พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    [​IMG]

    เนื่องวันพระใหญ่

    ผมได้เตรียมพระบรมฯขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จำนวน 1 ผอบแก้ว,1 โถแก้วขนาดกลาง,พระบรมฯพระปัจเจกพุทธเจ้า 1 ผอบแก้ว(มี 3 องค์) และพระอรหัตธาตุในยุคพุทธกาล(ไม่ทราบพระนาม) 2 ผอบแก้ว,พระพิมพ์ 5 ชุด พร้อมประวัติ (1 ชุด มี ~20 องค์)


    มอบให้แด่เพื่อนสหธรรมิกไปถวายยังวัดต่างๆในเขต ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด จ.ตาก
    บรรจุยังพระธาตุเจดีย์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่กำลังก่อสร้าง สืบทอดงานพระพุทธศาสนา ให้ร่มเย็น ยั่งยืน ตราบจน 5,000 ปีสืบไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1140438.jpg
      P1140438.jpg
      ขนาดไฟล์:
      109.1 KB
      เปิดดู:
      240
    • P1140439.jpg
      P1140439.jpg
      ขนาดไฟล์:
      110.3 KB
      เปิดดู:
      105
    • P1140442.jpg
      P1140442.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.6 KB
      เปิดดู:
      1,476
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ต้องได้รับบทเรียนกันบ้าง คำว่า "อาชีพหมอดู" กับ "หมอดูอาชีพ" มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่านำดวงชะตาของคนอื่นมาล้อเล่น ทุกดวงที่นำมาศึกษาล้วนแต่เป็น"ดวงครู" ดังนั้นบุคคลใดหมิ่นครู ผู้นั้นจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร อีกทั้งบางเรื่องเป็นความลับของพรหม บาปกรรมของคนพวกนี้มีแน่ ก็คอยดูกันอย่างอุเบกขาต่อไป

    เพื่อนผมคนหนึ่งเขาเก่งมาก ผมแนะนำเขาไปว่า สิ่งที่เขาควรทำคือ หมอดูอาชีพ ไม่ใช่อาชีพหมอดู หากคิดจะพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไป ไม่สนใจเรื่องการนำมาหากิน หรือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง เขาควรจะมุ่งศึกษาอย่าง"ครู" มุ่งความจริงแท้แห่งศาสตร์วิชา มิใช่การทำนายเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างใดๆ

    อาจารย์ของผมขณะถ่ายทอดแนวทางโหราศาสตร์ของท่าน ก็ได้บอกกล่าวว่า สิ่งที่ท่านมอบให้เพียง 60% เท่านั้น อีก 40% ไม่สอนให้ เนื่องจากเป็นการตรวจดูภพภูมิก่อนชาตินี้ และภพชาติถัดไป ดังนั้นบุคคลที่รับการถ่ายทอดจะต้องมีคุณธรรม มีพรหมวิหาร ๔ เรียกว่ามีธรรมะในใจ ท่านได้ถ่ายทอดให้เพียง ๒ ท่าน ล้วนแล้วแต่เป็นเพศบรรพชิตในปัจจุบัน..
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การไต่สวนของพญายมราชและหน้าที่ของพญายม
    http://palungjit.org/threads/การไต่สวนของพญายมราชและหน้าที่ของพญายม.89575/

    [​IMG]


    คตินิยมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง และตามเรื่องราวของพระมาลัยเถระนั้น กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่าองค์พญายมราชนี้เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรมและมีจิตใจเมตตาเป็นอย่างยิ่ง มิได้เป็นภูตผีปีศาจแต่อย่างใด หากแต่พระองค์ทรงรับหน้าที่ในการปกครองดินแดนนรก ดินแดนแห่งการลงทัณฑ์มีหน้าที่ไต่สวนดวงวิญญาณต่างๆ ที่จำบุญบาปของตนไม่ได้

    <O:p</O:p
    สำหรับการไต่สวนดวงจิตวิญญาณเพื่อตัดสินความนั้น พญายมจะตั้งคำถาม 5 ข้อ ให้ดวงวิญญาณตอบโดยมีรายละเอียดดังนี้
    <O:p</O:p
    ข้อที่ ๑.พญายมราชจำทำการไต่ถามถึงปัญหาข้อที่ว่า “ดูกรท่านผู้เจริญ ท่านเคยเห็นเด็กแดงๆ ยังอ่อนนอนแบเบาะ นอนเปื้อนมูตรคูถของตนบ้างไหม เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร?” ถ้าตอบว่าเห็น แต่ไม่มีความรู้สึกอย่างไร พญายมราชก็จะบอกให้ทราบว่าเจ้าเป็นผู้มีความประมาท ไม่กระทำความดีทางกาย วาจา ใจ ไม่เคยคิดเลยว่าการเกิดมานั้นเป็นทุกข์ ดังที่เห็นอยู่เมื่อท่านประมาทเช่นนี้นายนิรยะบาลจะทำการลงโทษท่าน แล้วพญายมราชก็ปลอบใจผู้กระทำบาปเหล่านี้ โดยถามเป็นปัญหาที่สองเพื่อว่าดวงวิญญาณนั้นๆ อาจคิดถึงบุญได้ยามเมื่อฟังปัญหาต่อไป

    <O:p
    ข้อที่ ๒. เมื่อพญายมราชได้ปลอบโยนเอาอกเอาใจแล้วก็ได้ถามปัญหาข้อที่๒ว่า ”ดูกรท่านผู้เจริญ ท่านเคยเห็นคนแก่อายุ ๘0,๗0,๑00 ปี หลังโก่ง คดงอ ถือไม้เท้า เดินงกเงิ่น ผมหงอก หนังเหี่ยว ตกกระ ในหมู่มนุษย์บ้างไหม เห็นแล้วท่านรู้สึกอย่างไร?” ถ้าตอบว่าเห็นแต่ไม่มีความรู้สึกอย่างไร พญายมราชก็กล่าวชี้แจงให้ทราบว่าท่านเป็นผู้ประมาท ไม่พิจารณาเห็นโทษของความแก่ ไม่ขวนขวายในการทำบุญทำกุศล ตั้งอยู่ในความประมาทนายนิรยบาลจะลงโทษท่านต่อจากนั้นพญายมราชก็จะพูดปลอบใจ และถามปัญหาต่อไป

    <O:p
    ข้อที่ ๓. พญายมราชจะถามว่า “ท่านเคยเห็นคนป่วยไข้ที่กำลังได้รับความทุกข์เวทนาบ้างหรือไม่ เมื่อเห็นแล้วรู้สึกอย่างไร?” ถ้าตอบว่าเห็น แต่ไม่รู้สึกอย่างไร พญายมก็จะชี้แจงให้ทราบถึงเหตุผลว่าการเจ็บป่วยนั้นเป็นทุกข์ที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ จะต้องขวนขวายในการกระทำความดียิ่งๆขึ้น เพื่อให้พ้นจากสิ่งเหล้านี้ ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ประมาทนายนิรยบาลจะลงโทษท่าน พญายมราชจะพูดปลอบอกปลอบใจและถามปัญหาข้อที่ ๔ ต่อไป

    <O:p
    ข้อที่ ๔.พญายมราชได้ภามปัญหาด้วยจิตเมตตาต่อไปว่า “ท่านเคยเห็นคนที่ถูกจองจำ เช่น โจร ผู้ร้าย ผู้กระทำผิด ซึ่งถูกลงโทษด้วยวิธีต่างๆ เช่น การโบยด้วยแส้ โบยด้วยหวาย ตีด้วยกระบอง ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดหูตัดจมูกบ้าง ตลอดจนยิงเป้า แขวนคอ นั่งเก้าอี้ไฟฟ้า หรือการฉีดยาพิษเข้าสู้ร่างกายเพื่อให้เสียชีวิตบ้างหรือไม่ เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร?” ถ้าตอบว่าเห็น แต่ไม่รู้สึกอย่างไร พญายมราชจะชี้แจงให้ทราบว่าท่านเป็นผู้ตกอยู่ในความประมาท ไม่ขวนขวายในการทำบุญทำกุศล เพื่อให้พ้นจากวัฏสงสารเหล่านี้ นายนิรยบาลจะลงโทษท่านพญายมก็พูดปลอบโยนเอาอกเอาใจและถามปัญหาในข้อต่อไป

    <O:p
    ข้อที่ ๕.พญายามราชก็จะถามปัญหาว่า “ท่านเคยเห็นคนตายบ้างหรือไม่ เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร” ถ้ายังตอบเหมือนเดิมอีก คือเห็นแล้วไม่มีความรู้สึกอย่างไร และไม่ได้ขวนขวายในการที่จะกระทำคุณงามความดียิ่งๆขึ้น ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตกอยู่ในความประมาท ซึ่งไม่ใช่ความผิดของบิดามารดา ญาติพี่น้อง มิตรสหายหรือเทวดาดลใจแต่เห็นความผิดของท่านเอง นายนิรยบาลจะลงโทษท่าน เมื่อพญายมราชได้พูดปลอบใจแล้ว นายนิรยบาลก็จะจับผู้ประมาทนั้นมาจองจำ๕ ประการด้วยกัน คือ นำมือข้างที่ ๑ มาตรึงด้วยตะปูด้วยเหล็กแดง นำมือข้างที่ ๒ มาตรึงด้วยตะปูเหล็กแดง น้ำเท้าข้างที่ ๑ มาตรึงด้วยตะปูเหล็กแดง นำเท้าข้างที่ ๒ มาตรึงด้วยตะปูเหล็กแดง และตรึงตะปูที่ทรวงอกตรงกลางสัตว์เหล่านั้นย่อมเสวยทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าอยู่ในนรก แต่ก็ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่หมดสิ้น

    <O:p</O:p
    ในการถามปัญหา ๕ ข้อนี้ ท่านจะคอยถามว่า ยามเมื่อมีชีวิตอยู่นั้นได้ทำบุญทำบาปอะไรไว้บ้าง นอกจากนี้ยังถามว่าเคยเห็นเด็กทารกที่นอนจมกองอาจมหรือไม่ เมื่อเห็นแล้วเคยรู้สึกสังเวชในการเกิดการเป็นการอยู่ เคยตรึงตรองถึงธรรมการเกิดขึ้นของมนุษย์หรือไม่ ต่อจากนั้นพญายมราชก็จะซักถามต่อไปอีกว่า เคยเห็นคนเจ็บป่วยไม่สบายหรือไม่เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร สังเวชในธรรมของการเป็นการอยู่ของมนุษย์เราหรือไม่ เป็นคติเตือนใจเราเองได้หรือไม่ แล้วถามอีกว่าเคยเห็นคนแก่ชราหรือไม่ เมื่อเห็นแล้วเคยน้อยกลับมาดูตัวเองหรือไม่ว่าเราเองต้องแก่เหมือนกัน และไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้ เคยได้ตรึกตรองในสัจธรรมความจริงข้อนี้หรือไม่ สุดท้ายก็ถามย้ำอีกว่า แล้วเคยเห็นคนตายไหม เคยคิดหรือไม่ว่าตัวเราเองหรือไม่ว่าตัวเองต้องแก่ชราเช่นนั้นเหมือนกันไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่งเคยนึกได้เช่นนี้บ้างไหม

    <O:p</O:p
    การที่ท่านถามนี้ก็เพื่อว่าบุคคลใดก็ตามที่เคยเห็นแล้วพิจารณานึกได้ เกิดความสังเวชในชีวิตบ้าง นับว่าบุคคลนั้นยังมีจิตใจเป็นบุญกุศลยังมีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศล เพราะจิตเคยเข้าสู่การพิจารณาสังเวชในธรรมเป็นไปตามที่พระองค์ท่านให้พิจารณา จิตที่พิจารณาถึงธรรมสังเวชเห็นความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ นับว่าบุคคลผู้นั้นมีปัญญาและมีจิตระเอียดอ่อน การที่จิตตกอยู่ในธรรมสังเวชนั้นแล จะเป็นบุญแก่จิตรของบุคคลผู้นั้นและนับเป็นบุญมหาสารได้ หากขณะที่องค์พญายมราชไต่สวนเราหมดแล้ว ยังไม่อาจระลึกในสิ่งที่เป็นบุญกุศลได้เลย แน่นอนว่าย่อมมีทุคติภูมิหรือนรกเป็นที่ไป

    <O:p</O:p
    ก่อนที่พญายมราชจะส่งดวงวิญญาณทั้งหลายไปลงนรกนั้น พระองค์จะไต่สวนให้เที่ยงธรรมเสียก่อนว่า ดวงวิญญาณทั้งหลายนั้นเคยทำบุญกุศลอะไรบ้างหรือไม่ หากเคยทำบุญกุศลบ้างพระองค์จะได้ไปส่งไปยังสุคติ แต่หากดวงวิญญาณทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถระลึกถึงกุศลได้เลย ก็แน่นอนว่าย่อมถูกส่งไปยังนรกชั้นต่างๆตามโทษทัณฑ์ที่ดวงวิญญาณนั้นจะได้รับอย่างสาสม

    <O:p
    หากผู้ใดได้ประกอบกุศลกรรมอยู่เป็นนิจ ในดวงจิตก็จะมีความสำนึกในกุศลกรรมนั้น เมื่อถึงวันที่ต้องอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพญายมราช ยามที่ได้ยินคำถามของท่านก็จะสามารถระลึกถึงจิตอันเป็นกุศลของตนได้และยอมได้ไปสู่สุคติภพในที่สุด

    ที่มา : ไตรภูมิพระร่วง



    .

    .<O:p</O:p
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2010
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของการทำบุญ ที่เกี่ยวข้องกับองค์มัจจุราช ผมเคยบอกไว้ในกระทู้พระวังหน้าฯนี้แล้ว ลองไปหาอ่านดู



    ส่วนท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , สมาชิกคณะพระวังหน้า และสมาชิกคณะกองทุนหาพระถวายวัด ผมเองได้เคยบอกไปหลายๆท่านแล้ว ว่า ต้องทำอย่างไร หากท่านใดที่ยังไม่ทราบ ให้โทร.มาสอบถามผม หรือวันที่ประชุมชมรมรักษ์พระวังหน้า หรือวันที่พบกับผม สอบถามผมอีกครั้งก็ได้ครับ



    ปกติแล้ว หากไม่ได้ตายในฌาณ หรือ ตายในญาณ จะเรียกว่า หลงตาย ทั้งสิ้น เมื่อใครหลงตาย เวลาที่ต้องไปเจอกับองค์มัจจุราชเจ้า ผู้ที่หลงตายจะระลึกถึงบุญ ความดีต่างๆไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ที่หลงตายก็จะต้องไปนรกเพียงสถานเดียว
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เคล็ดวิธีช่วยทุกบ้านห่างไกล 'ไข้หวัดใหญ่' ในฤดูฝนสาด!
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>13 พฤษภาคม 2553 13:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อฤดูเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ช่วงฝนพรำ แน่นอนว่า เหล่าเชื้อโรคต่างออกมาเริงระบำ แพร่กระจายโรคให้กับทุกครอบครัวกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะเชื้อไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ช่วงนี้ สมาชิกทุกคนในบ้าน ไม่เว้นแม้แต่เด็ก ควรจะเริ่มสร้างเกราะกำบังให้กับร่างกายไว้บ้าง เพื่อป้องกันโรคภัยต่างๆ ในช่วงฤดูฝนสาดนี้

    "ดร.ทอม สมิธ" ไคโรแพรคเตอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ประจำคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก กล่าวว่า ทุกระบบ และทุกส่วนในร่างกายมีความสัมพันธ์กันหมด โดยมีสมอง และศูนย์กลางของระบบประสาท คอยทำหน้าที่รับผิดชอบเชื่อมโยงร่างกาย รวมไปถึงเซลล์ต่างๆ ถ้าหากสมอง ศูนย์กลางระบบประสาททำงานได้ดี ร่างกายก็จะมีความแข็งแรง

    แต่ถ้าหากการทำงานเสื่อมลง หรือมีการติดขัดของเซลล์ หรือบางระบบภายในร่างกาย ก็จะทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง เนื่องจากระบบภูมิต้านทานอ่อนแอ จึงเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย เพราะระบบภูมิต้านทานร่างกาย (Immune System) คือระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดของร่างกายที่ทำหน้าที่คอยป้องกันไม่ให้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาทำอันตรายและทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย

    ดังนั้นการดูแลรักษาสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้ และหนึ่งในวิธีดูแลรักษาสุขภาพที่ทำได้ง่ายๆ คือ แนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพแบบ*ไคโรแพรคติก ในเรื่องนี้ "บัณลักข ถิรมงคล" ผู้อำนวยการคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก อธิบายให้ฟังว่า เป็นแนวทางที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่ระบบโครงสร้างร่างกาย การทำงานของกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ ระบบประสาท เพื่อให้อยู่ในสภาพที่ดี สมดุล ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มที่ มีความสำคัญต่อระบบภูมิต้านทานที่แข็งแรงของร่างกายเป็นอย่างมาก

    "ในช่วงนี้มีประชาชนที่มารับการบริการรักษาที่คลินิกเป็นจำนวนมากต่างตื่นตัว ซึ่งนอกจากไคโรแพรคเตอร์จะให้การรักษา ปรับ คืนความสมดุลให้กับระบบโครงสร้างร่างกาย แก้ไขปัญหากระดูกเคลื่อน ชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลัง" ผู้อำนวยการคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติกกล่าว

    แนะ 7 วิธีดูแลร่างกายห่างไกล 'ไข้หวัดใหญ่'

    โดยทั้งนี้ได้ให้แนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้ระบบเชื่อมต่อในร่างกายต่างๆ ทำงานได้สมดุล มีประสิทธิภาพ และสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงให้กับร่างกาย ซึ่งมีด้วยกัน 7 ข้อดังนี้

    1. ควรดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำทุกวันโดยเฉพาะช่วงเช้าเวลาตื่นนอน และช่วงระหว่างวัน เฉลี่ย 1.5 ลิตร จะช่วยทำให้ร่างกายขจัดของเสียออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจส่วนบนที่จะช่วยป้องกันและดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังช่วยให้เซลล์ในร่างกายคงรูปทำงานได้อย่างปกติ เพื่อสามารถนำอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่างๆ และช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกล้ามเนื้อ กระดูก และช่วยหล่อไขข้อต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 2. รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เช่น ผักสด และผลไม้ ที่อุดมไปด้วยสารอาหารพวกเบต้าแคโรทีน วิตามินซี อี บี เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง มะละกอ มะเขือเทศ ส้ม มะนาว ฝรั่ง ข้าวกล้อง ผักใบเขียว ถั่ว และกระเทียม (ควรเลือกผัก ผลไม้ อินทรีย์ ปลอดสารพิษ) เพื่อช่วยในเรื่องของการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกระเทียมจะมีสารอัลลิซิน (Allicin) และซัลไฟด์ (Sulfides) จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ที่สำคัญที่สุดควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และทำให้ระบบภูมิต้านอ่อนแอลง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อาหารที่ปรุงด้วยผงชูรส หรืออาหารที่มีรสหวาน และรสจัด

    3. ควรรักษาความสะอาดส่วนต่างๆของร่างกายอยู่เสมอ เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่างๆ ที่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง โดยควรล้างมือบ่อยๆ และแปรงฟันหลังอาหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และควรสอนใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดเชื้อโรคตามซอกฟัน

    4. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพอเหมาะ ไม่หักโหมเกินไป เพื่อรักษาสภาวะภูมิต้านทานที่ดี

    5. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ อย่างต่ำวันละ 7 ชั่วโมง เพราะการนอนไม่พอนั้นมีผลต่อการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี

    6. พยายามลดความเครียด เพราะอารมณ์เครียดจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนของกระดูกสันหลัง และยังทำให้ร่างกายเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลง คนเครียดจึงมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย

    7. ควรใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกทุกครั้งเวลาอยู่ในที่ชุมชนและคนแออัด เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรค และหากมีการไอหรือจามควรจะยืดกล้ามเนื้อหลัง และงอเข่าขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อหลัง หรือข้อกระดูกเคลื่อนที่ เนื่องจาก การไอและจาม ที่รุนแรงจะเกิดแรงสั่นสะเทือนที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ของข้อกระดูกในร่างกายได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นก็จะส่งผลต่อการทำงานระบบอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลงด้วย

    /// ข้อมูลประกอบข่าว ///

    *"ไคโรแพรคติก" คือ ศาสตร์วิชาการแพทย์แขนงการดูแลสุขภาพ โดยตรวจรักษาระบบประสาท การดูแลกระดูกสันหลัง และโครงสร้างของร่างกายเพื่อให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ใช้ยา เข็ม หรือ การผ่าตัด ในการรักษาความผิดปกติของโครงสร้างและการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือการคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งปกติของกระดูกสันหลัง โดยให้ความสนใจกับส่วนสำคัญของร่างกาย 4 ส่วนใหญ่ๆ คือ กระดูกสันหลัง (Spine) ระบบประสาท (Nervous System) ลักษณะโครงสร้างของร่างกาย (Structure) โภชนาการด้านอาหาร และวิตามิน (Nutrition)

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปิดชีวิต ดาวไร้แสง รจนา เพชรกัณหา

    รจนา เพชรกัณหา เปิดชีวิตดาวไร้แสง รจนา เพชรกันหา


    [​IMG]

    [​IMG]




    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Pantip.com และ พลอยแกมเพชร

    ในวงการนางแบบไทยจะมีนางแบบสักกี่คนที่โกอินเตอร์ ชนิดดังไกลระดับโลก จนนานาชาติต้องซูฮก หรือถูกเอเยนซี่ใหญ่ ๆ รุมแย่งตัวกันไปร่วมงาน... นางแบบไทยที่ได้รับการยอมรับมากมาย เนื้อหอมขนาดนั้น ดังระดับนั้น มีด้วยหรือ ? ...คำตอบคือ "เคยมี" และพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ณ วันนี้ ยังไม่มีนางแบบไทยคนไหนวัดรอยเท้าเธอได้เลย ทว่าวันนี้ชื่อเสียงของเธอได้กลายเป็นอดีตไปแล้วก็เท่านั้น

    ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา คือบุคคลที่เรากล่าวถึง เธอคือเพชรเม็ดงามจากเอเชีย เป็นนางแบบสาวไทยเพียงคนเดียวที่เคยเจิดจรัสบนเวทีนางแบบโลก...

    ย้อนกลับไปเมื่อราว 10 กว่าปีที่แล้ว วงการแฟชั่นระดับโลกไม่มีใครไม่รู้จัก เด็กสาวผิวสองสี ผมยาวตรง รูปร่างผอมบางจาก จ.อุบลราชธานี ที่ชื่อ รจนา เพชรกัณหา นางแบบสาววัย 18 ปี จากเวทีสุดยอดนางแบบปี พ.ศ.2537 เธอคว้าตำแหน่งอันดับ 2 ของปีนั้น ซึ่งหลังจากการประกวดเพียงไม่กี่วัน เธอก็ถูกจับเซ็นสัญญากับเอเยนซี่ในต่างประเทศทันที


    [​IMG]


    และการได้ขึ้นปกนิตยสาร vogue ของสิงคโปร์ ก็เป็นประตูเปิดทางสู่วงการแฟชั่นระดับโลกของ รจนา เพชรกัณหา ก่อนที่ชื่อเธอจะเบียดขึ้นมาเป็นนางแบบแถวหน้าด้วยการเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับน้ำหอมดังอย่าง "ชาแนล"

    แต่ชีวิตในวัย 35 ปีของ รจนา เพชรกัณหา กลับพลิกผันจากความหรูหราฟู่ฟ่า มาเป็นสาววัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่งที่แทบไม่มีใครสนใจ หรือรู้จัก ปัจจุบันเธอใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ย่านชานเมืองของกรุงเทพมหานคร โดยมีเงินใช้ต่อวันไม่เกิน 100 บาท หรืออาจจะมากน้อยกว่านั้นตามจังหวะขึ้นลงของรายได้

    ...เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตที่เคยมีแต่ของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า และปากท้องที่เคยลิ้มรสแต่อาหารหรู ๆ ทำไมเธอต้องกลับเมืองไทยด้วยเงินติดตัวเพียง 500 บาท เพราอะไรกัน ????

    "ฉันติดยาเสพติด" นี่เป็นคำสารภาพจากปากของ รจนา เพชรกัณหา เธอยอมรับโดยดีว่า เพราะความอยากรู้อยากลอง ทำให้ชีวิตต้องตกเป็นทาสของยานรก...จริงอยู่มันทำให้เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสนุกสุด ๆ เมื่อได้เสพ แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นตัวพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากชีวิตของเธอในระยะเวลาไม่นานหลังจากนั้น

    "ตอนที่ยุ้ยยังเป็นนางแบบดัง กระเป๋าใบละแสนสองแสน รองเท้าคู่ละหมื่น ยุ้ยก็เคยมีใช้นะคะ บนตัวนี่มีแต่ของแบรนด์เนมทั้งนั้น และตอนที่เริ่มเสพยายุ้ยก็ยังมีงานนะ ตอนนั้นมีเงินซื้อยาเยอะ เราก็เสพเยอะ จนบางครั้งเบลอไปเลย และเหมือนมันเป็นแฟชั่นด้วย เรามีรายได้เยอะก็ซื้อเผื่อคนอื่นด้วย ให้เขาสนุกกับเรา คือใช้เงินไปกับการเสพยา และการใช้ชีวิตหรู ๆ จนหมดตัวเลยค่ะ" รจนา เพชรกัณหา เล่าถึงจุดหักเหของชีวิต

    แม้ว่าจะผ่านไปกว่า 10 ปีแล้ว แต่ฤทธิ์จากยาเสพติดในวันวานยังคงส่งผลต่อชีวิตของเธอ ปัจจุบัน รจนา เพชรกัณหา ยังต้องไปหาหมอเพื่อรับยาบำบัดอาการจากยาเสพติดอย่างสม่ำเสมอ เพราะอาการหลอน ๆ เบลอ ๆ ยังแวะเวียนมาทักทายเธอบ้างในบางเวลา นอกจากนี้ เธอยังมีอาการลิ้นแข็ง พูดไม่ค่อยชัด ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นผลมาจากยาเสพติดด้วยหรือไม่


    [​IMG]


    อย่างไรก็ดี ด้วยประสบการณ์ที่ได้จากเวทีนางแบบระดับโลก ทำให้ รจนา เพชรกัณหา ยังมีโอกาสสร้างรายได้เลี้ยงชีพ จากการเป็นเทรนเนอร์สอนเดินแบบให้กับโมเดลลิ่งเล็ก ๆ แถวราชเทวี ซึ่งเธอยอมรับว่าทุกครั้งที่มาสอนหรือตามไปดูลูกศิษย์เดินแบบตามงานต่าง ๆ นั้น ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นดีใจทุกครั้ง และคงไม่แปลกอะไร หากนั่นจะทำให้เธอคิดถึงอดีตของตัวเองอย่างจับใจ

    "ยุ้ยยังอยากกลับไปทำงานในวงการแฟชั่นนะคะ เพราะยุ้ยอยู่กับมันมาตั้งแต่อายุ 18 ปี เป็นงานเดียวที่ยุ้ยทำได้และทำได้ดี แต่เราก็ไม่ได้หวังหรอก มันเป็นเรื่องของเบื้องบนที่จะประทานให้ ยุ้ยคิดอย่างนั้น แต่พอนึกถึงวันที่ยุ้ยรุ่งโรจน์ ยุ้ยก็เสียดายหลาย ๆ อย่าง ทุกอย่างมันพังเพราะตัวเราเอง ยุ้ยโทษใครไม่ได้ค่ะ แต่ยอมรับเลยว่าเวลามาดูลูกศิษย์ ก็มีคิดแว้บ ๆ ว่าอยากเดินบนเวทีเหมือนกัน"


    [​IMG]


    ...ใช่ว่าโอกาสจะไม่เคยเปิดให้กับคนที่เคยผิดพลาดในชีวิตเสมอไป ล่าสุด รจนา เพชรกัณหา ได้กลับมาถ่ายแฟชั่นอีกครั้งจากการเชื้อเชิญของ หยินมี่ สาวน้อยที่เป็นที่รู้จักจากรายการเรียลลิตี้ “บิ๊ก บราเธอร์ส” เจ้าของโครงการหนังสือภาพแฟชั่น โดย หยินมี่ บอกว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชิญอดีตนางแบบระดับโลกมาร่วมงาน ขณะเดียวกันทีมงานยังคงชื่มชมการทำงานของ รจนา เพชรกัณหา อย่างไม่ขาดปาก และแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่สร้างความตื้นตันให้กับอดีตนางแบบดังคนนี้อย่างมาก เพราะนานกว่า 8 ปีแล้วที่เธอต้องร้างมือจากวงการไป

    จากเรื่องราวของ รจนา เพชรกัณหา จะเห็นได้ว่าชีวิตที่สูงสุดจนติดเพดาน แม้จะตกสู่ที่มืดจนหาทางสว่างแทบไม่เจอ แต่หากเราเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตและหันมาสู่ทางที่ควรจะเป็น โอกาสดี ๆ ก็ยังมีให้เห็นเสมอ (จริงไหม)
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันพืชมงคล



    วันพืชมงคล


    [​IMG]





    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รัฐบาลไทย

    หากเอ่ยชื่อ "วันพืชมงคล" แล้วเชื่อว่าหลายคนคงยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว เพราะจะได้หยุดเรียน หยุดงาน พักผ่อนอยู่ที่บ้าน เนื่องจากเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่จะมีสักกี่คนรู้รายละเอียด รู้ความหมาย หรือรู้ความเป็นมาเป็นไปของ "วันพืชมงคล" อย่างแท้จริง เอาเป็นว่าเราไปเจาะลึกประวัติและความเป็นมาของ "วันพืชมงคล" กันดีกว่า...

    วันพืชมงคล หมายถึง วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่ามาแต่โบราณที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระราชพิธีนี้จะกระทำที่ท้องสนามหลวง ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

    พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่างๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้างเหนียว ข้างฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัย และ ให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี

    พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว

    [​IMG] ประวัติความเป็นมา

    พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือเรียกสั้นๆ ว่า พิธีแรกนา เป็นพระราชพิธีที่มีมาแต่โบราณตั้งแต่ครั้งสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ไม่ได้ลงมือไถนาเอง เป็นแต่เพียงเสด็จไปเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีเท่านั้น ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ไม่ได้เสด็จไปเป็นองค์ประธาน แต่จะมอบอาญาสิทธิให้โดยทรงทำเหมือนอย่างออกอำนาจจากกษัตริย์ และจะทรงจำศีลเงียบ 3 วัน ซึ่งวิธีนี้ได้ใช้ตลอดมาถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา

    ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 1 ได้โปรดให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญแทนพระองค์ และมิได้ถือว่าเป็นพิธีหน้าพระที่นั่ง เว้นแต่เมื่อมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตร สถานที่ประกอบพิธีในตอนแรกๆ จึงไม่ตายตัว แล้วแต่จะทรงกำหนดให้ ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดมีพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้นในพระราชพิธีต่างๆ ทุกพิธี ดังนั้น "พระราชพิธีพืชมงคล" จึงได้เริ่มมีขึ้นแต่บัดนั้นมา โดยได้จัดรวมกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และมีชื่อเรียกรวมกันว่า "พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ"

    ส่วนพิธีกรรมนอกเหนือจากการทำให้เป็นตัวอย่าง ตามที่ทรงจำแนกไว้ 3 อย่าง 2 อย่างแรก ที่ว่า "อาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคลตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง" นั้น ทรงหมายถึง "พิธีพืชมงคล" อันเป็นพิธีสงฆ์ที่กระทำ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่ว่า "บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง" นั้น ทรงหมายถึงพิธีจรดพระนังคัลแรกนา ขวัญอันเป็นพิธีพราหมณ์

    ดังนั้น จึงพอจะสรุปความมุ่งหมายอันเป็นมูลเหตุให้เกิดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นี้ได้ว่าพิธีแรกนามุ่งหมายที่จะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร เพื่อชักนำให้มีความมั่นใจในการทำนา อันเป็นอาชีพหลักที่สำคัญของคนไทยที่มีมาแต่ช้านานสืบมาจนปัจจุบันยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะการเกษตรซึ่งมีการทำนาเป็นหลักนั้น เป็นสิ่งสำคัญแก่ชีวิตความเป็นอยู่และการเศรษฐกิจของประเทศทุกสมัย

    ส่วนวันประกอบพิธีนั้น ต้องเป็นวันที่ดีที่สุดของแต่ละปี ประกอบด้วย ขึ้น แรม ฤกษ์ยาม ให้ได้วันอันเป็นอุดมฤกษ์ตามตำราโหราศาสตร์ แต่ต้องอยู่ในระหว่างเดือน 6 เพราะเดือนนี้เริ่มจะเข้าฤดูฝน เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จะได้เตรียมทำนา เมื่อโหรหลวงคำนวณได้วันอุดมมงคลพระฤกษ์ ที่จะประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแล้ว สำนักพระราชวังจะได้ลงไว้ในปฏิทินหลวง ที่พระราชทานในวันขึ้นปีใหม่ทุกปี และได้กำหนดไว้ว่าวันใดเป็นวันพืชมงคล วันใดเป็นวันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

    พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแต่เดิมมาทำที่ทุ่งนาพญาไท เมื่อได้มีการฟื้นฟูพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นใหม่ จึงจัดให้มีขึ้นที่ท้องสนามหลวง ทั้งนี้ วันแรกนาขวัญเป็นวันสำคัญของชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติให้หยุดราชการ 1 วัน และมีประกาศให้ชักธงชาติตามระเบียบทางราชการ

    [​IMG] การประกอบพระราชพิธี

    พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิษฐานเพื่อความ อุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งข้าวที่นำเข้าพิธีพืชมงคลนั้นเป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้มีเมล็ดพืชต่างๆ รวม 40 อย่าง แต่ละอย่างบรรจุถุงผ้าขาว นอกจากนี้ยังมีข้าวเปลือกที่หว่านในพิธีแรกนา บรรจุกระเช้าทองคู่หนึ่งและเงินคู่หนี่ง เป็นข้าวพันธุ์ดีที่โปรดฯ ให้ปลูกในสวนจิตรลดา และพระราชทานมาเข้าพิธีพืชมงคล

    โดยพันธุ์ข้าวพระราชทานนี้จะใช้หว่านในพระราชพิธีแรกนาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่เหลือทางการจะบรรจุซอง แล้วส่งไปแจกจ่ายแก่ชาวนาและประชาชนในจังหวัดต่างๆ ให้เป็นมิ่งขวัญและเป็นสิริมงคลแก่พืชผลที่จะเพาะปลูกในปีนี้

    ทั้งนี้ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปัจจุบันนี้ได้ดำเนินตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี เว้นแต่บางอย่างได้มีการดัดแปลงให้เหมาะแก่กาลสมัย อาทิ พิธีของพราหมณ์ก็มีการตัดทอนให้เหลือน้อยลง พระยาแรกนาก็ให้ตกเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนเทพีนั้นคัดเลือกจากข้าราชการสตรีโสดในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระดับ 3 - 4 คือขั้นโทขึ้นไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระราชพิธีทุกปี มีข้าราชการขั้นผู้ใหญ่ ทูตานุทูต และประชาชนได้มาชมการแรกนาเป็นจำนวนมาก

    สำหรับการประกอบพิธีนั้นก็จะถูกกำหนดขึ้นโดยโหรหลวง ในระหว่างพิธีอันสวยงามนี้ ก็จะมีการทำนาย ปริมาณน้ำฝน ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง และแล้วพระยาแรกนาก็จะทำการเลือกผ้า 3 ผืน ที่มีความยาวต่างขนาดกัน ตามชอบใจ ผ้าทั้ง3 ผืน นี้จะดูคล้ายกัน ถ้าพระยาแรกนาเลือกผืนที่ยาวที่สุดก็ทายว่า ปริมาณนี้ฝนจะมีน้อย ถ้าเลือกผืนที่สั้นที่สุดทายว่าปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมาก และถ้าเลือกผืนที่มีความยาวปานกลาง ทายว่ามีปริมาณน้ำฝนพอปริมาณ

    หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียกว่า "ผ้านุ่ง" เรียบร้อยแล้ว พระยาแรกนาก็จะไถลงไปบนพื้นที่ท้องสนามหลวงด้วยพระนังคัลสีแดงและสีทอง ซึ่งลากโดยพระโคผู้สีขาว ตามขบวนด้วยเทพีทั้ง 4 ผู้ซึ่งหาบกระเช้าทองและกระเช้าเงินที่บรรจุด้วยเมล็ดข้าวเปลือก นอกจากนี้ก็มีคณะพราหมณ์เดินคู่ไปกับขบวนพร้อมทั้งสวดและเป่าสังข์ไปพร้อมกัน

    เมื่อเสร็จจากการไถแล้วพระโคก็จะได้รับการป้อนพระกระยาหารและเครื่องดื่ม 7 ชนิด คือ เมล็ดข้าว ถั่ว ข้าวโพด หญ้าเมล็ดงา น้ำและเหล้า ไม่ว่าพระโคจะเลือกกินหรือดื่มสิ่งใด ก็ทายว่าปีนี้จะอุดมสมบูรณ์ด้วยสิ่งที่พระโคเลือกนั้น

    เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ประชาชนจะพากันแย่งเก็บเมล็ดข้าวที่หว่านโดยพระยาแรกนา เพราะว่าเมล็ดข้าวนี้ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มีไว้ในครอบครอง ชาวนาก็จะใช้เมล็ดข้าวนี้ผสมกับเมล็ดข้าวของตน เพื่อให้พืชผลในปีที่จะมาถึงนี้อุดมสมบูรณ์

    สำหรับพระโคที่จะเข้าพระราชพิธีแรกนาขวัญ จะถูกเลี้ยงดูอย่างดีในทุ่งหญ้าที่จังหวัดราชบุรี พระโคที่ใช้ในพระราชพิธี จะต้องมีลักษณะที่ดีขาดเกินไม่ได้คือ หูดี ตาดี แข็งแรง เขาทั้งสองตั้งตรงสวยงาม พระโคแต่ละคู่ต้องสีเหมือนกัน ซึ่งจะมีการคัดเลือกพระโคเพียงสองสีเท่านั้น คือ สีขาวสำลีและสีน้ำตาลแดง และเจาะจงแต่เพศผู้เท่านั้นและต้องผ่านการ "ตอน" เสียก่อนด้วย

    อนึ่ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นวันเกษตรกรประจำปีอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรพึงระลึกถึงความสำคัญของการเกษตร และร่วมมือกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพของตน

    [​IMG] กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันพืชมงคล

    1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ

    2. จัดนิทรรศการ แสดงประวัติความเป็นมา และความสำคัญของวันพืชมงคลรวมทั้งพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

    ข้อมูลจาก
    [​IMG]

    - treasury.go.th

    - lib.ru.ac.th

    - sunsite.au.ac.th

    - geocities.com
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระโคกินหญ้า น้ำท่าบริบูรณ์พอควร

    http://hilight.kapook.com/view/48532

    ที่มา กระปุกดอทคอม

    [​IMG]

    สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม

    พระราชพิธีพืชมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินในพระราชพิธี มีประชาชนสวมเสื้อเหลือง-ชมพู แห่ร่วมจำนวนมาก

    ทั้งนี้ ผลการเสี่ยงทายของพระยาแรกนา เนื่องในงานพระราชพิธีพืชมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปีพุทธศักราช 2553 มีดังนี้

    พระยาแรกนาเสี่ยงทายผ้าสำหรับนุ่ง เสี่ยงผ้านุ่งปีนี้ โหรหลวงพยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอน อาจเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่

    ส่วนการเสี่ยงทายพระโคกินเลี้ยงปีนี้ พระโคกินหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอควร พร้อมด้วยธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหาร อุดมสมบูรณ์ดี

    และสิ่งที่เกษตรกร ตลอดจนประชาชนที่เข้าร่วมในพระราชพิธีพืชมงคลเฝ้ารอคือ การเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว ที่ใช้หว่านในพระราชพิธี ซึ่งทุกคนต่างมีความมุ่งหวัง ที่จะได้เมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อนำกลับไปเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต



    [​IMG]
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รัฐบาลไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2010
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, jirautes, SALEEN </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรียนคุณjirautes

    ผมส่งข้อมูลให้ทาง Email แล้วนะครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ย้อนเผ่าพันธุ์ "มนุษย์โบราณ" ในไทย
    Science - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 พฤษภาคม 2553 05:43 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>หุ่นจำลองใบหน้าของมนุษย์ โฮโม อีเรกตัส ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดี ในประเทศเยอรมนี (ภาพประกอบจาก wikipedia/Lillyundfreya) </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>สุวรรณภูมิเป็นดินแดนเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของโลกที่มีการค้นพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตในยุคดึกดำบรรพ์จำนวนมาก รวมทั้งฟอสซิลของ "มนุษย์โบราณ" อายุนับแสนปี

    ฟอสซิลมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ที่พบในประเทศไทย และเก่าแก่ที่สุดคือ "มนุษย์ลำปาง" (Lampang Man) มีอายุประมาณ 5 แสนปี ซึ่งจัดอยู่ในสปีชีส์ โฮโม อีเรกตัส (Homo erectus) สำรวจพบโดยทีมนักวิจัยไทยเมื่อปี 2542 ที่บริเวณปากถ้ำหินปูนแห่งหนึ่ง ที่มีการระเบิดเหมืองหิน ในอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นฟอสซิลของมนุษย์ยุคเดียวกับที่พบก่อนหน้านั้นบนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย (Java Man) และในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน (Peking Man)

    ซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของวิวัฒนาการมนุษย์บนแผ่นดินไทยอีกชิ้นหนึ่ง คือ ฟันกรามของมนุษย์ ที่พบโดยทีมนักวิจัยไทยและฝรั่งเศส ที่ถ้ำวิมานนาคินทร์ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ วัดอายุได้ราว 1.8 แสนปี อยู่ในช่วงปลายของยุคไพลสโตซีนตอนกลาง โดยพบปะปนอยู่กับฟันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ

    อีกทั้งก่อนหน้านั้นยังมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคปัจจุบันในสมัยไพลสโตซีนตอนปลาย อายุประมาณ 2.5 หมื่นปี ที่แหล่งโบราณคดีบ้านหมอเขียว อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เมื่อช่วงปี 2534-2538 โดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร (รัศมี ชูทรงเดช, 2544)

    นอกจากฟอสซิลมนุษย์ยุคหินเก่าแล้ว ในประเทศไทยยังมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณและแหล่งโบราณคดีในยุคหินใหม่และยุคโลหะอีกหลายแห่งทั่วประเทศ โดยแห่งที่รู้จักมากที่สุดคือ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ซึ่งพบทั้งโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องมือที่ทำจากหินและโลหะสำริดที่มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ 1,800-5,000 ปี จึงสะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางอารยธรรมของมนุษย์ในดินแดนสุวรรณภูมิได้เป็นอย่างดี

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=baseline><TD vAlign=top width=21 height=19></TD><TD class=hit align=left height=19>ข่าวที่เกี่ยวข้อง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>ส่วนหนึ่งของเราคือ มนุษย์ "นีอันเดอร์ทัล"</TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>"คน" กับ "ลิง" สิ่งมีชีวิตคู่ขนาน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=baseline><TD class=hit align=left height=19>ข่าวล่าสุด ในหมวด</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>ย้อนเผ่าพันธุ์ "มนุษย์โบราณ" ในไทย</TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>"คน" กับ "ลิง" สิ่งมีชีวิตคู่ขนาน</TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>ส่วนหนึ่งของเราคือ มนุษย์ "นีอันเดอร์ทัล"</TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>พันธุกรรมชี้ชัด "เรา" มีเชื้อสายของเผ่าพันธุ์ "นีอันเดอร์ทัล" </TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>ยกข้อมูลสำรวจมหาสมุทรหนุนสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เกิดจากภูเขาไฟระเบิด</TD></TR><TR vAlign=bottom><TD align=middle width=21 height=15>[​IMG]</TD><TD align=right height=15>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ขั้วโลกใต้ทำลายสถิติร้อนสุดในประวัติศาสตร์
    Science - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>13 พฤษภาคม 2553 15:04 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>สถานีขั้วโลกใต้อาร์มุนเซน-สก็อตต์ (มูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ/ไลฟ์ไซน์)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>สถานีขั้วโลกใต้ เผยสถิติอุณภูมิที่ขั้วโลกใต้เมื่อปี 2009 สูงสุด -47.9 องศาเซลเซียส ร้อนสุดในประวัติศาสตร์ นับแต่เริ่มบันทึกเมื่อปี 1957 และปีที่ผ่านมายังเป็นปีที่โลกร้อนอันดับสองรองจากปี 2005

    ข้อมูลจากสถานีขั้วโลกใต้อาร์มุนเซน-สก็อตต์ (Amundsen-Scott South Pole Station) เผยข้อมูลอุณหภูมิเฉลี่ยที่ขั้วโลกใต้เมื่อปี 2009 ที่ผ่านมา แม้อุณหภูมิสูงสุดคือ -47.9 องศาเซลเซียสจะหนาวเย็นเข้ากระดูก แต่เป็นอุณหภูมิที่สูงสุดของขั้วโลกใต้นับแต่เริ่มบันทึกเมื่อปี 1957

    ไลฟ์ไซน์ระบุว่า ผู้เผยข้อมูลดังกล่าวคือ ปีเตอร์ เรจเซค (Peter Rejcek) บรรณาธิการวารสารดิแอนตาร์กติกซัน (The Antarctic Sun) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจทวีปแอนตาร์กติกาสหรัฐฯ (U.S. Antarctic Program) ซึ่งสนับสนุนโดยมูลนิธิวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ (National Science Foundation)

    อุณหภูมิสูงสุดก่อนหน้านี้ บันทึกได้เมื่อปี 2002 ซึ่ง ทิม มาร์เคิล (The Antarctic Sun) นักอุตุนิยมวิทยาอาวุโสที่สถานีขั้วโลกใต้ (South Pole Station) ในทวีปแอนตาร์กติกา ระบุว่าในปีดังกล่าวอุณหภูมิเฉลี่ยของขั้วโลกใต้สูง -48 องศาเซลเซียส

    สอดคล้องข้อมูลจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ซึ่งได้เผยข้อมูลการบันทึกอุณภูมิพื้นผิวโลกของปี 2009 ออกมาเมื่อต้นปี 2010 โดยพบว่าปีที่ผ่านมา เป็นปีที่ร้อนสูงสุดเป็นอันดับสองรองจากจากปี 2005 ทั้งนี้เป็นการวัดอุณหภูมิผิวโลกที่เริ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1800

    มาร์เคิลระบุด้วยว่า เมื่อปี 2007 อุณหภูมิที่ขั้วโลกใต้ลงไปแตะที่ -100 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ -73.33 องศาเซลเซียส เพียงนาทีเดียว เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ย้อนหลังกลับไป 3 ปีก่อนนั้น อุณหภูมิที่ขั้วโลกใต้ไม่เคยต่ำกว่าอุณหภูมิดังกล่าวเลย

    แต่ล่าสุดเมื่อเดือน เม.ย.2010 ที่ผ่านมา อุณหภูมิลดต่ำกว่า -73.33 องศาเซลเซียสโดยไม่สามารถอธิบายได้ นานถึง 22 นาที

    “แต่อีกนั่นแหละ ไม่ได้ยาวนานจริงจังนัก อย่างไรก็ดีนับว่าเป็นอุณหภูมิต่ำที่สุดนับแต่ 2 ก.ย. 2007” มาร์เคิลกล่าว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธปท.ให้ผ่อนบัตรเครดิตต่ำกว่า 10%
    http://www.thairath.co.th/content/eco/82829
    ที่มา ไทยรัฐ

    ธปท.ออกหนังสือเวียนถึงสถาบันการเงิน เรื่องการขอความร่วมมือให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง พิจารณาปรับลดวงเงินการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำให้ต่ำกว่า 10% ยอดคงค้างสินเชื่อได้ ซึ่งเป็นเกณฑ์เดิมของ ธปท.ได้ชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.นี้...

    นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เพื่อช่วยเหลือบรรเทาการผ่อนชำระหนี้ของผู้ประกอบการรายใหญ่ และรายย่อย ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมในย่านราชประสงค์ และสะพานผ่านฟ้า ธปท.ได้ออกหนังสือเวียนถึงสถาบันการเงิน ประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ รวมถึงบริษัทประกอบธุรกิจสินเชื่อ และให้บริการบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) เรื่องการขอความร่วมมือให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง

    โดยมีสาระสำคัญ 2 ข้อ ดังนี้ 1. ให้พิจารณาดูแลลูกหนี้ที่เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง และให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็น ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ ลดดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ รวมถึงผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้อื่นๆเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ 2. ธปท.อนุญาตตามที่ผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนร้องขอให้สถาบันการเงินและบริษัทประกอบธุรกิจให้บริการบัตรเครดิตสามารถที่จะพิจารณาปรับลดวงเงินการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำให้ต่ำกว่า 10% ยอดคงค้างสินเชื่อได้ ซึ่งเป็นเกณฑ์เดิมของ ธปท.ได้ชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ แต่จะลดลงให้ผ่อนขั้นต่ำในอัตราเท่าไรนั้น ขึ้นกับ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบัตรเครดิตแต่ละแห่งจะพิจารณาหรือตกลงกับลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม การลดหย่อนเกณฑ์การผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำนั้น จะต้องเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมในย่านราชประสงค์ และสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และเป็นการใช้บัตรเครดิตมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจเท่านั้น

    ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีการลดวงเงินผ่อนชำระขั้นต่ำรายเดือนของบัตรเครดิตต่ำกว่า 10% ไม่ได้ครอบคลุมสินเชื่อบัตรเครดิตที่มีการใช้จ่ายส่วน บุคคล แต่จะให้ลดหย่อนพิเศษเฉพาะผู้ประกอบการ เนื่องจากในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อยร้องเรียนว่าขาดสภาพคล่องทางการเงิน และไม่สามารถกู้เงินใหม่ หรือขอโอดีเพิ่มได้ จึงใช้วิธีกดเงินจากบัตรเครดิตเพื่อนำมาใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ และจ่ายเงินค่าจ้างให้กับพนักงาน
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปลาพญานาคตายเหนือนํ้า
    Daily News Online > หน้าต่างประเทศ > ปลาพญานาคตายเหนือนํ้า
    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=5&contentID=65731

    อาศัยใต้ทะเลลึก ชี้ผลจากโลกร้อน

    คุณปู่ชาวสวีเดนตะลึง ขับเรือกลับบ้าน จ๊ะเอ๋ปลาพญานาค ยาว 3.65 เมตร ลอยขึ้นมาตายเหนือน้ำ จับส่งให้พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไปศึกษาต่อ เผยเป็นปลาทะเลที่อาศัยอยู่ในน้ำลึก เจอครั้งสุดท้ายสวีเดน เมื่อ 130 ปีก่อน ชี้อาจเป็นผลกระทบด้านโลกร้อน ทำให้ปลาหนีน้ำใต้ทะเลลึกขึ้นมาตายเหนือน้ำ แถมอาจเป็นลางบอกเหตุแผ่นดินไหว

    สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงสตอก โฮล์ม ประเทศสวีเดน เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ว่า นายเคิร์ต โอวี อีริคสัน ชาวสวีเดน วัย 73 ปี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ ที่ผ่านมาว่า ได้ไปพบปลาตัวใหญ่แปลกประหลาดตัวหนึ่ง ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็นชิ้น ส่วนถุงพลาสติกลอยน้ำขึ้นมาใกล้ชายฝั่ง เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ถึงได้พบว่า เป็นปลาหายากชนิดหนึ่ง มีความยาวประมาณ 12 ฟุต หรือ 3.65 ม. เรียกกันว่า ปลาพญานาค หรือปลาออร์ฟิช (Oarfish) เป็นปลาทะเลที่อาศัยอยู่ในน้ำลึก เป็นปลาก้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อสามัญในหมู่ชาวประมงคือ คิง ออฟ เดอะ เฮอร์ริ่ง หรือ ราชาแห่งฝูงปลาเฮอร์ริ่ง พบครั้งสุดท้ายในประเทศสวีเดน เมื่อประมาณ 130 ปีมาแล้ว

    นายอีริคสัน กล่าวต่อไปว่า ปลาตัวนี้ยาวและเป็นมันวาว มีหนวด แต่จากสภาพที่พบ คิดว่าหนวดมันคงจะหลุด ครีบหลังสีชมพูอ่อน นายอีริคสัน ซึ่งเดิมประกอบอาชีพวิศวกรและเคยมีความใฝ่ฝันอยากเป็นชาวประมง ปลาตัวนี้เขาพบเมื่อวันเสาร์ที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ระหว่างเดินทางกลับไปยังบ้านริมน้ำ ที่เมืองบูวัลล์สแตรนด์ ตั้งอยู่ชายฝั่งด้านทิศตะวันตกของสวีเดน ซึ่งตัวเขานั้นตกปลาอยู่แถบนี้มานานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 และไม่เคยเจอปลาแบบนี้มาก่อน แต่จากประสบการณ์ที่ตกปลามาพอทราบ ว่า ปลาตัวนี้น่าจะเป็นปลาที่อาศัยอยู่ใน น้ำลึก

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอีริคสันตัด สินใจมอบซากของปลาตัวนี้ให้กับ เดอะ เฮาส์ ออฟ เดอะ ซี ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของเมืองไลเซคิลที่อยู่ใกล้ ๆ กัน โดยมีนายโรเจอร์ แยนเซ่น ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทะเล กล่าวว่า ได้รับปลาตัวนี้มาเก็บไว้แล้วและกำลังพิจารณาที่จะดำเนินการต่อไปสำหรับปลาออร์ฟิช หรือปลาพญานาคนี้ หากโตเต็มที่อาจมีความยาวได้ถึง 36 ฟุต หรือ 11 เมตร เชื่อว่าอาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึก ตัวสุดท้ายที่พบในประเทศสวีเดนนั้น พบเมื่อปี พ.ศ.2422 ด้วยความที่รูปร่าง คล้ายงูใหญ่หรือพญานาค จึงเป็นตำนานเล่าขานกันมาตั้งแต่โบราณของปลาชนิดนี้ นอกจากนั้น ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำทะเล ทำให้ปลาชนิดนี้ลอยขึ้นมาเหนือน้ำและเสียชีวิตในที่สุด

    อย่างไรก็ดี จากการศึกษาวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว พบว่าพฤติกรรมของสัตว์ที่ผิดไปจากปกติ มักจะเกี่ยวข้อง กับการเกิดภัยธรรมชาติ เช่นแผ่นดินไหว เพราะสัตว์มีความสามารถรับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งในการเอาชีวิตรอด อาทิ งูจำศีลอยู่ในโพรงใต้ดิน (งูในประเทศเขตหนาว) จึงรู้สึกถึงความผิด ปกติได้ง่าย เมื่อมีการสั่นสะเทือนของเปลือก โลก งูจะรู้สึกได้ก่อนและหลบภัยด้วยการ เลื้อยขึ้นมาบนดิน ตัวอย่างเช่น เมื่อ ค.ศ. 1855 ก่อนเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นหนึ่งวัน พบฝูงงูเลื้อยขึ้นมาบนดินหลายตัว เมื่อ ค.ศ. 1977 ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่โรมาเนีย ก็มี ฝูงงูเลื้อยขึ้นมาแข็งตายบนดิน หรือกรณีชาวประมงจับปลาได้มากกว่าปกติ หรือมีปลาจากทะเลลึกว่ายเข้ามาในเขตน้ำตื้น นั่นหมายถึงปลาในน้ำลึกจะรู้สึกไวต่อแผ่นดินไหว และหาพื้นที่ปลอดภัยเพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งอาจเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับปลาพญานาค ตัวนี้ก็เป็นได้.
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เทคนิคการเลือกสีทาบ้าน
    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > เทคนิคการเลือกสีทาบ้าน
    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=65656

    การเลือกสีทาบ้านให้เหมาะสมนั้นทำได้ไม่ยาก วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเทคนิคเรื่องนี้มาบอก....

    - สีน้ำมัน เป็นสีที่ใช้ทินเนอร์เป็นตัวทำละลาย หมายความว่า เมื่อผสมสีทาไปแล้วเกิดสีแห้งทำให้เกิดความหนืดในการทาก็ให้ผสมทินเนอร์ลงไปก็จะทำให้สีทาง่ายขึ้น สีน้ำมันเหมาะสำหรับใช้ทาพื้นผิวไม้และเหล็กจะทำให้ยืดอายุการใช้งานและสร้างความงดงามให้กับผิววัสดุภายนอก สีชนิดนี้ไม่เหมาะกับการใช้ทาไม้เทียมและผิวคอนกรีต เพราะอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น สีน้ำมันมีให้เลือกทั้งชนิดเงาและด้าน

    - สีน้ำอะครีลิคหรือสีน้ำพลาสติก เป็นสีที่ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย ใช้ง่าย ล้างออกง่าย สีน้ำอะครีลิคเหมาะกับการใช้ทาผนังคอนกรีตเพราะเนื้อสีที่ผสมน้ำสามารถแทรกซึมได้ดีในเนื้อคอนกรีตทำให้อายุการใช้งานยาวนาน สีน้ำอะครีลิคไม่เหมาะกับการนำไปทาบนผิวไม้หรือโลหะเพราะจะหลุดร่อนได้ง่าย สีน้ำอะครีลิคมีให้เลือกหลายเกรด

    - สีย้อมไม้ ใช้สำหรับบ้านที่มีส่วนประกอบผนังบ้านเป็นไม้ และต้องการโชว์ลวดลายของไม้ จึงเหมาะเป็นอย่างมาก สำหรับท่านที่ต้องการรักษาความงดงามของเนื้อไม้ให้อยู่ยาวนาน สีย้อมไม้ชนิดนี้สามารถเลือกสีที่ต้องการได้หลายเฉดสี

    - สีเคลือบไม้ เป็นสีที่ใช้สำหรับเคลือบเนื้อไม้ไว้ไม่ให้ทรุดโทรมเร็ว และยังเพิ่มความเงางามให้กับเนื้อไม้อีกด้วย เช่น แลคเกอร์ ยูนิเทน เป็นต้นโดยถ้าเป็นไม้ภายในแนะนำสีแลคเกอร์ ถ้าเป็นภายนอกต้องใช้ประเภทยูนิเทรนหรือเคมเกรซเท่านั้น

    เพียงเท่านี้ก็สามารถเลือกซื้อสีทาบ้านได้ถูกต้องแถมยังถูกใจอีกด้วย.



    .


    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ
    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > กินดี > น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ

    [​IMG]

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=65599

    ‘น้ำตะไคร้’ อาจไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เวลากระหายน้ำ บ้างก็ว่าเหม็น บ้างก็ว่าดื่มยาก แต่รู้ไว้เถอะว่า น้ำตะไคร้ให้คุณค่าทางสารอาหารมากทีเดียว เช่น วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา แคลเซียม-ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ส่วนคุณค่าทางยา ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร บำรุงสมองช่วยให้สมาธิดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต

    สำหรับคอเหล้า นำตะไคร้ไปต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมา ในกรณีที่เมามาก ๆ วิธี้นี้ช่วยให้สร่างเมาเร็วขึ้น

    มาถึงเมนูสุขภาพศุกร์นี้ ‘กินดี’ ขอเสนอ ‘น้ำตะไคร้หอม’ เพื่อสุขภาพ ใช้ส่วนผสมเพียง 3 อย่าง ได้แก่
    • ตะไคร้ 20 กรัม หรือ 1 ต้น
    • น้ำเชื่อม 15 กรัม หรือ 1 ช้อนคาว
    • น้ำเปล่า 240 กรัม หรือ 16 ช้อนคาว

    วิธีทำ นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบ

    .

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    <table id="post3192251" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">[​IMG] 15-04-2010, 03:12 PM </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #1 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->MAGNETICS<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_3192251", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2008
    ข้อความ: 331
    Groans: 1
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 2,378
    ได้รับอนุโมทนา 1,108 ครั้ง ใน 257 โพส
    พลังการให้คะแนน: 300 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_3192251" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center><!-- google_ad_section_start -->วิธีการเลือกซื้อแผ่น DVD-R / ระวังแผ่นคุณภาพต่ำ<!-- google_ad_section_end -->

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start --> <script type="text/javascript"><!-- zone = "15"; url = "http://ads.palungjit.org"; //--></script> <script type="text/javascript" src="http://ads.palungjit.org/show.js"></script><script language="JavaScript" src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=15&w=0&pl=0&ad_type=0&shape=0&c_border=0&c_background=0&c_text1=0&c_text2=0&c_text3=0&c_text4=0&c_text5=0&c_text6=0&c_text7=0&c_text8=0&c_text9=0&c_text10=0&code=1273809533758"></script>

    <table class="sticky_table_small" border="0"><tbody><tr><td align="right">Show Box
    </td></tr></tbody></table>

    [SIZE=-1]ขอแนะนำวิธีเลือกซื้อแผ่น DVD-R จากประสบการณ์ของผมเองครับ ในปัจจุบันนี้แผ่น DVD-R เกือบจะแทนที่ CD-R แล้ว ในท้องตลาดมี brand ต่าง ๆ มากมาย ราคาอาจจะแตกต่างกันถึง 1 - 2 เท่าตัว เกรดของแผ่นมีตั้งแต่ดีมาก, ดี, ปานกลาง และต่ำ


    [​IMG]


    แผ่น DVD-R (รวมถึงแผ่น DVD ประเภทอื่น ๆ เช่น DVD+R, DVD-RW) เวลาแผ่นเสียจะไม่ลอกเหมือน CD-R แต่แผ่น DVD-R จะเสื่อมคุณภาพแบบที่เราไม่รู้ตัว และค่อย ๆ เสียไปทีละส่วน ไม่ได้เสียทั้งหมด คล้าย ๆ กับอาการที่ harddisk เกิด bad sector อาการที่บ่งบอก ถ้าเป็นพวกหนัง เวลาเราไปเปิดก็จะมีอาการกระตุก ตรงช่วงที่หนังกระตุกนั้นแสดงว่าอ่านข้อมูลไม่ได้ หรือตรง sector นั้นเสียไปนั่นเอง หรือถ้าเป็นไฟล์ข้อมูล เวลาเรามา copy อีกครั้งจะ copy ไม่ได้ ฉะนั้นถ้าข้อมูลสำคัญเราไม่ควรใช้แผ่นคุณภาพต่ำจากประสบการณ์ในการใช้งานแผ่น DVD-R มาหลายปีและข้อมูลที่รวมรวมจาก webboard ต่าง ๆ พอจะสรุปได้ดังนี้

    แผ่นคุณภาพดีมาก ระดับสุดยอด
    - MAM-A แผ่นชนิดนี้เป็นแผ่นที่ดีมาก แต่ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย อยากซื้อดูได้ที่เว็บไซต์ MAM-A Inc. -http://www.mam-a.com
    - That's แผ่นเกรดดีที่สุดที่ขายในญี่ปุ่น ผลิตโดย Taiyo Yuden ในประเทศไทยมีขายเฉพาะที่ร้าน DVDR2U -http://www.dvdr2u.com
    - Verbatim รุ่น "Gold Archival" แผ่นตัวนี้สารเคมีที่ใช้ทำแผ่นมีส่วนประกอบของทองคำ เก็บรักษาข้อมูลได้ถึง 100 ปี

    แผ่นคุณภาพดี
    - Verbatim , Mitsubishi เฉพาะแผ่นที่ผลิตที่ไต้หวันเท่านั้น ระวังแผ่น Verbatim จากประเทศจีน ซึ่งคุณภาพต่ำกว่ามาก
    - TDK , Philips , Imation ทั้ง 3 ตัวผลิตที่โรงงาน CMC Magnetics ที่เดียวกัน ราคาขายจะถูกกว่า Verbatim แต่คุณภาพก็จะต่ำกว่า
    - Sony คุณภาพใกล้เคียงกับ TDK แต่ให้ระวังแผ่นที่ผลิตจาก Malaysia เนื่องจากคุณภาพไม่ดีสมราคา
    ** ในยี่ห้อแผ่นคุณภาพดี แนะนำ Verbatim กับ Mitsubishi เพราะ qc ดีมาตลอด ไม่เหมือนยี่ห้ออื่นซึ่งบางทีคุณภาพก็ดี บางทีก็แย่

    แผ่นคุณภาพปานกลาง
    - MAXX , Ohayo ผลิตโรงงาน Gigastorage
    - Ritek , RiMAXX, Ridata ผลิตจากโรงงาน Ritek
    - Perfecto , Century OXYGEN ผลิตจากโรงงาน Optodisc ทั้ง 3 ยี่ห้อใช้กับเครื่องไรท์ Liteon ได้ดีมาก
    - Smartbuy ให้ระวังรุ่น "Smartbuy DUP" ถ้ารุ่นนั้นเป็นเกรด B
    - ยี่ห้ออื่น ๆ เช่น BenQ , Melody , Vio , MAXTEC ถือว่าเป็นแผ่นคุณภาพปานกลาง
    ** แผ่นคุณภาพระดับนี้บางยี่ห้อเช่น Ohayo หรือ MAXX คุณภาพเทียบชั้นแผ่น TDK, Philips, Sony ได้เลย ในขณะที่แผ่นยี่ห้อที่กล่าวไปราคาถูกกว่าเกือบแผ่นละ 2 บาท (สำหรับแผ่นยี่ห้อ MAXX ราคาแค่ 255 บาท แต่คุณภาพเกินราคา)

    แผ่นคุณภาพต่ำ
    - Princo , DOK , Diamond , Angte , Angel , Smart
    ไม่แนะนำหากจะใช้เก็บข้อมูลสำคัญ แต่ถ้าใช้ครั้งเดียวทิ้ง เช่น ไรท์หนังไว้ดูก็ใช้ได้ เพราะแผ่นประเภทนี้ราคาจะประหยัดที่สุด

    โดยเฉพาะแผ่นยี่ห้อ Princo คุณภาพจะต่ำที่สุด แผ่นมีอายุการใช้งานแค่ไม่กี่เดือน จากประสบการณ์ไรท์หนังลงแผ่น เปิดดูครั้งเดียว จากนั้นก็เก็บใส่กระเป๋าไว้อย่างดี ในอีก 4 เดือนต่อมาเอามาเล่นกับเครื่องก็ขึ้น Error ซะแล้ว

    แผ่นที่คุณภาพปานกลางที่น่าสนใจที่สุดจะมียี่ห้อ MAXX , Ohayo , Smartbuy , Perfecto , Century และ Ritek RiMAXX ยี่ห้อที่กล่าวมานี้ถือว่าสินค้าคุณภาพดีที่สุดในกลุ่ม อาจจะเทียบชั้นแผ่นคุณภาพดีได้เลย อายุการใช้งานของแผ่นในกลุ่มนี้จะอยู่ที่ 5 ปีขึ้นไป จ่ายเพิ่มจากแผ่น Princo แค่ 1 - 2 บาทก็ได้ใช้ของดีแล้ว

    ส่วนยี่ห้อที่อยู่ในกลุ่มคุณภาพดีขึ้นไป แนะนำให้ใช้เก็บข้อมูลพวกรูปภาพ , วีดีโอ ที่ถ่ายใหม่ไม่ได้อีกแล้ว ลงทุนซื้อแผ่นคุณภาพดี ราคาต่างกับของถูก ๆ ไม่เกิน 10 บาท แต่เก็บข้อมูลได้ยาวนานกว่าแน่นอน การเก็บรักษาแผ่นที่ดีควรเก็บใส่ซอง , กล่อง หรือกระเป๋า ในที่แห้ง ไม่โดนแสง และไม่โดนความร้อนมากนัก การเก็บแผ่นแบบนี้จะช่วยยืดอายุของแผ่นได้ไปอีกนาน
    [/SIZE]


    ที่มา BlogGang.com : : The Blizzard :

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->,,I am A butterfly,,
    </td></tr></tbody> </table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2010
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่า...พี่ไฟดูดฝากเชิญทุกท่านที่สนใจไปร่วมสังสรรค์ และ กราบพระอาจารย์นิล วันพรุ่งนี้ที่ร้านตำแหลก สนามบินน้ำ นนทบุรี เวลา 11.00น ครับ หุ หุ(ทานฟรี เฉพาะน้ำเปล่า)
     
  18. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ถ้าผมไปได้ขอเลี้ยงส้มตำละกัน (ปู-ปลาร้าเท่านั้นนะ ถึงจะเรียกว่าคอเดียวกัน หุหุ)
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1130324.jpg
      P1130324.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.8 KB
      เปิดดู:
      66
    • P1130341.jpg
      P1130341.jpg
      ขนาดไฟล์:
      134 KB
      เปิดดู:
      864
    • P1130227.jpg
      P1130227.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.4 KB
      เปิดดู:
      70
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2010
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเจอปลาร้า ก็สลบล่ะสิครับเนี่ย

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวัง ด้วงกระดก พิษร้ายถึงตาบอด

    ด้วงก้นกระดก ด้วงปีกสั้น ด้วงก้นงอน พิษร้ายถึงตาบอด

    http://health.kapook.com/view12938.html

    [​IMG]

    ด้วงก้นกระดก



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ภาควิชากีฏวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    ก้าวเข้าสู่ต้นฤดูฝน ทำให้แมลงอย่าง "ด้วงก้นกระดก" หรือ "ด้วงปีกสั้น" ชุกชุมมากขึ้นในหลายจังหวัด ซึ่งล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาเตือนให้ประชาชนระวังพิษของ "ด้วงก้นกระดก" เพราะอาจทำอันตรายถึงขั้นตาบอดได้

    โดย "ด้วงก้นกระดก" มีชื่ออื่น ๆ ว่า "ด้วงปีกสั้น" หรือ "ด้วงก้นงอน" (Rove Beetle) มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน ลักษณะของ "ด้วงก้นกระดก" จะมีลำตัวเป็นเงามัน ยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร ส่วนหัวมีสีดำ ปีกสีน้ำเงินเข้ม ลำตัวมีสีดำสลับส้ม มักจะงอท้องส่ายขึ้นลงเมื่อเกาะอยู่กับพื้น โดยทั่วไป "ด้วงก้นกระดก" จะอาศัยอยู่ในพงหญ้าที่มีความชื้น และมักจะออกมาเล่นไฟตามบ้านเรือนในตอนกลางคืน "ด้วงก้นกระดก" สามารถพบได้ทั่วโลก แต่จะพบมากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งมีมากถึง 3,100 ชนิด ส่วนที่ประเทศไทย คาดว่ามี "ด้วงก้นกระดก" ประมาณ 20 ชนิด

    ประโยชน์ของ "ด้วงก้นกระดก" ก็คือ ช่วยควบคุมแมลงศัตรูพืชตามธรรมชาติ และกลับมีพิษต่อคน โดย "ด้วงก้นกระดก" จะมีพิษ "เพเดอริน" (Paederin) อยู่ทั่วตัว และมีสารพิษอยู่ในตัวประมาณ 0.025 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว พิษนี้มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อ ส่วนใหญ่จะพบพิษใน "ด้วงก้นกระดก" ตัวเมีย ซึ่งตามปกติ "ด้วงก้นกระดก" จะไม่กัด หรือต่อยคน แต่พิษสามารถปล่อยออกมาได้ หาก "ด้วงก้นกระดก" ตกใจ ถูกตี ถูกบีบ บดขยี้ เพื่อเป็นการป้องกันตัว

    อันตรายของพิษ "ด้วงก้นกระดก" คือ หากถูกพิษภายใน 24 ชั่วโมงแรก จะเกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนังอย่างเฉียบพลัน เกิดการอักเสบ แสบร้อน พุพอง และเกิดการอักเสบขยายวงกว้างขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง จากนั้นแผลจะตกสะเก็ดภายใน 8 วัน จนสามารถกลายเป็นแผลเป็นได้ ในบางรายอาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเส้นประสาท ปวดกล้ามเนื้อ อาจียน คนที่แพ้พิษอย่างรุนแรง ผิวหนังอาจอักเสบหลายแห่ง คล้ายเป็นโรคงูสวัด หรืออาจเป็นผื่นแดงติดต่อกันนานหลายเดือน แต่หากพิษเข้าตา ก็อาจทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว

    ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม - เมษายนปีนี้ (2553) มีรายงานว่า พบผู้ถูกพิษ "ด้วงก้นกระดก" แล้ว 26 ราย ที่จังหวัดราชบุรี และทุกรายมีผิวหนังเป็นผื่นแดง ปวดแสบปวดร้อน บางรายตาแดง และปวดหู ก่อนหน้านี้ ในปี พ.ศ.2536 มีรายงานเป็นครั้งแรกว่า พบผู้ได้รับพิษจาก "ด้วงก้นกระดก" โดยเป็นผู้ใช้แรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 27 รายที่เกิดอาการผิวหนังอักเสบเฉียบพลัน

    ต่อมาในปี พ.ศ.2549 ก็มีรายงานว่า พบผู้ถูกพิษ "ด้วงก้นกระดก" อีก 113 รายที่จังหวัดนครสวรรค์ และที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีก 30 คน ส่วนใหญ่มีอาการเดียวกัน คือ พบผื่นแดงเป็นทางยาว ลักษณะคล้ายรอยไหม้ และมีอาการปวดแสบปวดร้อน ขณะที่ในต่างประเทศยังเคยมีรายงานว่า พบผู้ป่วยที่รับพิษจาก "ด้วงก้นกระดก" และมีอาการรุนแรงกว่า 2,000 รายในเมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เช่นเดียวกับที่ประเทศอินเดียที่พบผู้ป่วย 123 รายเช่นกัน

    สำหรับคำแนะนำในการป้องกัน "ด้วงก้นกระดก" ก็คือ ไม่ควรจับด้วงมาเล่น หรือตบตีเมื่อด้วงบินมาเกาะตามตัว ก่อนนอนควรปัดที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ก่อน เพื่อป้องกัน "ด้วงก้นกระดก" รวมทั้งในช่วงกลางคืนควรเปิดไฟเฉพาะเท่าที่จำเป็น เพราะ "ด้วงก้นกระดก" มักชอบออกมาเล่นแสงไฟ

    สุดท้าย หากถูกพิษของ "ด้วงก้นกระดก" แล้ว ให้รีบล้างด้วยน้ำเปล่า ฟอกสบู่ หรือเช็ดด้วยแอมโมเนีย และไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี
     

แชร์หน้านี้

Loading...