน้ำมันดีเซลบี 5 มาจำหน่ายในหัวจ่ายน้ำมันดีเซล บี 2 เพื่อหวังได้กำไร เนื่องจากราคาบี 5 ถูกกว่า บี 2 ลิตรละ 2.80 บาท เพราะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคาตามนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนที่สามารถผลิตได้ในประเทศไทย ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ตรวจพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากถึง 28 ปั๊ม ดังนั้นจึงได้ขอความร่วมมือกับบริษัทน้ำมันเข้มงวดการบริการของปั๊มทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามระเบียบของ กรมธุรกิจพลังงาน

    ทั้งนี้น้ำมัน บี 5 ที่นำมาจำหน่ายจะต้องเติมสี เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างน้ำมันดีเซลปกติ โดยดำเนินการตั้งแต่คลังน้ำมัน แต่ผลการส่งเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจคุณภาพน้ำมันในปั๊มน้ำมัน พบว่าหัวจ่ายน้ำมันที่เป็นดีเซลบี 2 กลับพบเป็นน้ำมัน บี 5 แทน แสดงให้เห็นว่าเจ้าของปั๊มได้ลักลอบจำหน่ายน้ำมันผิดประเภท เพื่อหวังกำไร โดยผู้ที่ทำความผิดมีบทลงโทษปรับ 1 แสนบาทหรือจำคุก 1 ปี หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

    “ความผิดที่ตรวจพบเกิดขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มอยู่ในทิศทางขาขึ้น ทำให้เกิดความหลากหลายในการลักลอบขายน้ำมันเพื่อเก็งกำไร ซึ่งกรณีของ บี 5 กับดีเซล มีส่วนต่างราคาอยู่เฉลี่ยลิตรละ 2.80 บาท เป็นตัวเลขที่จูงใจให้มีการทำผิด เพราะรถบรรทุกน้ำมันต่อคันบรรจุได้ 1.6 หมื่นลิตร หากคำนวณจากส่วนต่างราคาจะทำให้มีกำไรถึงคันละ 4.4 หมื่นบาท หลังจากนี้กรมฯ ต้องเพิ่มความเข้มงวดกับการตรวจสอบปั๊มน้ำมันให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้ใช้น้ำมัน”
    นายปราโมทย์ กล่าวว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้กำหนดไว้ 2 วิธี ประกอบด้วย การประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่เพื่อร่วมกันสุ่มตรวจจับกุมผู้กระทำผิด และเร่งหารือกับกระทรวงพลังงานพิจารณาลดส่วนต่างราคาระหว่างดีเซลกับ บี 5 ซึ่งจะช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการนำเงินไปชดเชยราคาขายปลีก บี 5 ด้วยอีกทางหนึ่ง

    นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว. พลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการส่งเสริมพลังงานทดแทนอย่างมาก โดยเร่งส่งเสริมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานทดแทนโดยเฉพาะปาล์ม เพื่อให้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการใช้ เพราะอีก 2-3 ปี กระทรวงพลังงานจะประกาศบังคับใช้น้ำมันดีเซลบี 5 และแยกเลิกใช้น้ำมันดีเซลบี 2 ล่าสุดไทยผลิตน้ำมันปาล์มได้ 5 ล้านลิตรต่อวัน แบ่งเป็น น้ำมันพืช 3 ล้านลิตร และ ไบโอดีเซล บี 100 อีก 2 ล้านลิตร แต่หากจะประกาศขายบี 5 ทั่วประเทศได้ต้องมีไบโอดีเซลบี 100 วันละ 2.5 ล้านลิตรต่อวัน

    นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวย การสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า กระทรวงพลังงานเร่งผลักดันการใช้เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพในไทยเพิ่มขึ้น ให้เป็นไปตามแผนอนุรักษ์พลังงานปี 51-54 เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจก และแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ โดยมุ่งส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในกลุ่มผู้ประกอบการ 11 กลุ่ม เช่น ฟาร์มสุกรเล็ก ฟาร์มสุกรกลาง-ใหญ่ โรงแป้งมัน โรงปาล์ม โรงเอทานอลเป็นต้น.
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อัศจรรย์"หลวงปู่ทิม"ในพิธีย้ายสังขาร

    Daily News Online > หน้าภูมิภาค > อัศจรรย์"หลวงปู่ทิม"ในพิธีย้ายสังขาร

    [​IMG]

    เมื่อเวลา 16.50 น. วันที่ 5 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายก อบจ.พระนครศรีอยุธยา นายวิทิต ปิ่นนิกร นายอำเภอบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยประชาชน และลูกศิษย์ลูกหาของ พระครูสังวรณ์ธรรมกิจ หรือหลวงปู่ทิม อตสันโต เกจิชื่อดัง และเป็นเจ้าอาวาสวัดพระขาว อ.บางบาล จำนวนเกือบหมื่นคน ได้เดินทางมาร่วมในพิธีนำสังขารของหลวงปู่ซึ่งอยู่ในหีบแก้ว ขึ้นตั้งไว้ภายในมณฑปลายรดน้ำ

    โดยทางวัดกำหนดที่จะเคลื่อนสังขารของหลวงปู่ทิมในเวลา 17.00 น. แต่ปรากฏว่าก่อนที่จะเคลื่อนประมาณ 9 นาที ได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก จนกระทั่งเวลา 17.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเคลื่อนหีบแก้วบรรจุสังขารของหลวงปู่ทิมออกจากศาลาการเปรียญ ปรากฏว่าฝนได้หยุดตกทันที เหลือเพียงละอองโปรยปราย เจ้าหน้าที่จึงได้นำหีบแก้วบรรจุสังขารของหลวงปู่ทิมขึ้นสู่มณฑปลายรดน้ำ โดยใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายรวม 29 นาที จากนั้นฝนได้ถล่มลงมาอีกครั้ง สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่มาร่วมพิธีเป็นอย่างมาก ต่างพากันเชื่อว่าเป็นเสมือนน้ำมนต์ที่หลวงปู่ทิมประพรมให้กับลูก ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย สำหรับร่างของหลวงปู่ทิมที่เก็บรักษาไว้ในมณฑป จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มากราบไหว้ทุกวัน.
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=661 border=0><TBODY><TR><TD class=textHeadBlue>ประทานพระโอวาทวันอาสาฬหบูชา</TD></TR><TR><TD height=25>:: INN online .- ʴ�ѹ�շ���բ��� ::

    </TD></TR><TR><TD><B><TABLE height=300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=664 border=0><TBODY><TR><TD width=1></TD><TD vAlign=top width=660>
    <!-- [​IMG] -->
    </B>
    <!-- Show Detail -->สมเด็จพระสังฆราชประทานพระโอวาทวันอาสาฬหบูชา ประจำปี 2552 ใจความว่า "วันอาสาฬหบูชา เป็นวันบูชาสำคัญที่สุดวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา จงมั่นใจและจงปฏิบัติเทิดทูนบูชาให้เต็มจิตใจทุกเวลา"


    สำนักงานสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ได้เผยแพร่พระโอวาท สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ประจำปี 2552 ใจความว่า "วันอาสาฬหบูชา เป็นวันบูชาสำคัญที่สุดวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา ตรงกับวันพระจันทร์เต็มดวง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือ เดือนอาสาฬหบูชา เป็นวันที่เจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากได้ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ 2 เดือน ได้ทรงแสดงพระปฐมเทศนา ทรงประกาศพระธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นครั้งแรกโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี ท่านโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม รู้ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา" โดยสมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปล่งพระพุทธวาจาให้เป็นที่ประจักษ์ ว่า อัญญาโกณฑัญญะ คือ "โกณฑัญญ ได้รู้แล้วหนอ" วันนั้นจึงเป็นวันที่พระรัตนตรัยเกิดครบ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์แรกที่เกิดขึ้นคือท่านโกณฑัญญะ ด้วยพระบารมีพระรัตนตรัย จงมั่นใจและจงปฏิบัติเทิดทูนบูชาพระรัตนตรัย ให้เต็มจิตใจทุกเวลา"

    </TD></TR></TBODY></TABLE></B></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=661 border=0><TBODY><TR><TD class=textHeadBlue>ยอดเคล็ดลับเที่ยวอย่างไรให้ปลอดภัย </TD></TR><TR><TD height=25>:: INN online .- ʴ�ѹ�շ���բ��� ::</TD></TR><TR><TD><B><TABLE height=300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=664 border=0><TBODY><TR><TD width=1></TD><TD vAlign=top width=660>
    <!-- [​IMG] -->
    </B>
    <!-- Show Detail -->
    ท่องโลกกว้างตัวคนเดียว...เที่ยวอย่างไรให้ปลอดภัย

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD height=5></TD></TR>


    <!-- Show Image -->
    [​IMG]



    <!-- End Show Image -->



    </TBODY></TABLE>

    การออกเดินทางคือการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งในชีวิตที่ในหลักสูตรใด ๆ ไม่มีสอน ยามที่คุณต้องท่องโลกกว้างคนเดียว ที่การไปเที่ยวกันเป็นแก๊งจะไม่มีทางได้รู้ และก่อนแพ็กกระเป๋าออกเดินทาง อย่าลืมพกกติกาประจำตัวที่นักลุยเดี่ยวควรต้องรู้ไว้ประดับกาย ได้แก่...

    1. ต้องมีเครือข่าย

    ถึงจะลุยเดี่ยวแต่ใช่ว่าจะโดดเดี่ยวเสียหน่อย ก่อน ที่คุณจะเดินทางที่ไหนก็ตาม ในโลกด้วยตัวคนเดียว นอกจากจะต้องศึกษาภูมิหลังของสถานที่นั้นอย่างคร่าว ๆ (หรือจะละเอียด ก็แล้วแต่อัธยาศัย) คุณควรมองหาว่ามีใครบ้างที่รู้จัก ที่พอจะติดต่อได้ยามฉุกเฉิน หรือถ้าในกรณีไม่ฉุกเฉิน ก็คือการขอพึ่งใบบุญเขานั่นเอง ให้เขาพอแนะนำอะไรได้บ้าง เป็นการเซฟตัวเองไว้ดีกว่า

    2. ปลอดภัยไว้ก่อน

    ก่อนเดินทางควรตรวจสอบท้องถิ่นที่คุณจะไป ข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหว ทางการของที่นั่นครั้งล่าสุด เพื่อให้แน่ใจว่า เมื่อคุณไปถึงที่หมายแล้ว จะไม่มีการก่อการร้ายเกิดขึ้นแน่ ๆ

    3.เป็นนาย/ นางละเอียดด้วย

    กฎข้อนึงของนักท่องเที่ยวแบ๊กแพ็กเกอร์ ใช่เพียงทำตามหัวใจอย่างเดียว บางทีก็ต้องสมเหตุสมผลกันบ้าง อย่างการคำนวณเรื่องที่พักอาศัย เวลา และเงิน ที่คุณควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก ๆ เลย เพราะเรายังไม่ใช่มือโปรระดับ “ค่ำไหนนอนนั่น” หลังจากที่คุณเลือกจุดหมายปลายทางเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนหลังจากนั้นคือ การตรองว่าคุณต้องการอะไรจากการท่องเที่ยวในครั้งนี้บ้าง เช่น วัฒนธรรม วิถีชาวบ้าน, กิจกรรม, ไปสูดอากาศ หรือไปเพื่อยกระดับการเที่ยวของคุณให้สูงขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณต้องเลือกบนพื้นฐานความพอใจ ไม่ใช่ตามแบบอย่างใคร และประเมินขีดจำกัดของตัวเองด้วย

    4. ก้าวเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่

    เริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ ที่คุณสามารถจัดการได้ก่อน คุณอาจเริ่มต้นจากพักโฮมสเตย์ที่ไว้ใจได้ ในสถานที่ใกล้ ๆ และคุ้นเคย ดูไม่เสี่ยงจนเกินไป สำหรับการเที่ยวคนเดียวในครั้งแรก ๆ ของชีวิต เมืองไทยมีมากมายตามจังหวัดที่มีประเพณี วิถีชีวิตอันเรียบง่ายทว่างดงาม ใกล้กรุงเทพฯ หรือทะเล ใกล้ ๆ ที่มีคนปูทางไว้เรียบร้อยแล้ว แค่หิ้วกระเป๋าก็เดินปร๋อไปหย่อนใจได้ จากนั้นค่อยก้าวยาว ๆ แบบไม่ต้องกระโดด ขึ้นภู ลงดอย เที่ยวหมู่บ้านชาวเขา หรือล่องใต้ ข้ามเกาะแก่งไปตามหาหัวใจ (นักเดินทาง) ที่อยู่ในตัวคุณ

    5. ทำตัวกลมกลืน

    อีกหนึ่งกลเม็ดเคล็ดลับในการเที่ยวแปลกถิ่นแบบคนเดียว คือ คุณควรแสดงตัวประหนึ่งคนคุ้นเคยในสถานที่นั้น ให้เนียน ๆ เข้าไว้ เป็นการกันไว้ไม่ให้พวกมิจฉาชีพที่จ้องจะขย้ำคนแปลกถิ่น มีช่องมา ทำมิดีมิร้ายคุณได้ ไม่ว่าจะทำอะไรต้องมั่นใจ เชิดหน้าเข้าไว้ สอบถามทางก็ซักให้ละเอียด อย่าทำงกเงิ่นออกมา แรก ๆ คุณอาจเก้อเขินในการไปไหนมาไหนคนเดียว แต่พอเข้าครั้งที่สองที่สาม ก็จะชินขึ้นตามสภาพ

    6. หาไฮไลต์ที่ที่ไป

    แม้จะต้องเที่ยวคนเดียว แต่ก็ควรจะเก็บสถานที่เด็ด ๆ ให้ครบถ้วน ไปถึงถิ่นทั้งที อะไรที่ เขาแนะนำไว้เป็นต้องลองตามสูตร ไม่งั้นไปไม่ถึงที่ อะไรดี ๆ เด่น ๆ ก็ควรจะลองซะ ชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี จะได้รู้ไว้แนะนำคนอื่นได้ ไว้เพิ่มเติมบันทึกแห่งการเดินทางของชีวิตคุณเพิ่มอีกสักบรรทัด...ซึ่งแต่ละบรรทัดนั้นได้สัมผัสรับรู้มาด้วยหัวใจและสองขาของคุณเอง เริ่มต้นเดินทาง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่มันจะสาย....ก่อนหัวใจจะไร้พลัง แพ็กกระเป๋าลุยเดี่ยวไปเติมจิตวิญญาณที่ใกล้จะห่อเหี่ยวเต็มทีกันเถอะ



    </TD></TR></TBODY></TABLE></B></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    Email ที่ทำงานผม ขอความกรุณาไม่ต้องส่งเข้ามา เพราะว่า ส่งเข้ามาก็ไม่ได้อ่าน เห็นEmail ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน ผมจะลบทิ้งทันที

    ส่วนพระสงฆ์ที่เทศน์เก่งๆบางรูป ท่านมีความรู้เรื่องของศาสนาพุทธมาก เนื่องจากท่านได้อ่านมาก จำได้เก่ง (จาก สุ จิ ปุ ลิ) แต่เรื่องของการปฎิบัติยังเป็นคนละเรื่องกันครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สุดยอดแห่งบุญคือ...บุญที่ทำด้วยปัญญานำศรัทธา
    �ش�ʹ��觺ح���...�ح����Ӵ��»ѭ�ҹ���ѷ�� ���Ѵ�֡ : ��ʹ� ��Ż�-�Ѳ����� �Ҹ�ó�آ : ���Ƿ�����

    [​IMG]


    • ภาพประกอบข่าว

      คมชัดลึก : ประเภทของบุญ กล่าวโดยย่อมี ๓ อย่าง คือ ๑.ทานกุศล หมายถึง บุญเกิดจากการบริจาคทาน เสียสละความสุขส่วนตัว ทรัพย์สินแม้ชีวิตเลือดเนื้อ ร่างกาย สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ ให้ผู้อื่น ๒.ศีลกุศล หมายถึง
    บุญจากการรักษาศีล รักษากาย วาจา ใจให้เรียบร้อยดี ไม่มีโทษแก่ผู้ใด ทั้งแก่ตนเองและทั้งผู้อื่น และ ๓.ภาวนากุศล หมายถึง บุญจากการพัฒนาจิตใจโดยการทำสมาธิ ให้จิตใจนั้นปลอดจากกิเลสนิวรณ์ แล้วก็เจริญปัญญาเพื่อกำจัดความไม่รู้ ทำใจให้สะอาด บริสุทธิ์ และเจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวะของธรรมชาติและสัจธรรมตามที่เป็นจริงเรียกว่า การเจริญภาวนา
    องค์ประกอบที่สำคัญอยู่ ๓ ประการ คือ ๑.ทำบุญด้วยความเต็มใจ เมื่อจิตเกิดเป็นกุศล มีความเต็มใจ จงทำบุญหรือปวารณาว่าจะทำบุญหรือปวารณาว่าจะทำบุญ ตามความพร้อมในขณะนั้น เมื่อถึงเวลาที่บุญจะให้ผล (กาลสมบัติ) บุญจะส่งผลให้ตามเจตนาที่เป็นกุศลเต็มที่โดยพลัน โดยไม่มีอุปสรรคขัดขวาง แต่ถ้าทำบุญอย่างเสียมิได้ หรือด้วยความลังเล ผัดผ่อน เสียดาย ผลบุญที่ได้รับก็จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ฉับพลันเหมือนใจของเราที่ลังเลเช่นกัน
    ๒.ทำบุญด้วยความศรัทธา ศรัทธาที่ว่านี้ต้องตั้งอยู่บนความมีเหตุมีผล ที่เรียกว่าศรัทธาบริสุทธิ์จากกิเลส ผลบุญจากการที่ทำบุญอย่างศรัทธาที่มีเหตุผลนี้ จะเกิดปัญญาในการทำบุญปัญญาในการรู้รักษาตัวรอด ปัญญาในการหาบุญได้ ใช้บุญเป็น แม้ชาตินี้ยังฐานะไม่ดีนักก็สามารถอยู่อย่างสุขสบายในการทำมาหากินไปได้ ไม่ฝืดเคือง ตรงข้ามกับผู้มีทรัพย์มากแต่ถ้าไม่รู้จักใช้ทรัพย์ในการทำบุญ คือไม่มีปัญญาที่จะใช้ทรัพย์นั้นให้เกิดบุญดังคำกล่าวที่ว่า “บุญมาปัญญาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก บุญไม่มา ปัญญาไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย” และ ๓.ทำบุญให้ถูกบุญ คือ การทำบุญให้ถูกสถานที่และบุคคลเพื่อเป็นเนื้อนาบุญ เช่น ทำบุญเพื่อทำนุบำรุงธรรมปฏิบัติ และผู้มาปฏิบัติขัดเกลากิเลส เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่มีวัตถุประสงค์และการดำเนินงานที่จะเป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัท

    “โยมท่านใดที่จะทำบุญ ตักบาตรพระ ถ้าเห็นพระนั่งอยู่กับเก้าอี้ก็ดี อย่าไปใส่บาตรเลย พระเวลาบิณฑบาตจะต้องเดินตามลำดับ ไม่ยืนที่ใดที่หนึ่งประจำ หรือมีพระยืนรออยู่ มีโยมยืนอยู่การนั่งผิดแน่นอน ไม่ถูกหลักพระวินัย ปัจจุบันก็มีนั่งอยู่ พระพุทธองค์เคยสอนไว้ เวลาให้ทานต้องเลือกให้ เลือกให้แก่บุคคลที่ควรให้มันจึงจะได้บุญ อยากให้ประชาชนแจ้งมาแต่โยมบางคนกลัวทำบาป คนที่คิดแบบนั้นทำบาปแล้วต้องแจ้ง จึงถือว่าทำบุญ กำจัดสิ่งไม่ดีออกจากศาสนาจะบาปได้อย่างไร“ นี่คือคำแนะนำการทำบุญดวยปัญญานำศรัทธาของพระรัตนเมธี หัวหน้าพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) กทม./เจ้าคณะเขตบางซื่อ
    พระรัตนเมธี หัวหน้าพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) กทม./เจ้าคณะเขตบางซื่อ บอกว่า ยุคเศรษฐกิจตกต่ำยิ่งทำให้คนหันมาทำผิดกฎหมายกันมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่วงการพระสงฆ์ที่มีกลุ่มคนที่ไม่มีความละอาย หรือที่เรียกว่า "อลัชชี" หันมายึดผ้าเหลืองสวมจีวรบังหน้าเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนมากจะเป็นการบิณฑบาตเวียนเทียน คือการที่ญาติโยมทำบุญแล้ว พระนำไปขายให้แก่ร้านค้า แล้วกลับมารับบาตรอีก ซึ่งไม่ถูกต้อง เป็นอาจารไม่สมควรแก่สมณวิสัย ก็จะนิมนต์พระรูปนั้นไปสอบสวน แล้วถวายคำแนะนำ ถ้ากลับมาทำอีกก็จะภาคทัณฑ์จนถึงให้ลาสิกขา

    ปัจจุบันพระวินยาธิการมีทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ ๒๐๙ รูป ทำให้การปกครองในด้านต่างๆ ดีขึ้น จากเมื่อก่อนนี้จะมีญาติโยมมาร้องเรียนว่า มีพระสงฆ์นำลูกนิมิตมาตั้งท้ายรถกระบะ แล้วก็ประกาศให้ญาติโยมมาทำบุญปิดทองลูกนิมิตเยอะมาก อีกกรณีหนึ่งคือ นำถังผ้าป่ามาตั้งไว้ตามห้างร้านต่างๆ เสร็จแล้วก็กลับมาเก็บ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี เรียกว่าการปฏิบัติงานของพระวินยาธิการได้ผล จนพระผู้ใหญ่หลายรูปก็กล่าวชม

    พระวินยาธิการปฏิบัติงานคล้ายๆ กับตำรวจเหมือนกัน แต่ว่าบทลงโทษของเรานั้น ถ้าเป็นการผิดเล็กๆ น้อยๆ เราก็ว่ากล่าวถวายคำแนะนำให้ประพฤติตัวเสียใหม่ แต่ถ้าเป็นความผิดที่มากกว่านี้ เช่น มาปักกลดในสถานที่ที่ไม่ถูกต้องหรือมาบิณฑบาตยืนปักหลักอยู่กับที่ ประพฤติปฏิบัติติดต่อกันหลายๆ ครั้งก็จะภาคทัณฑ์ และถ้ากล่าวตักเตือนแล้วยังไม่เชื่อ ขั้นสุดท้ายก็ต้องให้สละสมณเพศ หรือลาสิกขาไป แต่บางกรณีมีผู้ไม่ยอมรับผิดก็จะมีการสอบสวน โดยดูใบสุทธิ สอบถามที่มาที่ไป แล้วบันทึกถ้อยคำไว้ ซึ่งจะทำให้เราวินิจฉัยได้ว่าภิกษุรูปนั้นเป็นพระจริงหรือพระปลอม

    พระ ๗ แบบที่ไม่ควรใส่บาตร

    พระครูศรีรัตนคุณ บอกว่า พระสงฆ์ที่ทำผิดวินัยด้วยการปักหลักบิณฑบาตมากที่สุดตามตลาด ใหญ่ๆ ทั่ว กทม. โดยแต่ละปีสามารถจับกุมพระที่ทำผิดหลักวินัยของสงฆ์หลักราย มีรูปแบบกระทำผิดพระวินัยสงฆ์ ทั้งการแจกซองผ้าป่า เดินเคาะตามประตูบ้าน และยืน-นั่งปักหลักบิณฑบาต เป็นต้น หลังจากนิมนต์พระที่กระทำผิดวินัยสงฆ์มาพบเจ้าคณะแขวง หรือเจ้าคณะเขต และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ตรวจสอบแล้วพบพระปลอมกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์
    “เท่าที่อาตมาปฏิบัติงานมา ๑๐ กว่าปี มีถึง ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เจอแล้วไม่ใช่พระ อาตมาเคยถามเขาว่า ทำไมจะต้องปลอมมาเป็นพระ เขาบอกว่ายากจน ไม่รู้จะไปทำอะไร และทางนี้เป็นทางที่หาเงินได้ง่าย เป็นงานเบา งานสบาย บางจังหวัดเขาจะยกกันมาเป็นหมู่บ้านเลยนะ แล้วก็มาโกนหัวห่มผ้าเหลือง มาเช่าบ้านอยู่ และออกเรี่ยไรเงินประชาชน”

    ทั้งนี้พระครูศรีรัตนคุณได้ตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นเกี่ยวกับพระที่ไม่น่าเลื่อมใสและไม่ควรใส่บาตร ไว้ ๗ ประการ คือ
    ๑.ย่ามใหญ่ ซึ่งภายในย่ามอาจมีผ้าขนหนู เสื้อผ้า สบู่ ยาสีฟัน อย่างครบคันรวมอยู่ในย่าม
    ๒.จีวรไม่สะอาด เพราะต้องนอนตามสถานีรถไฟ
    ๓.มีบาตรและกลดพระติดตัวในย่านชุมชนเมือง ซึ่งกิจของพระธุดงค์ต้องเดินห่างจากชุมชนเมือง ๒๕ กม.เป็นการเดินในป่าไม่ใช่ในเมือง
    ๔.นอนมั่วทุกแห่ง
    ๕.แหล่งที่พักไม่แน่นอน
    ๖.สัญจรอยู่ตลอดเวลา
    และ
    ๗.อธิฐานพรรษาไม่ถูก ไม่มีใบสุทธิ

    เรื่องไตรเทพ ไกรงู ภาพศูนย์ภาพเนชั่น
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=undefined&dt=1246849121437&lmt=1246849121&format=undefinedxundefined&output=html&correlator=1246849121437&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Fnewreply.php%3Fdo%3Dpostreply%26t%3D22445&ea=0&frm=0&ga_vid=332427684.1245633217&ga_sid=1246843891&ga_hid=1841626130&ga_fc=true&flash=9.0.28.0&w=-1&h=-1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_tz=420&u_his=29&u_java=true&dtd=109" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย”นิสัยใหม่ที่ฝึกได้

    "��Ҵ�Ѻ �����Ѵ ��ʹ��”�������������֡��� ���Ѵ�֡ : ���ѡ��ҹ-�ҹ¹�� : ���Ѵ�֡��Դ�š¹������

    คมชัดลึก :หลายคนขับรถ "เป็น" แต่น้อยคนนักจะขับรถได้ "ถูกต้อง" อุบัติเหตุจึงยังคงเกิดขึ้นเสมอ
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1044823792492543";/* Kom-newdesign338x280story */google_ad_slot = "7614892621";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>

    หลังจาก ฟอร์ด ประเทศไทย จัดโครงการ “Driving Skills for Life - ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” โดยในปีที่ผ่านมามีผู้ให้ความสนใจสมัครเข้าอบรมอย่างล้นหลาม ซึ่งร้อยละ 60 เป็นผู้หญิง สะท้อนให้เห็นว่าในสังคมไทยการรณรงค์ลดอุบัติเหตุจากภาครัฐอย่างเดียวไม่เพียงพอ

    โครงการนี้จึงจัดต่อเนื่องเป็นปี 2 เพื่อแนะวิธีการขับรถให้ถูกวิธีและปลอดภัย พร้อมปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อการใช้รถอย่างถูกต้อง และเทคนิคขับรถอย่างไรให้ประหยัด ไว้อย่างน่าสนใจ โดยครั้งนี้ได้นำ คณะสื่อมวลชน เดินทางไปทดสอบที่สนามบริดสโตน ยังมีวิทยากรรับเชิญ ผู้เป็นกูรูด้านยานยนต์อย่าง ยุทธพงษ์ ภาษี ที่ตอนนี้ไปไหนมาไหน ก็ถูกร้องเรียกว่า "ครูกุ้ง" ได้ให้ความรู้ถึงการขับรถไว้อย่างน่าสนใจ

    ครูกุ้งบอกว่า สิ่งที่นักขับที่ดีควรทำเสมอ นอกจากร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์พร้อมแล้ว คือการปรับทัศนคติในเรื่องของการขับขี่ใหม่ เช่น ไม่ควรขับรถระยะกระชั้นชิด แต่ควรรักษาระยะห่างจากคันหน้าในระยะปลอดภัย หมายถึงใน 3 วินาที จึงจะทำให้สามารถเบรกหรือหยุดรถทัน มองกระจกบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่บอดของรถ ซึ่งกระจกและระดับสายตาของผู้ขับขี่ไม่สามารถมองเห็นได้
    นอกจากนี้ ควรมองหาทางออกเสมอ พยายามอยู่ในพื้นที่ว่าง อย่าใกล้หรือชิดรถคันอื่นมากเกินไปจนไม่มีทางออก รู้จักถนน และสังเกตป้ายจราจรต่างๆ และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

    "นักขับที่ดีควรรู้จักการใช้อุปกรณ์ในรถเพื่อความปลอดภัยให้เป็น และเรียนรู้ว่าทำงานอย่างไร พร้อมเตรียมวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ระบบเบรก ABS เมื่อใช้ควรเหยียบเบรกแรงๆ ทีเดียวแล้วค้างไว้ เพื่อให้ระบบทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับในกรณีฉุกเฉินอย่างมีรถตัดหน้าจะได้ไม่ตกใจและควบคุมรถได้ปกติไม่ลื่นไถล"

    นอกจากระบบเบรก ABS หรือ Antilock Braking System แล้ว ครูกุ้งยังอธิบายถึงระบบ ESP (Electronic Stability Program) จะช่วยชดเชยและปรับสภาพให้รถทรงตัวอยู่ในสภาวะปกติทันที ในกรณีรถเกิดสไลด์ออกซ้ายหรือขวาเมื่อขับรถบนถนนเปียกลื่น

    "การจับพวงมาลัยให้ถูกต้องในกรณีฉุกเฉินเกิดอันเดอร์สเตียร์ (Understeer) หรืออาการหน้าดื้อโค้ง ท้ายจะสะบัดออกไปทางด้านข้าง ในขณะที่เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง วิธีแก้ไขคือผ่อนคันเร่งคืนพวงมาลัยและค่อยๆ หมุนกลับไปใหม่"

    ครูกุ้งย้ำว่า การเปลี่ยนช่องทางเดินรถฉุกเฉิน กรณีเมื่อมีอะไรตัดหน้าจะทำให้ไม่มีโอกาสเบรกทันที ดังนั้น ไม่ควรตกใจ ควรหักหลบและควบคุมรถให้อยู่ในเลนก่อนที่จะเบรกรถเพื่อหยุด

    หลังจากเลกเชอร์ภาคทฤษฎีกันแล้ว ครูกุ้งและทีมผู้สอนระดับเกจิ พาคณะลูกศิษย์ (เฉพาะกิจ) ไปทดสอบการขับ โดย "ฟอร์ด" ยกรถให้ทดลองขับไปถึงเขาใหญ่ แต่ก่อนปล่อยรถ ยังได้ยินครูย้ำเตือนผ่านโทรโข่งอีกครั้งว่า
    "สิ่งที่ผู้อบรมต้องทำเป็นอันดับแรก คือ จะต้องเปิดใจเชื่อและยอมรับ ก่อนจะนำไปทดลองและปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ และหมั่นปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยแล้วใช้เวลาขับประมาณ 16,000 กิโลเมตร จะเกิดเป็นนิสัยใหม่ในการขับรถที่ดีติดตัวไปตลอด นั่นหมายความว่าคุณจะมีความปลอดภัยมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง"

    สำหรับโครงการ “Driving Skills for Life - ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” จะจัดครั้งต่อไปในกรุงเทพฯ วันที่ 18-19 กรกฎาคม และ 8-9 สิงหาคม รวมทั้งจะโรดโชว์ต่อไปที่ จ.ชลบุรี จ.เชียงใหม่ และปิดท้ายที่ จ.กำแพงเพชร ในเดือนตุลาคมนี้ สนใจร่วมเข้ารับการอบรมได้ที่ฟอร์ดคอลเซ็นเตอร์ โทร. 0-2686-5899 หรือติดตามความเคลื่อนไหวผ่านเว็บไซต์

    www.drivingskillsforlife.com <http://www.drivingskillsforlife.com/>
    ดวงกมล อิศรพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ฟอร์ด ประเทศไทย บอกว่า “อุบัติเหตุบนท้องถนนมีสาเหตุหลักจากผู้ขับขี่มากกว่าปัญหาจากตัวรถถึง 90% ในประเทศไทยอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 แท้จริงแล้วอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นเราสามารถป้องกันและลดจำนวนได้ ดังนั้น ฟอร์ด จึงได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้น เพื่ออบรมส่งเสริมการขับรถให้ถูกวิธีและปลอดภัย พร้อมปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อการใช้รถอย่างถูกต้อง และแนะเทคนิคขับรถอย่างไรให้ประหยัด ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ"

    ด้าน ภณ สงวนศิริ วิทยากรร่วมบรรยาย แนะนำว่า อันดับแรกเมื่อขึ้นรถนอกจากร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์พร้อมแล้ว คือ การปรับเบาะที่นั่งให้เหมาะสมสะโพกชิดที่นั่งหลังตรง และคาดเข็มขัดนิรภัยให้พาดช่วงไหปลาร้าและกระดูกเชิงกราน พร้อมสำรวจความพร้อมเรื่องของกระจกเพื่อทัศนวิสัยที่ดี สัญญาณไฟบนแผงหน้าปัดรถ ระบบเบรกทำงานปกติ จับพวงมาลัยในตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา เวลาขับรถควรสังเกตสภาพการจราจรเสมอ
    "การขับขี่ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำไม่เกิน 2,000 รอบต่อนาทีด้วยเกียร์ที่เหมาะสม และไม่ควรบรรทุกของหนัก เพราะการบรรทุกน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุก 20 กิโลเมตร รถจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้น 1%”

    ด้านนักข่าวที่ร่วมโครงการ อย่าง "เต้" สารัตน์ น้อยคล้าย บอกความรู้สึกว่า “ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้รถทุกวัน และมีหลายอย่างที่เมื่ออบรมถึงรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิด เช่นเรื่องง่ายๆ อย่างการจับพวงมาลัย หรือท่านั่ง นอกจากนั้น ก็ระวังในเรื่องการขับรถไม่ชิดคันหน้าเกินไป ซึ่งใครมาชิดเรา มาจี้เรา เราเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน มีหลายเรื่องที่ผมเพิ่งได้รู้ เช่น การทำงานของระบบ ABS เทคนิคการเข้าโค้ง หรือวิธีการแก้ปัญหาเมื่อฉุกเฉิน ส่วนตัวผมในฐานะวัยรุ่นคนหนึ่งมองว่า จะดีมากเลยถ้ามีการเผยแพร่ความรู้ในการขับรถที่ถูกต้องและปลอดภัยอย่างนี้ให้กว้างขวาง"
    ส่วน "เหมียว" วรจรรย์ แสงเงิน บอกคล้ายกันว่าได้ความรู้จากโครงการนี้อย่างมากมาย
    "จริงๆ เคยเรียนขับรถมาก่อน แต่ที่นั่นเขาจะสอนให้เราขับเป็นเพื่อสอบผ่าน ไม่ได้สอนว่าขับยังไงให้ออกถนนได้ พอได้มาฝึกรู้เลยว่ามีหลายเรื่องที่เรามองข้าม เช่น นั่งเบาะหลังก็ควรต้องคาดเข็มขัดนิรภัย นอกจากนั้นยังมีเรื่องของเทคนิคการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนตัวมองว่าแม้เราจะเป็นผู้หญิง ถ้ามีโอกาสอยากให้ศึกษาหาความรู้เรื่องการใช้รถใช้ถนนอย่างถูกต้องปลอดภัย เพราะผู้ชายไม่ได้อยู่ช่วยเราตลอด และถ้าทุกคนขับรถดี ถนนบ้านเราก็จะน่าใช้มากขึ้น"
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=undefined&dt=1246849363562&lmt=1246849363&format=undefinedxundefined&output=html&correlator=1246849363562&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Fnewreply.php%3Fdo%3Dpostreply%26t%3D22445&ea=0&frm=0&ga_vid=332427684.1245633217&ga_sid=1246843891&ga_hid=1436532351&ga_fc=true&flash=9.0.28.0&w=-1&h=-1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_tz=420&u_his=28&u_java=true&dtd=78" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
  18. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    ห้ามขายเหล้าวันพระใหญ่<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]



    ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวัน
    ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2552 ลงนามโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2552 ใจความสำคัญ ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ซึ่งมีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของรัฐในความพยายามจะยับยั้งธุรกิจการค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคที่ขัดต่อหลักศีลธรรมในพุทธศาสนา และนำมาซึ่งปัญหาอื่น ๆ ทั้งสังคมอีกมากมาย

    แต่กว่ากฎหมายและประกาศของทางการจะมีผล
    บังคับใช้ก็มีความคิดเห็นที่หลากหลาย องค์กรด้านศาสนา กลุ่มชุมชน เครือข่ายครอบครัว เชื่อและชี้ถึงข้อดีนานาประการ ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงผู้ประกอบการในธุรกิจการท่องเที่ยว และส่วนที่เกี่ยวข้องเกรงจะเกิดผลกระทบต่อรายได้ โดยเฉพาะในยามที่ประเทศต้องการเม็ดเงินหมุนเวียนจากนักท่องเที่ยวเป็นด้านหลัก

    การตัดสินใจประกาศห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา อาจทำให้เสียรายได้ส่วนหนึ่งจากภาษีอากร ต่าง ๆ ที่ได้จากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายที่ประชากรดื่มสุรามาก ๆ ทั้งยังพบว่า เยาวชนเลียนแบบผู้ใหญ่กลายเป็นนักดื่มทวีจำนวนอย่างน่าเป็นห่วง ย่อมส่งผลที่มิอาจประเมินมูลค่าเป็นตัวเงินได้ อาทิ ด้านสุขภาพอนามัย พฤติกรรม นิสัยใจคอของคนดื่ม และความร้าวฉานในครอบครัว อุบัติเหตทำลายชีวิตหรือทำให้พิการ ที่จะถูกควบคุม จำกัดขอบเขต ย่อมดีกว่าการปล่อยตามความพอใจอย่างที่ผ่านมา

    นับแต่วันที่เริ่มคิดได้ว่า การปล่อยให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเสรี คือตัวปัญหา มีสถิติอุบัติเหตุ การเสียชีวิต และบาดเจ็บ แต่ละปีเป็นจำนวนมหาศาล ได้มีการเรียกร้องและนำมาตรการต่าง ๆ มาใช้โดยลำดับ ถือว่าเดินถูกทางมาไกลพอสมควรแล้ว ถึงตอนนี้รัฐควรส่งเสริมเพิ่มหลักการสำคัญว่า เราจะดำเนินการทุกอย่างโดยเฉพาะการพัฒนาประเทศตามแนวทางพระศาสนา บนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างจริงจัง ให้ความรู้กับประชาชนว่า เป็นหนทางแห่งความเจริญที่ยั่งยืน และมั่นคงกว่าการกระตุ้นการบริโภคที่ทำให้เกิดความมั่งคั่งกับคนกลุ่มเล็ก ๆ ส่วนชาวบ้านส่วนใหญ่มีแต่รายจ่ายที่ไม่จำเป็น ที่ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง
     
  19. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    พระที่ถูกมองข้าม<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>พระที่ถูกมองข้าม </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระที่ถูกมองข้าม
    พระที่ถูกมองข้าม

    ในชนบทแห่งหนึ่งในประเทศจีน ตั้งอยู่เชิงเขา..ในภูมิประเทศที่สงบ
    อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีธารน้ำใสไหลผ่านหมู่บ้าน
    ต้นไม้ทุกต้นใบสดเขียวขจี ในทุ่งนาก็สะพรั่งด้วยต้นข้าวที่ชูรวงเป็นสีทอง

    ชาวชนบทส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ทำนา ผู้อยู่เรือนก็ปั่นฝ้าย ทอผ้า
    ต่างมีความสุข มีฐานะมั่งคั่ง เหนือขึ้นไปบนยอดเขา....มีกุฏิพระภิกษุ
    อยู่จำศีลภาวนา

    เชิงเขามีกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง เป็นที่อยู่ของสองแม่ลูก แม่นั้น...แม้จะย่าง
    เข้าสู่วัยชรา แต่นางยังแข็งแรงพอที่จะรับจ้างเขา ทำงานหาเลี้ยงลูกได้

    บุตรของนางเป็นเด็กหนุ่ม ไม่เอาการเอางาน...ดื้อด้าน ไม่เชื่อถ้อยคำมารดา
    ไม่สนใจในความเหน็ดเหนื่อยของมารดา ที่ตรากตรำทำงานหนัก เอาแต่เที่ยวเตร่
    เล่นสนุก...ถึงกระนั้น นางก็รักเขา เอาอกเอาใจมิให้อนาทร

    วันหนึ่ง...เขาแลเห็นเพื่อนกราบพระพุทธรูป ก็นึกในใจว่า...การที่เพื่อนของเขา
    มีฐานะดี คงเป็นเพราะหมั่นกราบไหว้พระ

    เย็นวันนั้น...เขาจึงขึ้นไปบนเขา เข้าไปนมัสการขอพระพุทธรูปจากพระภิกษุ
    ที่พำนักอยู่บนยอดเขา เพื่อเอาไปไหว้บูชาที่เรือน หวังจะได้มั่งคั่งเหมือนคนทั้งหลาย

    พระภิกษุได้ฟังก็กล่าวว่า....."ฟังก่อนเหม็ง เจ้าจะแก้จน....ด้วยการกราบไหว้พระเท่านั้น
    ไม่สำเร็จหรอก ป่วยการเปล่า...ในเมื่อที่เรือนของเจ้าก็มีพระอยู่แล้ว จงเคารพบูชาท่านเถิด
    เจ้าจักจำเริญ"

    เหม็งได้ฟังก็ฉงน อุทานว่า...."ที่บ้านกระผม ไม่เคยมีพระเลยสักองค์ กระผมยากจน
    หนักหนา จึงอยากได้พระไปบูชากับเขาบ้าง"

    พระภิกษุก็ยืนกรานว่า...."กลับไปเถิดเหม็ง พระเฝ้ารออยู่ที่บ้านแล้ว กลับถึงบ้านคืนนี้
    เมื่อเจ้าเคาะประตู ท่านจะออกมาเปิดรับเจ้าอย่างรีบร้อน ผลีผลามเสียจนใส่รองเท้าผิดข้าง
    เสื้อที่สวมก็กลับด้านนอกอยู่ข้างใน"

    เหม็งได้ฟังดังนั้นก็สนเท่ห์ยิ่งนัก นมัสการลาพระภิกษุ รีบกลับฝ่าลมหนาวและละออง
    น้ำค้างมาตลอดทาง กว่าจะถึงบ้านก็เปียกโชกไปทั้งตัว

    ทันทีที่เขาเคาะประตูกระท่อม ผู้ที่เปิดประตูรับเขา...ก็คือ"มารดา"ของเขานั่นเอง
    เหม็งสังเกตุเห็นนางสวมรองเท้ากลับข้าง เสื้อที่ใส่ก็กลับ

    พอเห็นลูกชาย นางก็เอ่ยขึ้นว่า ......"เหม็ง เจ้าหิวมั้ย....ลูกหายไปไหนมา...แม่เป็นห่วง
    กลัวลูกจะไปเป็นอันตราย แม่ตั้งตาคอยเจ้าตั้งแต่หัวค่ำจนดึก อ้าว!...นั่นลูกเปียกปอน
    ไปหมดทั้งตัว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย แล้วไปผิงไฟที่หน้าเตา...แม่จะไปเอาข้าวมาให้กิน"

    กระแสเสียงที่หลั่งออกมานั้น นุ่มนวลนัก เปี่ยมด้วยความรักความห่วงใย
    ความเมตตาปราณีที่บริสุทธิ์ใจ

    เขาหวนระลึกถึงคำของพระภิกษุบนยอดเขา ก็ประจักษ์แจ่มแจ้งในบัดนั้นเองว่า
    "แม่"นี่แหละ คือ"พระ"ของเขา

    "พระ"ที่อยู่ใกล้ตัวมาแต่อ้อนแต่ออก แต่ตัวเขาเองละเลยไม่เอาใจใส่
    "แม่"เท่านั้นที่จะให้ความรักความเอ็นดูอย่างบริสุทธิ์
    "แม่"เท่านั้นที่จะเสียสละให้ลูกทั้งชีวิตและเลือดเนื้อ มุ่งหวังแต่จะให้ลูกมีความสุขความเจริญ
    "แม่"ผู้มีแต่"ให้"ไม่หวังสิ่งตอบแทน

    ตัวเรานี่สิ มีแต่จะ"รับ"เอาฝ่ายเดียว...
    นับแต่นั้นมา....เขาก็บำเพ็ญตนอยู่ในโอวาท เทิดทูลเคารพบูชา มารดาของเขา
    เหนือสิ่งใดๆ ในโลก...

    และสิ่งที่เขาได้รับกลับมา คือความเจริญทั้งทางกายและทางใจ

    (จาก"ยอดกตัญญู"....รวบรวมเรียบเรียงโดยร.บุนนาค)

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>พระที่ถูกมองข้าม : อาหารสมอง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    'เคท มอสส์'สุดยอดนางแบบชื่อดังของโลกเปลี่ยนมานับถือพุทธ..หันปฏิบัติธรรม<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]


    เคท มอสส์ สุดยอดนางแบบชื่อดังของโลกเปลี่ยนมานับถือพุทธ หันปฏิบัติธรรม
    • อังกฤษ : เคท มอสส์ สุดยอดนางแบบโลกชาวอังกฤษ ได้เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาแล้ว และเริ่มให้ความสนใจเรียนรู้มากขึ้น โดยเริ่มจากการทำสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ
    แหล่งข่าวจากเดลี่ มิเรอร์ รายงานว่า “เคทสนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ถึงขั้นเช่าพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ขนาด4 X 2 ฟุต ประดิษฐานไว้ในห้องรับแขกเพื่อกราบไหว้บูชา เธอต้องการลดความ เครียด เธอชอบหาเวลาทำสมาธิและเรียนรู้พุทธศาสนา เพราะทำให้เธอรู้สึกสงบ”
    โดยเธอได้ชักชวนเพื่อนฝูงให้ลองทำสมาธิเช่นกัน และแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือกล่าวว่า เคทจุดธูปที่ทำจากไม้จันทน์ และกราบตรงเบื้องหน้าพระพุทธรูป เพื่อนๆของเธอก็ทำตาม แต่ก็พากันสำลักควันธูป
    ทั้งนี้ บรรดาเพื่อนสนิทของเธอหวังว่าพุทธศาสนาจะช่วยทำให้เคท ซึ่งขณะนี้ อายุ 35 ปี และเป็นแม่ของลูกสาววัย 6 ขวบ หยุดเที่ยวเตร่ สำมะเลเทเมา และสงบนิ่งลงได้ในที่สุด
    และเมื่อไม่นานมานี้ เซอร์ ฟิลิป กรีน นักธุรกิจเจ้าของ “Topshop” ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและที่ปรึกษา ได้กล่าวเตือนสุดยอดนางแบบคนดังว่า ขอให้เธอเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะเธอจำเป็นต้องดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ รวมทั้งให้เธอทำตัวให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย
    (จาก bangshowbiz.com)

    (จาก ธรรมลีลา ฉบับ 104 กรกฎาคม 52 โดยเภตรา)
    --------------
    ที่มา:ข่าวสารผ่านโลก.
    Dhamma and Life - Manager Online<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...