พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จัดชั่วโมงทำการบ้านให้ลูกอย่างไร..ไม่ให้เสียน้ำตา
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>3 กันยายน 2552 17:16 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=230 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=230>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เชื่อว่าชั่วโมงทำการบ้านเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เคยทำให้หลายครอบครัวเสียน้ำตา เสียอารมณ์ และเสียสุขภาพจิตกันมาแล้ว ซึ่งปัญหาอาจมาจาก ทั้งคุณพ่อคุณแม่คุณลูก หรือบางครั้งรวมถึงคุณครูและโรงเรียนที่มองเรื่องของการ "ทำการบ้าน" ไปกันคนละทิศละทาง

    บางโรงเรียนเองก็อยากให้ผู้ปกครองเห็นว่าโรงเรียนนั้นให้ความสำคัญกับการศึกษา จึงสั่งการบ้านกองพะเนินให้เด็ก ๆ ได้ฝึกทักษะ หรือผู้ปกครองบางท่านเองก็ยังมีแนวคิดว่า การทำการบ้านมาก ๆ นั้นไม่จำเป็น เด็กควรจะมีเวลาเล่นอย่างอิสระมาก ๆ ส่วนเด็กบางคนก็รู้สึกว่า การทำการบ้านนั้นช่างเป็นช่วงเวลาที่ไม่สนุกเอาเสียเลย

    อย่างไรก็ดี มีข้อมูลงานวิจัยระบุว่า การมีทัศนคติที่ดีกับการบ้านนั้น จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในรั้วโรงเรียน รวมถึงการใช้ชีวิตเมื่อเขาเติบโตขึ้นไปด้วย เช่น การบริหารจัดการชีวิต การแบ่งเวลา การแก้ปัญหา การฝึกสมาธิ การตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง ฯลฯ นอกเหนือจากการได้เรียนรู้ในสิ่งที่บทเรียนกำลังจะสอน

    แต่เพื่อไม่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเผชิญหน้ากับเด็ก ๆ ในชั่วโมงทำการบ้าน ดร.มิเชล บอร์บา ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัวจึงได้ให้แนวทางในการจัดชั่วโมงการทำการบ้านสำหรับเด็ก ๆ เอาไว้ดังนี้

    อย่าปล่อยให้ลูกมองการบ้านเป็นทางเลือก

    จะไปเล่นกับเพื่อนก่อนทำการบ้านได้ไหม? คำถามชวนจี๊ดที่คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจเคยเจอ แม้คำตอบก็คือ ไม่ได้ แต่ทำไมต้องตอบคำถามนี้กัน ก็เพราะว่าหลายครอบครัวยอมให้ลูกมองการบ้านเป็นหนึ่งในตัวเลือกของกิจกรรมที่เขาสามารถเลือกทำได้หลังเลิกเรียน

    การวางกฎของบ้านเอาไว้ตั้งแต่แรกเลยว่า ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนจึงจะไปเล่นได้ น่าจะเป็นทางป้องกันที่ดีไม่ให้เกิดคำถามเหล่านี้ค่ะ

    พ่อแม่เป็นเพียงผู้แนะแนวทาง..เท่านั้น!

    ก็เพราะมีคุณพ่อคุณแม่บางท่านนึกสนุก อยากทำการบ้านของลูกเสียเอง หรือไม่ก็แหม ขัดใจ ทำไมทำได้แค่นี้ ให้พ่อแม่ช่วยดีกว่า จะได้มีงานสวย ๆ ไปส่งครู ลูก ๆ ก็เลยสบายไป ไม่ต้องทำการบ้านเอง ทักษะที่ควรฝึกก็เลยไม่ได้ฝึกไป

    ในข้อนี้ต้องอย่าลืมบทบาทของตัวเอง ว่าพ่อแม่นั้นเป็นได้แค่ผู้แนะแนวทาง และคอยดูอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น ห้ามลงไปทำการบ้านลูกแทนเด็ดขาด หากยังนึกสนุก ก็อาจต้องเตือนตัวเองเอาไว้ด้วยประโยคที่ว่า ลูกกำลังฝึกทำสิ่งต่าง ๆ อยู่เพื่อ "ตัวของเขาเอง" อยู่ค่ะ

    ก่อนทำการบ้าน เข้าใจจุดประสงค์ของการบ้านก่อน

    ในการสั่งการบ้าน คุณครูจะมีการบอกจุดประสงค์ของการบ้านนั้น ๆ ให้ทราบว่า การสั่งงานชิ้นนี้เพื่อต้องการฝึกทักษะด้านใดให้กับเด็ก อาจจะบอกมาในสมุดจดการบ้าน หรือแม้ไม่มีสมุดจดการบ้าน ในสมุดแบบฝึกหัดเองก็จะบอกจุดประสงค์เอาไว้ให้ผู้ปกครองทราบคร่าว ๆ เช่นกัน จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองแล้วล่ะค่ะที่จะทำความเข้าใจ และหาหนทางที่จะช่วยให้ลูก ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ของการทำการบ้านนี้ให้ได้

    แต่เพื่อให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น หรือหากคุณพ่อคุณแม่มีปัญหาสงสัยเกี่ยวกับการบ้านลูกจริง ๆ อาจขอนัดเวลากับคุณครูประจำชั้นเพื่อปรึกษาสักนิดหลังเลิกเรียนก็ได้ค่ะ เพราะเชื่อว่าปัจจุบันหลาย ๆ โรงเรียนก็ค่อนข้างเปิดกว้างให้คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเข้าพบคุณครูได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตมาก ๆ

    [COLOR=#00000]สอนลูกทำตารางเตือนความจำ "การส่งการบ้าน"[/COLOR]

    สำหรับลูกน้อยคนไหนที่เจอการบ้านกองพะเนินจากโรงเรียน คุณแม่อาจหาบอร์ดเล็ก ๆ ให้ลูกเขียนตารางการส่งการบ้านในแต่ละสัปดาห์เอาไว้เตือนความจำ โดยสามารถหาซื้อบอร์ดเล็ก ๆ ราคาย่อมเยาได้มากมายตามร้านขายเครื่องเขียน และเพื่อไม่ให้บอร์ดนี้ดูแห้งเหี่ยวเกินไป คุณพ่อคุณแม่อาจหากิจกรรมสนุก ๆ ชวนลูกตกแต่งบอร์ดตามแบบที่เขาชอบ เช่น หาสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนที่เขาชอบมาแปะ หรือหากเป็นลูกสาวก็อาจหาตุ๊กตาน่ารัก ๆ หรือแถบผ้าสีสวยมาติดให้บอร์ดการบ้านนี้ให้มีสีสันสดใส การมีบอร์ดเตือนความจำยังช่วยฝึกให้ลูกได้อัปเดตข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการบ้าน หรืองานที่เขาต้องส่งได้เป็นอย่างดี เวลาบันทึก ลองหาปากกาหลาย ๆ สีมาใช้ก็จะช่วยให้จำได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วยค่ะ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=230 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=230>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ชมลูก

    การเอ่ยปากชม เมื่อลูกทำการบ้านเสร็จแทบไม่ต้องเสียอะไรเลย แถมผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียก็ระบุว่า การที่พ่อแม่กล่าวชื่นชมลูกในความพยายามทำการบ้านหรือชิ้นงานตามที่คุณครูสั่งจนเสร็จนั้นจะช่วยให้เด็กเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียน และมีผลการเรียนที่ดีขึ้น แต่ก็ต้องอย่าลืมตรวจงานของลูก และชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาด รวมถึงช่วยแก้ไขให้ถูกต้องด้วย

    สอนทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียน

    เด็กบางคนไม่ชอบทำการบ้านเพราะไม่มีทักษะในการทำงาน เช่น ไม่รู้จักการวางแผน เมื่อไม่มีการวางแผนก็ไม่ทราบว่าควรเริ่มจากจุดใดก่อน จากนั้นก็เลยทำให้เด็กไม่ทราบว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร และนั่งร้องไห้เมื่อถึงกำหนดส่งการบ้านแล้วไม่มีงานส่งครู

    ทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้จึงประกอบไปด้วย

    - การวางแผน : ลองให้เด็กออกแบบงานของเขาคร่าว ๆ ว่างานที่เสร็จสมบูรณ์ควรประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และในแต่ละขั้นหนูจะทำอะไรกับมัน อาจลองให้เขียนเป็นลำดับ 1 2 3

    - การแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ และทำให้สำเร็จทีละส่วน : ในกรณีที่เป็นการบ้านระยะยาว เช่น การบ้านปิดเทอม คุณครูอาจสั่งให้ทำแบบฝึกหัดในหนังสือให้เสร็จ คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยลูกแบ่งการบ้านเป็นส่วน ๆ และทำวันละส่วนจนเป็นกิจวัตร เพื่อที่เด็กจะได้ไม่รู้สึกหักโหมจนเกินไป และมีเวลาเหลือไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ๆ ด้วย

    - ทำส่วนที่ยากก่อน : เหตุที่การลงมือทำงานที่ยากที่สุดให้เสร็จก่อนเป็นสิ่งสำคัญนั้น ก็เพราะว่า มันอาศัยสมาธิสูงมาก รวมถึงเวลาที่นานด้วย ดังนั้น เมื่อส่วนที่ยากจบไปแล้ว งานที่เหลือก็จะดูง่ายและสนุกมากขึ้น

    ชั่วโมงการทำการบ้านของลูกยังเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะได้สังเกตเทคนิคการเรียนรู้ของลูกด้วยว่า ลูกของคุณนั้นถนัดการเรียนรู้แบบใด เด็กบางคน อาจถนัดที่จะวาดภาพเพื่อสื่อสารในสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มา หรือเด็กบางคน อาจชอบเล่า หรือท่องสิ่งที่ตัวเองเรียนมาออกมาดัง ๆ เด็กบางคนก็ร้องออกมาเป็นเพลง การได้ทราบแนวทางเหล่านี้ก็จะทำให้พ่อแม่หาวิธีสอนลูกได้ตรงจุดตรงใจมากขึ้นค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์ ivillage.com/parenting
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>10 ข้อนี้ ใครมีลูกสาวควรอ่าน!
    Life & Family - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>3 กันยายน 2552 12:47 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โบราณว่ากันว่า “มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน” หรือบางคนอาจเปรยขึ้นมาดีหน่อยคือจาก “ส้วม” เปลี่ยนเป็น “ดอกไม้” แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นอะไร ความหมายก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไปตามคำนามนั้นๆ

    ซึ่งหมายความว่า หากพ่อแม่ดูแลลูกสาวไม่ดี ชื่อเสียงก็จะเสียหายไปตามๆกัน ความไม่ดีตรงนั้น ในสมัยก่อนอาจหมายถึงการท้องไม่มีพ่อ หรือท้องก่อนแต่ง ซึ่งคนสมัยก่อนถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสีย ผิดกับสมัยนี้ที่ไม่ค่อยถือสากันแล้ว

    อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้แม้เรื่องท้องก่อนแต่ง หรือท้องไม่มีพ่อ อาจดูเบาบางกว่าในอดีต แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงอยู่ดี ซึ่งนอกจากเรื่องท้องโดยไม่ได้ตั้งใจของเด็กสาวแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องร้ายๆ ที่พ่อแม่ รวมไปถึงทุกคนในครอบครัวควรเป็นหูเป็นตา ให้ความรักความอบอุ่น และสอนให้ลูกสาวรู้จักรักตัวเองให้มากขึ้น อย่าไปตามกระแสสังคมของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่แคร์ต่อขนบธรรมเนียมประเพณีไทยและไม่เคารพตัวเอง

    ทั้งนี้ เรื่องร้ายๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้ นับเป็น 10 ข้อสำคัญที่เกิดจากการชิงสุกก่อนห่าม ที่นับวันอายุเฉลี่ยของเด็กสาวก็เริ่มมีอายุที่ตัวเลขน้อยลงเรื่อยๆ โดยทั้ง 10 ข้อมีดังนี้

    1. ท้อง-แท้ง

    ยิ่งในวัยเรียนการได้รับปริญญาใจก่อนกำหนด 4 ปีการศึกษานั้น มันทำลายชีวิตมาหลายต่อหลายคนแล้ว เพราะจะมีสักกี่คนที่จะทนอุ้มท้องไปนั่งร่วมชั้นเรียนกับเพื่อน และเชื่อเลยว่าคงไม่มีสถานศึกษาใดสนับสนุนด้วย เมื่อชีวิตของการเป็นแม่เริ่มต้นขึ้น ความพร้อมสำหรับทารกน้อยๆ ย่อมปัญหาปากท้องและสังคมก็จะตามมาทีหลัง ส่วนใครที่ไม่เกรงต่อบาปยืนยันว่าฉันจะทำแท้งนั่นก็เท่ากับว่าทำร้ายตัวเองไปเสียแล้ว

    แต่ถ้ามั่นใจว่า “ไม่ท้องแน่นอนเพราะป้องกันดี” จากการวิจัยก็ยังระบุว่า แม่จะใช้ถุงยางอนามัย แต่ยังมีโอกาสพลาดได้สูงถึง 21% เนื่องจากคุณภาพของถุงยางเสื่อมหรือใช้ไม่ถูกต้องและการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดก็มีโอกาสพลาดได้สูงถึง 5%

    2. ซึมเศร้า

    วัยรุ่นยังไม่ใช่วัยที่จะตั้งหลักปักฐานกับใครผู้ใด ยังเป็นวัยแห่งการแสวง เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนคู่นอนจึงเกิดเสมอๆ การซึมเศร้าที่เกิดจากภาวะความล้มเหลวเรื่องความรัก ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงวัยที่จะคิดเรื่องรักสักเท่าไหร่


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=187 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=187>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจาก www.mables.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>3. ติดโรค

    ข้อนี้นับเป็นผลมาจากข้อ 2 ที่ว่าวัยรุ่นเป็นเพียงวัยแสวงหา น้อยคนนักที่จะพบรักแท้ยืนยาวเหมือนชีวิตคู่ผู้ใหญ่ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ย่อมเกิดโรคตามมาแม้จะป้องกันก็ตาม หากพ่อแม่ไม่ดูแลเอาใจใส่ก็อาจทำให้เด็กตกอยุ่ในความเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม

    4. เรียนถอยหลัง

    หากมัวแต่หมกมุ่นเรื่องรัก คิดหนักแต่เรื่องผู้ชาย ร้องไห้ไม่ยอมเรียน เจ้าตัวเตรียมเรียนซ้ำชั้นอีกรอบได้เลย หรือไม่พ่อแม่ก็ต้องหาที่เรียนใหม่ให้เพราะมุ่งมั่นทำแต่คะแนนรักไม่สนใจการเรียน

    5. ติฉินนินทา

    อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า หากการมีลูกสาวยังคงเเหมือนการมีส้วมอยู่หน้าบ้าน ท่อแตกวันไหน จะกลิ่นที่เหม็นอยู่แล้ว อาจกลายเป็นกลิ่นส้วมแต่กเลยก็ว่าได้

    หากลูกสาวเกิดไปทำเรื่องฉาวโฉ่ขึ้นมา กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน โดยเฉพาะพวกขี้อิจฉา โดนนินทาว่าเสียตัวแล้วบ้าง เปลี่ยนแฟนอีกแล้ว โดนแฟนทิ้งอีกแล้วบ้าง ซึ่งสำหรับผู้ชายก็อาจจะเป็นที่รังเกียจของสาวดีๆ โดยข้อหานักล่าผู้หญิง หรือนักล่าพรหมจรรย์ พ่อแม่เองก็จะพลอยโดนผลกระทบไปด้วย

    6. ไร้ค่า

    อาจเกิดการหมิ่นเกียรติกันและกันระหว่างชายหญิง ต่างฝ่ายมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวสนองความใคร่ ไม่มีรักแท้จีรัง ก่อนที่จะรู้จักกันอย่างแน่นแฟ้นเราอาจจะมองเขาในแง่อื่นไปเสียแล้ว โดยเฉพาะผู้ชายที่หลังจากได้เสียกับผู้หญิงแล้ว หากคนไหนใจง่าย ไม่รักตัวเอง ก็จะไร้ค่าทันทีเมื่อตกเป็นของเขา และในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องเป็นผู้ให้อภัยและให้โอกาสลูกสาว...อีกครั้งหนึ่ง

    7. ถูกหลอกซ้ำซาก

    เหตุนี้เป็นเพราะเคยปล่อยตัวและใจให้คนก่อนและความต้องการรักแท้ เพราะฉะนั้น คำว่ารักก็อาจจะกลายเป็นแค่ตะขอเบ็ดเกี่ยวเหยื่อเท่านั้น

    8. ใคร่มากกว่ารัก

    วัยรุ่นอาจจะต้องการมีเพศสัมพันธ์มากกว่ารัก และเข้าใจคำว่ารักผิดไป สุดท้ายส่งผลให้ไม่เข้าใจกันในที่สุด จึงมีที่มาให้ครอบครัวเปิดโอกาสพูดคุยกับลูกมากขึ้น

    โดยเฉพาะเรื่องเพศศึกษาที่นับวันเด็กที่พ้น ป.6 มาไม่กี่วันอาจจะอยากรู้ อยากลองแล้วก็ได้ เพราะจากข่าวสารที่ผ่านๆ มาก็พบว่า เด็กที่ตั้งครรภ์ตอนอายุน้อยที่สุดอยู่ในระหว่าง 11-12 ปีเท่านั้น

    9. ผิดหวังในรัก

    เมื่อคนดีที่เหมาะกับเราเข้ามาในชีวิต เมื่อเขารู้เรื่องราวในอดีตก็อาจจะหลีกหายไปได้ หรือเราเองอาจจะรู้สึกผิดกับอดีตไม่กล้าสู้หน้าเขาหรือเธอคนนั้น จนกลายเป็นคำว่า เธอดีเกินไป หรือเธอไม่คู่ควรกับฉัน เพราะเธอมันช่ำชอง ไม่น่าไว้วางใจ ฯลฯ

    10. สร้างความร้าวฉานในชีวิตคู่

    เรื่องราวในอดีตไม่สามารถลบมันได้ แม้เราจะพยายามลืมไปเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อคู่ชีวิตล่วงรู้อดีตกาลของเราย่อมเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ชีวิตคู่จะมีความสุขได้อย่างไร แก้วเริ่มร้าวไม่นานก็แตก และไม่อาจประกอบได้ดั่งเดิม


    ท้ายนี้ เด็กๆผู้หญิงคนไหนที่คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา ก็ลองกลับมาทบทวนกันใหม่นะคะ เพราะเชื่อว่าบางคนเห็นร่างกายและอวัยวะของตัวเองเป็นเพียงสิ่งของที่ไม่จำเป็นต้องสงวนไว้อย่างที่ผู้ใหญ่มักจะพูดกันอยู่เสมอ ซึ่งจริงๆแล้ว การที่ผู้ใหญ่คอยเตือน ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือครูเองคอยสอนนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ ทุกคนต้องการให้เด็กผู้หญิงเคารพและรักตนเอง

    ขณะที่พ่อแม่เองก็ควรเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย อย่าให้ลูกเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศสัมพันธ์ ขณะเดียวกันก็ควรเปิดโอกาสและให้เวลาพูดคุยกับลูกบ้าง

    อีกทั้งควรให้เขาได้ใกล้ชิดศาสนาเป็นระยะ เพราะหลักการสอนของแต่ละศาสนาต่างมุ่งเน้นให้ทุกคนทำดี คิดดี และมีจิตที่บริสุทธิ์ หากลูกรู้จักบาป บุญ คุณ โทษ และเวรกรรม ในสิ่งที่ทำ แน่นอนว่า 10 สิ่งร้ายๆ ข้างต้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน และลูกสาวก็จะไม่ถูกเปรียบเปรยให้เป็นส้วมอีกต่อไป

    ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก แบเบอร์ ทีเด็ดฟุตบอล ทีเด็ดบอล รอง เต็ง วันนี้ วิเคราะห์บอล ผลบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ - หน้�

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เปรี้ยวแซบจัดจ้านกับ “พล่าปลาแซลมอน” / กุ๊กเล็ก
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>3 กันยายน 2552 17:23 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โดย : กุ๊กเล็ก

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนไทยเรานี้นิยมชมชอบอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน กินแล้วถึงเครื่องได้อรรถรส มื้อนี้ “กุ๊กเล็ก” จึงขอนำเสนออาหารจานจัดจ้าน “พล่าปลาแซลมอน” สูตรจาก “ห้องอาหารคอฟฟี่ชอป ชั้น 10 โรงแรมแกรนด์ ไชน่า ปริ๊นเซส” ที่กินแล้วจะรู้สึกว่ามีชีวิตมีรสชาติมีอรรถรสขึ้นแน่นอน ว่าแล้วก็เตรียมตัวกันเลย

    ส่วนผสม
    ปลาแซลมอน 150 กรัม
    ตะไคร้ซอย 2 ต้น
    หอมแดงซอย 2 หัว
    พริกขี้หนู 3 เม็ด
    น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
    วาซาบิ 1/2 ช้อนชา
    น้ำมันมะกอก 1/2 ช้อนชา

    เตรียมเครื่องปรุงครบแล้ว ก็ลงมือทำโดยหั่นปลาแซลมอนเป็นชิ้นๆประมาณ 10 ชิ้น พักไว้ หันมาทำน้ำปรุง โดยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย วาซาบิ น้ำมันมะกอก มาผสมคนให้เข้ากัน ใส่ตะไคร้ซอย หอมแดงซอย พริกขี้หนูซอย แล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง แบ่งเครื่องปรุงเป็น 2 ส่วน ๆ หนึ่งวางลงในจาน แล้วนำเนื้อปลาแซลมอนที่หั่นไว้ มาวางเรียงให้สวยงาม นำเครื่องปรุงส่วนที่เหลือราดลงบนเนื้อปลาแซลมอน แล้วตกแต่งด้วยใบสะระแหน่และพริกแดงดูสวยงามน่ากิน และถ้าจะให้พล่าปลาแซลมอนนี้อร่อยยิ่งขึ้น ให้กินปลาแซลมอนพร้อมกับตะไคร้ซอย หอมแดงซอย พริกขี้หนูซอยที่ปรุงรสแล้ว จะได้รสชาติที่อร่อยเด็ดขึ้นกว่าเดิม..ขอบอก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    [​IMG]<!--===========/IMAGE===========-->
    Uh oh. Gold's near $1,000
    3:12pm: With gold nearing last year's highs, it's a cause for concern. But it is probably more a sign of long-term inflation worries than fear of another financial collapse. More
    Dollar rises from 7-week low vs. yen

    จาก cnnfn.com ตามที่ท่านนิว ถามไว้ครับ หุ หุ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ชมรมรักษ์พระวังหน้า ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่งในแกนนำการก่อตั้งขึ้น ท่านที่สมัครชมรมรักษ์พระวังหน้าได้ ต้องทำตามกติกาของผมก่อน คือ การร่วมทำบุญในกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ และเข้ามาพูดคุยในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ก่อน

    เมื่อถึงเวลาผมจะแจ้งให้ทราบเรื่องของการสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า ในการสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้านั้น ต้องผ่านมติของที่ประชุมชมรม โดยประธานชมรม , รองประธานชมรมทั้งสองท่าน , เลขานุการชมรม และสมาชิกชมรมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่อนุมัติการสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ในใบสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญอยู่ 4 ข้อ และในท้ายใบสมัครจะมีเรื่องของการตั้งจิต , ตั้งสัจจะ และสาบาน ที่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากทำไม่ได้ตามที่ตั้งจิต , ตั้งสัจจะ และสาบาน ผมจะบอกว่า เป็นหนทางในการบั่นทอนทางนิพพานของตนเอง

    ดังนั้น ท่านที่จะสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าได้ ต้องมีความศรัทธาต่อพระวังหน้าอย่างเต็มเปี่ยม ,มีความเพียรและพยายาม ,ความอดทน ,ความตั้งใจ อย่างเต็มที่

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผมเองเคยได้รับทั้ง pm และการสอบถามในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ อยู่บ่อยๆ เรื่องของพระวังหน้าฯ เรื่องของการสมัครสมาชิกชมรม เรื่องของการสอบถามพระพิมพ์(พระเครื่อง) ว่าแท้ หรือไม่แท้ แต่สุดท้ายผู้ที่สอบถามก็ไม่ได้สนใจอย่างเต็มที่ ในระยะหลังๆที่ผ่านมา ผมจึงไม่ได้สนใจในเรื่องของ pm และสิ่งที่สอบถามในกระทู้พระวังหน้าฯนี้นัก

    ผมเองกว่าจะได้เจอ ได้พบ ได้เห็น เสียเวลามากเป็นสิบปี กว่าจะได้พบท่านที่รู้จริง(ทั้งรูปและนาม) เสียเงินไปมากในการหาและเก็บพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆ บอกได้ว่า หลายล้านอยู่ หากว่ารวมกันในคณะพระวังหน้า ก็ยิ่งมากกว่านี้อีกมากมาย

    ดังนั้น สำหรับท่านที่มีความประสงค์ที่จะสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า จึงต้องทำตามกติกาที่ผมได้ตั้งไว้ ผมไม่สนใจว่า ชมรมรักษ์พระวังหน้า จะมีสมาชิกมากหรือน้อย ผมไม่สนใจเรื่องของปริมาณ ผมสนใจในเรื่องของคุณภาพ มีสมาชิกน้อยท่าน แต่มีคุณภาพ ดีกว่า มีสมาชิกเยอะท่าน แต่ไม่มีคุณภาพครับ

    โมทนาสาธุครับ

    -----------------------------------------------------

    ส่วนด้านล่างเป็นโพสที่ผมเคยโพสไว้

    สำหรับท่านที่สนใจจะสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ผมมีกติกาอยู่สองเรื่อง คือ

    1.ต้องร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ทำมาก ทำน้อยไม่เป็นไร ทำบ่อยๆดีครับ

    2.เข้ามาพูดคุยกันในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ บ่อยๆ

    เมื่อถึงเวลา ผมจะขอเบอร์โทร.ของท่านเอง

    ไม่ต้อง pm เข้ามาหาผม ทั้งเรื่องของการดูพระพิมพ์ ,วัตถุมงคลต่างๆ และขอสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า นะครับ หากท่าน pm เข้ามาหาผม ผมจะคัดลอกข้อความของท่าน มาลงในกระทู้พระวังหน้าฯ โดยจะไม่ปิดชื่อสมาชิกเว็บพลังจิต เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมาแล้ว และจะตอบในกระทู้พระวังหน้าฯครับ

    ขอบคุณครับ
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    #32318
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในการประชุมชมรมรักษ์พระวังหน้า ในเดือนหน้า(กันยายน 2552) นั้น ผม

    ผมจะนำเรื่องของคณะกรรมการทุนนิธิสงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร (คุณ นายสติ หรือคุณปุ๊) ได้คุยกับผมในเรื่องของหนังสือปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์

    [​IMG]
    (ในรูปจะเป็นหนังสือปู่เล่าให้ฟัง เล่มที่พิมพ์ครั้งแรก แต่มีความบกพร่องค่อนข้างเยอะ)

    จะมีการจัดทำกันใหม่ และรายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปเป็นทุนในการพิมพ์หนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จ และสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า

    [​IMG]

    รายละเอียด จะไปคุยกันในวันประชุมชมรมรักษ์พระวังหน้า ผมเองจะเชิญคุณ นายสติ ไปพูดคุยกันด้วยครับ

    รายละเอียด จะนำมาแจ้งให้ท่านสมาชิกชมรมทราบกันอีกครั้ง

    ในความเห็นส่วนตัวผม หากท่านอื่นๆที่ไม่ใช่สมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , ท่านที่ร่วมทำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร(บ่อยๆ) ,ท่านที่เคยร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง มีความสนใจที่จะได้หนังสือปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์ ผมคงต้องให้จองในจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูง น่าจะเป็นพันบาท ขอแจ้งให้ทราบไว้ก่อนครับ

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    PaLungJit.com - เกี่ยวกับกระทู้พระวังหน้า พลังจิต , อกาลิโก และเว็บอื่นๆ

    PaLungJit.com - ชมรม รักษ์พระวังหน้า
     
  7. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ช่วงเช้าไปทำบุญ,ไหว้พระ ที่ มูลนิธิร่วมกตัญญู

    ผมขอน้อมอุทิศ กุศลผลบุญ แก่กัลยาณมิตร ทุกท่าน ครับ
     
  8. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ขอบคุณ ท่านกูรู น้องนู๋ ครับ หุ หุ(good)thaxx
     
  9. bcbig_beam

    bcbig_beam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +3,246
    ขอโมทนาบุญด้วยทุกประการครับ
     
  10. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    เชิญร่วมฟังธรรม โดย พระราชญาณวิสุทธิโสภณ
    (หลวงปู่ท่อน ญาณธโร) วัดศรีอภัยวัน จ.เลย
    ณ. ศาลาปันมี
    วันศุกร์ที่ ๑๑ กย. ๒๕๕๒ เวลา ๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น.

    ที่มา www.baanaree.net
     
  11. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 62 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 59 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, dragonn, sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 62 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 59 คน )

    แหน่ง, dragonn, sithiphong


    ดีครับคุณหนุ่ม และคุณdragonn

    สบายดีไหมครับ

    ช่วงนี้งานยุ่งมากๆๆ เลยไม่เข้าได้เข้ามาทักทายกับสมาชิกเราเลยครับ

    ดุแลสุขภาพกันทุกท่านด้วยนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวัสดีครับ

    น้องอุ้ม จะใช้ชื่อว่า dragonlord ครับ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พี่แอ๊วแจ้งว่า มีกิจธุระ ไม่สามารถไปร่วมการประชุมได้ เนื่องจากต้องเดินทางไปต่างประเทศ ตั้งแต่วันนี้( 4 กย 52) จนถึงประมาณวันที่ 20 กว่าๆ ถึงจะเดินทางกลับประเทศไทยครับ

    ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับ ไม่มีอุปสรรคนะครับพี่

    sithiphong
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปรับ 100 บาท ทิ้งขยะในที่สาธารณะ เริ่ม 1 ตุลาคม


    [​IMG]
    อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

    สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

    เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 3 กันยายน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่เขตราชเทวี ลงพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อรณรงค์ติดป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ "ทิ้ง – จับ - ปรับ" รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนรักษาความสะอาด ไม่ทิ้งขยะเกลื่อนกลาด

    โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า โครงการ "ทิ้ง – จับ - ปรับ" เป็นโครงการที่มีจุดมุ่งหมายให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วม และตื่นตัวในการช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งหากคนใดยังไม่เข้าใจ กทม.จะนำมาตรการทางกฎหมายมาใช้ โดย พ.ร.บ.รักษาความสะอาด พ.ศ.2535 มีโทษจับปรับผู้ที่ทิ้งขยะบนถนนไม่เกิน 2,000 บาท และทิ้งขยะลงในแม่น้ำลำคลองโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท แต่เบื้องต้น กทม.จะดำเนินการจับปรับแบบโทษสถานเบาก่อนเพียง 100 บาท โดยจะเริ่มปรับจริงในวันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป และพร้อมขยายต่อเนื่องครอบคลุมพื้นที่ กทม.ในเดือนพฤศจิกายน ส่วนในระหว่างเดือนกันยายนนี้จะใช้วิธีว่ากล่าวตักเตือนก่อน

    ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้จะให้สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต พิจารณาเพิ่มถังขยะเพื่อรองรับปริมาณขยะ คาดว่าจะมีการติดตั้งถังขยะเพิ่มขึ้นจำนวนหลายหมื่นถัง เน้นติดตั้งในพื้นที่สาธารณะที่มีประชาชนสัญจรไปมาเป็นสำคัญ


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG] [​IMG]
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สูตรน้ำพริกตาแดง-น้ำพริกอ่อง
    :: INN online .- ʴ?ѹ?շը??蒇 ::


    ข้าวสวยร้อนๆทานกับน้ำพริกตาแดง-น้ำพริกอ่องแสนอร่อย ทำกินในครอบครัวก็แจ๋ว หรือจะทำขายก็เจ๋ง

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD height=5></TD></TR>


    <!-- Show Image -->
    [​IMG]



    <!-- End Show Image -->


    </TBODY></TABLE>


    @น้ำพริกตาแดง ​

    เครื่องปรุง พริกแห้งเลือกเม็ดแดง ๆ สัก ๗-๑๐ เม็ด ปลาย่าง ๑ ตัว หัวหอม ๒ หัว กะเทียม ๑ หัว ปลาร้า ๑ ช้อนโต๊ะ เกลือ (จะใส่กะปิก็ได้ ๑/๒ โต๊ะ)
    วิธีทำ เอาพริกเสียบไม้ ย่างไฟสูง ๆ เรียกว่า "พิงไฟ" พอกรอบและหอมอย่าให้ดำ แล้วเอาหัว กะเทียมหัวหอมหมกไฟพอสุก แกะเปลือกออก กะปิย่างไฟ ปลาร้าสับห่อใบตองหมกไฟให้สุก ปลานั้นนำไปปิ้งไฟให้หอมเอาเครื่องปรุงทุกอย่างโขลกด้วยกันให้ละเอียด จนมีลักษณะเหนียว อาจเก็บไว้ในกระปุก ซึ่งสมัยก่อนมักเอาใบตองแห้งห่อไว้ สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นเดือน ​

    เนื่องจากน้ำพริกแดงสามารถเก็บไว้ได้นาน จึงนิยมนำไปกินในทุ่งนา ป่า ไร่ สวน หรือการเดินทางไกล เมื่อเก็บไว้นานอาจมีลักษณะแห้ง ดังนั้นเมื่อจะรับประทานจะเอาน้ำใส่แล้วคนให้มีลักษณะเหนียวหรืออาจบีบเอาน้ำจากผลมะกอกเติมก็ได้ โดยทั่วไปการกินน้ำพริกแดงจะต้องมีผักนึ่งเช่นผักกาด กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ถั่วผักยาว ถั่วพู มะเขือ อาจมีชิ้นปิ้ง คือเนื้อปิ้ง บ้างชอบรับประทานพร้อมกับจอผักกาด ​

    พบว่าน้ำพริกตาแดง ในปริมาณ ๑๐๐ กรัม มี ๑๔๗.๓๗ แคลอรี โปรตีน ๑๐.๑๔ กรัม ไขมัน ๕.๒๒ กรัม คาร์โบไฮเดรท ๑๔.๙๔ กรัม แคลเซียม ๙๗.๔๘ มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส ๑๗๙.๗๙ มิลลิกรัม เหล็ก ๗.๔๑ มิลลิกรัม วิตามินเอ ๑๕๓๙.๘๗ อาร์อี วิตามินบีหนึ่ง ๐.๑๐ มิลลิกรัม วิตามินบีสอง ๐.๒๕ มิลลิกรัม ไนอะซิน ๓.๒๓ มิลลิกรัม และ วิตามินซี ๑๐.๕๐ มิลลิกรัม​

    @น้ำพริกอ่อง ​

    เครื่องปรุง เนื้อหมู ๒ ขีด พริกแห้ง ๓-๕ เม็ด กระเทียม ๓-๔ กลีบ หัวหอม ๒ หัว มะเขือเทศลูกใหญ่สัก ๒-๓ ลูก ถ้าอย่างลูกเล็กประมาณขีดครึ่ง ปลาร้า ๑ ครึ่งช้อนโต๊ะ เกลือ ครึ่งช้อนโต๊ะถั่วเน่าแข็บ(ถั่วเน่าแผ่น)ครึ่งแผ่น บางคนจะใช้กะปิแทนปลาร้าสับละเอียด ผักชี รากผักชีต้นหอม น้ำมันหมู ​

    วิธีทำ ย่างถั่วเหลืองแผ่นให้สุกเสียก่อน ทิ้งไว้ให้กรอบ นำพริกแห้ง หัวหอม กระเทียม และรากผักชีโขลกพร้อมกัน เมื่อแหลกดีแล้วเอากะปิหรือปลาร้า และถั่วเน่าแข็บ (ถั่วเน่าแข็บ คือถั่วเหลืองต้มเปื่อยหมักแล้วบดละเอียด ทำเป็นแผ่น ๆ ตากแห้ง ชาวไทยใหญ่นิยมใช้แทนกะปิ) ใส่ลงไปโขลกให้เข้ากัน ส่วนเนื้อหมูสับให้ละเอียด มะเขือเทศหั่นหรือใส่ครกบด แล้วตั้งกะทะใส่น้ำมัน เอากระเทียมลงเจียวพอหอมแล้วเอาน้ำพริกลงผัด เอาเนื้อหมูใส่ และมะเขือเขือเทศใส่ตาม เติมน้ำพอสมควรแล้วชิมดูสุกแล้วยกลงผักชีโรยหน้า บางสูตรจะเอาหมูลงผัดก่อนแล้วจึงตามด้วยเครื่องปรุงและมะเขือเทศภายหลัง บางสูตรจะเอาเนื้อหมู เครื่องปรุง และมะเขือเทศโขลกรวมกันก่อนลงผัด บางสูตรจะย่างพริกแห้งให้หอมก่อนโขลกรวมเครื่องแกง ​

    อย่างไรก็ตามลักษณะเด่นของน้ำพริกอ่องคือ มีสีส้ม(สีมะเขือเทศและพริกแห้ง) ข้นเป็นน้ำขลุกขลิก มีน้ำมันลอยหน้าเล็กน้อย มีสามรส คือ เปรี้ยว เค็ม เผ็ดเล็กน้อย และรสหวานตาม การกินน้ำพริกอ่องต้องมีผักจิ้ม เช่น มะเขือเปราะ ถั่วผักยาว ผักกาดขาว ต้นหอม ผักชี ถั่วพู กะหล่ำปลี แตงกวา จะลวกหรือกินสดก็ได้ อาจมีแคบหมูมากินด้วยก็ยิ่งดี ​

    พบว่าน้ำพริกอ่องในปริมาณ ๑๐๐ กรัม มี ๑๔๔.๙๔ แคลอรี โปรตีน ๑๐.๒๓ กรัม ไขมัน ๙.๐๐ กรัม คาร์โบไฮเดรท๕.๗๓ กรัม แคลเซียม ๖๒.๑๒ มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส ๘๐.๔๙ มิลลิกรัม เหล็ก ๒.๒๕ มิลลิกรัม วิตามินเอ ๓๒๙.๘๓ อาร์อี วิตามินบีหนึ่ง ๐.๒๙ มิลลิกรัม วิตามินบีสอง ๐.๑๕ มิลลิกรัม ไนอะซิน ๓.๐๙ มิลลิกรัม และ วิตามินซี ๔.๕๔ มิลลิกรัม
    **********
    ที่มา ?链Ô??ҡ?? (?链Ô?ᴧ)ᅐ?链Ô?ͨͧ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภัยใกล้ตัว! โรคทนรอไม่ได้
    :: INN online .- ʴ?ѹ?շը??蒇 ::



    ทำงานกับคอมพิวเตอร์นานๆระวังจะเป็นโรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness)...อันตรายกว่าที่คิด ...เป็นอย่างไร?

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD height=5></TD></TR>


    <!-- Show Image -->
    [​IMG]



    <!-- End Show Image -->


    </TBODY></TABLE>


    โรคและกลุ่มอาการที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ อันเนื่องมาจากการทำงานกับคอมพิวเตอร์​

    โรค Cumulative Trauma Disorders (ความผิดปกติจากอุบัติภัยสะสม) อาการของโรคจะค่อยเป็นค่อยไป จะมีอาการปวดคอ ไหล่ ข้อมือ และหลัง ผู้ที่เป็นมาก ๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการชาที่มือ อาการของโรคพวกนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นแล้วหายเมื่อได้พัก ระยะสองคือ มีอาการต่อเนื่องถึงกลางคืน และหายเมื่อได้พัก ระยะสามคือ เป็นตลอดเวลาไม่หายเมื่อได้พัก การรักษาคือ ต้องปรับพฤติกรรมการทำงานของตนเองก่อน หรือถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์ และควรเล่าประวัติการทำงาน ให้แพทย์ทราบสาเหตุที่แท้จริง แพทย์จึงจะรักษาเจาะจงเฉพาะที่ได้ ​

    โรคนี้มีความคล้ายกับ โรคจากการทำงานซ้ำซาก ซึ่งนักกายภาพบำบัดอธิบายว่า พบมากในผู้ที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน มักจะมีอาการชาข้อมือ หรือที่เรียกว่า กลุ่มอาการอุโมงค์ข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) เกิดเนื่องจากการใช้งานซ้ำ ๆ ที่บริเวณข้อมือ ทำให้เอ็นรอบ ๆ ข้อมือหนาตัวขึ้นแล้วไปกดเส้นประสาทที่วิ่งผ่าน ทำให้เกิดอาการชาและเจ็บได้ ซึ่งการรักษานอกจากทางกายภาพ โดยใช้ความร้อนทำให้บริเวณที่จับหนาตัวขึ้นนิ่มลงและยืดมันออก ทำให้อุโมงค์ที่เส้นประสาทลอดผ่านขยายตัวได้ แต่ถ้าผู้ที่เป็นมาก ๆ จะมีอาการชาจนกระทั่งกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงไป การผ่าตัดคือ วิธีรักษาที่ดีที่สุด ​

    โรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) มักจะเกิดกับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้กลายเป็นคนขี้เบื่อ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน เครียดง่าย เช่น ทนรอเครื่องดาวน์โหลดนาน ๆ ไม่ได้ กระวนกระวาย หากมีอาการมาก ๆ ก็จะเข้าข่ายโรคประสาทได้ ท่านจึงควรปรับเปลี่ยนลักษณะงาน และพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองไว้บ้าง มิฉะนั้นท่านจะเป็นคนที่เสียทั้งงานและเสียทั้งเพื่อนได้ ​

    โรคภูมิแพ้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสตอก โฮล์ม ในสวีเดนพบว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ สารนี้มีชื่อว่า Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในจอวิดีโอ และคอมพิว เตอร์ สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น คัน คัดจมูก และปวดศีรษะ ผลวิจัยพบว่า เมื่อจอคอมพิวเตอร์ร้อนขึ้นจะปล่อยสารเคมีดังกล่าวออกมา โดยเฉพาะหากสภาพภายในห้องทำงานที่มีเนื้อที่จำกัด เครื่องคอมพิวเตอร์อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้น อากาศที่ดีจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ​

    สรุปภัยจากคอมพิวเตอร์'​

    ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์กำลังจะกลายเป็นอุป กรณ์ธรรมดา ๆ ที่จำเป็นต้องมีของทุกหน่วยงาน พนักงานทุกคนต้องใช้เป็น ความเสี่ยงจึงเกิดกับท่านที่ใช้ชีวิตอยู่หน้าจอเป็นประจำเท่านั้น โดยเฉพาะท่านที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอเกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน ผลกระทบต่อสุขภาพเบื้องต้นที่แน่ ๆ ก็คือ ปวดหลัง ปวดไหล่ ต้นคอ และข้อมือ เกิดอาการเครียดที่ตา เพราะขณะมองจอนั้นผู้ใช้มักไม่กะพริบตา เป็นผลให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงเกิดอาการระคายเคืองได้ และอาการที่ตามมาคือ ตาพร่า และมองไม่เห็นชั่วคราว นอกจากนี้ยังอาจมีอาการไมเกรนพ่วงมาด้วย ​

    ปัญหาทางตาเป็นปัญหาที่น่าห่วงมาก เพราะเมื่อตาเกิดความเครียด กล้ามเนื้อตาจะบีบรัดเลนส์ตา จนเกิดความเมื่อยล้า จึงมีคำแนะนำว่า ถ้าต้องใช้สายตาอยู่กับหน้าจอนาน ๆ ควรพักสายตาทุก ๆ สิบนาที ด้วยการเปลี่ยนไปมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปสัก 20 ฟุต มองสัก 2-3 นาทีแล้วค่อยมองจอต่อ ทั้งหมดคงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์เอง ที่จะต้องรับผิดชอบสุขภาพของตนเอง เพราะถ้าเกิดปัญหาทางสายตาขึ้น จะไปเรียกร้องเงินทดแทนก็คงทำได้ยาก ​

    ที่มาคลังปัญญาไทย กับ วิชาการ.คอม​
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 59 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 58 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ่า บุคคลทั่วไป 58 คน พระองค์นี้ ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...